|
ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่
|
|
|
|
|
|
ขณะนี้มี 557 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม
ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่
|
|
|
|
|
|
|
|
เข้าระบบ
|
|
|
|
|
|
ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง
|
|
|
|
|
|
|
|
product13
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product9
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product10
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product11
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
product12
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| |
|
|
|
|
พืชไร่
ถั่วลิสง
ในบางท้องถิ่น เรียกว่า ถั่วดิน ถั่วขุด หรือถั่วยี่สง นอกจากการใช้เมล็ดเป็นวัตถุดิบในการสกัดน้ำมันแล้ว ยังได้นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ เช่น ถั่วลิสงต้ม คั่ว ทอดทำขนมพวกขบเคี้ยว เช่น ถั่วตัด จันอับ ถั่วกระจก และเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด(แกงมัสมั่น น้ำจิ้มสะเต๊ะ น้ำพริกรับประทานกับขนมจีน) ใช้ทำแป้ง และเนยถั่วลิสง อนึ่งถั่วลิสงเป็นพืชตระกูลถั่ว การปลูกถั่วลิสงจึง เป็นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน เช่นเดียวกับถั่วเหลือง ต้นและใบถั่วลิสงหลังจากปลิดฝักออกแล้ว นำไปใช้เลี้ยงสัตว์หรือทำปุ๋ยหมัก
ถั่วลิสงมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนและกึ่งร้อนตอนกลางของทวีปอเมริกาใต้ หลักฐานทางโบราณคดีระบุไว้ว่าชาวพื้นเมืองบริโภคถั่วลิสงมานานกว่า ๔,๐๐๐ ปี ชาวยุโรปได้นำไปปลูกในทวีปแอฟริกา เมื่อประมาณ ๔๐๐ - ๕๐๐ ปีก่อนต่อมาจึงได้แพร่มายังทวีปเอเชีย และกลายเป็นพืชน้ำมันที่สำคัญของหลายประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทยด้วย
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ทั่วโลกมีพื้นที่ปลูกถั่วลิสงประมาณ ๑๒๓ ล้านไร่ ได้ผลิตผล ๒.๒ล้านตัน อินเดียและจีนผลิตได้มากที่สุด คือประเทศละ ๖ ล้านตัน ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกถั่วลิสง ๗๖๓,๐๐๐ ไร่ ได้ผลิตผล(ถั่วทั้งเปลือก) ๑๖๒,๐๐๐ ตัน ใช้บริโภคและทำพันธุ์เกือบทั้งหมด ส่งเข้าสกัดน้ำมันเพียง ๒๒,๐๐๐ ตัน การเพาะปลูกมีอยู่ทั่วประเทศ แต่ ปลูกมากที่สุดในภาคเหนือ เป็นพื้นที่ถึง ๔๓๓,๐๐๐ไร่ รองลงมาได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ๒๑๓,๐๐๐ ไร่ และภาคกลาง ๑๐๖,๐๐๐ ไร่
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ถั่วลิสงจัดอยู่ในวงศ์ (Family) Legume-minosae เช่นเดียวกับถั่วเหลือง เป็นพืชล้มลุก(มีอายุเพียงฤดูเดียว) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าArachis hypogaea L.
ถั่วลิสงขยายพันธุ์โดยเมล็ด เมื่อเมล็ดได้รับน้ำเพียงพอ ต้นอ่อนในเมล็ดจะงอกโดยขยาย แก้วเติบโตขยายไปทางแนวราบใต้ผิวดินแผ่ออกเป็นบริเวณกว้างและมีปมของจุลินทรีย์เกิดขึ้นเป็นกระจุกตามผิวราก ต้นอ่อนของถั่วลิสงเจริญเติบโตโผล่พ้นผิวดิน มีกิ่งแตกออกจากลำต้นตรงมุมใบ มีจำนวน ๓ - ๘ กิ่ง บางพันธุ์มีทรงต้นเป็นทรงพุ่มตั้งตรง บางพันธุ์แตกกิ่งเลื้อยไปตาม แนวนอน ลำต้นอาจมีสีเขียวหรือม่วง สูงประมาณ๕๐ - ๗๕ เซนติเมตร ใบถั่วลิสงเป็นใบรวม ประกอบด้วยใบย่อย ๒ คู่ (๔ ใบ) ขอบใบเรียบปลายมน ก้านใบยาวสีเขียวหรือม่วง ดอกถั่วลิสงเกิดขึ้นบนช่อดอกซึ่งแทงออกมาจากมุมใบ เริ่มจากโคนต้นไปสู่ยอด ดอกบานในเวลาเช้า มีสีเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีอับเกสรตัวผู้ และเรณู(รังไข่) อยู่ในดอกเดียวกัน หลังจากผสมเกสรแล้วกลีบดอกจะเหี่ยวและร่วง แต่ก้านของรังไข่ขยายตัวยาวออกไปเรียกว่า เข็ม ปลายเข็มขยายตัวตามแนวดิ่งแทงลงไปในดินแล้วจึงพัฒนาเป็นฝักแต่ละฝักมีเมล็ด ๒ - ๔ เมล็ด เนื่องจากดอกออกไม่พร้อมกัน ทำให้ฝักแก่ไม่พร้อมกันด้วยการเก็บเกี่ยวจึงเลือกเวลาที่มีฝักแก่จำนวนมากที่สุดถั่วลิสงต้นหนึ่งเมื่อถอนออกมามีฝักที่สมบูรณ์อยู่จำนวน ๘ - ๒๐ ฝัก และมีฝักอ่อนอีกจำนวนหนึ่งปนอยู่ ซึ่งเป็นฝักที่เกิดจากดอกชุดหลังหรือจากยอด ฝักแก่มีลายเส้นและจะงอยเห็นได้ชัด
ฝักคอดกิ่วตามจำนวนเมล็ดในฝัก เมื่อตากให้แห้งแล้วเขย่าจะมีเสียง เยื่อหุ้มเมล็ดมีหลายสี เช่นขาว ชมพู แดง ม่วง และน้ำตาล เมล็ดประกอบด้วยใบเลี้ยงขนาดใหญ่ ๒ ใบ ห่อหุ้ม ต้นอ่อนไว้ภายใน
พันธุ์ถั่วลิสงที่แนะนำให้เกษตรกรปลูกได้แก่พันธุ์ลำปาง สุโขทัย 38 ไทนาน 9 ขอนแก่น 60-1 ขอนแก่น 60-2 และ ขอนแก่น 60-3
เนื่องจากฝักถั่วลิสงเจริญเติบโตอยู่ใต้ดินควรเลือกปลูกในดินร่วน หรือร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี มีปฏิกิริยาเป็นกลาง และไม่ใช่ดินเค็ม อนึ่ง ไม่ควรปลูกในดินที่มีสีดำหรือแดงจัด เนื่องจากถ้าฝักถั่วลิสงเปื้อนติดสีดังกล่าวทำให้ขายได้ราคาต่ำ ประเทศไทยอาจปลูกถั่วลิสงได้ตลอดทั้งปี แต่เพื่อเหมาะสมกับระบบการปลูกพืชได้ผลิตผลสูง และเก็บเกี่ยวสะดวก จึงนิยมปลูกเพียงปีละสองครั้ง คือ ในฤดูฝนและฤดูแล้งในพื้นที่ที่มีการชลประทาน การ เตรียมดินปลูกถั่วลิสงก็เหมือนกับพืชไร่ทั่วไป คือ ไถพรวนให้ดินมีความร่วนซุยและกำจัดวัชพืชถ้าปลูกในเขตชลประทานควรมีการยกแปลงทำร่องส่งและระบายน้ำในระหว่างแต่ละแปลงนำเมล็ดที่กะเทาะเปลือกออกแล้วปลูกเป็นหลุม ๆละ ๒ - ๓ เมล็ด ลึกจากผิวดิน ๕ เซนติเมตรมีระยะระหว่างแถว ๓๐ - ๕๐ เซนติเมตร และระหว่างหลุม ๒๐ เซนติเมตร จะได้จำนวนถั่วลิสงประมาณ ๕๐,๐๐๐ - ๖๐,๐๐๐ ต้นต่อไร่ซึ่งจะใช้เมล็ดที่กะเทาะเปลือกออกแล้วจำนวน๑๒ - ๑๕ กิโลกรัมต่อไร่ หรือเมล็ดทั้งฝัก๒๐ - ๓๐ กิโลกรัมต่อไร่ (แล้วแต่ขนาดของเมล็ดและความงอก และควรกะเทาะเมล็ดก่อนปลูกเพื่อให้ได้ต้นงอกที่สม่ำเสมอ)
เมล็ดเริ่มงอกภายใน ๕ วันหลังจากปลูก ทำการถอนหรือซ่อมให้มีจำนวนต้นต่อไร่ครบตามกำหนดภายในระยะเวลา ๗ - ๑๐ วัน และพรวนดิน ดายหญ้า เพื่อกำจัดวัชพืช ภายใน ๓๐วันหลังงอก และควรพรวนดินกลบโคนสูงประมาณ๕ - ๗ เซนติเมตร เพื่อให้เข็มแทงลงดินได้ง่ายขึ้นและงดการพรวนดินเมื่อต้นถั่วลิสงมีอายุ ๔๐วันไปแล้ว เนื่องจากจะไปรบกวนการแทงเข็มอันเป็นผลให้เมล็ดฝ่อ ในระยะเจริญเติบโตควรออก สำรวจแปลง ซึ่งอาจจะมีโรคและแมลงศัตรูพืช ระบาดทำลายต้นถั่วลิสง ทำการป้องกัน กำจัด ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร ถั่วลิสงมีอายุตั้งแต่ ๙๐ - ๑๒๐ วัน (ตามลักษณะของพันธุ์)
เมื่อฝักสุกแก่สังเกตได้จากใบร่วง และลำต้นเหี่ยวในของฝักได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลเก็บเกี่ยวโดยใช้มือถอนต้นและฝักขึ้นจากดินเลือกปลิดฝักแก่ออก นำไปตากแดดจนฝักแห้งสนิทแล้วจึงเก็บเพื่อรอการจำหน่ายในปัจจุบันปัญหาสำคัญของถั่วลิสง ก็คือ การเกิดสารพิษแอลฟลาท็อกซินซึ่งเป็น สาเหตุของการเกิดมะเร็งในตับ ดังนั้น จึงต้องตากเมล็ดให้แห้งสนิทโดยเร็ว (มีความชื้นในเมล็ดต่ำกว่าร้อยละ ๑๔) จะระงับการเจริญเติบโตของเชื้อราซึ่งผลิตสารพิษชนิดนี้
โดยทั่วไปเกษตรกรจะเก็บถั่วลิสงไว้ทั้งฝักเมื่อจะนำไปปลูกหรือใช้บริโภคจึงกะเทาะเปลือกออก โดยใช้มือหรือเครื่องกะเทาะเมล็ด เมล็ดถั่วลิสง ๑๐๐ เมล็ด มีน้ำหนัก ๓๐ - ๖๐ กรัมเมล็ดที่มีขนาดใหญ่นำไปปรุงแต่งเพื่อใช้บริโภคทั้งเมล็ด ส่วนเมล็ดขนาดเล็กหรือเมล็ดแตก นำไปบดเป็นถั่วป่นและสกัดน้ำมัน เมล็ดถั่วลิสงมีโปรตีนร้อยละ ๒๕ - ๓๕ และน้ำมันร้อยละ ๔๔ - ๕๖ (ขึ้นอยู่กับพันธุ์) น้ำมันถั่วลิสงประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวถึงร้อยละ ๘๐ ของ น้ำมันทั้งหมด จึงเกิดกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย (จึง ต้องเก็บรักษาไว้ทั้งฝัก) กากถั่วลิสงที่สกัดเอาน้ำมันออกแล้ว นำไปอบให้แห้งใช้ประกอบเป็น อาหารหรือส่วนผสมของอาหารสัตว์ได
สถานการณ์ทั่วไป
ถั่วลิสงเป็นพืชตระกูลถั่วที่สามารถปลูกได้ทั้งปี และสามารถนำมาใช้บริโภคได้หลายรูปแบบ ทั้งการบริโภคสด นำไปประกอบอาหารและขนมต่างๆ ปัจจุบันการผลิตถั่วลิสงไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ จึงมีการนำเข้าถั่วลิสงจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
|
|
แหล่งผลิตที่สำคัญ
แหล่งปลูกที่สำคัญของถั่วลิสงมีมากในเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนี้
ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดลำปาง น่าน เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ แพร่ เป็นต้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดเลย กาฬสินธ์ นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี เป็นต้น
|
ฤดูปลูก |
ปลูกโดยอาศัยน้ำฝน
ต้นฝนระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เก็บเกี่ยวเดือนกรกฎาคมถึง สิงหาคม
ปลายฤดูฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม.. เก็บเกี่ยวเดือนตุลาคมถึง พฤจิกายน
ปลูกในฤดูแล้ง
การปลูกโดยอาศัยน้ำชลประทาน ควรปลูกในระหว่างเดือนธันวาคมถึงมกราคม
การปลูกหลังการทำนา โดยอาศัยความชื้นที่เหลือในดินควรปลูกให้เร็วที่สุดหลัง จากการเสร็จสิ้นการทำนาเพราะดินยังมีความชุ่มชื้นเหลืออยู่
|
|
ปริมาณการผลิตทั้งประเทศย้อนหลังปี 5 ปี
พื้นที่เพาะปลูก พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ของไทย ปี 2535/36 - 2539/40
|
|
ปี |
พื้นที่ปลูก (ไร่) |
ผลผลิต (ตัน) |
ผลผลิตต่อไร่ (กก.) |
2535/36 |
650,274 |
136,863 |
210 |
2536/37 |
602,790 |
236,363 |
226 |
2537/38 |
650,671 |
150,329 |
231 |
2538/39 |
624,035 |
146,755 |
235 |
อัตราการเพิ่ม/ลด |
-2.882 |
-0.399 |
2.580 |
2539/40 |
657,431 |
154,262 |
235 |
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศการเกษตร |
พันธุ์ส่งเสริม |
ลักษณะ |
พันธุ์ |
ขก60-2 |
สข.38 |
ขก60-1 |
ไทนาน9 |
ขก 60-3 |
ขก4 |
อายุออกดอก(วัน) |
27-30 |
27-30 |
27-30 |
27-30 |
35 |
21-25 |
อายุเก็บเกี่ยว(วัน) |
ฝักสด |
85-90 |
85-90 |
- |
- |
- |
85-90 |
ฝักแห้ง |
95-105 |
95-105 |
95-105 |
95-110 |
110-120 |
95-100 |
จำนวนเมล็ด/ฝัก |
2.8 |
2.1 |
2 |
2 |
2 |
2.9 |
สีเยื่อหุ้มเมล็ด |
ชมพู |
แดง |
ชมพู |
ชมพู |
ชมพู |
ชมพู |
น้ำหนัก 100 เมล็ด(กรัม) |
40.7 |
38.9 |
45.9 |
42.4 |
76.2 |
47.1 |
เปอร์เซนต์กะเทาะ |
61.5 |
62.2 |
69.2 |
70.7 |
60 |
63.4 |
ผลผลิตฝักสด(กก./ไร่) |
572 |
509 |
- |
- |
- |
586 |
ผลผลิตฝักแห้ง (กก./ไร่) |
266 |
247 |
273 |
260 |
378 |
270 |
เปอร์เซนต์น้ำมัน |
44.3 |
45.8 |
43.3 |
50.7 |
49.3 |
46.4 |
เปอร์เซนต์โปรตีน |
27.4 |
27.1 |
28.2 |
28.1 |
24.8 |
28.7 |
|
|
ต้นทุนการผลิต |
รายการ |
เงินสด |
ไม่เป็นเงินสด |
รวม |
ต้นทุนผันแปร |
1488.19 |
1693.54 |
1840.79 |
1. แรงงาน |
1,091.93 |
1,200.51 |
1,287.17 |
- เตรียมดิน |
223.50 |
242.98 |
257.60 |
- เตรียมพันธุ์และปลูก |
193.42 |
216.63 |
242.60 |
- ดูแลรักษา |
187.73 |
205.57 |
224.60 |
- เก็บเกี่ยวรวมมัด |
235.74 |
259.31 |
272.29 |
- ค่าใช้จ่ายหลังการเก็บเกี่ยว |
251.54 |
276.02 |
289.88 |
2. ค่าวัสดุ |
336.83 |
383.58 |
434.93 |
- ค่าเมล็ดพันธุ์,ค่าพันธุ์ |
281.94 |
324.17 |
372.76 |
- ค่าปุ๋ยคอก,ปุ๋ยเคมี |
22.97 |
24.47 |
26.12 |
- ค่ายาปราบศัตรูพืชและวัชพืช |
22.28 |
23.39 |
24.49 |
- ค่าเชื้อไรโซเบี้ยม |
0.10 |
0.10 |
0.11 |
- ค่าอุปกรณ์การเกษตรและวัสดุอื่นๆ |
9.45 |
11.45 |
11.45 |
3. อื่นๆ |
59.43 |
109.45 |
118.69 |
- ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร |
2.08 |
2.08 |
2.08 |
- ค่าดอกเบี้ยและค่าเสียหายโอกาสเงินลงทุน |
57.35 |
107.37 |
116.61 |
ต้นทุนคงที่ |
128.81 |
128.81 |
128.81 |
- ค่าภาษีที่ดิน,ค่าเช่าที่ดินและค่าใช้ที่ดิน |
126.37 |
126.37 |
126.37 |
- ค่าเสื่อมอุปกรณ์การเกษตร |
2.44 |
2.44 |
2.44 |
ต้นทุนรวมต่อไร่ |
1,617.00 |
1,822.35 |
1,969.60 |
ต้นทุนรวมต่อกิโลกรัม(บาท/กก.) |
7.00 |
7.75 |
8.28 |
ผลผลิตต่อไร่ (กก./ไร่) |
231.04 |
235.00 |
238.00 |
ราคาผลผลิตต่อกิโลกรัม(บาท/กก.) |
9.07 |
10.24 |
10.82 |
ผลตอบแทนต่อไร่ (บาท) |
2,095.53 |
1,406.40 |
2,575.16 |
ผลตอบแทนสุทธิต่อกิโลกรัม(บาท/ไร่) |
478.53 |
584.05 |
605.56 |
ที่มา:ศูนย์สารสนเทศการเกษตร |
|
การใช้ประโยชน์
ถั่วลิสง สามารถนำไปเป็นอาหารโดยตรง เช่น ถั่วต้ม ถั่วทอด ถั่วชุบแป้งทอด ถั่วตัด ถั่วเคลือบ ถั่วป่น บริโภคทางอ้อม เช่น น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์จากถั่วาหารสัตว์และเป็นปุ๋ย ในตลาดระดับบนมีการใช้ประโยชน์จากถั่วลิสงเคลือบรสต่างๆ ถั่วลิสงเคลือบน้ำผึ้ง ถั่วลิสงทอดคลุกเนย และเนยถั่วลิสง โรงงานจะเน้นคุณภาพถั่วลิสงเป็นเกณฑ์สำคัญที่สุด ตลาดระดับกลางและระดับล่าง จะใช้ทำผลิตภัณฑ์อาหารพื้นบ้าน เช่น ถั่วต้ม ถั่วชุบแป้งทอด ถั่วตุ๊บตั๊บ และถั่วกระจตั๊บ และถั่วกระจตั๊บ และถั่วกระจตั๊บ และถั่วกระจก นอกจากนี้ยังสามารถนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารอื่นๆ เช่น ถั่วลิสงต้มกระดูกหมู ถั่วลิสงนึ่งข้าวเหนียวยัดไส้หมู น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ และไส้ขนมชนิดต่างๆ
ภาวะการตลาด
ปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศและการส่งออก (ตัน)
|
|
ปี |
ผลผลิต |
นำเข้า |
ส่งออก |
ทำพันธุ์ |
สกัดน้ำมัน |
บริโภค |
2534/35 |
156,913 |
68 |
2,418 |
13005 |
21968 |
119590 |
2535/36 |
136863 |
8 |
1713 |
11705 |
19161 |
104292 |
2536/37 |
136363 |
322 |
1372 |
10850 |
19091 |
105372 |
2537/38 |
150329 |
576 |
3522 |
11712 |
21046 |
114625 |
2538/39 |
146755 |
5876 |
3598 |
11233 |
20546 |
117254 |
ที่มา : สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร |
|
เทคโนโลยีการปลูก |
คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่แก่เต็มที่ ไม่มีโรคและแมลงรบกวน ความงอกของเมล็ดไม่ต่ำกว่า 70 %
คลุกเมล็ดด้วยยากันเชื้อราป้องกันโรคโมลก่อนปสิทรเจนจากอากาศให้ต้นถั่กิโถุง (200 กรัม)
ไร่ใส่ปูนขาวก่อนปลูกประมาณ 1-2 สำกนร่องกว้าภาพดิน
|
ระยะและอัตราปลูก
ระยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประยะระหว่างหลุมประมาณ 20 ซม. หยอดจำนวน 2-3 เมล็ด 1 ไร่จะมี 24,000-40,000 ต้นต่อไร่
|
|
การกำจัดวัชพืช
ควรทำ 2 ครั้งคือช่วงถั่วอายุ 15-20 วัน และ ช่วง 30-35 วัน พร้อมการพรวนดินและพูนโคน แต่ไม่ควรเกินช่วงที่ถั่วลิสงอายุ 45 วันไปแล้วเนื่องจากจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อการลงเข็มของพืช
การให้น้ำ
ควรให้น้ำก่อนหรือหลังจากที่ปลูกแล้วควรให้น้ำทันที จากนั้นให้น้ำอีกทุก 10 วัน โดยการปล่อยให้ท่วมแปลงหรือปล่อยตามร่องแล้วระบายน้ำออกอย่างให้น้ำขังแปลง
การใช้ปุ๋ย
แนะนำให้ใส่ก่อนปลูกหรือหลังถั่วลิสงงอก ไม่เกิน 15 วันหรือใส่พร้อม กับการกำจัดวัชพืชและการพรวนดินพูนโคน
|
|
การเก็บเกี่ยว
ทำได้โดย การนับอายุถั่วลิสงจะอยู่ระหว่าง 100-120 วัน และการสังเกตดูสีของเปลือกฝักด้านใน เมื่อถั่วลิสงแก่จะมีสีเปลือกฝักด้านในเป็นสีน้ำตาลถึงน้ำตาลดำ โดยการสุ่มจากหลายจุดในแปลง เมื่อถั่วลิสงแก่ประมาณ 60-80% ก็ทำการเก็บเกี่ยวได้แล้ว
การดูแลรักษา
โดยการถอนหรือขุด อาจตากไว้ในแปลง 1-2 วันและจึงปลิดฝัก จากนั้นทำการคัดแยกเมล็ดดีและเสียออก นำไปตากแดด 3-4 แดดจนฝักแห้ง นำไปเก็บไว้ในกระสอบป่าน วางบนภาชนะหรือแคร่ที่ยกพื้น อย่าให้กระสอบถั่วสัมผัสความชื้นโดยตรง
|
|
ศัตรูพืชที่สำคัญ
1. เสี้ยนดิน
2. เพลี้ยไฟ
3. โรคโคนเน่า
4. โรคยอดไหม้
|
บทบาทและความสำคัญของแคลเซียมต่อถั่วลิสง
แคลเซียมเป็นธาตุอาหารรองที่มีความสำคัญต่อการติดฝักและการสร้างเมล็ดถั่วลิสง เนื่องจากมีความจำเป็นมากต่อการพัฒนาของไซโกท (zygote) การสร้างฝัก และการติดเมล็ด (Yoshitaka, 1979; Rachie and Roberts, 1974 อ้างโดยสุทธิพงศ์, 2532) ดังนั้น เมื่อถั่วลิสงขาดแคลเซียมจึงมีผลทำให้เมล็ดลีบหรือเมล็ดไม่เต็มฝัก ในกรณีที่รุนแรงจะทำให้ฝักไม่มีเมล็ด เป็นผลให้เปอร์เซ็นต์การกระเทาะเมล็ดต่ำ (Skelton and Shear, 1971) การขาดแคลเซียมจะเห็นได้ชัดเจนในระยะเก็บเกี่ยว ถ้าผ่าดูภายในเมล็ดจะพบว่ายอดอ่อนของเอมบริโอมีสีดำ ซึ่งมีผลทำให้คุณภาพของเมล็ดในด้านการงอกต่ำ (สุทธิพงศ์, 2532; Cox et al., 1982) ซึ่งลักษณะยอดอ่อนของเอมบริโอมีสีดำนั้น เนื่องจากระบบท่อลำเลียงบริเวณฐานของยอดอ่อนถูกทำลาย ยอดอ่อนจึงไม่ได้รับน้ำและอาหาร ทำให้เนื้อเยื่อตาย เปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม และเนื้อเยื่อที่ขาดแคลเซียมจะมีการสร้างสารประกอบโพลีฟีนอลให้เป็นสารประกอบเมลานินซึ่งมีสีน้ำตาล นอกจากนี้ยังพบว่า ในการปลูกถั่วลิสงที่มีการให้แคลเซียมอย่างเพียงพอจะช่วยลดปริมาณเมล็ดขนาดเล็ก (ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 0.5 เซนติเมตร) และเพิ่มปริมาณเมล็ดขนาดปานกลางและเมล็ดขนาดใหญ่ (เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-0.8 และมากกว่า 0.8 เซนติเมตร) และยังพบว่าการใส่แคลเซียมทำให้สัดส่วนของจำนวนเมล็ดขนาดใหญ่ต่อจำนวนเมล็ดขนาดเล็กของถั่วลิสงพันธุ์ไทนาน 9 สูงขึ้นจาก 5: 1 เป็น 11: 1 มีความงอกเพิ่มขึ้นจาก 78% เป็น 91% และมีเปอร์เซ็นต์การกระเทาะเมล็ดสูงขึ้นจาก 72% เป็น 77% (สุทธิพงศ์, 2532; สุวพันธ์ และคณะ, 2531; Harris and Brolmann, 1966; Mengel and Kirkby, 1982)
การดูดและการลำเลียงแคลเซียม
ถั่วลิสงสามารถดูดและลำเลียงแคลเซียมในรูปแคลเซียมไอออน (Ca2+) เข้าไปได้สองทางคือ ทางราก และทางฝัก (Slack and Morrill, 1972; Rachie and Roberts, 1974) ถั่วลิสงดูดแคลเซียมที่ใช้ในการเจริญเติบโตของส่วนที่อยู่เหนือดินผ่านทางราก ส่วนแคลเซียมที่ใช้ในการพัฒนาฝักและเมล็ดถั่วลิสง จะดูดโดยผ่านทางฝักโดยตรงจากดิน (Bledsoe et al., 1949) ซึ่งลักษณะของการลำเลียงแคลเซียมมีดังนี้4.1 การดูดแคลเซียมไอออนโดยผ่านทางราก แคลเซียมไอออนจะถูกดูดเข้าสู่ปลายรากถั่วลิสงโดยเคลื่อนที่ไปตามแอโพพลาสต์ (apoplast) ผ่านชั้นคอร์เทคช์ (cortex) เข้าสู่เนื้อเยื่อชั้นในสุด (endodermis) ที่ยังไม่สร้างแถบคาสพาเรียน (Casparian strip) เข้าสู่ท่อลำเลียงน้ำโดยขบวนการที่ไม่ใช้พลังงาน (passive) การเคลื่อนที่ของแคลเซียมไอออนในท่อลำเลียงน้ำสู่ส่วนบนของพืชจะอาศัยไปกับน้ำ โดยอาศัยแรงดึงดูดจากกระแสการคายน้ำของใบเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งปริมาณการดูดแคลเซียมขึ้นอยู่กับการคายน้ำ ความเข้มข้นของแคลเซียมไอออนในสารละลายดิน และปริมาณการดูดน้ำของพืช (Mengel and Kirkby, 1982)4.2 การดูดแคลเซียมไอออนโดยผ่านทางฝัก ฝักถั่วลิสงจะดูดแคลเซียมมากตั้งแต่ช่วงลงเข็ม (peg) จนถึงช่วงที่เมล็ดขยายตัวเต็มฝัก เมื่อเมล็ดเริ่มแก่พร้อมเก็บเกี่ยว ฝักจะดูดแคลเซียมได้น้อยลง ฝักจะมีประสิทธิภาพการดูดแคลเซียมต่ำกว่าราก เนื่องจากการลำเลียงแคลเซียมไอออนอาศัยแรงดึงดูดจากกระแสการคายน้ำเป็นส่วนใหญ่ และปริมาณน้ำจากฝักที่จะสามารถเคลื่อนที่สู่ส่วนบนของต้นถั่วลิสงมีปริมาณน้อย ดังนั้น แรงดึงจากกระแสการคายน้ำจึงมีน้อยกว่า ส่งผลให้ปริมาณแคลเซียมในฝักถั่วมีปริมาณน้อยกว่าในส่วนของลำต้นและใบ (Wiersum, 1951; Wolt and Adams, 1979)
http://www.agri.ubu.ac.th/seminar/masterstu/Calcium_in_Peanut_Production.htm
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved. ติดประกาศ: 2010-05-05 (3426 ครั้ง) [ ย้อนกลับ ] |
|
|
|
|
|