-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 567 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

พืชไร่





กำลังปรับปรุงครับ



ถั่วแดงหลวง (Red kidney bean) เป็นพืชตระกูลถั่วที่จัดอยู่ในตระกูล Phasecolus vulgaris L. ซึ่งมักจะนำไปใช้บริโภคใน ลักษณะที่แตกต่างกัน ถั่วแดงหลวงใช้บริโภคเมล็ดแก่ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายไต ซึ่งเรียกว่า "Kidney bean" และถ้ามีเมล็ดสีแดงด้วยก็เรียกว่า red kidney bean ถั่วแดงหลวงถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศเป็นครั้งแรกโดยโครงการหลวงปี 2516 เพื่อจุดประสงค์ให้ข้าวไทยภูเขาปลูกเป็นพืชทดแทน ฝิ่นและช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินบนที่สูง ปัจจุบันถั่วแดงหลวงได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของชาวไทยภูเขาและเป็นที่สนใจของเกษตรกรในพื้นที่ราบทั่วไปในเขตภาคเหนือ สำหรับปัญหาการผลิตถั่วแดงหลวงในอดีต คือ 

          1) ปัญหาเรื่องพันธุ์ที่เหมาะสม 
          2) ปัญหาเรื่องการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ 
          3) ปัญหาเรื่องวิธีการเพาะปลูก 
          4) ปัญหาเรื่องโรคและแมลง 

          ในอดีตพันธุ์ถั่วแดงหลวงที่ใช้ปลูกกันอยู่มีหลายพันธุ์ปะปนกัน และไม่ทราบประวัติความเป็นมาของพันธุ์ที่แน่นอน โครงการวิจัยได้ ร่วมกับโครงการพัฒนาการผลิตพืชตระกูลถั่วบนที่สูงได้ทำการรวบรวมพันธุ์ถั่วแดงหลวงจากแหล่งต่าง ๆ เช่น โครงการหลวงหมอกจ๋าม สถานี ขุนวาง สถาบันพืชไร่เชียงใหม่ และจากที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด ผลจากการศึกษาพบว่าเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ นั้นเป็นพันธุ์ เดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งของเมล็ดพันธุ์ที่ในปริมาณที่มากในระยะแรกคือ เมล็ดพันธุ์จากโครงการหลวงหมอกจ๋ามจากผลการทดสอบพันธุ์ เบื้องต้นพบว่า ถั่วแดงหลวงพันธุ์หมอกจ๋ามมีศักยภาพในการให้ผลผลิตในสภาพแปลงผลิตสูงถึง 300 กิโลกรัมต่อไร่ 

               จากการพิจารณาลักษณะประจำพันธุ์ที่สำคัญของถั่วแดงหลวง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบลักษณะต่าง ๆ ประกอบแล้วจะเห็นว่าถั่วแดงหลวงพันธุ์ หมอกจ๋าม มีลักษณะที่เหมาะสมหลายประการ เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ อายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าคือประมาณ 75 วัน เมล็ดมีสีแดงและ รูปร่างเมล็ดเป็นรูปไดต สีไม่ตกเมื่อผ่านขบวนการอุตสาหกรรมกระป๋องถึงแม้ว่าผลผลิตต่ำกว่าพันธุ์อื่น ๆ เล็กน้อย ทางโครงการจึงได้ใช้ เป็นพันธุ์มาตรฐานในการศึกษาเปรียบเทียบพันธุ์ และโครงการหลวงได้ตั้งชื่อพันธุ์ใหม่ว่า "พันธุ์ดอยคำ" ในระยะเวลาต่อมา
ถั่วแดงหลวงพันธุ์ดอยคำ เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อในอดีตน่าจะเป็นพันธุ์ที่เหมาะสม ในปัจจุบันการที่ จะส่งเสริมให้เกษตกรปลูกบนที่สูงภาคเหนือของประเทศไทย สำหรับถั่วแดงหลวงพันธุ์อื่น ๆ ที่ดีเด่นเข้ามาจากต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะ ศักยภาพในการให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ดอยคำ แต่ก็ยังมีข้อเสียซึ่งจะต้องได้รับการปรับปรุงก่อนจึงจะใช้ทดแทนพันธุ์ดอยคำได้
สำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีการผลิตถั่วแดงหลวงบนที่สูงหลายประการ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนาให้เหมาะสม ได้แก่ จำนวนประชากรที่ใช้ปลูกซึ่งเกี่ยวข้องกับระยะปลูกและจำนวนเมล็ดที่ใช้ปลูกต่อหลุม ชนิดและอัตราปุ๋ยที่เหมาะสมในการเพิ่มผลผลิตช่วง ระยะเวลาปลูกที่เหมาะสมพื้นที่สูงภาคเหนือและปัญหาโรคแมลง 

               โครงการวิจัยได้ทำการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งในการทดลองใช้ถั่วแดงพันธุ์ดอยคำเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อมูลไปใช้ใน การส่งเสริมการผลิตถั่วแดงหลวงพันธุ์ดอยคำ และจากการศึกษาจึงสรุปได้ว่า 
          1. ปุ๋ยและอัตราที่เหมาะสม พบว่าปุ๋ยไนโตรเจนมีบทบาทที่สำคัญในการเพิ่มผลผลิตถั่วแดงหลวง อัตราปุ๋ยไนโตรเจนที่เหมาะสม คือ 10 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับปุ๋ย P และ K มีบทบาทต่อการเพิ่มผลผลิตไม่มากนัก แต่จะมีบทบาทต่อการติดเมล็ดและคุณภาพของเมล็ดการใช้ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-20-0 อัตรา 75 กิโลกรัมต่อไร่ จะให้ผลผลิตสูงที่สุด แต่อัตราที่แนะนำให้เกษตรกรใช้คือ 50 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้เพื่อ เป็นการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง 
          2. วิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม จากการทดลองที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พบว่าระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร เป็นระยะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับในฤดูฝน แต่ถ้าปลูกในฤดูแล้งควรใช้ระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้นที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 10-20 เซนติเมตร จำนวนเมล็ดที่ใช้ปลูกควรเป็น 2 เมล็ดต่อหลุมเพื่อลดอัตราการเสี่ยงเรื่องความงอก ของเมล็ด 

              วิธีการเพาะปลูกสามารถปลูกได้ทั้งแบบยกร่อง ไม่ยกร่องหรือแบบยอร่องโดยวิธีพูนโคนหลังงอก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละพื้นที่ แต่การพูนโคนหรือการปลูกแบบยกร่องจะช่วยป้องกันการหักล้มได้ การเก็บเกี่ยวสามารถเก็บได้ตั้งแต่ถั่วแดงหลวงอายุ 70 วันหลังงอก แต่จะให้ดีควรเป็นระหว่าง 75-80 วัน

จัดทำโดย : ดาราวรรณ ทวีศักดิ์บวรกุล


ที่มาจาก : doae.go.th


http://guru.thaibizcenter.com/articledetail.asp?kid=4851









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-05-05 (2189 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©