-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ถาม-ตอบปัญหาเกษตร 27 JUL **ปลูกบัวบูชาพระ, *หน่อกล้วยแห้งเน่า. *กากน้ำตาลซื้อที่ไหน, *ลำไยผลเล็ก, *รวมสูตรปุ๋ยลำไย, *ฟักแฟงผลเบี้ยว, *แตงร้านแตงกวารสขม, *ปุ๋ยมะนาวกระถาง, *ปลูกเฉา ก๊วย, *ปลูกข้าวโพดหวาน, *น้ำหมักสาหร่ายทะเล, *ปลูกสะตอสุโขทัย
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ถาม-ตอบปัญหาเกษตร 27 JUL **ปลูกบัวบูชาพระ, *หน่อกล้วยแห้งเน่า. *กากน้ำตาลซื้อที่ไหน, *ลำไยผลเล็ก, *รวมสูตรปุ๋ยลำไย, *ฟักแฟงผลเบี้ยว, *แตงร้านแตงกวารสขม, *ปุ๋ยมะนาวกระถาง, *ปลูกเฉา ก๊วย, *ปลูกข้าวโพดหวาน, *น้ำหมักสาหร่ายทะเล, *ปลูกสะตอสุโขทัย
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ถาม-ตอบปัญหาเกษตร 27 JUL **ปลูกบัวบูชาพระ, *หน่อกล้วยแห้งเน่า. *กากน้ำตาลซื้อที่ไหน, *ลำไยผลเล็ก, *รวมสูตรปุ๋ยลำไย, *ฟักแฟงผลเบี้ยว, *แตงร้านแตงกวารสขม, *ปุ๋ยมะนาวกระถาง, *ปลูกเฉา ก๊วย, *ปลูกข้าวโพดหวาน, *น้ำหมักสาหร่ายทะเล, *ปลูกสะตอสุโขทัย

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 27/07/2014 8:44 pm    ชื่อกระทู้: ถาม-ตอบปัญหาเกษตร 27 JUL **ปลูกบัวบูชาพระ, *หน่อกล้วยแห้งเน่ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางรายการวิทยุ 27 JUL

AM 594 เวลา 08.10-09.00 & 20.05-20.30 ทุกวัน และ FM 91.0 (07.00-08.00 / วันอาทิตย์)

********************************************************************

สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่เคารพ
กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตร และอาชีพเสริม
ผลิตรายการโดยกองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก

@@ สนับสนุนรายการโดย ...
... บ.นิมุติ เอ็นจิเนียริ่ง เครื่องย่อยเศษพืช (02) 322-9175-6

... ยิบซั่มธรรมชาติ เฟอร์มิกซ์, ธันเดอร์พลัส, ธันเดอร์แคล, เอ็ม.แคล--- ธาตุรอง/ธาตุเสริม มัลติแชมป์ (089) 144-1112

... และ บ.มายซัคเซส อะโกร--- ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, กาวเหนียวดักแมลง มายฟิกส์, กลิ่นล่อแมลงวันทอง ฟลายแอต,
สารเสริมฤทธิ์สารสมุนไพร ไบโอเจ๊ต, ถังฉีดพ่นรุ่นใหม่ ใช้แบตเตอรี่ (081) 910-5034

กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น (คิม ซา กัสส์) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ
เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 ฝากข้อความ-ฝากคำถาม ที่ (081) 913-4986

----------------------------------------------------------------------------------------------

ตัวแทนจำหน่าย ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า. (อินทรีย์ – เคมี)

1) ชมรม (ใหญ่) สีสันชีวิตไทย (089) 814-3204 ใกล้ไฟแดง สี่แยกบางแพ ราชบุรี
2) “คุณชาตรี” (081) 841-9874 ทรัพย์ทวีการเกษตร ชัฎป่าหวาย สวนผึ้ง ราชบุรี (ส่งทาง ปณ.)

3) ร.ต.ต.นันท์สุรัตน์ (089) 821-8273 ต.จรเข้เผือก ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี (ส่งทาง ปณ.)
4) “คุณล่า” (081) 944-8494 ทุกวันจันทร์ ตลาดนัดวัดอมรญาติ ดำเนินสดวก ราชบุรี

5) “คุณประเสริฐ” (080) 110-4645 บ.เขาดิน หนองแขม เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี
6) “คุณอรุณ” (085) 058-1737 ในร้านโครงการหลวง ตลาด อตก.

7) “คุณพรพรรณ” (089) 814-7944 พลชัยเกษตรชีวภาพ ตลาดนัดธนบุรี ถ.เลียบคลองทวีวัฒนา
8 ) “คุณน้ำส้ม” (085) 055-7706 ชมรมฯ สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล พุทธมณฑลสาย 4 (ส่งทาง ปณ.)

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

@@ สารอาหาร (ปุ๋ย) เพื่อการสื่อสาร :

** ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง : ส่วนผสมหลัก .... อินทรีย์/เคมี (กุ้งหอยปูปลาทะเล, เลือด,
ไขกระดูก, นม, ขี้ค้างคาว, น้ำมะพร้าว, ธาตุหลักตามพืช, แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม

** ไบโออิ : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม)
** ยูเรก้า : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (21-7-14, ไคโตซาน, อะมิโนโปรตีน)
** ไทเป : ส่วนผสมหลัก ..... อินทรีย์/เคมี (นม, ไข่, น้ำมะพร้าว, 13-0-46. 0-52-34)


มิได้มีเจตนาโฆษณาผลิตภัณฑ์ แต่ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อง่ายต่อการสื่อสารข้อมูล เท่านั้น
.... ต้นพืชไม่รู้จักยี่ห้อ ไม่รู้จักเจ้าของสูตร .....
.... ไม่รู้เจ้าของคนปลูก ไม่ฟังโฆษณา .........
.... ต้นพืชรู้จักแต่ส่วนผสมหรือเนื้อใน .........

-----------------------------------------------------------


http://www.fm91bkk.com/home91/index.php/2012-02-28-14-53-47/32-2012-04-29-06-51-16/693-2012-04-29-06-46-29
-----------------------------------------------------------

จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : อยากได้วิธีปลูกบัวบูชาพระ ตั้งแต่เริ่มถึงเก็บดอก ได้เดอกมากๆ บำรุงอย่างไร ?
ตอบ :
* เตรียมดิน : ไถดะไถแปร ตากดินให้แห้ง 20-30 แดดจัด, หว่านยิบซั่ม กระดูกป่น ขี้วัวขี้ไก่ หว่านทั่วแปลงแล้วไถพรวน ปรับเรียบ, ปล่อยน้ำเข้าเหนือตาตุ่ม ทิ้งไว้ 7-10 วัน พร้อมลูก

* เตรียมปลูก : ใช้ไหลบัวฝังลงดินพอมิด ระยะห่างระหว่างกอ 1 ม. ระยะห่างระหว่างแถว 1.5 ม. ทิ้งไว้กระทั่งเริ่มเกิดยอดเป็นใบโผล่พ้นน้ำ ปล่อยน้ำเข้าให้สูงกว่ายอดบัว 1 ฝ่ามือ เลี้ยงไปเรื่อยๆเมื่อเห็นว่ายอดบัวโผล่พ้นน้ำก็ให้เติมน้ำสูงกว่ายอดบัว 1 ฝ่ามือ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ กระทั่งได้ระดับน้ำลึก 1-1.5 ม. หยุดเติมน้ำ

* บำรุงบัว :
- ทางใบ : ใช้ “น้ำ 20 ล. + นมสด 20 ซีซี. หรือ ฮอร์โมนไข่สูตรที่มีสารอาหาร 13-0-46, 0-52-34 (20 ซีซี.) อาทิตย์ละครั้ง

- ทางราก : ให้ “น้ำ 20 ล. + น้ำหมักชีวภาพสูตรที่มีสารอาหาร 50 ซีซี. + 8-24-24 (100-200 กรัม) แหย่หัวฉีดลงไปในน้ำถึงพื้นดิน น้ำหมักฯ กับปุ๋ยซึ่งหนักกว่าน้ำจะอยู่ที่ผิวดินไต้น้ำ รอเวลาให้บัวเอาไปกินเอง เดือนละครั้ง

หมายเหตุ :
ชาวนาบัวย่านปทุมธานี, มหาสวัสดิ์ ใช้สูตรนี้ประจำ ผลคือ ดอกมากขึ้น สีจัดขึ้น ใบใหญ่หนาขึ้น ฝักดีขึ้น ไหลดีขึ้น

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ซื้อหน่อกล้วยมาแล้วปล่อยไว้ 5-7 วัน ใบเหลือง แห้ง แก้ไขอย่างไร....?
ตอบ :
- กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยตานี น่าจะบอกมาหน่อยว่ากล้วยอะไร

- ขึ้นชื่อว่าหน่อกล้วย ขุดแยกจากกอแม่มาแล้วควรรีบนำลงปลูกทันที หรือค้างไว้ด้วยระยะเวลาสั้นที่สุด ปล่อยไว้นานใบจะเหลือง เหี่ยวแห้ง แล้วเอาไปปลูกจะชะงักการเจริญเติบโต หรือไม่ก็ตายไปเลย

- หน่อกล้วยน้ำว้า ขุดแยกจากกอแม่มาแล้วตัดรากที่ติดมากับเหง้าออกให้หมด เขาจะสร้างรากใหม่เอง
- หน่อกล้วยหอม กล้วยไข่ ให้เก็บรากเดิมมาให้มากที่สุด เพราะรากใหม่จะเจริญยาวต่อจากรากเดิม

– กล้วยทุกสายพันธุ์ ตอสนองต่อน้ำหมักชีวภาพดีมากๆ .... ใช้ผักปอดคลุมโคนหนาๆ รดด้วยน้ำหมักชีวภาพเดือนละครั้ง ไม่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีแม้แต่เม็ดเดียว แล้วทุกอย่างจะดีเอง

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : จะทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ หาซื้อกากน้ำตาลซื้อได้ที่ไหน....?
ตอบ :
- ย่านที่เขาเลี้ยงวัวนม เขาเอาไปราดหญ้าให้วัวกิน
- นอกจากกากน้ำตาลแล้ว อย่างอื่นใช้แทนได้ไหม.........น่าจะถาม คำถามนี้
หรือมีทางเลือกอย่างอื่น ให้ทำ-ให้ใช้ อีกหรือเปล่า.........คำถามนี้ ก็น่าถาม

- ลุงคิมซื้อตามร้านริมถนนสาย จากบ้านพุทธมณฑล ไป ไร่กล้อมแกล้ม
มีหลายร้าน ร้านเล็กร้านใหญ่ ไม่ได้วิ่งไปซื้อถึงอรัญญประเทศหรอกน่ะ

- อยากจะบอกว่าที่ไหนๆก็มีขาย ยกเว้นบ้านคุณ ประมาณนั้น
- รึจะไป เซเว่นบิ๊กซีเซ็นทรัล. บอกคนขาย ซื้อขายกันโดยเฉพาะ กก.ละ 3,000

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ลำไย กาญจนบุรี ผลเล็ก แก้ไขอย่างไร....?
ตอบ :
* สูตร ขยายขนาด-หยุดเมล็ด-สร้างเนื้อ เริ่มให้ตั้งแต่เป็นผลเล็ก :
- ทางใบ : ให้ 21-7-14 + ธาตุรอง/ธาตุเสริม + ไคโตซาน + อะมิโน โปรตีน ทุก 10วัน .... ทุกวันพุธแรกของเดือนให้แคลเซียม โบรอน..... ทุกวันพุธที่สามของเดือนให้น้ำตาลทางด่วน

- ทางราก : ให้ 21-7-14 (1/2-1 กก.) /ต้น /15 วัน

หมายเหตุ :
– ปุ๋ยทางใบจะเกิดประสิทธิภาพดีต่อเมื่อ ต้นมีความสมบูรณ์รองรับ ความสมบูรณ์ของต้นมาจากการบำรุงอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ทั้งช่วงมีผลบนต้นและขณะมีผลบนต้น ทั้งทางใบและทางราก ....

– บำรุงช่วงไม่มีผลบนต้น :
* ทางใบ : ให้แม็กเนเซียม. สังกะสี. แคลเซียม โบรอน. น้ำตาลทางด่วน.
*ทางราก : ใส่ยิบซั่ม กระดูกป่น ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ หญ้าแห้งใบไม้แห้งคลุมโคนต้นหนาๆ ให้น้ำหมักชีวภาพเดือนละครั้ง ให้ปุ๋ยเคมีสูตรตามระยะพัฒนาการ อัตรา 1/2 - 1 กก./ต้น /เดือน ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้น

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ปุ๋ยลำไยมีกี่สูตร....?
ตอบ :
@@ ตามระยะพัฒนาการ :
1. เรียกใบอ่อน : ทางใบ 25-5-5 ....................................... ทางราก 25-7-7
2. สะสมตาดอก : ทางใบ 0-42-56 .................................... ทางราก 8-24-24
3. ปรับ ซี/เอ็น เรโช : ทางใบ ธาตุรอง/ธาตุเสริม ......................... ทางราก งดน้ำงดปุ๋ย
4. เปิดตาดอก : ทางใบ 13-0-46 ...................................... ทางราก 8-24-24
5. บำรุงดอก : ทางใบ 15-30-15 (หน้าแล้ง) 0-52-34 (หน้าฝน) ... ทางราก 8-24-24
6. บำรุงผลเล็ก : ทางใบ 21-7-14 ..................................... ทางราก 21-7-14
7. บำรุงผลกลาง : ทางใบ 21-7-14 .................................... ทางราก 21-7-14
8. บำรุงผลแก่เก็บเก็บเกี่ยว : ทางใบ 0-21-74 .......................... ทางราก 13-13-21

หมายเหตุ :
- สังเกตุ ! .... ที่นี่ไม่มีสูตรเสมอ (15-15-15, 16-16-16 = สูตรสิ้นคิด)

- ทั้งหมดนี้เฉพาะธาตุหลัก (N P K) อย่างเดียว .... ธาตุรอง/ธาตุเสริม/ฮอร์โมน ต้องว่ากันอีกต่างหาก เรื่องนี้ยาว เขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ พูด 3วัน 4คืนไม่จบ

- ในแต่ละขั้นตอนหลัก (8 ขั้นตอน) ยังมี "ขั้นตอนย่อย" อีกหลายรายการ เช่น เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่, กดใบอ่อนสู้ฝน, บำรุงผลต่างรุ่น, บำรุงผลรุ่นเดียวกัน, ฯลฯ

- ปุ๋ยแต่ละสูตรที่ว่ามา หน้าตาเป็นยังไง ? ใช้ยังไง ? ใช้เท่าไหร่ ? ที่ไหนมีขาย ? ราคาเท่าไหร่ ? อีกหลายๆหัวข้อที่่คนระดับ "มืออาชีพ" เขารู้ .... ถามว่า รู้แล้วดีหรือไม่ดีล่ะ ?

– ดังกล่าวแล้วว่าปุ๋ยไม่ใช่ของวิเศษ ถ้าปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ ดิน-น้ำ/แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สายพันธุ์-โรค ไม่เหมาะสม ให้ปุ๋ยไปก็ไร้ประโยชน์

- รูปแบบการเกษตร .... บางพืช อินทรีย์นำ-เคมีเสริม.... บางพืช เคมีนำ-อินทรีย์เสริม.... ต้องพิจารณาใช้ ตามความเหมาะสมของพืชนั้นๆ เช่น มะเขือพริกเปรียบเทียบกับลำไยทุเรียน ย่อมไม่ได้

- สมการปุ๋ย :
ปุ๋ยถูก + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ปุ๋ยผิด + ใช้ถูก = ไม่ได้ผล
ปุ๋ยผิด + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลังสอง
ปุ๋ยถูก + ใช้ถูก = ได้ผล ยกกำลังสอง

* ปุ๋ยถูก หมายถึง ถูกสูตร ถูกประเภท ถูกอัตรา ถูกชนิด และอื่นๆที่เกี่ยวกับตัวปุ๋ย
* ใช้ถูก หมายถึง ถูกดิน ถูกน้ำ ถูกอุณหภูมิ ถูกระยะ ถูกชนิด ถูกวิธี และอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพืช
* ไม้ผลทุกชนิด ใช้สูตรนี้เป็นพื้นฐาน แล้วปรับบางตัวสำหรับพืชบางชนิดและบางปัจจัยพื้นฐานที่ต่างกัน

* เรื่องนี้เหมือนยาก ถ้าทำเป็นแล้วไม่ยาก ถ้าทำไม่เป็นก็ยากเป็นธรรมดา เชื่อเถอะ ไม่มีใครรู้อะไรมาตั้งแต่เกิดหรอก พระศาสดายังทรงเรียนหนังสือ เพราะเราไม่ได้เรียนเรื่องนี้มาก่อน ก็ต้องมาเรียนเอาตอนโตนี่แหละ เรียนโดยการปฏิบัติไปเลย เรียนแล้วรู้แล้วจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ขยายผลต่อยอดไปเป็นอย่างอื่นได้อีก .... งานแรก ขอให้ทำความรู้จักปุ๋ยสูตรต่างๆก่อนว่า "หน้าตาเป็นยังไง-มีขายที่ไหน-ราคาเท่าไหร่-ผสมยังไง-ใช้ยังไง-ใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับอย่างอื่น-ฯลฯ" เป็นต้น เท่าที่ประสบมาบอกได้ว่า ยากที่ใจ เพราะใจไม่เอานี่แหละถึงได้ยาก แม้แต่ที่ซื้อมาใช้ๆนั้นน่ะ ถามจริง มันใช่เหรอ ? มีความรู้แค่โฆษณาหรือเปล่า ? หลงกระแสหรือเปล่า ? ใครๆก็ทำได้ ยกเว้นเราหรือเปล่า ?

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ฟักแฟงผลบิดเบี้ยว แก้ไขอย่างไร....?
ตอบ :
- นอกจาก ฟัก แฟง แล้วยังหมายรวมไปถึง บวบ มะระ มะเขือ ก็เกิดอาการนี้ได้
- เกิดจากถูก “เพลี้ยไฟ” เข้ากัดกินผิว ทำให้เซลล์ไต้ผิวบริเวณนั้นหยุดการเจริญเติบโต ในขณะที่ผิวบริเวณอื่นยังปกติ ผลจึงโตเฉพาะส่วนที่ไม่ถูกเพลี้ยไฟทำลาย เมื่อการเจริญเติบโตของผลไม่เท่ากันทั่วผล คือ ผลบิดเบี้ยวนั่นเอง

- ป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ ฉีดน้ำเปล่าๆก็ได้ แต่มีข้อแม้ต้องฉีดตอนเที่ยง เพราะเพลี้ยไฟมาตอนเที่ยง การฉีดน้ำต้องฉีดโชกๆ ถ้าฉีดไม่โชกจะทำน้ำร้อนลวกใบเสียหายได้

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : แตงร้าน แตงกวา รสขม แก้ไขอย่างไร ....?
ตอบ :
ความขมเกิดขึ้นมาจากสาร cucurbitacin (เป็นสารประกอบ terpenoid) 2 ตัว ซึ่งมีผลทำให้เกิดรสขมในต้นอ่อน ราก ลำต้น ใบ และผล การควบคุมรสขมในพืชตระกูลแตง (บอกอย่างนี้ดีกว่า เพราะไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในแตงกวา) มาจากยีน 2 ตัว ถ้า ยีนนี้เป็นยีนเด่นมันก็จะผลิตรสขมออกมา แต่ถ้าเป็นยีนด้อยมันก็จะไปห้ามการสร้างสาร cucurbitacin ซึ่งทำให้เกิดรสขมในผลและใบ โดยเอนไซม์ที่ชื่อ elaterase จะไปทำปฏิกิริยาดึงน้ำออกจนได้สารประกอบที่มีรสขม การทำงานของเอนไซม์นี้ขึ้นอยู่กับยีนสองตัวที่กล่าวมา อย่างไรก็ตาม สาร cucurbitacin จะสะสมมากในปลายทั้งสองข้างของผล และสะสมในผลข้างเคียงด้วย (เหมือนโรคระบาดจริงๆ เลย) การเกิดรสขมนี้อาจจะเกิดมาจากการสร้างเอ็นไซม์ elaterase ยับยั้งจากสภาพสิ่งแวดล้อม (พืชเกิดภาวะเครียดนั่นเอง) ก็ได้

อุณหภูมิสูง ความชื้นต่ำ การโดนแสงน้อย(อยู่ในร่ม) ระยะห่างระหว่างต้นน้อยเกินไป การให้น้ำที่น้อย มีโรคทางใบ ใส่ปุ๋ยน้อย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรสขมในพืชตระกูลแตงครับ

ถ้าคุณเป็นผู้ปลูก ควรหมั่นระมัดระวังเรื่องพวกนี้ และเลือกสายพันธุ์ลูกผสมที่ดีด้วย เพื่อทำให้ผลผลิตมีปริมาณมาก และมีคุณภาพ

ถ้าคุณเป็นผู้บริโภค แล้วคุณเจอแตงกวาขม ... ก็ถือว่าเป็นบุญแล้วกัน เพราะนานๆ จะได้กินที

------------------------------------------------------

ความขมของแตงกวา แตงล้าน และบวบ เกิดจากสารในผลแตง ผลบวบที่มีชื่อว่า Cucurbitacin ค่ะ ซึ่งเจ้าสารตัวนี้เนี่ย ส่งผลทำให้เกิดรสขมในต้นอ่อน ราก ลำต้น ใบ และผล ของพืชตระกูลแตงทั้งหลายค่ะ

ในพืชตระกูลแตงทั้งหลาย ไม่ว่าจะแตงล้าน แตงกวา บวบ ... จะมีสารตัวนึงซึ่งชื่อว่า Cucurbitacin ที่เกิดจากยีน 2 ตัว ..... ช่วยควบคุมรสขมอยู่ค่ะ แล้วเจ้ายีน 2 ตัวนี้เนี่ย ถ้ามันเป็นยีนเด่นมันก็จะควบคุมทำให้แตงไม่เกิดรสขม แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็นยีนด้อย (เกิดจากสายพันธุ์) มันก็จะไปห้ามการสร้างสาร CuCurbitacin ซึ่งเมื่อสาร cucurbitacin ไม่ถูกสร้างขึ้นมา ก็จะส่งผลให้เอนไซน์ที่ชื่อว่า Elaterase ไปทำปฏิกิริยาดึงน้ำจากผลออก จนทำให้พืชตระกูลแตงมีรสขม โดยรสขมจะมีมากในปลายผลทั้งสองด้าน (ตรงกลางจะไม่ค่อยขม) และยังระบาดหรือส่งผลไปยังผลแตง ผลบวบที่อยู่ข้างเคียงอีกด้วย

นอกจากนี้... อุณหภูมิที่สูงเกินไป ความชื้นที่ต่ำเกินไป หรือว่าโดนแสงน้อยไป ระยะห่างระหว่างต้นน้อยเกินไป ใส่ปุ๋ยน้อยไป หรือการที่มีโรคทางใบ ก็เป็นอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดรสขมในพืชตระกูลแตงได้อ่ะค่ะ

ถ้าหากเป็นแถวบ้านแก้มใส แตงขม คือ แตงที่ขาดน้ำค่ะ


http://www.pim.in.th/others/196-bitter-cucumber.html
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=22930ebbcf8650f8

-----------------------------------------------------



จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : อยากให้มะนาวกระถางลูกใหญ่ ใช้ปุ๋ยสูตรไหน ....?
ตอบ :
- เหมือนมะนาวบนพื้น ทุกประการ ทั้งทางใบทางราก

- ทางใบ : ให้สูตรสหประชาชาติ “แม็กเนเซียม. สังกะสี. 0-52-34, 13-0-46, 21-7-14, ไคโตซาน, อะมิโน โปรตีน. ธาตุรอง, ธาตุเสริม” ทุก 10 วัน .... ทุกวันพุธแรกของเดือนให้แคลเซียม โบรอน .... ทุกวันพุธที่สามของให้น้ำตาลทางด่วน

- ทางราก : ใส่ยิบซั่ม กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ, ปุ๋ยอินทรีย์เม็ด ทุก 3 เดือน. ให้น้ำหมักชีวภาพ 8-24-24 สลับเดือนน้ำหมักชีวภาพ 21-7-14, ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้น

- มะนาวในกระถางหรือในวงปูนถูกจำกัดด้วยธรรมชาติ รากจะออกไปหาสารอาหารนอกวงปูนไม่ได้ อาหารนอกวงปูนจะเข้าไปหารากก็ไม่ได้ เหมือนนกอยู่ในกรง เพราะฉะนั้นผู้ปลูกมะนาวในวงปูนจะต้องคนให้สารอาหารทั้งอินทรีย์และเคมี ครบสูตรทั้งทางใบและทางรากอย่างสม่ำเสมอ

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : เฉาก๊วยทำมาจากอะไร....?
ตอบ :
- เรียนตามตรงว่า ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ที่จะนำมาตอบแบบปากเปล่าในรายวิทยุได้เลย ขอเวลาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ตก่อน แล้วตามไปอ่านในเนตเว้บ เกษตรลุงคิมดอทคอม ก็แล้วกัน

- เฉาก๊วย เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นกลม เปราะ และหักง่าย คล้าย สะระแหน่ กิ่งก้านแผ่กว้างคลุมดิน ยาวได้ 2-3 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม เป็นรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบจักเป็นฟันเลื้อย ก้านใบสีขาว ยาวประมาณ 1-1.5 ซม. ใบเป็นสีเขียวสด เวลาใบดกจะหนาแน่น ทำให้น่าชมมาก

ดอก : เป็นสีขาว ออกเป็นช่อแบบเชิงลด คล้ายดอกกระเพราตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก เวลามีดอกดกและบานพร้อมๆกัน จะแปลกตามาก ดอกจะออกได้เรื่อยๆเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีปักชำกิ่ง

การปลูก : ขึ้นได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดดและความชุ่มชื้น ดังนั้น ก่อนปลูกจึงควรผสมกาบมะพร้าวแห้งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พร้อมใส่แกลบดำลงไปอย่างละ 1 ส่วน เพื่อให้อุ้มน้ำชุ่มชื้นตลอดเวลา เหมาะจะปลูกทั้งแบบลงดินกลางแจ้ง และลงกระถางปากกว้าง ตั้งไว้ตามหัวเสา รั้วหน้าบ้าน หลังปลูกบำรุงด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก 10 วัน/ครั้ง จะทำให้ต้นเฉาก๊วยเจริญเติบโตเร็ว และสามารถเก็บใบใช้ประโยชน์ได้

การผลิตเฉาก๊วยให้อร่อย ต้องใช้เฉาก๊วยถึง 3 สายพันธุ์ คือ ต้นเฉาก๊วยจากจีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม เหตุเพราะมีความแตกต่างกันทางคุณลักษณะ คือ เฉาก๊วยเวียดนามจะมีความหวานมากกว่า ส่วนอินโดนีเซียจะให้ความเหนียวนุ่ม และของจีนก็ใช้สำหรับผสมเพื่อให้รสกลมกล่อม ..... เริ่มต้นแค่วัตถุดิบก็ไม่ง่ายซะแล้ว

ต้นที่ใช้ได้จะมีขนาดความสูงประมาณสองฟุต ซึ่งไม่สามารถปลูกในเมืองไทยได้ ต้องนำเข้า 100% เริ่มการผลิตโดยนำต้นที่ตากแห้งแล้ว มาต้มเพื่อให้ยางเฉาก๊วยออกมา ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วกรองเศษเปลือกออก จากนั้นนำมาเคี่ยวจนได้ที่อีก 3 ชั่วโมง แล้วกรองอีกครั้งก่อนผสมน้ำเชื่อม กวนต่อให้ผสมเข้ากันดี กรองอีกครั้งแล้วพักไว้เพื่อทำการกวนขั้นสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์สูงในการตรวจสอบ แล้วจึงเทใส่ถาด พักไว้จนแข็งตัว นำไปตัดด้วยเครื่องที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ แล้วจึงบรรจุ

http://www.navy34.com/board342550/index.php?topic=2247.0;prev_next=next

เครื่องปรุง
1. หญ้าเฉาก๊วย 125 กรัม
2. ผงโซดาแอช 1 ช้อนโต๊ะ
3. แป้งเท้ายายม่อม 1 ถ้วย
4. น้ำสำหรับต้มหญ้าเฉาก๊วย 18 ถ้วย
5. น้ำ 8 ถ้วย
6. น้ำตาลทรายแดง ( สีรำ )
7. น้ำแข็งบด

วิธีทำ
1. ล้างหญ้าเฉาก๊วยให้สะอาด ใส่ลงในหม้อ
2. ใส่น้ำ 10 ถ้วย ต้มด้วยไฟกลางให้เดือด
3. ลดไฟอ่อน แต่น้ำยังเดือดอยู่ ต้มนาน 1 ชั่วโมง
4. ให้เติมน้ำอีก 4 ถ้วย แล้วต้มต่ออีก 1 ชั่วโมง
5. ใส่น้ำที่เหลือจนหมด ต้มต่อจนครบ 3 ชั่วโมง
6. ใส่ผงโซดาแอชในหม้อหญ้าเฉาก๊วย คนพอทั่ว ต้มอีกประมาณ 15 นาที ยกลง ทิ้งไว้พออุ่น
7. ขยำสักครู่ กรองด้วยผ้าขาวบาง 3 ชั้น กรองเอาหญ้าเฉาก๊วยออก แล้วเติมน้ำ 8 ถ้วยลงไป ยกขึ้นต้มต่อให้เดือดสักครู่
8. ใส่แป้งเท้ายายม่อมละลายกับน้ำเล็กน้อย คนเร็วๆ อย่าให้แป้งจับตัวเป็นก้อน
9. เทใส่ภาชนะ ทิ้งไว้ให้เย็นก็จะแข็งอยู่ตัว

วิธีรับประทาน
ตักเฉาก๊วยหรือหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ถ้วย
ใส่น้ำตาลทรายสีรำ น้ำแข็งทุบตามต้องการ คนพอให้น้ำตาลละลาย รับประทานเย็นๆ เคล็ดลับความอร่อย

ส่วนผสมต่างๆ ในการทำเฉาก๊วย หาซื้อได้ที่ร้านแป้ง ถนนเยาวราชตรงหัวถนนมังกร หญ้าเฉาก๊วยจะมีลักษณะเหมือนหญ้าแห้งๆ ห่อกระดาษเป็นทรงสี่เหลี่ยม ขนาดใหญ่กว่าอิฐมอญนิดหน่อย มี 2 ราคา (95 กับ 105 บาท) อย่างถูกจะมีก้านเยอะ แต่อย่างแพงจะมีใบเยอะกว่าก้าน ซึ่งจะดีกว่า เพราะจะทำให้เนื้อเฉาก๊วยมีสีดำและนุ่มหยุ่นเป็นดี ผงโซดาแอช ภาษาจีนเรียก "แป้งเป๊กกี่" ใช้ใส่ตอนก่อนจะยกลง 15 นาที เพื่อให้เฉาก๊วยเปื่อยนุ่ม และให้สารในใบเฉาก๊วยออกมาดี (กิโลกรัมละ 16 บาท) แป้งเท้ายายม่อม ช่วยทำให้เฉาก๊วยมีความเหนียวใส มี 2 ราคา (20 กับ 60 บาท) ราคาแพงจะเหนียวใสกว่า แป้งชนิดนี้ต้องบดให้ละเอียด ก่อนตวง

http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=momchaluay&topic=11

-----------------------------------------------------


จาก : สมช. สวพ. FM 91.0 (07.00-08.00 / อาทิตย์)
ข้อความ : ขอวิธีปลูกข้าวโพดหวาน ตั้งแต่เริ่มต้น ถึงได้ฝักใหญ่ๆ....?
ตอบ :
1. เตรียมดิน : ไถดะไถแปร ใส่ยิบซั่ม กระดูกป่น ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ ใส่ครั้งเดียวปลูกข้าวโพดได้ 3 รุ่น หรือจะเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น ทำได้ทันที .... ไถพรวนชักร่องเป็นร่องลูกฟูก คลุมสันแปลงด้วยแห้งหนาๆ รดด้วยน้ำหมักชีวภาพที่มีสารอาหาร ปล่อยไว้ 15-20 วัน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ปรับสภาพดิน และสร้างสารอาหารรอไว้ก่อน

ที่นี่เน้นย้ำน้ำหมักชีวภาพสูตรที่มีสารอาหาร เพราะพืชต้องสารอาหาร หากน้ำหมักชีวภาพไม่มีสารอาหาร ใส่ให้แก่พืชลงไปจะได้ประโยชน์อะไร เมื่อจะใช้น้ำหมักชีวภาพ ทดแทนปุ๋ยเคมีก็ต้องทำให้น้ำหมักชีวภาพนั้นมีสารอาหารด้วย จากงานวิจัยระบุว่า น้ำหมักชีวภาพที่ทำจากสัตว์ทะเล ให้สารอาหารมากที่สุดทั้งชนิดและปริมาณ รองลงมา คือ ปลาน้ำจืด รองลงมาคือหอยเชอรี่ รองลงมาหรือน้อยที่สุดคือผักผลไม้ นอกจากวัสดุที่นำมาทำแล้ว เทคนิคหรือวิธีในการทำก็มีส่วนสำคัญอีกด้วย ....

บางครั้งก็อยากถามคนที่ไปสอนชาวบ้าน คนสอนมีความรู้พื้นฐานระดับปริญญา ไม่มีความรู้เรื่องสารอาหารพืช ไม่มีหลักในการ “คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ” เลยหรือว่า ที่ให้ชาวบ้านทำๆกันนั้น มันใช่สารอาหารพืชหรือไม่ ถ้าใช่แล้วคือสารอาหารตัวไหน แต่ละตัวมีมากมีน้อยแค่ไหน มองเผินๆ นี่คืองาน “ต่อต้าน” ไม่ใช่ “ส่งเสริม” ชัดๆ หมายความว่า สอนผิดๆ ใช้แล้วไม่ได้ผล ชาวบ้านก็จะไม่ใช้ แล้วหันไปใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดิม

2. เตรียมเมล็ดพันธุ์ : แช่เมล็ดพันธุ์ใน “น้ำ + สังกะสี. + ไคโตซาน + โบรอน” นาน 6 ชม. .... นำขี้นห่มชื้น 24-36 ชม. เมล็ดเริ่มมีรากปริ่มออกมา นำไปหยอด หลุมละ 2 เมล็ด .... ดินในหลุมปลูกคลุกด้วย ใบสาบเสือ ใบยูคา ตากแห้งบดละเอียด ป้องกันแมลงในดินกินเมล็ด .... หยอดเมล็ดแล้วรดด้วยน้ำหมักชีวภาพตัวเดิม 1 ครั้ง เป็นการให้น้ำ ....

ประสบการณ์ตรงเทคนิคนี้ เมื่อครั้งลูกๆ นศ.ลาดระบัง ไปฝึกงานที่ไร่กล้อมแกล้ม เพาะเมล็ดข้าวโพดหวาน เปอร์เซ็นต์งอก 200% คือ 1 เมล็ดงอก 2-3 ต้น จำนวนกว่า 100 ต้นจากทั้งแปลง 300 หลุม .... (สังกะสี. โบรอน. ส่งเสริมการงอกของรากของเมล็ด, ไคโตซาน. ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมากับเมล็ดพันธุ์ และเป็นฮอร์โมนขยายขนาดโดยสะสมไว้ตั้งแต่ก่อนงอกเป็นต้น)

3. บำรุงระยะต้นเล็ก : รดด้วยน้ำหมักชีวภาพสูตรเดิม 1 ล. + 25-7-7 หรือ 30-10-10 หรือ 16-8-8 สูตรใดสูตรใดสูตรหนึ่ง 2 กก. ละลายให้เข้ากันดี สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ โดยรดโคนต้น ให้ตอนเย็นก่อนค่ำดีกว่าให้ตอนกลางวัน .... ให้ 2 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน .... ระยะนี้หาโอกาสให้แคลเซียม โบรอน ฉีดทางใบ 1 ครั้ง

4. บำรุงระยะก่อนออกดอกยอด :
.... ทางดิน : ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรเดิม 1 ล. + 8-24-24 (1 กก.) ละลายให้เข้ากันดี สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ 1 รอบ รดโคนต้น ตอนเย็นก่อนค่ำดีกว่าให้ตอนกลางวัน

.... ทางใบ : ให้ฮอร์โมนไข่สูตรที่กำลังฮอตฮิต 3-4 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน ระยะนี้หาโอกาสให้แคลเซียม โบรอน ฉีดทางใบ 1 ครั้ง

หมายเหตุ :
ฮอร์โมนไข่ส่วนที่เป็นอินทรีย์ ทำจาก ไข่ นม น้ำมะพร้าว จุลินทรีย์กลุ่มยิสต์ .... ส่วนที่เป็นเคมี คือ 0-52-34, 13-0-46, แม็กเนเซียม. สังกะสี. ธาตุรอง/ธาตุเสริม เกรด อีดีทีเอ. คีเลต.

- เริ่มให้ตั้งแต่ก่อนออกดอกยอด 7 วัน ให้ไปเรื่อยๆ 7 วันต่อครั้ง กระทั่งมีดอกยอดแล้วมีฝักแรกออกมา กระนั้นก็ยังให้ต่อไปอีกจะได้ฝักที่สอง ฝักที่สาม และอาจะแถมฝักที่สี่ด้วย ถ้าปัจจัยพื้นฐานพร้อม

5. บำรุงระยะเป็นฝักแล้ว :
.... ทางดิน : ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรเดิม 1 ล. +21-7-14 (1 กก.) ละลายให้เข้ากันดี สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่ ให้ 1 รอบ รดโคนต้น ตอนเย็นก่อนค่ำ ดีกว่าให้ตอนกลางวัน

.... ทางใบ : ให้ “น้ำ 100 ล. + 21-7-14 จี. 400 กรัม + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (เกรด อีดีทีเอ. คีเลต) 25 กรัม + ไคโตซาน 100 ซีซี. + อะมิโนโปรตีน 100 ซีซี.” 2 รอบ สลับด้วยแคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน

หมายเหตุ :
- การให้ทางดินตอนเย็นได้ผลดีกว่าให้ตอนกลางวัน เพราะต้นพืชดูดสารอาหารจากรากขึ้นสู่ต้น (ล่างขึ้นบน) ไปไว้ที่ใบตอนกลางคืน เพื่อรอสังเคราะห์แสงตอนกลางวันในวันรุ่งขึ้น

- การให้ทางใบตอนกลางวัน แดด 100% ได้ผลดี เพราะต้นพืชจะสังเคราะห์อาหารที่สะสมไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน แล้วส่งลงไปให้ส่วนต่างๆ ของต้น (บนลงล่าง) ในตอนกลางวัน

– น้ำหมักชีวภาพควรมีสารอาหารอินทรีย์ ฯลฯ, สารอาหารเคมี ธาตุหลัก (สูตรตามระยะพัฒนาการ) แม็กเนเซียม สังกะสี ธาตุรอง/ธาตุเสริม เป็นแบบ “อินทรีย์ เคมี” ผสมผสานกัน หรืออินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของต้นข้าวโพด....น้ำหมักชีวภาพให้ทางใบพืชรับไม่ได้ เพราะโมเลกุลใหญ่ผ่านปากใบไม่ได้

– ธาตุหลัก (สูตรตามระยะพัฒนาการ) บำรุงต้นให้สมบูรณ์ แข็งแรง
- สังกะสี. โบรอน. บำรุงให้ออกดอกดี ทั้งดอกยอด (ดอกตัวผู้) และไหมที่ฝัก (ดอกตัวเมีย)
- สังกะสี. ช่วยสร้างแป้งและน้ำตาลโดยตรง ช่วยทำให้คุณภาพของข้าวโพดดี
- แมกเนเซียม. ช่วยสร้างคลอโรฟีลด์ ใบข้าวโพดจะเขียวสังเคราะห์อาหารได้จนถึงวันเก็บเกี่ยว
- การให้ 21-7-14 (สูตรขยายขนาดผล) ทั้งทางใบทางราก เท่ากับให้ 2 เด้ง ช่วยให้ได้ฝักขนาดใหญ่
- การให้แคลเซียม โบรอน ทำให้คุณภาพดี เนื้อมาก เปลือกหุ้มเมล็ดบางและนิ่ม เวลาทาน ไม่ติดฟัน
- ข้าวโพดฝักสดต้องให้น้ำสม่ำเสมอ พอหน้าดินชื้น แยกให้ออกระหว่าง ชื้น-ชุ่ม-โชก-แฉะ-แช่

- ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้มีแต่เรื่องสารอาหาร (ปุ๋ย) เพราะทัศนคติของเกษตรกรไทยคิดว่าปุ๋ยคือสิ่งสำคัญที่สุดในการปลูกพืช ในคำตอบนี้ไม่มีเรื่องยาป้องกันกำจัดโรคและแมลงเลย เพราะไม่ได้ถาม .... จึงอยากถามย้อนว่า การเกษตรเนี่ยมันง่ายนักเหรอ ความจริงไม่ยากแต่รายละเอียดขั้นตอนมันมาก เพราะฉะนั้นต้องเตรียมการแล้วปฏิบัติให้ครบทุกขั้นตอน อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ ตามความเหมาะสมของข้าวโพดอย่างแท้จริง จึงจะได้ผล

-----------------------------------------------------


จาก : (084) 183-36xx
ข้อความ : พืชทะเลที่เรียกว่าสาหร่ายทะเล กับสาหร่ายน้ำจืด เอามาทำน้ำหมักชีวภาพแบบระเบิดเถิดเทิง อย่างไหนได้สารอาหารมากกว่ากัน สาหร่ายทะเลที่ขายในตลาดเปิดตาดอก ทำมาจากจากสาหร่ายทะเลจริงหรือไม่ สาหร่ายเกลียวทองที่คนกินมีสารอาหารอะไรบ้าง .... ขอบคุณครับ
ตอบ :
- คำตอบเบื้องต้น ทั้งสาหร่ายทะเล และสาหร่ายน้ำจืด มีโปรตีนเป็นหลัก
- ตามหลักวิชาการโภชนาการ ว่าด้วยอาหารการกิน ระบุชัดเจนว่า ในพืชมีธาตุอาหาร แต่มีน้อยกว่าเนื้อสัตว์ ยกตัวอย่าง คนกินเจ กินแต่ผักผลไม้ หมอยังบอกว่าระวังร่างกายจะขาดโปรตีน เพราะฉะนั้นให้พยายามกินผักผลไม้ที่มีโปรตีน คือ ถั่ว มากๆ

- ธาตุอาหารได้แก่ ไนโตรเจน. ฟอสฟอรัส. โปแตสเซียม. แคลเซียม. แม็กเนเซียม. สังกะสี. เหล็ก. ทองแดง. สังกะสี. แมงกานิส. โมลิบดินั่ม. โบรอน. ซิลิก้า. โซเดียม. ทั้งในพืชและในสัตว์ เพียงแต่ธาตุอาหารตัวไหนมีที่ ส่วนไหน-ชนิดไหน-ระยะไหน-สภาพ แวดล้อมแบบไหน-ฯลฯ เท่านั้น

- ในพืชมีธาตุอาหารเหล่านี้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสัตว์ แต่ในพืชจะมี “ฮอร์โมน” มากกว่าสัตว์ ดังนั้น เมื่อนำพืชมาเข้ากรรมวิธีในการทำเพื่อให้ได้สารอาหารสำหรับพืชจึงได้แต่ฮอร์โมนเป็นหลัก

- พืชบก (บก-น้ำ-ครึ่งบกครึ่งน้ำ....จืด) หรือพืชทะเล (บก-น้ำ-ครึ่งน้ำครึ่งบก....ทะเล) แท้ๆ จึงมีแต่ฮอร์โมน พืชบางชนิดเท่านั้นที่มี “โปรตีน” สูง พืชบกได้แก่ถั่ว สาหร่ายน้ำจืด (เทา น้ำเงินแกมเขียว สาหร่ายเกลียวทอง) พืชทะเลได้แก่ สาหร่ายช่อพริกไทย หญ้าทะเล สาหร่ายที่เอามาห่อม้วนข้าวญี่ปุ่น

- สาหร่ายทะเลเปิดตาดอกที่วางขายตามท้องตลาด ทำมาจากสาหร่ายทะเลลึกเมืองหนาวขั้วโลกเหนือ แถบประเทศสแกนดิเนเวีย สวีเดน เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ ในความเป็นจริงมีโปรตีนสูง มีฮอร์โมนน้อย การที่อ้างว่าสาหร่ายทะเลเปิดตาดอกพืชได้ นั่นเป็นผลพวงจากโปรตีน (อะมิโน โปรตีน) ซะมากกว่า ส่วนประสิทธิภาพในการเปิดตาดอกได้ มาจากสารอาหารสังเคราะห์ (ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมนวิทยาศาสตร์) ใส่ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก เข้าไปเท่านั้น

- สาหร่ายทะเลเขตร้อน ได้แก่ สาหร่ายทะเลญี่ปุ่น เกิดตามชายฝั่ง อัตราการเจริญ เติบโตวันละ 30 ซม. ช่วงน้ำทะเลลงต้องพ่นน้ำให้ ญี่ปุ่นเอามาทำอาหารให้คนกิน

- สาหร่ายทะเลเขตร้อนเมืองไทยก็มี แต่ไม่นิยมเอามาทำอาหารให้คนกิน ให้สังเกตุดี สาหร่ายสายพันธุ์ไหนโตเร็ว เร็วมากๆ วันละ 20-30 ซม.ละก้อ ใช่เลย

- สาหร่ายญี่ปุ่น สาหร่ายไทย มีคุณสมบัติเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือมี “โปรตีน กับ”ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต” จงนำสาหร่ายพวกนี้มาสู่กรรมวิธี “เอ็นไซม์” ทำให้โมเลกุลมีขนาดเล็กลงจนเป็น “โมเลกุลเดี่ยว หรือ อะมิโน โปรตีน” ให้แก่พืชแบบผ่านปากใบได้ ก็แค่นี้แหละ

**** จากสาหร่ายทะเลธรรมดาๆ พัฒนาให้เป็น “สาหร่าย ซุปเปอร์” โดยการใส่ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก สาหร่ายน้ำจืดหลายๆนิด. นม. น้ำมะพร้าว. เป็นอินทรีย์เพียวๆ แล้ว เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก สารอาหารสังเคราะห์ (เคมี .... 13-0-46, 0-52-34) ที่จำเป็นและเหมาะ สมต่อการเปิดตาดอก เท่ากับพืชได้โปรตีนสร้างความสมบูรณ์เป็นพื้นฐาน แล้วได้สูตรเปิดตาดอกทับเข้าไปอีก ในเมื่อสารอาหารเหล่านี้ผสมกัน ใช้ร่วมกัน ได้อยู่แล้ว ฉะนี้แล้วจะไม่ออกดอกได้ไง .... ก็แค่นี้แหละ ****

------------------------------------------------------



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©