-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - เกษตรสัญจร 12 GMO โจรปล้นชาติ 3 - อุ๊แม่เจ้า พริกหยวก GMO
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

เกษตรสัญจร 12 GMO โจรปล้นชาติ 3 - อุ๊แม่เจ้า พริกหยวก GMO
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3
 
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 29/02/2016 5:52 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 มะละกอ GMOs จากไทย (2) สมน้ำหน้าประเทศไทย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน


เกษตรสัญจร 12 มะละกอ GMOs จากไทย (2) สมน้ำหน้าประเทศไทย


ภาค 2 - 5.5 (1) – การครอบครองสิทธิบัตร มะละกอ GMO จากไทย


กรุณาอ่านเรื่องนี้ให้ดี ๆ และเรียนรู้ให้ถ่องแท้ มิฉะนั้น ถ้าคุณปลูกมะละกอ คุณจะมีความผิด ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ หรือไม่ก็หากจะปลูกมะละกอเพื่อการค้า ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับมหาวิทยาลัยคอร์แนล........สะใจจริง ๆ





(1) ปัญหาเรื่องจีเอ็มโอ มิได้เป็นเพียงแค่ประเด็นถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองสิทธิบัตรเกี่ยวกับการประดิษฐ์ สิทธิในทรัพยากรชีวภาพ และการเมืองทางอาหารระหว่างประเทศอุตสาหกรรมกับประเทศโลกที่สาม และระหว่างบรรษัทข้ามชาติกับเกษตรกรรายย่อยและผู้บริโภค

เมื่อปี 2538-2540 กรมวิชาการเกษตรได้ส่งนักวิจัยของกรมไปร่วมโครงการวิจัยกับมหาวิทยาลัยคอร์แนล เพื่อพัฒนามะละกอจีเอ็มโอสายพันธุ์แขกดำและแขกนวลให้ต้านทานไวรัสใบด่างจุดวงแหวนโดยมีเดนิส กอนซาลเวส เป็นหัวหน้าโครงการ ทั้งนี้โดยใช้เทคโนโลยีของคอร์แนลและมอนซานโต้ และทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทยคือสายพันธุ์มะละกอ และไวรัสใบด่างจุดวงแหวนสายพันธุ์ไทย

มะละกอสองสายพันธุ์ที่ดัดแปลงพันธุกรรมถูกนำมาทดสอบต่อในประเทศไทยที่สถานีวิจัยพืชสวนขอนแก่น (สำนักวิจัยพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 จ.ขอนแก่น ส่วนแยกพืชสวน) ระหว่างปี 2540-2546 และต่อมาปรากฏพบว่าได้หลุดออกไปปลูกนอกแปลงทดลอง โดยกรมวิชาการเกษตรพบว่าจากการตรวจสอบมะละกอจำนวน 8,912 ตัวอย่าง พบเป็นมะละกอจีเอ็มโอจำนวนถึง 329 ตัวอย่าง จากแปลงเกษตรกร 85 ราย

ในระหว่างการทดสอบและคัดเลือกมะละกอจีเอ็มโอ เดนิส กอนซาลเวส ได้ยื่นขอสิทธิบัตรไวรัสใบด่างจุดวงแหวนสายพันธุ์ที่นำไปจากประเทศไทย และได้รับอนุมัติสิทธิบัตรสหรัฐ หมายเลขสิทธิบัตร 7078586 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2549

การวิจัยมะละกอจีเอ็มโอซึ่งเชื่อว่าเป็นงานวิจัยเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศจึงถูกตั้งคำถาม โดยในระหว่างที่มีข่าวคราวการหลุดลอดของมะละกอจีเอ็มโอไปปลูกนอกแปลงทดลองนั้น เดนิส กอนซานเวส หัวหน้าโครงการวิจัยมะละกอจีเอ็มโอได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 2548 ว่า

“…การหลุดรอดของมะละกอจีเอ็มโอในแปลงของเกษตรกร อาจทำให้เกิดการผสมข้ามสายพันธุ์กับมะละกอพันธุ์ท้องถิ่นของไทย และหมายความว่ามะละกอสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นเกษตรกรจะนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ เนื่องจากคอร์เนลล์มีกฎระเบียบว่างานวิจัยทุกชิ้นถือเป็นสมบัติของคอร์แนลล์ จนกว่าการลงนามในบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมวิชาการเกษตร และคอร์เนลล์จะเสร็จเรียบร้อย....”

คำให้สัมภาษณ์(และหลักฐานการครอบครองสิทธิบัตร)ดังกล่าว ทำให้ทราบว่านอกจากมะละกอจีเอ็มโอที่หน่วยงานราชการทำวิจัยนั้น มิได้เป็นของไทยแล้ว การผสมข้ามของมะละกอจีเอ็มโอกับมะละกอสายพันธุ์อื่นๆ ยังทำให้มะละกอสายพันธุ์เหล่านั้นกลายเป็นทรัพย์สินของต่างชาติด้วย

กรณีดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยมีทางเลือก 3 ทางคือ

1. ถูกบีบบังคับให้ลงนามใน MOU กับมหาวิทยาลัยคอร์แนล ซึ่งในร่างความตกลงระหว่างกรมวิชาการเกษตรกับมหาวิทยาลัยคอร์แนลระบุให้ “การปลูกมะละกอเพื่อการค้า” ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับมหาวิทยาลัยคอร์แนลในอัตราดังต่อไปนี้

- รายได้น้อยกว่า 250,000 เหรียญสหรัฐ จ่ายให้คอร์แนล 10 %
- รายได้ 250,000-500,000 เหรียญสหรัฐ จ่ายให้คอร์แนล 20%
- รายได้ 500,000-1,000,000 เหรียญสหรัฐ จ่ายให้คอร์แนล 30%
- รายได้เกิน 1,000, 000 เหรียญสหรัฐ จ่ายให้คอร์แนล 35%


กรมวิชาการเกษตร และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ผลักดันให้มีการลงนามในเอ็มโอยูดังกล่าวระหว่างปี 2547-2550 แต่รัฐบาล 2 คณะซึ่งบริหารประเทศในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่เห็นชอบ เนื่องจากถูกทักท้วงว่าละเมิดรัฐธรรมนูญ และเป็นการเปิดทางให้ต่างชาติยึดครองทรัพยากรชีวภาพของประเทศ

2. ปล่อยให้มะละกอจีเอ็มโอที่หลุดออกไปปลูกในพื้นที่การเกษตรต่อไป โดยเกษตรกรและผู้ส่งออกต้องรับความเสี่ยงในกรณีที่จะถูกฟ้องร้องว่าละเมิดสิทธิบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการส่งออกมะละกอไปยังประเทศที่คอร์แนล/มอนซานโต้จดสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับมะละกอจีเอ็มโอไว้

3. ขจัดมะละกอจีเอ็มโอปนเปื้อนในพื้นที่การเกษตรให้หมดไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดที่ปฏิเสธจีเอ็มโอ ไม่ถูกฟ้องร้องการละเมิดสิทธิบัตร และป้องกันมิให้เกิดการผสมข้ามระหว่างมะละกอจีเอ็มโอกับมะละกอสายพันธุ์อื่นๆที่ปลูกในประเทศไทย


นี่ขนาดการวิจัยเรื่องมะละกอจีเอ็มโอซึ่งใช้ทรัพยากรชีวภาพและศูนย์วิจัยของรัฐเองดำเนินการยังก่อให้เกิดปัญหาเรื่องสิทธิบัตรจนไม่สามารถหาข้อยุติได้ อีกทั้งก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องไปในอนาคต หากเป็นการอนุญาตให้บรรษัทยักษ์ใหญ่จีเอ็มโอปลูกพืชจีเอ็มโอเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย จะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อสิทธิของเกษตรกร และอธิปไตยของประเทศเหนือทรัพยากรชีวภาพซึ่งได้รับการรับรองภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ?

ผู้บริหารประเทศ รวมทั้งกลุ่มผู้ผลักดันจีเอ็มโอ กลุ่มผู้ผลักดันกฎหมายซึ่งสร้างความชอบธรรมให้การปลฏจีเอ็มโอเชิงพาณิชย์ ตระหนักดีมากน้อยแค่ไหนต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ?

พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพที่ได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา มิได้คำนึงถึงปัญหาการปนเปื้อนทางพันธุกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อสิทธิดังกล่าวแต่ประการใด เนื่องจากร่างขึ้นเพื่อเอื้ออำนวยให้บรรษัทสามารถปลูกจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์ได้ไม่ต้องรับผิดชอบผลกระทบของพืชจีเอ็มโอที่ส่งผลต่อทรัพยากรชีวภาพ สิทธิของเกษตรกร ต่อการส่งออก และอธิปไตยทางอาหารของประเทศ

หมายเหตุ :

1. ข้อมูลการปนเปื้อนของมะละกอจีเอ็มโอได้จาก หนังสือจากกรมวิชาการเกษตร เลขที่ กษ.0901/1632 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 ส่งถึงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

2. การแบ่งปันผลประโยชน์กับมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้จากเอกสารเผยแพร่กรมวิชาการเกษตรต่อสื่อมวลชน วันที่ 8 กันยายน 2547




ที่มา . - http://biothai.net/node/30455


.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 05/10/2016 10:28 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 29/04/2016 11:27 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 ตอน มูลนิธิชีววิถี(BIOTHAI)รับนักวิชาการ/นักว ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน


เกษตรสัญจร 12 ตอน มูลนิธิชีววิถี(BIOTHAI)รับนักวิชาการ/นักวิจัย 1 ตำแหน่ง


ภาค 2 - 5.8 (1) – มูลนิธิชีววิถี(BIOTHAI) ประสงค์รับนักวิชาการ/นักวิจัย 1 ตำแหน่ง








คุณสมบัติ

1. วุฒิปริญญาโทสาขาเกษตร เศรษฐศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์

2. มีความเชี่ยวชาญหรือติดตามประเด็นสถานการณ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ระบบเกษตรและอาหาร

3. มีความสามารถและทักษะในการประสานงานการประชุมวิชาการ

4. หากมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2559
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 02 - 985 3838

ผู้สนใจสามารถส่งประวัติและเอกสารการสมัครมาที่ มูลนิธิชีววิถี(BIOTHAI)

125/356 หมู่บ้านนราธิป ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลไทรม้า อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

หรือ info@biothai.net


.



.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 23/09/2016 9:46 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 24/09/2016 12:11 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน โจรปล้นชาติ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน โจรปล้นชาติ

5.8.3 (1) – น้ำท่วมดอย ..งานนี้ พังพาบ ยิ่งกว่าใช้ปุ๋ยชีวภาพ.....





(1)




(2)



(3)




(4)





(5)




(6)




(7)




(8 )



(9)

(8 - 9) ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง เกิดขึ้นจากสาเหตุปัจจัยธรรมชาติและความบกพร่องในการจัดการ ทั้งในกรณีมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 และภัยแล้งปี 2558

ภัยแล้งปี 2558 นอกจากมีสาเหตุจากปริมาณฝนแล้วยังเกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดด้วย กล่าวคือมีการเก็บกักน้ำในเขื่อนภูมิพลน้อยกว่าค่าเฉลี่ยการเก็บกักก่อนหน้านี้ 2,620.67 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ชาวนาขาดแคลนน้ำสำหรับการทำนาเกือบหนึ่งล้านไร่

จากการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) พบว่า ค่าเฉลี่ยการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลระหว่างปี 2552 - 2554 อยู่ที่ 8,749.67 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตามภายหลังมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 หน่วยงานของรัฐได้เก็บกักน้ำน้อยลง

เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขการเก็บน้ำในช่วงต้นปีระหว่างปี 2556 - 2558 พบว่า
- ปี 2556 มีการเก็บกักน้ำ 7,774 ล้านลูกบาศก์เมตร

- ปี 2557 เก็บกักน้ำ 7,200 ล้านลูกบาศก์เมตร

- ปี 2558 มีการเก็บกักน้ำน้อยที่สุดเพียง 6,129 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น

การเก็บกักน้ำในปี 2558 น้อยกว่าค่าเฉลี่ยมากถึง 2,620.67 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลกระทบต่อชาวนาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปริมาณน้ำขนาดนี้สามารถส่งน้ำให้ชาวนาได้มากถึง 898,259 ไร่
(โดยทั่วไปการทำนา 1 ไร่ใช้น้ำเฉลี่ย 2,917.5 ลูกบาศก์เมตร/ไร่)

อ่านเพิ่มเติม
ปริมาณการใช้น้ำของข้าว http://www.rid.go.th/attatch_branch/qrice.html
ข้อมูลปริมาณการเก็บน้ำและปริมาณฝนhttp://www.thaiwater.net/




.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 24/09/2016 12:25 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11555

ตอบตอบ: 24/09/2016 6:09 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.


ผลงานใคร
ฝีมือใคร


.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/09/2016 6:17 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11555

ตอบตอบ: 24/09/2016 6:11 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.

ยุคคสช.กับคดีพิพากษาจำคุกนักการเมืองและคดีนักธุรกิจ – ม.44 ฟันบิ๊กข้าราชการ

5 กันยายน 2016

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ชะตากรรมของอดีตนักการเมือง ข้าราชการและนักธุรกิจหลายคนดูจะหนักหน่วงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้ที่ตกเป็นจำเลยในคดีการเมืองและคดีทุจริตคอร์รัปชัน บ้างก็หมดอนาคตในชีวิตราชการ บ้างก็ถูกยึดทรัพย์ สาหัสที่สุดคือถูกศาลตัดสินจำคุกทันทีโดยไม่รอลงอาญา

ล่าสุดวันที่ 6 กันยายน 2559 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าศาลฎีกา พิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุลผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)และพวก ในคดีที่อัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 ยื่นฟ้องนายสนธิ จำเลยที่ 1 พร้อมด้วยนายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)จำเลยที่ 2 ,นางสาวเสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บริษัทแมเนเจอร์ฯ จำเลยที่ 3 และ นางสาวยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บริษัทแมเนเจอร์ฯ จำเลยที่ 4 ฐานกระทำผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 311, 312 (1) (2) (3) , 313

จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 29 เมษายน 2539 – ถึง 31 มีนาคม 2540 จำเลยทั้งสี่ เป็นกรรมการ บริษัทแมเนเจอร์ ฯ ได้ร่วมทำสำเนา รายงานการประชุมของกรรมการบริษัทที่เป็นเท็จว่า มีมติให้บริษัทเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งนายสนธิ ถือหุ้นอยู่ รวม 6 ครั้ง จำนวน 1,078 ล้านบาท โดยนายสนธิ จำเลยที่ 1 และ น.ส.เสาวลักษณ์ จำเลยที่ 3 ไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุมกรรมการบริษัท

ต่อมาวันที่ 30 เม.ย.2539 – 18 พ.ย.2541 จำเลยทั้งสี่ ยังร่วมกันยอมให้มีการเปลี่ยนแปลง ตัดทอนทำบัญชีไม่ตรงกับความเป็นจริง และจำเลยทั้งสี่ ไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ที่เป็นรายการที่ทำให้รายได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ซึ่งต้องแสดงรายการไว้ในงบการเงินประจำปี 2539-2541 และจะต้องนำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้น บมจ.แมเนเจอร์ฯ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับ รวมทั้งเป็นการลวงให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้รับรู้ถึงการค้ำประกันหนี้ดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสี่ ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา

ทั้งนี้มีคำพิพากษาให้นายสนธิ, น.ส.เสาวลักษณ์ และ น.ส.ยุพิน จำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 20 ปี ส่วนนายสุรดช จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดีจึงถือที่สุดตามกฎหมายรับโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน

รายงานข่าวระบุว่า หลังคำฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวสนธิและพวกไปที่ห้องควบคุมตัว เพื่อรอส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป

จำคุก 1 ปี หมอเลี้ยบ
วันที่ 25 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือ “หมอเลี้ยบ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในยุครัฐบาลทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีตกเป็นจำเลยอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานกิจการดาวเทียมภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)

การที่นายแพทย์สุรพงษ์อนุมัติให้แก้ไขสัญญา โดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เป็นการอนุมัติโดยมิชอบ กระทบความเชื่อมั่นและความมั่นคงในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของรัฐ ทั้งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีขณะนั้น (ทักษิณ ชินวัตร) มีผลประโยชน์ทับซ้อนและมีส่วนได้ส่วนเสียในการแก้ไขสัญญา จึงมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

รายงานข่าวระบุว่า หลังศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายแพทย์สุรพงษ์ขึ้นรถตู้เพื่อไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที

จำคุก“กำนันเซี้ยะ” 5 ปี
นอกจากนายแพทย์สุรพงษ์แล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2559 มีนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงถูกตัดสินจำคุกในคดีต่างๆหลายราย เริ่มจากวันที่ 25 มกราคม 2559 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนายประชา โพธิพิพิธ หรือ “กำนันเซี้ยะ” อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเวลา 5 ปี ในคดีฮั้วประมูล

คดีนี้ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประชา, นางเขมพร ต่างใจเย็น ภรรยา, นางสาววรรณา ล้อไพบูลย์ คนสนิทนางเขมพร และนายถวิล สวัสดี (เสียชีวิตแล้ว) เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่, กรรโชกทรัพย์, หน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542

ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า ในช่วงปี 2542-2544 จำเลยได้ร่วมกันฮั้วประมูลในโครงการก่อสร้างต่างๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีและเพชรบุรี รวมทั้งมีการจัดสรรแบ่งผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกในกลุ่ม รวมทั้งขัดขวางผู้อื่นไม่ให้เข้าร่วมเสนอราคา

ต่อมา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกนายประชา 5 ปี ส่วนนางเขมพร ภรรยากับนางสาววรรณา ให้จำคุกคนละ 4 ปี แต่ในชั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ต่อมาอัยการโจทก์ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหมด ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริง จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกนายประชา 5 ปี และให้จำคุกนางเขมพรและนางสาววรรณาคนละ 4 ปี โดยให้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 3 คนมารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา

ทุจริตโกง VAT “สาธิต รังคสิริ” พ้นจากตำแหน่ง
วันที่ 16 กุมภาพพันธ์ 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายสาธิต รังคสิริพ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2559

หลังจากก่อนหน้านั้น ที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงการคลัง (อ.ก.พ.) ที่มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน มีมติไล่สาธิต อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กรณี อ.ก.พ. กระทรวงการคลังพิจารณาหนังสือตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่านายสาธิตมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นเท็จ พัวพันโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กว่า 4 พันล้านบาท แม้จะไม่ได้ติดคุก แต่นับเป็นการเสียประวัติทางราชการไปในทันที

จำคุก 2 ปี “วาสนา เพิ่มลาภ-ปริญญา นาคฉัตรีย์”
วันที่ 3 มิถุนายน 2559 พล.ต.อ. วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ นาย ปริญญา นาคฉัตรีย์ กรรมการ กกต. ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี ไม่รอลงอาญา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี

ในคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเวลานั้น เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ. วาสนา และปริญญา เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 จากคดีเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ส่งผลให้ พล.ต.อ. วาสนา ในวัย 75 ปี และปริญญา วัย 76 ปี ถูกพิพากษาตัดสินจำคุก(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

คดีการเมือง_update1

จำคุก 6 ปี “ชูชีพ หาญสวัสดิ์-วิทยา เทียนทอง”
วันที่ 8 มิถุนายน 2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้จำคุกนายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยุครัฐบาลทักษิณ และนายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ คนละ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา

คดีนี้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องชูชีพและวิทยาเป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานความผิดร่วมกันเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือฮั้วประมูล มาตรา 10 และมาตรา 12 และความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 คดีทุจริตประมูลจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์เมื่อปี 2544-2545

ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และ 2 เร่งรีบในการพิจารณารับราคาที่มีการเสนอในการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ย และไม่ดำเนินการตรวจสอบข้อพิรุธในการจัดซื้อที่น่าจะทราบมาตั้งแต่ต้น หลังจากมีหนังสือปลัดกระทรวงเกษตร และคณะกรรมมาธิการตรวจสอบการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของ ส.ส.

แต่จำเลยกลับประวิงเวลาจนกระทั่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้ลงนามทำสัญญากับชุมนุมเกษตรกรแห่งประเทศไทย จัดซื้อปุ๋ยมูลอินทรีย์ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท จึงพิพากษาว่านายชูชีพกระทำความผิด ส่วนนายวิทยามีความผิดฐานสนับสนุนนายชูชีพกระทำความผิด จึงจำคุกคนละ 6 ปี

จำคุก 2 ปี “ขวัญชัย ไพรพนา”
วันที่ 28 มิถุนายน 2559 ศาลจังหวัดอุดรธานีอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจำคุก “ขวัญชัย สาราคำ” หรือ “ขวัญชัย ไพรพนา”อดีตประธานชมรมคนรักอุดร กลุ่มคนเสื้อแดง เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับ 350,000 บาท ในคดีเป็นแกนนำพากลุ่มคนเสื้อแดงเข้ารุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อปี 2551 ซึ่งขวัญชัยหลบหนีคดีในตอนแรก ก่อนจะกลับมามอบตัวเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา

จำคุก 2 ปี“เบญจา หลุยเจริญ” ประกันตัวพร้อมอุทธรณ์
วันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ศาลอาญามีคำพิพากษาตัดสินโทษจำคุก 3 ปี อดีตผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากร ประกอบด้วยนางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยที่ 1 “จำรัส แหยมสร้อยทอง” อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย จำเลยที่ 2, “โมรีรัตน์ บุญญาศิริ” จำเลยที่ 3 และ “กริช วิปุลานุสาสน์” จำเลยที่ 4

นอกจากนั้น ยังตัดสินจำคุก 2 ปี “ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์” เลขาฯ ส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาทักษิณ จำเลยที่ 5 โดยไม่รอลงอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชัน จำกัด โดยไม่เสียภาษี

ศาลอาญาพิพากษาจำเลยที่ 1-4 มีความผิดข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีความผิดตั้งแต่มีการตอบข้อหารือจำเลยที่ 5 วินิจฉัยว่านายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ไม่ให้ต้องเสียภาษีอากร กรณีซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ เมื่อปี 2549 คนละ 164 ล้านหุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในตลาด ณ ขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาท

ทั้งที่ข้อเท็จจริง นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ต้องนำส่วนต่างของราคาหุ้น คนละ 7,941.95 ล้านบาท มาเสียภาษีกับกรมสรรพากร การกระทำดังกล่าวทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย

จึงตัดสินให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ส่วนจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงสั่งให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งสี่ได้นำหนังสือรับรองการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ต้องหาคดีของกรมสรรพากรวงเงินไม่เกิน 420,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท เป็นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างยื่นคำร้องขออุทธรณ์ต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป

จำคุก 1 ปี “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์”
นอกจากนี้ในช่วงปี 2558 มีผู้ถูกตัดสินคดีโทษจำคุกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส. และโฆษกพรรคเพื่อไทย และ “เกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์” อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ไม่รอลงอาญา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 ในคดีที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยื่นฟ้องฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

กรณีกล่าวหาว่านายวสันต์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือ ขัดต่อจริยธรรมของตุลาการ ขาดความยุติธรรม และขาดความเป็นกลาง กรณีให้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบเป็นการส่วนตัว ในระหว่างที่มีการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553

คดีนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า นายพร้อมพงศ์และนายเกียรติอุดมร่วมแถลงข่าวด้วยข้อความอันเป็นเท็จแก่สื่อมวลชน และมีเอกสารแจกแก่สื่อมวลชนด้วย โดยใช้ผู้สื่อข่าวเป็นเครื่องมือในการหมิ่นประมาทโจทก์

ส่วนที่จำเลยอ้างว่าการแถลงข่าวเป็นการแสดงความคิดนั้นฟังไม่ขึ้น ส่งผลให้พร้อมพงศ์และเกียรติอุดมติดคุกในที่สุด อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทั้ง 2 คนได้รับการพักโทษออกจากเรือนจำแล้วเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา

จำคุก 1ปี 6 เดือน “ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม”
เช่นเดียวกับนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ บุตรชาย “วัฒนา อัศวเหม” ที่ตกเป็นข่าวใหญ่ติดคุกหลังศาลฎีกามีพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2558 ในข้อหาทุจริตการเลือกตั้งท้องถิ่นปี 2542

จำคุกอดีตผู้บริหารแบงก์กรุงไทย 18 ปี
อีกคดีที่ถูกตัดสินถึงที่สุดคือ คดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับพวก รวม 27 คน เป็นจำเลย กรณีให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทในกลุ่มของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) รวมเป็นเงินกว่า 9.9 พันล้านบาท โดยมิชอบ เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย

คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 ให้จำคุกจำเลยรวม 19 คน แต่ผู้ได้รับโทษหนักที่สุดคือ ร.ท. สุชาย เชาว์วิศิษฐ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย และนายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ถูกศาลตัดสินจำคุกคนละ 18 ปี

จับตา”ยิ่งลักษณ์”คดีจำนำข้าว – บุญทรง เตริยาภิรมย์ คดีข้าว จีทูจี
ส่วน “ทักษิณ” หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ จึงให้ออกหมายจับติดตามตัวมาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของทักษิณไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ตัวมา

นี่คือส่วนหนึ่งของคดีที่ถูกตัดสินถึงที่สุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ยังมีคดีสำคัญที่รอคำตัดสินจากศาลตามมาอีกหลายคดี เช่น คดีจำนำข้าว ซึ่งแยกเป็น 3 คดี ประกอบด้วย

1. “คดีจำนำข้าว” มีการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวปีการผลิตข้าวนาปี 2554/2555 และ 2555/2556 วงเงินงบประมาณกว่า 6.7 ล้านบาท

2. คดี “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ละเว้นปฏิบัติหน้าที่จนเกิดความเสียหายจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว

และ 3. “คดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ” หรือจีทูจี ที่ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ “ภูมิ สาระผล” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมพวก ตกเป็นจำเลย

ล่าสุด พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผ่านสื่อกรณีนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ระบุประเด็นคดีจำนำข้าว ที่ พล.อ. ประยุทธ์ ต้องเร่งแก้ไขให้เกิดความชัดเจน

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ผมไปตรวจเช็คดูแล้ว เป็นเรื่องของตัวเลขในช่วงต่างๆ คงต้องมีการทบทวนอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร เพราะบางครั้งตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยก็สร้างความขัดแย้ง

แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทั้งหมดนี้ต้องนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือศาลเป็นผู้ตรวจสอบ โดยผู้ถูกกล่าวหาสามารถสู้ในศาลได้ ทั้งหมดอยู่ที่ศาล ไม่ได้อยู่ที่ผม วันนี้ตัวเลขที่เกิดขึ้นเป็นการสำรวจทางบัญชีจากกระทรวงการคลังและส่วนต่างๆ เท่านั้น

“ตัวเลข 2.8 แสนล้านบาทนั้น เป็นตัวเลขที่กระทรวงการคลังสรุปตั้งแต่ปี 2557 เป็นตัวเลขทางบัญชีในขณะนั้น ทั้ง 2 ตัวเลขอาจไม่ตรงกันก็ได้ แต่เมื่อนำเรื่องขึ้นศาลแล้ว ก็ต้องดูว่าทำไมตัวเลขถึงไม่ตรงกัน สิ่งที่ผมกังวลคือสิ่งที่มันพันกันอยู่ระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง และท้ายสุด ข้าราชการต้องมารับผิดชอบ คนที่ทำความผิดจริงๆ ก็คือตัวหัวๆ แต่ข้าราชการเป็นลูกน้อง เขาจะทำอย่างไร”

เมื่อนักข่าวถามต่อว่า สามารถสรุปตัวเลขในเดือนกันยายน 2559 นี้ได้หรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องสรุปให้ทันก่อนหมดอายุความ ซึ่งผมรับผิดชอบเฉพาะเรื่องทางละเมิด ส่วนคดีแพ่ง คดีอาญา เป็นส่วนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คดีนี้มี 3 เรื่องและมีหลายกลุ่ม อย่านำมาพันกัน พร้อมย้ำว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้เกิดความเป็นธรรมทั้งผู้ถูกดำเนินคดี รัฐบาล และประเทศ

กระนั้น หมอวรงค์โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตว่า จากนี้ไปถือเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน จะต้องตอบคำถามสังคม เพราะกรรมการชุดนี้เป็นผู้ลดตัวเลขความความรับผิดชอบของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จาก 2.86 แสนล้านบาท เหลือ 35,717 ล้านบาท

ดังนั้น สิ่งที่คณะกรรมการต้องชี้แจง คือ 1. ทำไมจึงให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับผิดชอบเพียงโครงการที่ 3 ถึง โครงการที่ 5 จากโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด 5 โครงการ โดยอ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์รับทราบว่ามีความเสียหายในช่วงเริ่มโครงการที่ 3 เป็นต้นไป ทั้งๆ ที่ ป.ป.ช. และฝ่ายค้านได้ท้วงติงไปตั้งแต่เริ่มโครงการแล้ว

2. ทำไมจึงคิดความเสียหายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพียง 20% และอีก 80% จะคิดจากใคร ทั้งที่มีผู้ถูกชี้มูลความผิดเพียงคนเดียว ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ซึ่งต่างจากคดีระบายข้าวแบบจีทูจี เพราะคดีนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐถูกชี้มูลความผิดรวม 6 คน ความรับผิดชอบจึงแบ่งความรับผิดชอบได้

คดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตร
นอกจากคดีจำนำข้าวแล้ว ยังมีคดี ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ฟ้อง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี, “พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตนายกรัฐมนตรี, “พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, และ “พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว” อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลย กรณีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการไต่สวนในชั้นศาลฎีกา

รวมทั้งคดีนาง “จุฑามาศ ศิริวรรณ” อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตกเป็นจำเลยรับสินบนจำนวน 60 ล้านบาท จากนักสร้างภาพยนตร์ชาวสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้สิทธิ์การจัดนิทรรศการภาพยนตร์นานาชาติที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2550 ซึ่งอัยการสั่งฟ้องไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นศาลอาญา

อีกคดีคือกรณีนาย “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลมีความร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 46 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน ขณะนี้อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ส่วนคดีอาญาพนักงานอัยการส่งฟ้องแล้ว

เช่นเดียวกับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “ปกิต กิระวานิช” อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมพวกอีก 2 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัตหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ตำบลคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่ากว่า 23,700 ล้านบาท ระหว่างปี 2538-2546

ก่อนหน้านี้ ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกจำเลยพร้อมพวก คนละ 20 ปี โดยไม่รอลงอาญาเนื่องจากเห็นกระทำผิดจริงตามฟ้อง หลังคำพิพากษา ศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยคนละ 2 ล้านบาท และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อไป

คำพิพากษาคดีเหล่านี้ ถึงที่สุดเป็นเช่นไร อีกไม่นานคงมีคำตอบ แต่ที่แน่ๆ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาล คสช.


ม.44 ลงโทษบิ๊กข้าราชการ
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา คสช.ใช้ มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) สั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเจ้าหน้ารัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบกรณีทุจริตหรือประพฤติมิชอบ

ถึงวันนี้ หัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 สั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐไปแล้ว 7 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 จำนวน 45 คน, ครั้งที่ 2 วันที่ 25 มิถุนายน 2558 รวม 71 คน, ครั้งที่ 3 วันที่ 5 มกราคม 2559 รวม 59 คน, ครั้งที่ 4 วันที่ 21 กรกฎาคม 2559 รวม 60 คน, ครั้งที่ 5 วันที่ 26 กรกฎาคม 2559 1 คน ครั้งที่ 6 วันที่ 25 สิงหาคม 2559 และครั้งที่ 7 วันที่ 2 กันยายน 2559 รวม 21 คน รวมทั้งสิ้น 259 คน

ผู้ที่ถูกพักงานมีตั้งแต่ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา ไปจนถึงกรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

งานนี้ บิ๊กข้าราชการหลายคนตกเก้าอี้โดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับอีกหลายคน ถูกสั่งพักราชการ ย้ายเข้ากรุสำนักนายกรัฐมนตรี ในชั่วข้ามคืน

คนล่าสุด คือ คุณชายหมู “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และหมอเปรม “นายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ” นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น

ก่อนหน้านี้ มีรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกพักงานที่น่าสนใจ เช่น “บุญเลิศ บูรณุปกรณ์” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ “นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน” กรรมการ สสส. “สุเมธ แย้มนุ่น” รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ระดับซี 10 ไปจนถึงซี 11 อีกหลายคน อาทิ “สุวัตร สิทธิหล่อ” ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ว่าที่ “ร.ต. อานุภาพ เกษรสุวรรณ์” อธิบดีกรมการท่องเที่ยว, “พัฒนา ชาติกฤติบวร” อธิบดีกรมพลศึกษา

“สาธิต รังคศิริ” หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง, “ราฆพ ศรีศุภอรรถ” ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง, “บุญชอบ สุทธมนัสวงษ์” ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, “แก่นเพชร ช่วงรังษี” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.), “พล.ต.ท. สุรพล ทวนทอง” จเรตํารวจ

นอกจากนี้ยังมี “ขวัญชัย วงศ์นิติกร” อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ,“นายแพทย์วินัย สวัสดิวร” เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข “รังสรรค์ มณีเล็ก” รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ “ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” นายก อบจ.สมุทรปราการ “พรชัย โควสุรัตน์” นายก อบจ.อุบลราชธานี ฯลฯ







.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/09/2016 6:19 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11555

ตอบตอบ: 24/09/2016 6:15 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.

ปรากฏการณ์‘คนดัง-นักการเมืองใหญ่’ พาเหรดเข้าคุก-จ่อคิวอีกเพียบ?

วันพฤหัสบดี ที่ 09 มิถุนายน 2559 เวลา 14:40 น.
เขียนโดย
isranews

“…มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจเข้ามาบริหารประเทศในช่วงกลางปี 2557 เป็นต้นมา กระบวนการยุติธรรมไทยเริ่มจะรุดหน้าไปได้เร็วมากขึ้น รวมถึงศาลมีคำพิพากษาออกมาค่อนข้างรุนแรง นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่ทำให้นักการเมือง-ข้าราชการ-เอกชน ในปัจจุบันและในอนาคต จะต้อง ‘พึงระวัง-ตระหนัก’ ว่า ไม่ควรทำอะไรที่ลึกลับซับซ้อน-ไม่ชอบมาพากลอีก…”

ปิดฉากเส้นทางการเมืองไปอีก 2 ราย !
สำหรับ ‘ชูชีพ หาญสวัสดิ์’ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยุค ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และ ‘วิทยา เทียนทอง’ น้อง ‘ป๋าเหนาะ’ นายเสนาะ เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ (สมัยนายชูชีพ) ภายหลังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา ‘จำคุก’ คนละ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และร่วมกับฮั้วประมูลการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์เพื่อแจกเกษตรกรที่เดือดร้อนเมื่อปี 2544-2545 กว่า 1.3 แสนตัน รวมวงเงินกว่า 367 ล้านบาท

(อ่านประกอบ : จำคุกคนละ 6 ปี! ศาลฎีกาฯฟัน‘ชูชีพ-วิทยา’ทุจริตจัดซื้อปุ๋ย 1.3 แสนตันปี’ 44)

สำหรับนายชูชีพ และนายวิทยา ไม่ใช่เป็นกรณีแรกที่นักการเมืองชื่อดัง ถูกศาลฎีกาฯพิพากษา แล้วต้องไปชดใช้กรรมในคุก แต่ยังมีนักการเมืองระดับชาติอีกไม่น้อยที่เคยเข้าไปนอนในคุกเนื่องด้วยกระทำความผิดฐานทุจริต ?

ใครเป็นใคร ? สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ย้อนข้อมูลนักการเมืองระดับชาติ-บุคคลดังที่เคยต้องคำพิพากษาจากศาลให้จำคุกมานำเสนอ ดังนี้

เบื้องต้น สามารถแบ่งการพิจารณาได้ 2 ส่วน คือ คำพิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
หนึ่ง คดีในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เชื่อหรือไม่ ศาลฎีกาฯ เคยไต่สวนนักการเมืองระดับชาติตั้งแต่ ‘อดีตนายกฯ-รัฐมนตรี’ จนถึงอดีต ส.ส. มาจำนวนหลายสิบราย ในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต แต่มีเพียงนักการเมืองเพียง 4 รายเท่านั้นที่เคยได้ลิ้มรส ‘ติดคุก’ แบบจริง ๆ ไม่ทันได้หลบหนีไปไหน !

รายแรกไม่เอ่ยถึงไม่ได้ เพราะถือเป็นนักการเมืองระดับ ‘รัฐมนตรี’ คนแรกที่ถูกคำพิพากษาให้จำคุกนั่นคือ ‘รักเกียรติ สุขธนะ’ อดีต รมว.สาธารณสุข สมัยรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ และนายจิรายุ จรัสเสถียร อดีตที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข (นายรักเกียรติ) พร้อมพวกอีก 4 ราย ฐานทุจริตรับสินบน 5 ล้านบาท โดยนายจิรายุ ถูกพิพากษาให้จำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนนายรักเกียรติได้หลบหนีไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาจากศาลฎีกาฯ กระทั่งมีผู้พบเห็นกำลังออกกำลังกายอยู่ที่สวนธารณะ จึงแจ้งตำรวจ และนำตัวมาฟังคำพิพากษาเมื่อปี 2547 จะถูกพิพากษาให้จำคุก 15 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ต่อมาได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ กระทั่งได้รับการพักโทษ และถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำช่วงปี 2552

ถัดจากนั้นต้องรออีกยาวนานกว่า 12 ปี จึงจะมีนักการเมืองระดับ ‘อดีตรัฐมนตรี’ ติดคุกจริงอีกครั้ง นั่นคือกรณีล่าสุดที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกนายชูชีพ กับนายวิทยา ฐานทุจริตฮั้วประมูลซื้อปุ๋ย 1.3 แสนตัน ช่วงปี 2544-2545 ในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร โดนโทษเข้าไปอยู่ในซังเต 6 ปี ไม่รอลงอาญา

นอกจากนั้นแล้ว มีอดีตนักการเมืองระดับชาติจำนวนมากที่หลบหนีไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต ได้แก่ช่วงปี 2551 มีนักการเมืองระดับ ‘นายกรัฐมนตรี’ ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาให้จำคุกคือ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาวที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในคดีทุจริตการซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก พิพากษาให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา

ถัดจากนั้นไม่กี่เดือนในปี 2551 ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาให้จำคุกนักการเมืองระดับ ‘รัฐมนตรี’ อีกรายหนึ่ง คือ ‘วัฒนา อัศวเหม’ นักการเมืองชื่อดังย่านปากน้ำ-สมุทรปราการ อดีต รมช.มหาดไทย 10 ปี ฐานทุจริตการก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน

หลังจากนั้นช่วงปี 2556 ศาลฎีกาฯ ได้พิพากษาจำคุกนายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ยุครัฐบาล ‘ทักษิณ’ 12 ปี ไม่รอลงอาญา และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. 10 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง กทม.

(อ่านประกอบ : หนีทั้งคู่!! ศาลฎีกาฯ จำคุก "ประชา" 12 ปี "อธิลักษณ์" 10 ปี คดีรถดับเพลิง 6 พันล้าน)

อย่างไรก็ดีนักการเมืองทั้งสี่รายข้างต้น ได้หลบหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียก่อนที่จะชดใช้กรรมที่ก่อไว้ในคุก !

กระทั่งล่าสุด เมื่อปี 2558 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต ซึ่งปรากฏชื่อของ ‘ทักษิณ’ เป็นจำเลยที่ 1 โดยมี 2 อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย และนายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ร่วมเป็นจำเลยด้วย

ทว่าคนที่โดนโทษกลับเป็น 2 ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย คือ ร.ท.สุชาย และนายวิโรจน์ กับบรรดาเจ้าหน้าที่ในธนาคารกรุงไทย พร้อมกับนิติบุคคลเครือข่ายของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) เท่านั้น ส่วนนายทักษิณ ศาลฎีกาฯ ได้สั่งจำหน่ายคดีออกไปก่อน เนื่องจากหลบหนี

ปัจจุบันคดีดังกล่าวถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนในความผิดฐานฟอกเงินด้วย โดยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตระกูล ‘ชินวัตร’ ถูกสอบด้วยอย่างน้อย 4 ราย ได้แก่ ‘โอ๊ค’ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ‘ทักษิณ’ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนาภา และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย

(อ่านประกอบ : พิพากษาจำคุก “ร.ท.สุชาย-วิโรจน์” 18 ปี ทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย ชดใช้หมื่นล., ‘พานทองแท้’ให้ถ้อยคำคดีฟอกเงินกรุงไทยแล้ว-‘กาญจนาภา’ขอเลื่อน)

ขณะเดียวกันปัจจุบันยังมีนักการเมืองระดับชาติ-อดีตข้าราชการอีกอย่างน้อย 9 รายที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ไม่ว่าจะเป็นตระกูล ‘ชินวัตร’ รายที่สอง อดีตนายกฯ ‘ยิ่งลักษณ์’ น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของ ‘ทักษิณ’ ในคดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว

อีกสามรายเป็นคดีที่เกี่ยวพันกัน คือ ‘บุญทรง เตริยาภิรมย์’ อดีต รมว.พาณิชย์ ‘ภูมิ สาระผล’ อดีต รมช.พาณิชย์ และ ‘หมอโด่ง’ นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ (นายบุญทรง) ในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยทุจริต อย่างไรก็ดีสำหรับ ‘หมอโด่ง’ ปัจจุบันหลบหนีคดีไปแล้ว

อีกรายหนึ่งที่โดนอย่างน้อย 2 คดี ได้แก่ ‘หมอเลี๊ยบ’ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย และถือเป็นมันสมองให้กับ ‘ทักษิณ’ โดนไต่สวนในคดีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คือ แทรกแซงการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และเปลี่ยนแปลงสัญญาไทยคมเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน

นอกจากนี้ยังมีคดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อปี 2551 ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเมื่อปี 2555 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นศาลฎีกาฯเช่นเดียวกัน

กรณีนี้ นายสมชาย พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน เพื่อขอให้ถอนฟ้องคดีดังกล่าว ปัจจุบันเรื่องนี้อยู่ระหว่างการสรุปรายงานของคณะทำงาน ป.ป.ช. ก่อนส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติว่าจะถอนฟ้องคดีดังกล่าวหรือไม่

(อ่านประกอบ : เลื่อนรอบ 2! คณะทำงาน ป.ป.ช.ขอถกผลปมถอนฟ้องคดีสลายพธม.อีกครั้ง)

สำหรับทั้ง 7 คดี 9 นักการเมืองระดับชาติ-อดีตข้าราชการที่ตกเป็นจำเลยเหล่านี้ เท่าที่ดูบัญชีนัดความแล้ว ศาลฎีกาฯ น่าจะนัดพิพากษาคดีดังกล่าวในช่วงปี 2561-2562 ทั้งหมด ดังนั้นน่าจับตาว่าบุคคลเหล่านี้จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในชั้นกระบวนการไต่สวนของศาลฎีกาฯได้จนหมดสิ้นข้อสงสัยหรือไม่

หรือจะมีการ ‘หลบหนี’ ไปก่อนคำพิพากษาเหมือนนักการเมือง ‘รุ่นพี่’ ที่เคยทำมาแล้วในอดีต ?

สอง คดีที่ตัดสินไปแล้วในชั้นศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา นั้น มีนักการเมือง รวมถึงบุคคลชื่อดังระดับ ‘เซเล็ป’ ในสังคมหลายราย ถูกพิพากษาให้จำคุก สรุปได้ดังนี้

กรณีล่าสุดคือ ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต. คนละ 3 ปี ลดโทษเหลือ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีไม่เร่งสอบสวนข้อเท็จจริงข้อร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคการแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย ลงรับสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549

ก่อนหน้านี้ยังมีคนเด่นดังที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก ได้แก่ นายชนม์สวัดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ บุตรชาย ‘วัฒนา อัศวเหม’ ถูกพิพากษาให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นผู้มีหน้าที่ในการเลือกตั้งหรือเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง จงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการโดยเจตนาขัดขวางไม่เป็นไปตามกฎหมาย ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำสมุทรปราการ

(อ่านประกอบ : ย้อนทรัพย์สินหมื่นล."ชนม์สวัสดิ์" ก่อนศาลสั่งจำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา)

หรือแม้แต่ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ อดีตเจ้าพ่ออ่าง-หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีรื้อบาร์เบียร์ ซ.สุขุมวิท 10 ซึ่งเพิ่งมารับสารภาพในชั้นฎีกา ภายหลังการต่อสู้ในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด

รวมไปถึง ‘เด็จพี่’ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส. และโฆษกพรรคเพื่อไทย พ่วงด้วยนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานหมิ่นประมาทตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

อีกคดีหนึ่งที่ต้องรอลุ้นในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ คือ ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษารอบสองในคดีกล่าวหานายขวัญชัย ไพรพนา อดีตแกนนำคนเสื้อแดงภาคอีสาน ที่ปัจจุบันถูกออกหมายจับเนื่องจากหลบหนีไม่ยอมมาฟังคำพิพากษา ในคดีทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อปี 2551
ถัดมาในชั้นศาลอุทธรณ์ ปรากฏชื่อของอดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง ‘เสี่ยเปี๋ยง’ นายอภิชาต จันทร์สกุลพร อดีตเจ้าของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ถูกศาลอุทธรณ์จำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดียักยอกข้าวในสต๊อกของรัฐช่วงรัฐบาลนายทักษิณ ปัจจุบันติดคุกอยู่เรือนจำสมุทรปราการ แต่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจเนื่องได้มีอาการป่วยมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2559

ทั้งนี้ ‘เสี่ยเปี๋ยง’ เป็นหนึ่งในจำเลยคดีระบายข้าวจีทูจีเก๊ ร่วมกับนายบุญทรง และนายภูมิด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย

(อ่านประกอบ : ชีวิตในเรือนจำปากน้ำแดน 3 'เสี่ยเปี๋ยง' หลังเจอคุก 6 ปี ยักยอกข้าวรัฐ, เบื้องหลัง 'อิศรา' ตะลุย ‘รพ.ตำรวจ’ ค้นหาความจริง ‘เสี่ยเปี๋ยง’ ล้มป่วยจริงหรือ?)

ขณะเดียวกันยังมีสื่อมวลชนชื่อดัง ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ อดีตผู้บริหารกลุ่มแมเนอร์เจอร์ มีเดีย (MGR) ผู้ก่อตั้งสื่อเครือเอเอสทีวี ผู้จัดการ หนึ่งในจำเลยคดีที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 20 ปี ฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากนายสนธิ กับพวกร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของ MGR เมื่อช่วงปี 2540 ค้ำประกันการกู้ยืมเงินจำนวน 1,078 ล้านบาทให้แก่บริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ MGR โดยที่บอร์ด MGR ไม่ทราบ ต่อมาบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ปฯ ผิดนัดชำระเงินกู้ ส่งผลให้ MGR ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับภาระเป็นผู้ชำระหนี้ให้กับธนาคารกรุงไทยเป็นจำนวน 259 ล้านบาท

สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นเคยพิพากษาจำคุกนายสนธิ ไปแล้วจำนวน 85 ปี แต่ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 42 ปี 6 เดือน อย่างไรก็ดีความผิดสูงสุดในฐานความผิดดังกล่าวกำหนดให้ลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี จึงลงโทษจำคุกนายสนธิคนละ 20 ปี ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างฎีกา
(อ่านประกอบ : ย้อนรอยเบื้องหลังคดี "สนธิ ลิ้มฯ” ก่อนศาลอุทธรณ์ยืนโทษจำคุก 20 ปี )
ส่วนในชั้นศาลอาญา มีอดีตข้าราชการระดับสูงนั่นคือ ‘คุณหญิงเป็ด’ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และอดีตกรรมการ คตส. ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันจัดสัมมนาที่ จ.น่าน เป็นเท็จ แต่กลับเป็นการไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยเบิกค่าเดินทาง ที่พัก ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างอุทธรณ์

ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ เพราะเป็นถึง ‘อดีต’ นักเล่าข่าวชื่อดัง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เจ้าของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 13 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ (นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงาน อสมท) ยักยอกเงินค่าโฆษณาทำให้ อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์
อย่างไรก็ดีนายสรยุทธ ยังถูกฟ้องร้องอีก 2 คดี ได้แก่ คดีฉ้อโกง ซึ่ง อสมท ฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะรับฟ้องหรือไม่ และคดีปลอมแปลงเอกสารสิทธิใช้น้ำยาลบคำผิดใบคิวโฆษณา ที่ล่าสุดศาลอาญาเพิ่งประทับรับฟ้อง และนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 29 ส.ค.นี้

(อ่านประกอบ : ไม่รอลงอาญา! ศาลสั่งจำคุก 'สรยุทธ-พวก' 13 ปี 4 เดือน คดีไร่ส้ม, ให้ประกันคนละ 3 แสน! ศาลรับฟ้องคดี 'สรยุทธ-พวก'ถูกกล่าวหาปลอมเอกสาร)
ทั้งหมดคือคดีความของ ‘นักการเมืองระดับชาติ-บุคคลดัง’ ที่ตกเป็นจำเลยถูกศาลพิพากษาจำคุกในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่บางรายก็อยู่ระหว่างอุทธรณ์ หรือฎีกาเพื่อสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์กันต่อไป

อย่างไรก็ดีมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจเข้ามาบริหารประเทศในช่วงกลางปี 2557 เป็นต้นมา กระบวนการยุติธรรมไทยเริ่มจะรุดหน้าไปได้เร็วมากขึ้น รวมถึงศาลมีคำพิพากษาออกมาค่อนข้างรุนแรง เสมือน ‘เอาจริง’ หากพบว่าบุคคลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทุจริต

นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่ทำให้นักการเมือง-ข้าราชการ-เอกชน ในปัจจุบันและในอนาคต จะต้อง ‘พึงระวัง-ตระหนัก’ ว่า ไม่ควรทำอะไรที่ลึกลับซับซ้อน-ไม่ชอบมาพากลอีก
เพราะไม่อย่างนั้นอาจลงเอยถึงขั้นติดคุกติดตะราง หรืออาจต้องหลบหนีไปและไม่มีโอกาสกลับประเทศอีกเลยก็เป็นได้ !

------------------------------------






.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11555

ตอบตอบ: 24/09/2016 8:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.

ทำไมนักการเมืองไทย โกงแล้วไม่เคยติดคุก ?

https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20100704192948AA7T08u



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 24/09/2016 8:46 pm    ชื่อกระทู้: นักการเมืองไทย โกงแล้วไม่เคยติดคุก ? ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

kimzagass บันทึก:
.
.

ทำไมนักการเมืองไทย โกงแล้วไม่เคยติดคุก ?

https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20100704192948AA7T08u



.



สวัสดีครับลุงคิม....

เพราะ คุกไม่ได้มีเอาไว้ขังนักการเมืองที่โกงครับลุง เหอ ๆๆๆๆ







(1) มีข่าวในโลก Social media ว่า มีคนเอารูป สาวนุ่งกระโจมอก อาบน้ำกลางถนน ทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ลงในเว็ป

.....ดูภาพนี้แล้วสะใจครับ.....การสร้างถนน โกงหรือไม่โกง ดูจากภาพ และโปรดใช้วิจารณญาณพิจารณา จินตนาการเอาองนะครับ

ซึ่งเค้าบอกว่า....พอภาพชุดนี้ออกมา ผู้ว่าฯ จว.ตาก ออกมาเต้น.....ก็ไม่รู้จะออกมาเต้นทำอะไร ภาพมันฟ้องอยู่อ่ะนะ....

ทีนี้ทางแม่ของเจ้าของภาพเค้าก็ออกมาชี้แจงว่า รูปที่เห็นนั่นน่ะ เป็นรูปลูกเค้าเอง ชื่อน้องปาล์มมี่ ไม่ใช่ผู้หญิงแท้ แต่เป็นสาวประเภทสองที่แปลงเพศแล้ว...





(2) นี่ละคร่า น้องปาล์มมี่....สวยกว่าผู้หญิงแท้ ๆ บางคนซะอีกด้วย




(3) ผมกำลังจะส่งข้อมูล ก็ได้ข่าวใหม่มาอีกราย สาวนอนแช่น้ำประชดถนนพัง(มรึง)ไม่ซ่อม(ให้กรู)ซักที


รายการสีสันชีวิตไทย บอกแล้วว่า เป็นรายการที่มีสีสัน....ก็ขอแทรกข่าวที่กำลัง ดราม่า มากในตอนนี้(24 กันยา 2559)ซักนิด



(4)


(5)

(4 - 5) ว่าด้วยรายการ ทศกัณฑ์ หยอดขนมครก ขี่รถจักรยาน และ ฯลฯ
ผมว่าเป็นการ ประชาสัมพันธ์ ที่ดี๊ดี แต่ไอ้พวกมือไม่พาย แกว่งปากหาเสี้ยน เค้าบอกว่า กำลังจะ แบน เพราะทำลายวัฒนธรรม....

อะไรของเค้านั่นน่ะ ...มันทำลายตรงไนวะ...ขนาด อจ.เฉลิมชัย ยังออกมาเต้นให้บทพากย์ซะด้วย ประสัมพันธ์ ปท.ไทย ดังไปทั่วโลก....ใช้งบฯ น้อยนิดเดียว คุ้มเกินคุ้ม




(6) แล้วรูปปั้น ยักษ์ดูดนม ชิ้นนี้ล่ะ....ทำไมไม่ทุบทิ้ง.....วะ


กรรมของประเทศไทยแท้ๆ


มันเกี่ยวกับเรื่อง โกง ตรงไหน
เกี่ยวซีจ๊ะ.....

ทำถนนให้ดีซะทีเดียว มันก็ได้กินหนเดียว.....

ทำหนัง ทศกันฑ์ โฆษณาแบบนี้ มันถูกเกินไป ได้กินน้อยน่ะจิ...

คุณว่ามั๊ย
...






.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 04/10/2016 7:24 am, แก้ไขทั้งหมด 5 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 24/09/2016 11:09 pm    ชื่อกระทู้: ลุงก็รู้ว่าใคร ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

kimzagass บันทึก:
.
.


ผลงานใคร
ฝีมือใคร


.



สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

ถาม
ผลงานใคร
ฝีมือใคร

ตอบ...
ลุงก็รู้ว่าใคร.....


เปิดหลักฐานโจรปล้นชาติ (ดีป่ะ)

ขืนเปิด...อาจจะเหมือน...






(1) ชายท่านนี้ อดีตเคยเป็นจ้าของหนังสือ ฅ.คน...รายการ คนค้นคน...เอาเรื่องข้าว ตัดต่อพันธุกรรม มาลงหนังสือ ...จบเกม....ไม่ติดคอก....แต่ต้องปิดหนังสือ....

ถ้าขืนผมเอา หลักฐานโจรปล้นชาติ มาลงเวปลุง เกิดเวปลุงโดนแบน ผมโดนลุงฆ่าแน่ๆ .....





(2) ผมส่งข้อมูลให้ลุงอ่านทาง PM หลังไมค์ละกันนะครับ
ถ้าลุงคิดว่า พอจะอนุโลมให้ลงในเวปได้ก็ตามแต่ลุงจะเห็นสมควร....ผมแก้ไข เปลี่ยนแปลงสรรพนามที่ใช้แทนชื่อ คน และสิ่งของแล้ว แต่เล่นกับคนพาล เล่นยากครับ….



(3)



(4)
(3 – 4) แม้จะเป็นเขาหัวโล้น แต่หน้าฝน บนดอย วิวมันสวยครับ แลเขียวชะอุ่มไปหมด

แต่เดิมมา หน้าฝนมันปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ หลังจาก แม้ว ม้ง ลีซุง ลีซอ ตัดต้นไม้เพื่อปลูกข้าวโพด มันก็ได้ดีปีแรกสองสามปีเท่านั้น เมื่อฝนมันชะล้างหน้าดินออกไปหมด ปุ๋ยอินทรีย์จากธรรมชาติที่เคยมีมันก็หายไปด้วย ....ใส่ปุ๋ยเคมี ฉีดยาฆ่าหญ้า อะไรในดินมันจะเหลือ ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งตบยุง..(ยกเว้น กะเหรี่ยงกับไทใหญ่ กลุ่มนี้ ไม่ถางป่าเพื่อปลูกพืชครับ)




(5) พอหมดหน้าฝน พืชที่ปลูกมันกำลังจะได้ผล แต่น้ำไม่มีซะแล้ว พืชผลที่ควรจะได้ดี มันก็ไม่ดีซะแล้ว สถาพภูมิทัศน์ มันก็จะกลายเป็นเข้าหัวโล้นแบบนี้แหละ....หญ้ายังไม่อยากจะขึ้นเลยครับ บรรยากาศที่เคยร่มรื่น กลายเป็น ร้อนตับแล่บ...น้ำกินแทบจะไม่มีจะกิน....


ก็ว่ากันไป....



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11555

ตอบตอบ: 25/09/2016 7:35 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.



เพียงแค่ต้องสงสัยว่ว่าโกง, รัฐมนตรีญี่ปุ่นก็อาย จนต้องฆ่าตัวตาย

Posted by สุทธิชัย หยุ่น ,

ยังไม่เคยปรากฎว่ามีนักการเมืองไทยที่ถูกกล่าวหาว่าโกงกินเกิดความอับอายถึงขั้นต้องปลิดชีวิตตัวเอง...รัฐมนตรีเกษตรฯญี่ปุ่นวัย ๖๒ ที่ชื่อ โตชิกัซสุ มัทซูโอะกะ ถูกฝ่ายค้านกล่าวหาว่าได้เบิกเงิน ๒๘ ล้านเยน (ประมาณ ๘.๒ ล้านบาท) เป็นค่าใช้จ่ายสำนักงาน ทั้งๆ ที่ตามกฎระเบียบแล้วเขาไม่ต้องจ่าย

อีกข้อหาหนึ่งคือ เขาได้รับเงินบริจาคหาเสียงจากนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีส่วนพัวพันในกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับการฮั้วในการประมูลงานของรัฐบาลโครงการหนึ่ง

ตำรวจพบศพแขวนคอตัวเองของรัฐมนตรีเกษตรฯคนนี้ในอพาตเมนท์โตเกียวส่วนตัว...ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เขาจะต้องตอบคำถามของพรคฝ่ายค้านในรัฐสภาเกี่ยวกับบทบาทของเขาในเรื่องอื้อฉาวสองกรณีนี้

นายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบ้บอกว่าเขาเสียใจกับข่าวนี้และยอมรับว่า "ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี, ผมสำนึกถึงความรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย..."

นายมัทซูโอกะ เป็นรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนแรกที่ฆ่าตัวตายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง...รัฐมนตรีกองทัพบกของญี่ปุ่นตัดสินใจฆ่าตัวตายเมื่อรู้ข่าวว่ากองทัพญี่ปุ่นยอมแพ้ฝ่ายพันธมิตรแล้ว
"ความอับอาย" เพราะตนไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้คือสาเหตุของการปลิดชีวิตตัวเองในทั้งสองกรณี

คุณว่านักการเมืองไทยมีความสำนึกอย่างนี้บ้างไหม ?

http://www.oknation.net/blog/black/2007/05/28/entry-5

-----------------------------------------------------------------------------------


ฆ่าตัวตายเพราะโกง?...ไม่ใช่นักการเมืองไทยแน่ !

เหตุการณ์ฆ่าตัวตายของรัฐมมนตรีกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้เกิดคำถามว่าจะมีนักการเมืองไทยคนไหนคิดฆ่าตัวตายเพราะถูกกล่าวหาว่าโกงกินบ้านเมืองหรือไม่

เป็นคำถามที่ผมได้ยินได้ยินจากเพื่อนฝูงและคนรู้จัก และเป็นคำถามที่คนถามก็คงไม่ได้หวังคำตอบ แต่เป็นการถามเชิงประชดประชันเสียมากกว่า

เหมือนกับที่มีคนถามว่าเรามีหวังที่จะเห็นนักการเมืองหรือข้าราชการไทยโดนลงโทษอย่างเด็ดขาดเหมือนในประเทศจีนเพราะถูกจับได้ว่าคอร์รัปชั่นหรือทุจริตในหน้าที่ หลังจากที่มีข่าวว่าศาลลสูงในประเทศจีนได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิตอดีตผู้อำนวยการองค์การอาหารและยา เพราะไปรับสินบนและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อแลกเปลี่ยนกับการออกใบอนุญาตให้กับยาหลายร้อยชนิด

ความจริงผมตอบได้เลยว่า ไม่มีทางที่นักการเมืองไทยจะฆ่าตัวตายเพราะถูกจับได้ว่าโกงกินบ้านเมือง

เผลอๆ จะหาเรื่องฆ่าคนอื่นที่ไปล่วงรู้ความลับเพื่อปิดปากเสียมากกว่า และก็คงยากที่นักการเมืองและข้าราชการจะถูกลงโทษอย่างสาสมกับการทุจริตที่ให้บ้านเมืองเสียหาย

รัฐมนตรีเกษตรของญี่ปุ่นไม่ใช่นักการเมืองคนแรกของแดนอาทิตย์อุทัยที่ยอมปลิดชีวิตตัวเองเพราะถูกจับได้ว่าทุจริตในหน้าที่

ถึงแม้ว่าการคอร์รัปชั่นและการทุจริตในหน้าที่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในญี่ปุ่น แต่นักการเมืองและข้าราชการญี่ปุ่นหรือแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาๆ มีระดับของความละอายใจสูงถ้าถูกจับได้ว่าได้ทำอะไรผิด

รัฐมนตรีเกษตรตัดสินใจฆ่าตัวตายก็เพราะกำลังจะถูกซักฟอกในเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรับเงินบริจาคทางการเมืองอย่างผิดกฎหมายจากผู้รับเหมาก่อสร้าง เกิดความละอายใจที่จะถูกเปิดโปง

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น มีความรู้สึกผิดที่ต้องทำให้ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานต้องอับอายด้วยการกระทำชั่วของตัวเอง

ถึงจะขี้โกงแค่ไหน นักการเมืองญี่ปุ่นก็ยังมีความรู้สึกละอายใจถ้าถูกจับได้ ทั้งๆ ที่ในกรณีล่าสุดนี้จำนวนเงินที่รับใต้โต๊ะมาไม่กี่แสนบาทเท่านั้น

แต่ถ้าหันมาดูบ้านเรา ความรู้สึกผิดหรือความรู้สึกละอายไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติของนักการเมืองไทย

นอกจากอายไม่เป็นแล้ว ยังอวดร่ำอวดรวยจากเงินทองที่ได้มาจากการคดโกง ไม่สนใจความรู้สึกและสายตาชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองท้องถิ่นหรือระดับชาติก็เหมือนกันไปหมด
บางคนไม่โกงคนเดียว ยังขนลูกเมียมาช่วยกันโกงกินด้วย ถึงจะถูกจับได้คาหนังคาเขา ถูกตั้งกรรมการสอบ ก็ไม่มีทางยอมรับว่าที่ร่ำรวยมาได้ มีเงินเก็บเต็มแบงก์ทั้งในประเทศและตามเกาะแก่งต่างๆ นอกประเทศนั้น เพราะไปโกงเขามา

แถมยังต่อว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนขี้อิจฉาเสียอีก อย่างนี้ต้องบอกว่านักการเมืองไทยมีภูมิต้านทานต่อความอายสูงเป็นพิเศษ

ที่นักการเมืองบ้านเราเป็นอย่างนี้ได้ก็เพราะว่าชาวบ้านไม่เคยทำให้นักการเมืองมีความรู้สึกว่าการโกงกินบ้านเมืองเป็นเรื่องที่ผิด เป็นเรื่องที่สังคมยอมไม่ยอมรับ

ก็เพราะว่าคนไทยไม่เคยถูกสอนให้ต่อต้านการโกงกิน ไม่เคยถูกทำให้รู้สึกว่ามีหน้าที่ในการปฏิเสธคนที่เอาเปรียบบ้านเมือง มิหนำซ้ำชาวบ้านยังทำให้ถูกยอมรับด้วยซ้ำว่าการโกงเป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมืองและข้าราชการ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจึงได้ยินคำพูดที่ว่า “เขาจะโกงบ้างก็ไม่เป็นไร ขอให้บริหารบ้านเมืองให้ดีก็แล้วกัน”

เพราะฉะนั้น นักการเมืองไทยที่โกงกินทั้งหลายจึงลอยนวล และเสนอหน้าในสังคมอย่างไม่ต้องอายใครได้ ก็เพราะชาวบ้านไม่ว่าอะไร

ก็ลองนึกภาพดูสิครับ ถ้านักการเมืองที่ชาวบ้านรู้ๆ อยู่ขี้โกง ถูกคนโห่ไล่ หรือประณาม ทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนกับลูกเมีย จะยังสามารถลอยหน้าลอยตาตามห้างสรรพสินค้าหรือในที่สาธารณะได้หรือไม่
ลูกๆ หลานๆ ไปโรงเรียนก็ถูกเพื่อนนักเรียนต่อว่าหรือล้อเลียนว่ามีพ่อมีลุงเป็นนักการเมืองขี้โกง

เมียและพ่อแม่ไปไหนก็ถูกคนมองด้วยสายตาดูแคลน

ถ้าเจอะปฏิกิริยาจากสังคมแบบนี้ทุกวัน ถึงจะไม่มีความละอายถึงขั้นฆ่าตัวตายก็เถอะ แต่ชีวิตคงหาความสุขไม่ได้แน่

http://www.pantown.com/board.php?id=8828&area=&name=market3&topic=73&action=view


กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 04/10/2016 1:31 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน ใครทำเกษตรอินทรีย์ต้องจดทะเบียน(1 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน ใครทำเกษตรอินทรีย์ต้องจดทะเบียน (1)


5.8.3 (1) – ประกาศมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
กฎกระทรวงบังคับให้ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ใช้คำว่า "เกษตรอินทรีย์ ออร์แกนิค organic" จะต้องไปขึ้นทะเบียนมิฉะนั้นจะถือว่ามีความผิด



คนเราจะรู้สึกว่าตัวเองมีเกียรติ์อันสูงยิ่ง จากการดูถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร

ตายละวา งานนี้

"เมื่อของเทียมกลายเป็นของแท้ เมื่อนั้นของแท้ก็จะกลายเป็นของเทียม
....ที่ใดความไม่มีบังเกิดเป็นความมี ที่นั่นยังคงมีความไม่มี"



ฮ่วย...ทีเกษตรใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ไม่ต้องขึ้นทะเบียนว่ะ....เฮ๊ย..


ทำแบบอินทรีย์ ใช้ขี้เลนในร่อง สาดโคนต้น ตามด้วยปุ๋ยปลาหมักเอง แถมคนจีนสวนผักแถวตลิ่งชัน ใช้ขี้รดผัก ไม่ใช้เคมี ทำกันมาตั้งแต่ ปู่ ตา ย่า ยาย ...ก็ต้องขึ้นทะเบียนซีละคราวนี้ ….

ความคิดใครวะเนี่ย (แข็งดั่งเหล็ก เงินง้าง อ่อนได้ ดังประสงค์)


งั้นถ้าผมจะเขียนป้ายว่า ผักปลอดสารพิษล่ะ ต้องจดทะเบียนรึปล่าววะ





(1) – 26 กันยายน 2559

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)กำลังดำเนินการออกกฎกระทรวงบังคับให้ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ใช้คำว่า "เกษตรอินทรีย์ ออร์แกนิค organic" จะต้องไปขึ้นทะเบียนมิฉะนั้นจะถือว่ามีความผิด

เป็นความปรารถนาดีที่ต้องการควบคุมให้ผู้บริโภคได้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่เป็นอินทรีย์จริง

แต่ปัญหาคือ มกอช.กลับไม่ใช้มาตรฐานบังคับเดียวกันกับผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากเกษตรเคมี มิหนำซ้ำมาตรฐานที่ตัวเองเป็นผู้กำกับดูแล คือ GAP กลับพบว่ามีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานถึงกว่า 50% มากกว่าผักและผลไม้ทั่วไปในท้องตลาด นอกเหนือจากนี้ สินค้าที่ประทับตรา Organic Thailand ที่ดูแลโดยมกอช.เช่นกันกลับพบว่ามีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานถึง 25% (จากการสุ่มตรวจโดยเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเมื่อเร็วๆนี้)


คลิกเลยน้อง.-
http://www.thaipan.org/node/831


ภายใต้กฎกระทรวงที่มกอช.กำลังจะประกาศใช้ แม้กระทั่งมาตรฐานการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) ซึ่งเป็นกระบวนการที่พัฒนาโดยขบวนการเกษตรอินทรีย์ในท้องถิ่นก็ต้องไปขอขึ้นทะเบียนด้วย แม้มีข้อยกเว้นสำหรับเกษตรกรรายย่อยซึ่งปลูกและจำหน่ายผลผลิตในท้องถิ่น แต่การนำผลผลิตที่ระบุว่าเป็นอินทรีย์ไปขายข้ามอำเภอ หรือจังหวัดจะถือว่ามีความผิด

กระบวนการขึ้นทะเบียนของกระทรวงเกษตรฯเป็นระบบรวมศูนย์ ล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองงบประมาณ และสร้างความยุ่งยากให้กับเกษตรกรรายย่อย อีกทั้งไม่มีหลักประกันใดๆว่าผู้บริโภคจะได้ผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์อินทรีย์ที่ดีกว่า ความริเริ่มดังกล่าวจึงเป็นความปรารถนาดีแต่จะทำลายขบวนการเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย มีแนวทางที่ดีกว่าในการส่งเสริมมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับฟัง

ขบวนการเกษตรอินทรีย์เกิดขึ้นโดยภาคประชาชน กระบวนการรับรองมาตรฐานก็ริเริ่มโดยภาคประชาชน แม้จนบัดนี้กระทรวงเกษตรฯก็หาได้ส่งเสริมสนับสนุนเกษตรอินทรีย์ดังคำพูดไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณที่จัดสรรให้เกษตรอินทรีย์เพียง 1%

ด้วยการถืออำนาจบาตรใหญ่ พวกเขากำลังทำลายเกษตรอินทรีย์ในนามของ "ความปรารถนาดี"

วันที่ 28 กันยายน 2559 นี้ เครือข่ายของเกษตรกรรายย่อยจากทั่วประเทศ ภายใต้การนำของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเกษตรกรรมอินทรีย์ในประเทศไทยเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน กลุ่มเกษตรอินทรีย์ในเมือง จะผนึกกำลังกับผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์คัดค้านกฎกระทรวงดังกล่าว ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ

ประสงค์จะเข้าร่วมยื่นจดหมายคัดค้าน หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ นภวรรณ งามขำ เบอร์โทร 087-4161573



ข้อมูลจาก ไบโอไทย





(2) แบบนี้ต้องขึ้นทะเบียนรึเปล่าครับท่าน....รัฐมนโท....


ชักจะเพี้ยนกันใหญ่ซะแล้ว



งานนี้ ยาวววววว.... ยังมีต่อครับ



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 05/10/2016 11:01 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน เกษตรอินทรีย์ต้องจดทะเบียน (2) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน เกษตรอินทรีย์ต้องจดทะเบียน (2)


5.8.3 (1.1) – ส่งเสริมหรือบั่นทอน – ม.มหิดล พบสารพิษตกค้าในผัก




คนเราจะรู้สึกว่าตัวเองมีเกียรติ์อันสูงยิ่ง จากการดูถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร

"เมื่อของเทียมกลายเป็นของแท้ เมื่อนั้นของแท้ก็จะกลายเป็นของเทียม
....ที่ใดความไม่มีบังเกิดเป็นความมี ที่นั่นยังคงมีความไม่มี"







(1) ส่งเสริมหรือบั่นทอน

พลาดไม่ได้สำหรับเกษตรกร องค์กรชุมชน องค์กรสาธารณประโยชน์ ผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ สถาบันทางวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนานโยบายเกษตรในประเทศไทย Vitoon PanyakulGreen Net Organic


ขอเชิญท่านที่สนใจ/สื่อมวลชนเข้าร่วมงาน โดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย(จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม)

รายละเอียดเพิ่มเติมที่http://www.biothai.net/conference/2559

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานhttps://docs.google.com/…/1FAIpQLSe29ksa17BnU40qy…/viewform…

ไม่สะดวกมาร่วมงาน กดไลค์เพจ BIOTHAI เพื่อติดตามการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์
#สมัชชาความมั่นคงทางอาหาร #ความมั่นคงทางอาหาร






(2)คณะเทคนิคการแพทย์ ม.มหิดล(รพ.ศิริราช) ได้ชี้แจงเมื่อ 3 ตค.59 ว่า

คนกินผักอึ้ง สารพิษตกค้างในผักเพียบ ล้างผักแบบไหนให้ปลอดภัยที่สุดในช่วงเทศกาลกินเจนี้ คลิป MU มีคำตอบ


อยากรู้รายละเอียด คลิกเลยครับ

ข้อมูลจาก
Mahidol Channel ที่ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล(รพ.ศิริราช)
9 ชม. • กรุงเทพมหานคร, Bangkok Metropolis •

https://www.facebook.com/mahidolchannel/






.(3) เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN)
5 ตค.59


ตามคำเรียกร้องให้ไทยแพนสุ่มตรวจสารพิษตกค้างในผักและผลไม้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี อีกทั้งตรวจสอบซ้ำปัญหาสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้ที่มีตรารับรองเพื่อดูการแก้ปัญหาของหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับรองมาตรฐาน

ขอเชิญสื่อมวลชนทุกสาขาเข้าร่วมการแถลงข่าว ที่ห้อง Sapphire 1 โรงแรมริชมอนด์ ถนนโลคัลโรด เลียบวิภาวดีรังสิต หลักสี่

ประชาชนที่สนใจสามารถติดตามการแถลงข่าวผ่านการถ่ายทอดสดเฟซบุ๊คไลฟ์ แฟนเพจ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN)

สอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ปรกชล 089 8955173
ดาวน์โหลดผลการตรวจและการวิเคราะห์ได้ที่เว็บไซท์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตั้งแต่ 12.30 น. วันที่ 6 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป


ทีไอ้พวกพืชผักที่ใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ใช้สารพิษสารพัดพิษ มันไม่ถูกควบคุม มาควบคุมพืชผักอินทรีย์....มันบ้าไปรึเปล่า



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 11/10/2016 12:25 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน ปิดตำนานข้าวหอมมะลิ RIP ลุงสุน ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน ปิดตำนานข้าวหอมมะลิ RIP ลุงสุนทร สีหะเนิน

5.8.2 (0) – .....








คุณลุง สุนทร สีหะเนิน ชายผู้ทำให้ข้าวหอมของชุมชนชาวนาเล็กๆ ต.แหลมประดู่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา กลายเป็นที่รู้จักทั่วโลก เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2559

ขอเชิญร่วมพิธีสวดอภิธรรมศพซึ่งมิใช่แค่เพียงแสดงความคารวะต่อท่านเท่านั้น แต่เพื่อแสดงความเคารพต่อชาวนารายย่อยในประเทศ ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของข้าวหอมมะลิและสายพันธุ์ข้าวพื้นบ้านต่างๆ อันเป็นรากฐานของความมั่นคงทางอาหารของประเทศนี้

พิธีสวดอภิธรรม วันที่ 10- 12 ตุลาคม เวลา 18.00 น.

พิธีพระราชทานเพลิงศพ วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม เวลา 16.00 น.

ณ เมรุ 2 วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน กรุงเทพ




อ่านตำนานข้าวหอมมะลิและเรื่องราวของสุนทร สีหะเนิน ซึ่งนำมาจากบทหนึ่งในหนังสือ “หอมกลิ่นข้าวมะลิหอม : เรื่องราวและการต่อสู้เพื่อรักษาข้าวขาวดอกมะลิ” เขียนโดย วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ และ นิรมล ยุวนบุณย์ พิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2545 จัดพิมพ์โดย องค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย (BIOTHAI) และมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย)
ดังความข้างล่าง...


ตำนานข้าวหอมมะลิ

เมล็ดข้าวทุกเมล็ด และพันธุ์ข้าวทุกสายพันธุ์ล้วนมีตำนานซ่อนอยู่ เรื่องราวของข้าวหอมมะลิก็เช่นกันประวัติและความเป็นมาของสายพันธุ์ข้าวนี้ได้รับการบันทึกไว้โดยเอกสารของทางราชการ และถูกเก็บไว้ในความทรงจำของผู้คนจำนวนหนึ่ง


หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก โดยภูมิภาคเอเชียอาคเณย์เป็นเป้าหมายสำคัญของสหรัฐทั้งนี้ในด้านหนึ่งเพื่อสร้างพันธมิตรของสหรัฐในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และในอีกด้านหนึ่งเพื่อขยายบทบาทในทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเองเพื่อใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานสำหรับวัตถุดิบและเป็นตลาดสำหรับสหรัฐอเมริกาไปพร้อมๆกันด้วย


สหรัฐอเมริกาจึงได้ส่งทั้งความช่วยเหลือทางวิชาการและเงินทุนมายังภูมิภาคเอเชียอาคเณย์ ในกรณีประเทศไทยนั้น รัฐบาลไทยและสหรัฐได้ตกลงลงนามในข้อตกลงที่เรียกว่า "ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลอเมริกา" ทั้งนี้ องค์การบริหารความร่วมมือระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตันได้ส่ง ดร.อาร์. แอล. เพนดิลตัน (Robert L. Penderton) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยีนในประเทศเขตร้อนจากมหาวิทยาลัย จอร์นฮอบกินส์ พร้อมด้วย ดร. เอช. เอช. เลิฟ (Dr. H. H. Love) ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์พืชจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล มาช่วยเหลือไทยในการบำรุงพันธุ์ข้าว และจัดตั้งกองการข้าว เมื่อปี 2493 (ก่อนหน้ามีการตั้งสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ 10 ปีเต็ม)


"โดยขั้นแรกได้เรียกพนักงานจากท้องถิ่นต่างๆ เข้ารับการฝึกอบรมเรื่องการบำรุงพันธุ์ข้าว เรื่องดินและเรื่องปุ๋ย แล้วให้กลับออกไปปฏิบัติการเรื่องการทดลองพันธุ์ข้าวและทดลองปุ๋ยยังท้องถิ่นที่ประจำอยู่ พนักงานที่ได้รับการอบรมรุ่นแรกนี้ได้แสดงความสามารถทันที่ที่กลับไปถึงท้องถิ่น พนักงาน 37 คน จาก 35 อำเภอ ได้รวบรวมรวงข้าวจากชาวนา 938 แห่งทั่วประเทศ เป็นจำนวนกว่า 120,000 รวงหรือสายพันธุ์ ซึ่งนับว่ามากเป็นประวัติการณ์ เพื่อส่งมาทำการคัดเลือกพันธุ์ตามสถานีทดลองต่างๆ ในปีต่อไป"


ในครั้งนั้น "ข้าวขาวดอกมะลิ" หรือที่คนไทยเรียกกันสั้นๆติดปากในเวลาต่อมาว่า "ข้าวหอมมะลิ" ถูกรวบรวมมา 199 รวง โดยมีการบันทึกไว้ว่า ข้าวพันธุ์นี้ถูกนำมาจากบ้านแหลมประดู่ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ไปปลูกที่บางคล้าเมื่อปี 2488 ถิ่นกำเนิดของข้าวหอมมะลิจึงมีที่มาจากพื้นที่ในภาคตะวันออกของประเทศไทยบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา


สุนทร สีหะเนิน

เมื่อปี 1943 สุนทร สีหะเนิน นักการเกษตรหนุ่มซึ่งมีพื้นเพจากปักษ์ใต้วัย 20 ปีต้นๆ คือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปเก็บพันธุ์ข้าวบริเวณจังหวัดชลบุรี และฉะเชิงเทรา


วันแรกที่ได้รับมอบหมาย สุนทรแวะที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทราเป็นที่แรก
มีบางคนบอกว่า อำเภอนี้มีของดีสามสิ่งคือ "ข้าวหอม มะม่วงดี และสับปะรดหวาน" ชาวบางคล้าภูมิใจกับข้าวหอมของตนมาก เขายังจำคำบอกเล่านั้นได้อย่างแจ่มชัดว่า ความหอมของมันนั้นอาจทำให้คนที่เดินผ่านบ้านถึงกับน้ำลายหก เพราะทนความเย้ายวนของกลิ่นหอมจากข้าวที่หุงอยู่ในครัวจนไม่อาจควบคุมตนเองได้เลย


เขาเล่าให้ฟังว่า "การเก็บเมล็ดพันธุ์ให้ได้ตามวิธีที่ได้รับมอบหมายนั้นเป็นงานยากลำบากมากในสมัยนั้น การคมนาคมขนส่งก็ไม่สะดวก การขนย้ายพันธุ์ข้าวที่เก็บได้ต้องใช้เพียงรถจักรยานคันเดียวเท่านั้น "


ตามคำแนะนำของนักวิชาการข้าวจากอเมริกัน พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่จัดเก็บต้องปลูกในบริเวณเวณกว้างและได้รับความนิยมพอสมควรในแต่ละท้องถิ่น โดยแต่ละพันธุ์ต้องมีการปลูกอย่างต่ำในพื้นที่ 15 ไร่ ทั้งนี้นักการเกษตรแต่ละคนต้องเก็บพันธุ์ข้าวให้ได้ 200 รวง แต่ละรวงนั้นต้องมาจากต้นข้าวที่ปลูกในพื้นที่ทั่วๆไป ต้องไม่เก็บมา

จากต้นข้าวที่ปลูกใกล้ๆกองปุ๋ยหมัก หรือมูลสัตว์ หรือปลูกริมๆแปลง เพราะอาจทำให้การอ่านลักษณะของพันธุ์ผิดพลาดได้เนื่องจากต้นข้าวงอกงามดีกว่าปกติเพราะได้รับธาตุอาหารมากกว่าต้นข้าวต้นอื่นๆที่อยู่ในแปลง


สุนทรบอกว่าในวันแรกที่เขาเริ่มงาน เขากลับได้พบกับพันธุ์ข้าวซึ่งไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้เลยแม้แต่ข้อเดียว "รวงข้าวทุกรวงที่ผมเก็บได้ มาจากผืนนาแปลงเล็กกว่า 15 ไร่ บางรวงได้มาจากนาแปลงเล็กมากๆแต่ลักษณะรวงกลับสวยงามสมบูรณ์ ทำไมผมจะไม่เก็บพันธุ์เหล่านั้นไว้เล่า ในเมื่อพันธุ์ข้าวพันธุ์นี้หอมและรสชาติดี เกณฑ์ที่กำหนดไว้ไม่มีความหมายใดๆเมื่อคุณคิดคิดถึงศักยภาพของพันธุ์ข้าวนี้ที่จะพัฒนาต่อไปในภายหน้า"

อย่างไรก็ตามข้าวขาวดอกมะลิรวงหนึ่งหล่นหายไประหว่างเคลื่อนย้าย ตัวอย่างข้าวขาวดอกมะลิที่เก็บได้จึงมีเพียง 199 รวงเท่านั้น ข้าวแต่ละรวงต้องนำเอามาปลูกเป็นแถวๆโดยสลับกับ "พันธุ์ข้าวนางมน" ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์ดีที่รู้จักกันในขณะนั้น


ปรากฏว่าข้าวขาวดอกมะลิแถวที่ 105 เป็นพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะดีที่สุดและให้ผลผลิตดีที่สุด นี่คือที่มาของ "ขาวดอกมะลิ 105" พันธุ์ข้าวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกปัจจุบัน

ปัจจุบันสุนทร สีหะเนินอายุได้ 73 ปี ถ้าเมื่อ 50 ปีที่แล้วหากไม่มีชายคนหนึ่งแหกกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โลกคงไม่รู้จัก "จัสมินไรซ์" เหมือนดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หากไม่มีใครเก็บพันธุ์ข้าวนี้ไปเผยแพร่ พันธุ์ข้าวนี้อาจปลูกและเป็นที่นิยมกันในหมู่ชุมชนเล็กๆหรือบางทีอาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้


ในขณะที่เรากำลังส่งเสริมให้มีการปลูกพันธุ์ข้าวให้ผลผลิตสูงไม่กี่สายพันธ์ อาจมีพันธุ์ข้าวอีกหลายสายพันธุ์ที่มีคุณค่าและมีความสำคัญต่ออนาคตยิ่งไปกว่าข้าวหอมมะลิกำลังสูญพันธุ์ไปพร้อมๆกับชุมชนที่ไร้คนเหลียวแลก็เป็นได้

ข้าวพันธุ์ดีที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์โดยชุมชนชาวนา

ข้าวขาวดอกมะลิเป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์โดยชุมชนชาวนาโดยแท้ พันธุ์ข้าวนี้จึงมีลักณะเฉพาะเช่นเจริญเติบโตในดินที่ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินร่วนปนทราย และทนทานต่อสภาพดินเค็มยิ่งกว่าพันธุ์ข้าวอื่นๆหลายสายพันธุ์


ชาวนารุ่นแล้วรุ่นเล่าจะค่อยๆคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะดีที่ตนเองต้องการ ทั้งในแง่การเจริญเติบโต และความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ไปจนถึงคุณภาพการหุงรวมไปถึงประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ ชุมชนต่างๆในอดีตจึงได้รักษาและพัฒนาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับความต้องการของชุมชนจนเกิดเป็นความหลากหลายของพันธุ์ข้าวเป็นจำนวนมาก


สงกรานต์ จิตรากร

นักปรับปรุงพันธุ์ข้าว ตั้งข้อสังเกตว่า "ประเทศไทยมีความสมบูรณ์ทางด้านพืชพันธุ์ธัญญาหาร จึงไม่จำเป็นต้องเลือกปลูกข้าวที่ให้ผลผลิตจำนวนมากๆ เพียงอย่างเดียว แต่มีโอกาสเลือกปลูกข้าวพันธุ์ที่มีคุณภาพดีกินอร่อยด้วย ประเทศไทยจึงมีทั้งพันธุ์ข้าวพื้นเมือง และพันธุ์ข้าวลักษณะพิเศษในเวลาเดียวกัน"


ในการประกวดพันธุ์ข้าวระดับโลกที่ประเทศแคนาดาเมื่อปี 2476 ในครั้งนั้นประเทศไทยส่งพันธุ์ข้าวเข้าประกวดทั้งหมด 150 ตัวอย่างจากจำนวนผู้ส่งเข้าประกวดรวม 176 ตัวอย่าง ได้รับรางวัล 11 รางวัล โดยชนะเลิศอันดับ 1, 2, 3 เป็นข้าวของไทยทั้งสิ้น พันธุ์ข้าวทั้งหมดเป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์โดยชุมชนเกษตรกรรมทั้งสิ้น


การเปลี่ยนแนวทางการปลูกข้าวโดยมุ่งสู่การผลิตข้าวที่ให้ผลผสิตสูงจากคำแนะนำของผู้เชี่ยญชาญสหรัฐ และการเดินตามแนวทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งวางแผนโดยธนาคารโลก ตลอดจนอิทธิพลของสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติที่เข้ามาครอบงำการปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไทยทำให้การคัดเลือกและพัฒนาพันธุ์ที่ทำโดยชุมชนต่างๆถูกละเลยความสำคัญและถูกแทนที่โดยระบบการปรับปรุงพันธุ์แบบสมัยใหม่ที่เน้นผลผลิตต่อไร่และการใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอกเป็นหลักแทนอย่างช้าๆ



ข้อมูลจาก
BIOTHAI
https://www.facebook.com/biothai.net/posts/1206041576101028:0


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 01/11/2016 10:49 pm    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน โจรปล้นชาติ 2 ตายแน่คราวนี้ต้องตา ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน โจรปล้นชาติ 2 ตายแน่คราวนี้ต้องตายแน่ๆ

5.8.2 (2) – เมื่อ อาลีบาบา จับมือกับ อาลาดิน...ใครจะเป็น แจ๊ค ผู้ฆ่ายักษ์









ต้องมีครับ ซักวันต้องมี....มดแดงตัวเล็กนิดเดียว ยังสยบช้างได้ ฉันใด ซักวันต้องมี



(1) ผมได้รับข้อมูลนี้มาจาก Face Book เมื่อเย็นวันที่ 1 พย.59....ภาพนี้คนไทยเห็นอาจจะนึกถึงทั้งโอกาสและความน่ากลัว

ข้อมูลจาก Face book By.- Korn Chatikavanij


ผมคุยกับน้องในแวดวง Fintech เขามีแนวคิดที่น่าสนใจครับ ว่า การจับมือระหว่าง 2 เจ้าสัวนี้ทำให้ 'เราสามารถจินตนาการเห็นลูกค้า True และลูกค้า Seven Eleven ใช้บริการทางการเงินทั้ง Online และ Offline ผนวกเข้ากับชีวิตประจำวันออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ เช่น ฝากถอนเงินได้ที่เซเว่น, โอนต่อให้ใครก็ได้ทางแอพมือถือ, กู้เงิน Peer to peer ได้ทางมือถือ และจ่ายดอกเบี้ยได้ผ่านเซเว่น, บิลค่าใช้จ่ายไปเก็บรวมกับบิลมือถือทรู, ใช้ระบบ Seven Eleven เพิ่มประสิทธิภาพเรื่องโลจิสติกส์เวลาซื้อขายของผ่าน Lazada ฯลฯ'


นี่คือความสะดวกของผู้ใช้บริการ แต่เมื่อเราแทบนึกไม่ออกว่าจะมีคู่แข่งคู่ไหนที่สามารถให้บริการในระดับเดียวกันได้ เราจึงอดไม่ได้ที่จะนึกเป็นห่วงว่าการครองตลาดในระดับนี้จะมีผลอย่างไรต่อผู้ประกอบการอื่นรวมไปถึงผลต่อการพัฒนา SME และนวัตกรรมโดยทั่วไปที่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขัน


ดังนั้นสิ่งที่เราอยากขอคือ อย่ากีดกันทางการค้าคนอื่น ให้โอกาสฟินเทคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ในเครือ Alibaba หรือ CP เติบโตบ้าง และเติบโตไปด้วยกัน เช่น ถ้าจะใช้บริการฟินเทคที่สร้างขึ้นใหม่ ก็ให้คนใช้มือถือค่ายอื่นใช้ได้ด้วย จะจ่ายเงินด้วย e-wallet ที่เซเว่นก็ให้โอกาส e-wallet เจ้าอื่นเป็น payment gateway ได้บ้าง แล้วการแข่งขันจะทำให้ประเทศไทยรวมถึงกลุ่ม CP เองพัฒนาได้อีกเยอะครับ


เรื่องแบบนี้ไม่มีประเทศใดที่เพียงแค่ฝากความหวังไว้ว่าผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่จะใจกว้าง ทุกประเทศเขาใช้อำนาจรัฐและกฎหมายกำกับดูแลเพื่อให้การแข่งขันมีจริง รัฐเราต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าให้ใครมาปิดประตูตีแมวในบ้านเราครับ
(แนวคิดจากการสนทนาและบทความของคุณเจษฎา สุขทิศ เลขาฯชมรมไทยฟินเทค)





(2) ปัญหาข้าวราคาต่ำ. จากไบโอไทย

ผนึกกำลัง ระดมความคิด และรวบรวมประสบการณ์จากทุกกลุ่มทุกฝ่าย วิเคราะห์และร่วมหาทางออกปัญหาชาวไร่-ชาวนา สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย) และ มูลนิธิชีววิถี(BIOTHAI)

ขอเชิญสื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าร่วมงานประชุม ระดมความคิดและประสบการณ์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและเสนอทางออกเรื่องข้าวและสินค้าเกษตร

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน เวลา 13.00-16.30 น. ณ ห้องประชุม 701 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (จามจุรี 10) ชั้น 7

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งเข้าร่วมการประชุมได้ที่
อังคณา ราชนิยม 085 812 8298
สายฝน อมรแมนนันท์ 089 799 4392

(รับจำนวนจำกัด)





(3) เย็นวันนี้เครียดเลยเมื่อได้อ่านข่าวทีมงานสิ้นคิดที่มีความเชี่ยวชาญในการขายทรัพย์แผ่นดินเตรียมเสนอให้ใช้ ม.๔๔ แก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรด้วยการตั้ง Good bank – Bad bank ขึ้นมาจัดการหนี้เสียของเกษตรกร โดยให้ Good bank จัดการรายที่ยังพอไปไหว ส่วน Bad bank มีหน้าที่เอาหนี้เน่ามาขายทอดตลาดให้แก่คนที่มีฝีมือและอยากได้ ไม่จำกัดว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ
ข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/content/744821


การขายหนี้เน่านั้นความหมายที่แท้จริงของมันก็คือการขาย “หลักทรัพย์ค้ำประกัน” นั่นเองและหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้ภาคเกษตรก็คือ “ที่ดิน”พร้อมทั้งอธิบายอย่างชัดเจนว่าจะทำเช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาหนี้เมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งมีการเอาหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันหนี้เสีย(NPL) ออกมาขายทอดตลาดครั้งนั้นเป็การ “ทุบ” เศรษฐีและชนชั้นกลางของประเทศ


แต่ครั้งนี้เขาบอกชัดเลยว่าเป้าหมายคือ “ลูกค้า ธ.ก.ส.”ปัจจุบันหากดูแต่ตัวเลขรายงานของ ธ.ก.ส. เราก็จะเห็นแต่เพียงว่าเกษตรกรสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์


แต่ในความเป็นจริงก็คือตัวเลขนั้นเป็นตัวเลขที่ ธ.ก.ส. และเกษตรกรได้ช่วยกันหาวิธี “จัดการหนี้” ด้วยสารพัดรูปแบบสัญญาและระยะเวลากู้เงิน/ชำระหนี้ ลองหยุดให้กู้สักสัญญาใดสัญญาหนึ่งดูสิ แล้วจะรู้ว่าความจริงของ “ความสามารถในการชำระหนี้” ของเกษตรกรมันเป็นอย่างไร


ที่สำคัญการสร้างให้เกิดสภาพ NPL กับเกษตรกรมันไม่ใช่เรื่องยาก แค่นำเข้าข้าวสาลีสักแสนหรือสองแสนตันเกษตรกรก็ชักตาตั้งแล้วอย่างในปัจจุบัน
นับตั้งแต่เขาใช้ทฤษฎีกระตุ้นการบริโภคในยุคทักษิณเป็นต้นมา ผมพูดทุกครั้งที่มีการบรรยายต่อสาธารณะมาตลอดระยะเวลากว่าสิบปีว่า “การกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ” และ “การบ้าบริโภคของภาคครัวเรือน” จะนำไปสู่เกษตรกรรมผืนใหญ่ แต่ไม่มีใครใส่ใจไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือข้าราชการก็ตาม


คนไทยเรามันประเภท “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”

เลิกสนใจเรื่อง ‘ไอ้หว่อง’ แล้วหันมาจับตาเรื่องแนวทางของ ‘ไอ้สิ้นคิด’ กันดีกว่า เพราะนี่คือความหายะนะอย่างยั่งยืนของประชาชนไทยที่แท้จริง

ที่มา
http://www.thairath.co.th/content/744821





(4) 30 ตค.59 ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพด มันสำปะหลัง และรวมถึงข้าว(ในกรณีปลายข้าว) เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐที่เอื้ออำนวยต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมเกษตรยักษ์ใหญ่เป็นสำคัญ


ในกรณีข้าวและสินค้าเกษตรอื่นๆ ทิศทางใหญ่ในการแก้ปัญหาของรัฐไปในทิศทางการเอื้ออำนวยต่อกลุ่มอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และเมล็ดพันธุ์ เช่น แทนที่จะดำเนินโครงการลดการใช้ปัจจัยการผลิตดังกล่าวดังกรณี "โครงการ 3 ลด 3 เพิ่ม" ของเวียดนาม กระทรวงเกษตรฯกลับเปิดตัวประชารัฐเกษตรโดยการลงนามเอ็มโอยูกับบรรษัทเกษตรยักษ์ใหญ่ "ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยและสารเคมีและเมล็ดพันธุ์อย่างมีคุณภาพ"แทน


ข้าวโพด มันสำปะหลัง ซึ่งมีเกษตรกรที่เกี่ยวข้องรวมกันมากกว่า 1 ล้านครอบครัว ราคาดิ่งเหวเพราะรัฐอนุญาตให้อุตสาหกรรมอาหารนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่จำกัดจำนวนและระยะเวลาการนำเข้า และนำเข้าข้าวสาลีหลายล้านตันเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์โดยไม่ต้องเสียภาษี ทั้งๆที่ควรจะเสียภาษีในอัตรา 27% การนำเข้าข้าวสาลีเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ดังกล่าวไม่ได้กระทบต่อข้าวโพดและมันสำปะหลังเท่านั้น แต่มีผลกระทบต่อราคาปลายข้าว(ซึ่งใช้เป็นอาหารสัตว์)และส่งผลกระทบให้ราคาข้าวเปลือกลดลงตามไปด้วยส่วนหนึ่ง


เมื่อราคาข้าวตกต่ำ แทนที่จะมีเป้าหมายการแก้ปัญหาโดยการส่งเสริมการเกษตรผสมผสานที่เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ หรือส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ หรือจัดทำโครงการในการลดการใช้ปัจจจัยการผลิตลงอย่างเอาจริงเอาจัง หน่วยงานของรัฐกลับทำเอ็มโอยูกับกลุ่มบรรษัทเพื่อลดพื้นที่ปลูกข้าว และส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และอ้อยเพื่อตอบสนองต่อกลุ่มทุนในคณะกรรมการประชารัฐแทน


ในขณะที่เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อทำการเกษตรในอัตราตั้งแต่ 7% ขึ้นไป แต่ผู้ที่เข้าร่วมเมนูที่เอื้ออำนวยต่อกลุ่มทุนจะได้รับการสนับสนุนดอกเบี้ยเงินกู้ โดยจ่ายดอกเบี้ยเพียง 0.01%-4% แล้วแต่โครงการ


ปัญหาความล้มเหลวของเกษตรกรรายย่อยที่ปรากฎขึ้นมิได้มีเงื่อนไขจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกต่ำเท่านั้น แต่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐที่ตอบสนองต่อกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่การเกษตรเป็นสาเหตุสำคัญด้วย





(5) เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2559 กระทรวงเกษตรฯทำเอ็มโอยูกับซีพี เบทาโกร และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย(ที่มีมอนซานโต้และซีพีเป็นแกนสำคัญ)ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนข้าวในพื้นที่หลายล้านไร่

ในขณะที่ราคาข้าวโพดกำลังดิ่งเหวเพราะกระทรวงพาณิชย์เพิ่งอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านมาโดยไม่จำกัดจำนวนและไม่จำกัดเวลานำเข้า อีกทั้งนำเข้าข้าวสาลีปริมาณมหาศาลเพื่อเป็นอาหารสัตว์ทดแทนข้าวโพด#ประชารัฐ #เดินตามรอยเท้าพ่อ #เศรษฐกิจพอเพียง


ชื่องานพิธีและโลโก้ประกอบงานอธิบายได้ทุกอย่างโดยแทบไม่ต้องขยายความใดๆ !

อ่านข่าวได้เพิ่มเติมที่
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?
NewsID=9590000105836

http://www.matichon.co.th/news/330694

ดูภาพการลงนามเอ็มโอยูได้ที่
https://www.facebook.com/ministerofagricultureandcooperativeschatchai/photos/pcb.567164946813183/567164696813208/?type=3&theater


เมื่อผลประโยชน์เป็นใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อม....ห้ามกันไม่ได้....อะไรจะเกิด มันต้องเกิด แต่ ไม่มีอะไรอยู่คงทนจีรังยั่งยืน นครบาบีโลน....ปอมเปอี....อียิปต์ โรมัน.. Hi Hitler……ทุกอย่างพังพินาศ เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา.....เมืองที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพาน ผ่านมาแค่ สองพันห้าร้อยกว่าปี ยังหาซากแทบไม่เจอ........ก็ว่ากันไป.....ไปดูอะไร ที่สบายตากันดีกว่าครับ





(6) "ดั่งสรวงสวรรค์"

ที่ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์ มีธรรมชาติภูเขาสูงใหญ่ ทะเลหมอก โอบล้อมวัดและศาลาปฏิบัติธรรม มีเรื่องเล่าว่า ชาวบ้านมองเห็นลูกแก้วลอยเหนือฟ้า หายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา เป็นที่น่าอัศจรรย์
www.unseentourthailand.com

ภาพจากแฟนเพจ: Patipong Kantavong
www.facebook.com/profile.php?id=100004536580699



.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 09/12/2016 12:54 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Wildcat
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 17/09/2014
ตอบ: 19

ตอบตอบ: 07/12/2016 4:02 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุง น้าทิดแดง..คุณออร์คิด



กระทู้นี้ก็รูปชุดหลังหาย...

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 09/12/2016 1:24 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO - โจรปล้นชาติ -3 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุงคิม ...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

เกษตรสัญจร 12 หยุด GMO ตอน โจรปล้นชาติ -

5.8.2 (3) – ดร.อาทิตย์จี้รัฐแก้ปัญหาซีพีผูกขาดก่อนจะถึงจุดแตกหัก และ...อะไรคือ 1,480,000 ตารางกิโลเมตร






(1) ผมคัดลอกข้อมูลนี้มาจาก เว็ปข้างบนนี้ ตามลิงค์ ข้างล่างนี้ครับ
http://thaitribune.org/contents/detail/327?content_id=10548&rand=1430469123

หากข้อมูลนี้ไม่เหมาะสม กรุณาลบออกด้วยครับลุง....




(2) CP Group ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์มาก ล่าสุด ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ชี้ 'ซีพี' กำอนาคตประเทศ จี้รัฐแก้ระบบผูกขาดก่อนแตกหัก

เฟซบุ้คของ “อิสรา มะลิวัลย์”เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2558 เขียนไว้ว่า “ซีพีตะครุบเทสโกโลตัสคืน 3 แสนล้านแล้วยึดค้าปลีกไทยเบ็ดเสร็จเป็นเรื่องที่คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว และก็เป็นกระแสข่าวที่หนาหูทั้งในและต่างประเทศ ที่คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ CEO ของซีพี เตรียมประกาศซื้อ Tesco Lotus ในไทยอย่างเป็นทางการด้วยเงิน 3 แสนล้าน

มีการวิเคราะห์ว่าสถานการณ์ธุรกิจการเกษตร ค้าปลีกนั้น เท่ากับเครือเจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ป หรือ CP คุมการเกษตรทั้ง ข้าว หมู ไก่ กุ้ง อาหารสัตว์ ปุ๋ย พืชพลังงาน นอกจากนั้นยังคุมเทคโนโลยี่สื่อสาร ทั้งโทรบ้าน โทรมือถือ internet และมีสื่อในมือ คือ truevision สรุปคือ CP จะคุมระบบค้าปลีกค้าส่งทั้ง modern trade และ traditional trade ครบวงจร มี 7-11 ส่วนห้างค้าปลีก ค้าส่ง makro และ Lotus

ก่อนหน้านี้คอลัมน์ Market-Think ของสรกล อดุลยานนท์ เรื่อง CP BANK? ในประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ก็วิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าข่าว "เซเว่นอีเลฟเว่น" และกลุ่มทรู ซื้อหุ้น LH BANK จากกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นจริง เราคงได้เห็น "เกมใหม่" ในแวดวงการเงิน เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา "ซีพี" มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลายครั้ง

ครั้งแรกคือการเข้าซื้อหุ้นของ"ผิงอัน"บริษัทประกันรายใหญ่ของจีน ซึ่งเสน่ห์ของ "ผิงอัน" คือเงินสดจากเบี้ยประกันที่นอนนิ่งอยู่ในบริษัท

ครั้งที่สองคือการซื้อ "แม็คโคร"ของ "เซเว่นอีเลฟเว่น"ทำให้ "ซีพี" กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการค้าส่งและค้าปลีกและ

ครั้งที่สาม คือการดึง"ไชน่าโมบาย" ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน มาถือหุ้นใน"ทรู"ดังนั้น หาก"ทรู"และ"เซเว่นอีเลฟเว่น"ซื้อ LH BANK จริง จะเป็นการเคลื่อนตัวทางยุทธศาสตร์ของ"ซีพี"ครั้งที่ 4 ในรอบ 2 ปี เพราะเซเว่นอีเลฟเว่น มีสาขาอยู่ 8,000 สาขา เป็นทำเลที่ดีที่สุดสำหรับตู้เอทีเอ็ม มี "เคาน์เตอร์เซอร์วิส" ที่สามารถรับจ่าย รับโอน รับจองตั๋ว ที่มีประสิทธิภาพยิ่ง

สรุปยอดรายได้เมื่อปีที่แล้ว รายได้ของ"เซเว่นอีเลฟเว่น" 284,760 ล้านบาท แมคโคร 129,780 ล้านบาท รวมกันเป็นตัวเลขกลมๆประมาณ 410,000 ล้านบาท หรือเดือนละ 34,000 ล้านบาท เมื่อรวมโลตัสเข้าไปอีกรายได้ก็จะเพิ่มขึ้นแตะ 5 แสนล้านบาทในอนาคตไม่ยากนัก

ดังนั้นการซื้อเทสโก้โลตัสครั้งนี้จึงเป็นก้าวเดินการเทคโอเวอร์ครั้งที่ 4 ก่อนที่จะไปซื้อ L&H แบงก์ในอีกไม่นานเป็นก้าวที่ 5 กลายเป็นเบอร์ที่เท่าไรของโลกไม่แน่ใจ แต่จำได้เคยมีใครพูดว่า

ผมสนับสนุนนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล มีอะไรผมรับผิดชอบเอง ประเทศเสียหายไปหลายแสนล้านบาท ทำไมเงียบเป็นเป่าสากเลยเถ้าแก่ CP เชียร์นโยบาย ค่าแรงสูงกับราคาข้าวสูง (2 สูง) ผลก็เป็นอย่างนี้ที่เห็น เศร้าเศรษฐีไทยที่มารวยระยะ 50 ปีหลังนี้ส่วนใหญ่ อาศัยอำนาจรัฐไปผูกขาด หรือเอื้ออำนวยธุรกิจตัวเอง ใครๆก็คิดกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

แต่ในระบบเศรษฐกิจเสรี ไม่ง่ายที่ใครสามารถทำได้ อย่างแน่ๆรัฐบาลไม่ยอม อเมริกาถึงกับออกกม. anti trust ขัดขวางการกินรวบเช่นนี้ ถ้าท่านธนินทร์แน่อย่างที่ทำในเมืองไทย ทำไมธุรกิจที่ฮ่องกง จีน จึงไม่เก่งแบบที่นี้ makro ที่จีนไม่ทำกำไร จะล่มเอา ธุรกิจเรื่องไก่ก็ไม่แน่แบบที่นี้ รายย่อยทำได้ถูกกว่า สู้เขาไม่ได้ ทุกธุรกิจที่ทำนอกประเทศแค่อยู่รอด เมื่อไม่มีอำนาจรัฐหนุนท่านก็เป็นแมวน้อยเชื่องๆตัวหนึ่งเท่านั้น

สำหรับผม ธุรกิจไทยที่แน่จริงข้ามโลกคือกระทิงแดงเท่านั้น เพราะแข่งกับเขามือเปล่า ไม่มีรัฐช่วยมีอีก จำได้หรือไม่ว่า ใครสนับสนุนให้รัฐบาลทักษิณปลูกยางในทุกภาคเพื่อส่งไปขายจีน โดยบอกว่าเป็น นํ้ามันบนดิน และเดินสายพูดเรื่องนี้อยู่หลายปี พอยางล้นตลาดราคาตก เงียบเลย ไม่เห็นแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย นี่เป็นอีกเรื่องของคุณธนินทร์ คนไทยไม่ได้ลืมง่ายหรอก

สมัยก่อนตอนทำ 7-11 ใหม่ๆ CP ไม่อยากเสี่ยง ก็ชวนคนเข้ามาลงทุนหาซื้อที่ดินทำเลดีๆพร้อมสร้างอาคารแล้วมาเปิด 7-11 เอาของ CP ไปขาย คนลงทุนก็ไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน หวังกินกำไรจากที่ CP แบ่งให้บ้าง

ต่อมาระยะหนึ่ง CP ก็เล็งเฉพาะร้านที่ยอดขายสูง กำไรงาม แล้วเข้าไปเสนอซื้อคืนเพื่อ CP จะทำเอง ร้านไหนยอมขายก็จบไป ร้านไหนไม่ขาย CP ลงทุนเอง เปิดร้านใหม่ในทำเลนั้น แข่งกันไปเลย เอาแบบให้เจ๊งไปข้างหนึ่ง ถ้าร้านนั้นไม่ขาย มันก็จะซื้อที่ใกล้ๆ ออกมาตั้งแล้วแข่งกับเจ้าเดิม


หน้าปากซอยบ้านผม มี 7-11 ถึง 3 ร้าน แต่ละร้านห่างกันไม่ถึง 50 เมตร คนที่คิดกินรวบทุกอย่าง ต้องพึ่งพาใช้อำนาจรัฐ ทำให้สังคมเมืองและชนบทเป็นทาสมันตลอดการ ฆ่าคนในสังคมทั้งเป็น อย่างนี้หรือเป็นคนที่น่ายกย่อง คำพูดดูสวยหรู แต่ในใจ เราจะอยู่กับชาวไร่ชาวนา ชาวสวน และ ผู้เลี้ยงสัตว์อย่างพันธมิตร

โดยกูจะใช้สัญญาทาส มาควบคุมให้พวกมึงเป็นหนี้กูตลอดไป กูมีแต่ได้กับได้ บริษัทอื่นเจ๊งหมด โดยเฉพาะร้านค้าsme ทั้งหลาย สนับสนุนเลี้ยงไก่ ไข่ ปลูกยางแล้วกูจะเป็นพ่อค้าคนกลางดูดเงินจากพวกมึงอีกที

ทุกวันนี้ เขาอาศัยอำนาจรัฐ สร้างเงื่อนไขให้รัฐบาลอนุมัติธุรกิจที่กำไรง่ายๆมากๆให้กับร้าน 7-11 เช่น นาโนแบงคิ้ง ขายยา ขายล็อตเตอรี่ ตอนนี้ก็แย่งขายกาแฟสดกับร้านกาแฟแล้ว ทุกอย่างอาศัยอำนาจรัฐทั้งนั้น เจ้าตำรับ 7-11 ญี่ปุ่นยังต้องงงงวย มันทำได้อย่างไร

ตอนมี 7-11 ใหม่ๆ คนขับรถลูกน้องเพื่อนลาออก เอาบ้านไปจำนอง ดาวน์รถปิ๊คอัพ ไปวิ่ง fleet logistics ให้ 7-11 แค่ 1-2 ปี Volume 7-11 สูงมาก
CP เลิกจ้าง ทำ logistics เอง ลูกน้องเพื่อน บ้านติดจำนอง รถยังผ่อนไม่หมด ถูกลอยแพ นี่แหละวิธีการสร้างอาณาจักรธุรกิจของ CP อาศัยคนอื่นลงทุนเสี่ยงขาดทุน แต่หากได้กำไรดีจะ Take over

(Cr.พท.พญ.กมลพรรณ )

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ออกโรง

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตและอดีตประธานรัฐสภา โพสต์เฟซบุ๊ก "Arthit Ourairat" โดยแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊กของ "Pat Hemasuk" ซึ่งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการผูกขาดทางการค้าของบริษัทยักษ์ใหญ่กับประเทศไทย โดยนำไปเปรียบเทียบกับประเทศเม็กซิโกและอาร์เจนตินาซึ่งถูกระบบการค้าทุนสูงเข้าถล่มอุตสาหกรรมเกษตรจนล่มสลายมาแล้ว

นอกจากนี้ผู้เขียนยังตำหนิไปถึงรัฐบาลในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านรวมไปถึงรัฐบาลทหารในปัจจุบัน ที่ไม่สามารถออกกฎหมายจัดการกับระบบผูกขาด ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนตั้งแต่ชนชั้นรากหญ้าไปจนถึงคนเมือง และหากรัฐบาลยังเป็นแบบนี้ต่อไป คาดว่าสักวันหนึ่งประชาชนอาจต้องจับมือกันลุกขึ้นมาจัดการธุรกิจผูกขาดกันเอง




(3) ระบุข้อความดังนี้

ระบบการค้าที่ไร้จริยธรรมหวังเพียงผลกำไรนั้นจะทำลายสังคมไม่ต่างกับฝูงตั๊กแตนที่ลงกินไร่จนหมดแล้วบินจากไปกินไร่อื่นต่อ แต่ถ้าเป็นการค้าที่ไม่ได้ข้ามชาติแล้วยังใช้ระบบฝูงตั๊กแตนกินไร่ในการทำธุรกิจ ฝูงตั๊กแตนจะต้องอดตายไปพร้อมกับไร่นั้น

ซีพี ก็เช่นกัน ถ้ากินประเทศไทยจนหมดแล้วก็คงต้องตายไปพร้อมกับประเทศ เพราะ ซีพี เองเคยผันตัวเองออกไปทำธุรกิจข้ามชาติแล้วไปไม่รอด เพราะรัฐบาลประเทศนั้นๆ ต่างก็ดูแลไม่ให้เกิดการผูกขาดขึ้นในประเทศของตัวเอง ถ้าผิดจากแนวทางถนัดของ ซีพี ก็จะแข่งขันแบบเป็นธรรมกับใครไม่เป็น

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงประเทศเม็กซิโกและอาร์เจนตินาที่โดนระบบการค้าทุนสูงเข้าถล่มอุตสาหกรรมเกษตรของตัวเองจนล่มสลายมาแล้ว จนทำให้เกษตรกรกลายมาเป็นแรงงานราคาถูกไร้อนาคตจากอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยอำนาจทุนที่เหนือกว่าเข้ากำหนดตลาดจนเกษตรกรรายย่อยอยู่ไม่ได้

หลายสิบปีผ่านไปทั้งชุมชนและวัฒนธรรมของประเทศเปลี่ยนไปแบบที่เรียกกลับมาเหมือนเดิมอีกไม่ได้ บ้านแตกสาแหรกขาด คนหนุ่มสาวในบ้านต้องออกไปขายแรงงานทิ้งเด็กและคนแก่ไว้ที่บ้านแทนที่จะทำการเกษตรเหมือนสมัยเก่าอยู่กันครบหน้ากับครอบครัว

มันคืออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยอำนาจทุนที่เหนือกว่าสมคบกับนักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่ปกป้องประชาชนของตัวเอง ทำลายรากฐานของประเทศจนสังคมดั่งเดิมของประชาชนอยู่ไม่ได้

ทุกวันนี้ประเทศไทยกับเม็กซิโกจะคล้ายกันที่สินค้าการเกษตรถูกคุมตลาดจากบริษัทที่ผูกขาด จนทำให้เกษตรกรกลายเป็นกรรมกรแรงงานบนที่ดินของตัวเอง เมล็ดพันธุ์ แม่พันธุ์ ปุ๋ย อาหารสัตว์ ยาฆ่าแมลง จนถึงการบังคับทำสัญญาขายผลผลิตที่เกือบไม่เหลือเงินกำไร ขณะที่สังคมพื้นบ้านของเกษตรกรอ่อนแอลงไปทุกขณะ บริษัทผูกขาดก็กำไรมากขึ้นจนกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของประเทศที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องเกรงใจ

ทั้งที่รัฐบาลเองก็สามารถออกกฎหมายผูกขาดทางการค้าออกมาใช้ปกป้องประชาชนได้ แต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนเลยที่ออกมาทำกฎหมายนี้เพื่อบังคับใช้เพื่อหยุดการปล้นประชาชนทั้งประเทศแบบผูกขาด

ในสังคมเมืองเองก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากการผูกขาดโดยบริษัทใหญ่แบบนี้ ในเม็กซิโกเองห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่างวอลล์มาร์ทเข้าไปผูกขาดการค้าปลีกค้าส่งไปจนคลุมทั้งพื้นที่จนหมด ไม่ต่างอะไรกับที่ห้างสรรพสินค้าแคร์ฟูเข้าครองการค้าปลีกและส่งของอาร์เจนตินา จนมีอำนาจผูกขาดโดยสมบูรณ์ที่สามารถกำหนดส่วนแบ่งทางกำไร 85%-15% ระหว่างห้างและเกษตรกรหรือผู้ค้าส่งสินค้าเข้าห้างจนเกษตรกรและผู้ค้ารายย่อยอยู่ไม่ได้

ทุกวันนี้สังคมเมืองของประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน ผู้ค้ารายย่อยถึงกับต้องปิดตัวเองลงทั้งหมดเมื่อมีร้านสะดวกซื้อของ ซีพี เข้าไปตั้ง ซึ่งกินตลาดเข้าไประดับล่างจนถึงร้านอาหารที่ต้องสู้กับอาหารกล่อง ไปจนแม้แต่รถเข็นหมูปิ้งก็ยังต้องสะเทือนที่ร้านสะดวกซื้อของ ซีพี ก็ขายหมูปิ้งเช่นกัน แม้กระทั่งธุรกิจพื้นฐานแบบซักรีด ซีพี ก็เข้าไปจับตลาดในร้านสะดวกซื้ออีกแล้ว อุตสาหกรรมพื้นฐานหลายอย่างที่ส่งสินค้าเข้าไปขายก็โดนแย่งตลาดโดยมีของที่ห้างโลตัสและซีพี ผลิตติดตราของตัวเองออกมาแข่งบนหิ้งเดียวกันแต่ราคาถูกกว่า แล้วไล่สินค้ายี่ห้อดั่งเดิมออกไปวางที่หิ้งหลังร้านแทน

เวลานี้แม็คโคร ก็โดนซื้อจาก ซีพี ไปเรียบร้อยแล้ว เทศโก้โลตัสมีข่าวออกมาครึ่งปีว่ากำลัง Deal ซื้อ จะบอกว่าการค้าส่งและค้าปลีกเกือบทั้งประเทศ อยู่ในกำมือของบริษัทเดียวก็ว่าได้ การแข่งขันราคาสินค้าก็หมดไป จะตั้งราคาบวกกำไรอย่างไรก็ได้เพราะทุกอย่างอยู่ในมือหมดแล้วไม่ต่างกับเม็กซิโกและอาร์เจนตินา




(4) ระบบรถไฟความเร็วสูงซีพีได้นำบริษัทลงทุนจากจีนเข้ามาเสนอที่จะสร้างในสายกรุงเทพฯ-ระยอง

นอกจากธุรกิจการสื่อสาร ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์นับล้านหมายเลข เคเบิลทีวีรายใหญ่ที่สุด เวลานี้ ซีพี บุกเข้าจับธุรกิจ ลอจิสติกส์ส่งของแข่งกับไปรษณีย์ไทย และกำลังจะมีธนาคารของตัวเองที่ทำธุรกรรมการเงินได้ในร้านสะดวกซื้อตลอด 24 ชั่วโมง สามารถออกเครดิตการจับจ่ายได้จนถึงระดับล่าง และในเวลานี้กำลังมีความสนใจจะเข้าไปจับการลงทุนในระบบรถไฟระบบใหม่ที่กำลังจะสร้างอีก

ประเทศไทยยังเหลืออะไรอีก ตั้งแต่สังคมพื้นฐานเกษตรกรก็โดน ซีพี เข้าคุมกลไกทั้งหมดตั้งแต่ การผลิต การตลาด ทั้งซื้อและขาย จนเกษตรกรกลายเป็นกรรมกรราคาถูกรับจ้างปลูกหรือผลิตในที่ดินของตัวเอง สังคมพื้นฐานในเมืองก็โดนแทรกแซงการค้าปลีกจนไม่เหลือร้านค้าปลีกประจำถิ่นอีกต่อไปแล้ว สังคมพื้นฐานอุตสาหกรรมการผลิตรายย่อยก็โดนแทรกแซงจากการกีดกันสินค้า ลอกเลียนสินค้าออกขายแข่ง แม้กระทั่ง ถล่มราคาขายถูกกว่าทุนจนรายย่อยอยู่ไม่ได้ แล้วก็ขึ้นราคากลับสู่ปกติเมื่อไร้คู่แข่งแล้ว

รวมถึงปัญหาทำลายสิ่งแวดล้อมสนับสนุนทางอ้อมให้เกษตรกรบุกพื้นที่ป่าชุมชนที่เป็นพื้นที่ภูเขาเพื่อปลูกข้าวโพดและเผาซากไร่เก่าจนปัญหาควันไฟกลายเป็นปัญหาใหญ่ แม้กระทั่งสนับสนุนประมงอวนรุนผิดกฎหมายทางอ้อมที่ทำลายตัวอ่อนของสัตว์น้ำโดยรับซื้อปลาเล็กปลาน้อยที่ยังไม่โตเต็มวัยมาเข้าโรงงานทำอาหารสัตว์

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลและนักแสวงโชคทางการเมืองที่เปลี่ยนหน้ากันขึ้นมาบริหารประเทศจะมองไม่เห็นไม่รับรู้ผลกระทบทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง จากการผูกขาดการค้าของ ซีพี

แต่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนจัดการกับปัญหาการผูกขาดอันนี้ ทั้งที่ประเทศเจริญแล้วที่มีกฎหมายดูแลประชาชนดีๆ เขามีกฎหมายป้องกันการผูกขาดการค้าทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้บริษัทไหนหรือตระกูลใดกำอนาคตทางธุรกิจผูกขาดทั้งประเทศจนยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือ คนไทยมีเลือดนักสู้ไม่เหมือนคน เม็กซิกัน หรือ อาร์เจนตินา ที่คนไทยจะออกมาสู้ก่อนที่หลังจะชนฝา สักวันในเร็วๆ นี้ถ้า ซีพี ยังทำเรื่องเอาเปรียบสังคมออกมาเรื่อยๆ วันนั้นคนไทยอาจจะลุกขึ้นมาสู้กับ ซีพี ....
.ถ้ารัฐบาลยังพึ่งไม่ได้ แม้แต่รัฐบาลทหารปัจจุบันนี้ก็ตาม ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ ผมคิดว่าประชาชนอาจจะต้องจับมือกันลุกขึ้นมาจัดการธุรกิจผูกขาดกันเอง


ต่อมาผู้เขียนได้โพสต์ข้อความในช่องแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง เนื่องจากได้รับคำชี้แจงจากบุคลากรของซีพีเกี่ยวกับกรณีการเข้าไปซื้อกิจการเทสโก้โลตัสของซีพี ระบุว่า มีคนที่ทำงานกับ ซีพี มาขอแก้ข่าวให้ข้อมูลว่าเวลานี้ดีลการซื้อโลตัสยังไม่จบ โลตัสยังไม่ใช่ของ ซีพี เพราะบริษัทแม่ยังตัดสินใจ ดังนั้นผมขอเพิ่มข้อมูลตามนี้ครับ

แต่ผมจะเพิ่มคำพูดของเจ้าสัวเมื่อตอนมีข่าวใหญ่ในดีลซื้อโลตัสว่า "แต่ถ้าหาก เทสโก้ โลตัส จะขาย ผมก็สนใจและพร้อมที่จะซื้อ เพราะนโยบายของผมคือ ตลาดในโลกนี้เป็นของซีพี วัตถุดิบในโลกนี้เป็นของซีพี คนเก่งในโลกนี้เป็นของซีพี เงินในโลกนี้เป็นของซีพี แต่อยู่ที่ว่าเราใช้เป็นหรือเปล่า เขายอมให้เราใช้หรือเปล่า"

( Cr. แนวหน้า)
First posted: 1 พฤษภาคม 2558 | 15:31
Author : paisan ….



ตอนนี้ก็มาถึง พื้นที่ 1,480,000 ตารางกิโลเมตร คือพื้นที่ซึ่งมีการปลูกพืช ที่ได้รับการตัดแปลงทางพันธุกรรม ตัวเลขในปี 2010 จากบันทึกของหนวยงาน ISSA (International Service for the Acqusition of Agri-biotech Applications) พื้นที่ดังกล่าว มีขนาดพอ ๆ กบประเทศฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี รวมกัน




(5) อุแม่เจ้า พริกหยวก G M O



https://www.facebook.com/myscitv/photos/a.468678016122.255756.151464141122/10150341253296123/?type=3&theater


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11555

ตอบตอบ: 22/06/2017 8:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

....
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   กระทู้นี้ถูกปิดคุณไม่สามารถแก้ไขคำตอบหรือตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3
หน้า 3 จากทั้งหมด 3

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©