คำฝอย
จากหลักฐานที่ค้นพบในหลุมฝังศพของชาวอียิปต์ยืนยันว่ามีการปลูกคำฝอยมาเป็นเวลานานกว่า ๔,๐๐๐ ปี เพื่อเป็นไม้ดอก และใช้ กลีบดอกเป็นสีย้อมผ้าและวัสดุอื่น ๆ ให้มีสีเหลืองคำฝอยมีถิ่นกำเนิดในทะเลทรายอาหรับ ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอ่าวเปอร์เซีย จากนั้นได้แพร่ออกไปสู่ทวีปแอฟริกา ยุโรป และเอเชียตะวันออก รวมทั้งประเทศไทย โดยนำกลีบดอกมาเป็นสีย้อมผ้าครองของพระสงฆ์ จนกระทั่งเมื่อ ๕๐ - ๖๐ ปีที่ผ่านมา ชาวยุโรปได้นำเอาเมล็ดคำฝอยมาสกัดน้ำมันและได้น้ำมันที่มีคุณภาพสูง (โดยมีไขมันไม่อิ่มตัวสูงถึงร้อยละ ๙๐)นำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันผสมสี และน้ำยาเคลือบผิว ต่อมาเมื่อทางการแพทย์ได้ค้นพบการ สะสมตัวของคอเลสเทอรอลในเส้นเลือด ทำให้มีการบริโภคน้ำมันคำฝอยมากขึ้น และได้มีการแปรรูปเป็นโภคภัณฑ์อีกหลายชนิด รวมทั้งเครื่องสำอางและยารักษาโรคคำฝอยอยู่ในวงศ์ Compositae เช่นเดียวกับทานตะวันและมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carthamus tinctorius L. ทรงต้นเป็นพุ่มเตี้ยแตกกิ่งมาก สูง ตั้งแต่ ๓๐ - ๑๕๐ เซนติเมตร ใบค่อนข้างเล็กปลายแหลม และขอบใบเว้าเป็นฟันเลื่อย แข็ง และคมคล้ายหนาม ดอกมีสีเหลืองอมแดงรวมกันอยู่บนจานซึ่งเกิดจากยอดและกิ่ง จานดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๕ เซนติเมตร เมล็ดคำฝอยมีลักษณะคล้ายทานตะวัน แต่มีขนาดเล็กกว่า น้ำหนัก ๑๐๐ เมล็ดประมาณ ๕ - ๗ กรัม เมล็ดสุกแก่หลังจากปลูก ๘๐ - ๑๒๐ วัน เก็บเกี่ยว โดยใช้มีดตัดจานดอก เก็บรวบรวมไปตากให้แห้งแล้วใช้ไม้ตีแยกเอาเมล็ดออก การปฏิบัติทำได้ลำบาก เนื่องจากอันตรายจากหนามแหลมคม ในสหรัฐอเมริกาซึ่งปลูกในแปลงขนาดใหญ่ต้องใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยว
คำฝอยเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้งมากที่สุด ปลูกได้ในท้องที่ที่แห้งแล้ง ซึ่งมีฝนตกน้อย (๒๐๐ - ๕๐๐ มิลลิเมตรต่อปี) ประเทศที่ปลูกมากคือ เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และอินเดีย สำหรับในประเทศไทยยังไม่มีการปลูกเพื่อเป็นการค้า เนื่องจากทำรายได้ไม่สูงเท่าพืชอื่น
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.