หน้า: 1/3
องอาจ ตัณฑวณิช ชมรมการจัดการทรัพยากรเกษตร www.ongart04@yahoo.com
ดอกหน้าวัว ที่ไร่แผ่นดินทอง
ดอกหน้าวัว เป็นไม้ตัดดอกที่เป็นที่นิยมในการนำมาใช้ประโยชน์มานานแล้ว แต่ความรู้เกี่ยวกับการปลูกมักจะไม่ค่อยมีการเปิดเผยกันมากนัก เกษตรกรส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่า ต้นหน้าวัวปลูกยาก จึงมักถูกละเลยไปปลูกดอกไม้อย่างอื่นแย่งตลาดกันจนวุ่นวาย ความคิดการทำเกษตรแบบเฮโลสาระพา ใครปลูกอะไรได้ก็พากันปลูก น่าจะเปลี่ยนไปได้แล้ว ผมชอบใจสโลแกนของสวนการเกษตรแห่งหนึ่ง ใช้คำว่า ใครทำได้ เราไม่ทำ มีความหมายว่า ถ้าเกษตรกรคนอื่นทำได้ปลูกได้ ก็จะมีคนทำสิ่งนั้นมากๆ ผลผลิตออกมาก็ล้นตลาด เราก็จะไม่ทำเหมือนที่เขาทำ
จุดเริ่มต้นในการทำสวนหน้าวัว
จากงานรับเหมาก่อสร้างที่ คุณชัยวัฒน์ เชิญสวัสดิ์ เริ่มเบื่อหน่าย จึงหันมามองงานด้านเกษตร เนื่องจากเห็นว่าเป็นงานอิสระและมีที่ดินจำนวน 6 ไร่ ในบ้านหนองตะโกวา อำเภอปากช่อง พื้นที่ว่างหลังบ้านยังไม่ได้ทำอะไร พอดีมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับทางด้านงานเกษตรมาแนะนำให้ปลูกหน้าวัว โดยมีเงื่อนไขว่า บริษัทจะรับซื้อดอกหน้าวัวที่ตัดทั้งหมด พร้อมให้คำแนะนำเรื่องปุ๋ย-ยา วิธีการปลูกเลี้ยง การดูแลรักษา แบบครบวงจร และยังรับสร้างโรงเรือนสำหรับปลูกเลี้ยงให้ด้วย แต่เงินทุนทั้งหมดเป็นของเจ้าของ คุณชัยวัฒน์จึงตัดสินใจปลูกเลี้ยงหน้าวัว ในพื้นที่ 1 ไร่ หลังบ้านก่อน โดยในคราวนั้นใช้งบประมาณในการก่อสร้างโรงเรือนและต้นพันธุ์ไปเกือบ 3 ล้านบาท จากการปลูกเลี้ยงตามคำแนะนำของบริษัท โดยก่อนหน้านั้นได้นำน้ำบาดาลที่จะใช้ในการปลูกหน้าวัวไปตรวจด้วย และบริษัทยืนยันว่าน้ำสามารถใช้ได้กับดอกหน้าวัว
หลังจากการปลูกเลี้ยงไประยะหนึ่งก็เกิดปัญหา 2 ประการ คือ น้ำบาดาลที่ใช้ไม่เหมาะกับต้นหน้าวัว เพราะมีหินปูนมาก ซึ่งจะเกาะหน้าใบจะขาวโพลนไปหมด จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการติดระบบกรองน้ำไปจำนวนประมาณ 300,000 บาท ปัญหาที่เกิดตอนหลังอีกคือ เกิดโรคระบาดทั่วทั้งแปลง เจ้าหน้าที่ของบริษัทมาดูก็แจ้งกับคุณชัยวัฒน์ว่า ไม่เคยเจอโรคแบบนี้ ตอนหลังโทร.ไปกลับบอกอยู่ต่างจังหวัดบ้าง ให้รออีก 2 สัปดาห์ บ้าง จนดอกหน้าวัวตายไปเกือบหมดทั้งแปลง จนคุณชัยวัฒน์ต้องทำลายต้นหน้าวัวที่เป็นต้นพันธุ์ของบริษัททั้งหมดเพื่อป้องกันโรคระบาด จากนั้นได้ติดต่อพันธุ์ใหม่เข้ามา และได้ขอความรู้จากหน่วยราชการต่างๆ เรื่องโรค ทำให้พ้นวิกฤติไปได้ หลังจากนั้น ก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากบริษัทดังกล่าวอีกเลย คุณชัยวัฒน์ กล่าวย้ำว่า อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับเกษตรกรทั้งหลาย อย่าเห็นว่าบริษัทมีชื่อเสียงจะมีความรับผิดชอบเสมอไป
ประสบการณ์สอนให้เราเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
คุณอารยา เชิญสวัสดิ์ คู่ชีวิตคุณชัยวัฒน์เป็นเรี่ยวแรงคนสำคัญที่ให้ทั้งกำลังใจและช่วยงานในการปลูกเลี้ยงอย่างเอาใจใส่ จึงทำให้รอดพ้นจากความล้มเหลวในการปลูกหน้าวัว จนกลายเป็นผู้มีความรู้ทางด้านนี้เป็นอย่างมาก จนมีคณะจากส่วนราชการหลายหน่วยงานมาเยี่ยมชมกันไม่ขาดสาย ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ที่ทั้งคู่เรียนรู้ด้วยตัวเอง พร้อมที่จะถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรผู้มีความสนใจอย่างไม่ปิดปัง เพราะเห็นว่าเกษตรกรบ้านเรามีความรู้น้อยและมีความซื่อสัตย์ จึงมักจะโดนเอาเปรียบจากคนที่เห็นแก่ตัวที่อาศัยข้อจำกัดของเกษตรกรแสวงหาผลประโยชน์
โรงเรือนที่เหมาะกับการปลูกดอกหน้าวัว
จากโรงเรือนของบริษัทที่ทำให้ไร่ละล้านกว่าบาท คุณชัยวัฒน์มาปรับใช้วัสดุที่ถูกกว่า เหลือแค่ 200,000 กว่าบาทเท่านั้น ซึ่งราคาแตกต่างกันค่อนข้างมาก วัสดุมีการเปลี่ยนจากเสาเหล็กมาเป็นเสาปูน ความสูงจากพื้นถึงหลังคาซาแรน 3 เมตร ส่วนซาแรนใช้ 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อพรางแสง หลังคาของโรงเรือนไม่จำเป็นจะต้องสร้างแบบกันฝน แต่ถ้าทำซาแรน 2 ชั้น ไว้ใช้ในหน้าร้อนจะเป็นการดี บริเวณรอบโรงเรือนใช้ซาแรนปิดให้หมด เพื่อควบคุมความชื้นของแปลงปลูกและสามารถป้องกันแมลงได้มากพอสมควร นานครั้งแมลงจึงจะระบาดในแปลง ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงมากนัก เป็นการลดค่าใช้จ่ายและถนอมสุขภาพของเกษตรกรอีกด้วย ความชื้นที่เหมาะสมของแปลงปลูก คือ 50-80 ส่วนแปลงปลูกจะมีความกว้าง 1.2 เมตร ความยาวได้ตามที่ต้องการ ทางเดินในแปลงเว้นไว้ 80 เซนติเมตร
ต้นที่ปลูกจะห่างกัน 30 เซนติเมตร เพราะฉะนั้นแถวหนึ่งจะปลูกได้ 4 ต้น ใต้แปลงปลูกจะปูแผ่นพลาสติคดำ แล้วค่อยวางวัสดุปลูก โดยจะเป็นถ่านที่มีก้อนขนาดเล็กหน่อยตามขนาดต้น แล้วค่อยใส่ไปเรื่อยๆ เมื่อต้นมีขนาดใหญ่และรากโพล่พ้นเครื่องปลูก เมื่อสามารถให้ผลผลิตแล้วเครื่องปลูกจะหนาประมาณ 10 เซนติเมตร รอบๆ แปลงจะใช้ซาแรนล้อมตลอด สูงประมาณ 50 เซนติเมตร พร้อมติดตั้งท่อ พีอี ทั้ง 2 ฝั่ง ของแปลง สูงขึ้นมาประมาณ 30 เซนติเมตร โดยใช้หัวสปริงเกลอร์ฉีดพ่นเข้าในแปลง
น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลี้ยง
คุณอารยา หรือ คุณเล็ก บอกว่า น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญในการผลิตดอกหน้าวัวให้สวยสมบูรณ์ มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด จึงควรนำน้ำที่จะใช้รดไปตรวจสอบก่อนที่จะตัดสินใจปลูก น้ำที่ใช้ควรเป็นกรดอ่อนๆ ค่า พีเอช อยู่ประมาณ 5.5-6 แต่น้ำที่ปากช่องเป็นน้ำที่มีค่า พีเอช สูงถึง 7.5 ทำให้ต้องใช้กรดไนตริกช่วยปรับค่า พีเอช ปริมาณที่ใช้คือ กรดไนตริก 1 ลิตร ต่อน้ำ 18,000 ลิตร และทางไร่ได้เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองน้ำหินปูนได้ดี เราจึงเห็นน้ำในอ่างที่เก็บไว้ของคุณเล็กสะอาดใสเหมือนน้ำที่ใช้ในสระว่ายน้ำเลย การรดน้ำทำเพียงวันละ 1 ครั้ง ตอนเช้า
การจัดการดูแลแปลงปลูก
ในพื้นที่ 3 ไร่ ของไร่แผ่นดินทอง ใช้คนงานดูแลเพียงครอบครัวเดียว มีสามีกับภรรยา ส่วนคุณชัยวัฒน์และคุณอารยาก็ช่วยดูแล ซึ่งจำนวนคน 4 คน สามารถดูแลได้ถึง 5 ไร่ ในอนาคตคุณชัยวัฒน์กล่าวว่า จะขยายพื้นที่ปลูกดอกหน้าวัวให้ครบในพื้นที่ที่เหลืออยู่จนครบ 5 ไร่ เนื่องจากปัจจุบันนี้ ดอกหน้าวัวที่ตัดไม่พอส่งลูกค้า คุณชัยวัฒน์จึงตัดส่งเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ที่นำไปจำหน่ายต่อให้กับร้านดอกไม้รายย่อยอีกทีหนึ่ง การดูแลแปลงปลูกไม่ได้ยุ่งยากมาก มีเพียงการรดน้ำ ซึ่งใช้ระบบสปริงเกลอร์แทนการเดินรด จึงไม่เสียเวลา ได้มีเวลาที่เหลือเดินดูแปลงว่ามีโรคหรือแมลงศัตรูพืชคุกคามหรือไม่ และใน 1 สัปดาห์จะยุ่งอยู่ก็วันที่ตัดดอกเพื่อนำไปส่งให้ลูกค้าเท่านั้น การปลูกเลี้ยงดอกหน้าวัวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอาชีพเสริม ปลูกไว้หลังบ้าน เพราะใช้แรงงานน้อย ควบคุมดูแลได้ง่าย งานทางด้านการเกษตรเหมาะสำหรับคนใจรักเท่านั้น อย่าได้คิดแบบอุตสาหกรรม 1 บวก 1 เท่ากับ 2 เพราะเมื่อคิดว่าทำ 1 ไร่ ได้กำไร 20,000 ทำ 10 ไร่ กำไร 200,000 เดี๋ยวจะพานไม่เหลือสักหมื่น เนื่องจากการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าของกับลูกจ้างแตกต่างกันมาก อย่าไว้ใจเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องเสียของรัก (เงิน) เป็นแน่แท้ เดี๋ยวนี้แรงงานค่อนข้างหายาก เกษตรต้องเน้นการพึ่งพาแรงงานของตนเองและคนในครอบครัว ถ้างานใดใช้เครื่องทุ่นแรงได้ สมควรใช้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการลงทุนสูง แต่จะประหยัดการใช้แรงงาน แต่อย่างไรก็ตาม ควรคิดให้รอบคอบก่อนการลงทุน ดูตลาดก่อนทำการเกษตร เกษตรกรเก่งๆ สามารถควบคุมการผลิตได้ แต่ไม่สามารถควบคุมกลไกทางการตลาดได้เพราะฉะนั้นศึกษาเรื่องตลาดให้ดีก่อนปลูก
ใช้ต้นพันธุ์แท้ที่มีคุณภาพ
ต้นพันธุ์ดอกหน้าวัวที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากฮอลแลนด์และได้คัดพันธุ์ที่สามารถปลูกเลี้ยงได้ดีในเมืองไทย และสีดอกเป็นที่ต้องการของตลาด ปัจจุบัน ไร่แผ่นดินทอง ได้ผลิตต้นกล้าดอกหน้าวัวเอง เพื่อใช้ในการปลูกตัดดอกและส่วนหนึ่งจำหน่ายให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป ในการนำต้นพันธุ์ไปปลูกเลี้ยงสำหรับเกษตรกรมือใหม่ คุณเล็กแนะนำให้ใช้ต้นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ ที่มีความสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ขึ้นไป ซึ่งจะต้องปลูกลงแปลงอีกประมาณ 8 เดือน จึงจะได้ผลผลิตดอกแรก จนกระทั่ง 2 ปี ผลผลิตจะสูงสุด และจะเก็บผลผลิตได้จนถึง 7 ปี จึงจะใช้วิธีล้มต้นเพื่อให้แตกต้นใหม่ หรือตัดต้นเพื่อให้แตกต้นใหม่ ในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้ต้นพันธุ์จำนวน 10,000 ต้น เมื่อครบ 2 ปี ที่ผลิตเต็มที่ จะให้ดอกได้ 6 ดอก ต่อปี ไม่ใช่ 8 ดอก ตามที่บริษัทเชิญชวนให้ปลูก
ปัจจุบัน ไร่แผ่นดินทอง มีแปลงดอกหน้าวัวในพื้นที่ 3 ไร่ พื้นที่ 1.5 ไร่ ดอกหน้าวัวสามารถให้ผลผลิตแล้ว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นต้นที่มีขนาดเล็กอยู่ การตัดดอกของดอกหน้าวัวเพื่อจำหน่ายจะทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1,000 ดอก ในพื้นที่ไร่ครึ่ง หรือต้นพันธุ์ 15,000 ต้น
การตลาดที่สดใส
ดอกหน้าวัว ของไร่แผ่นดินทอง จะจำหน่ายไปทางภาคอีสานทั้งหมด ผลผลิตของไร่ทั้งหมด ยังไม่เพียงพอสำหรับการจำหน่าย ปกติดอกหน้าวัวสีแดงมักจะนำไปทำพวงหรีด ซึ่งจะใช้ดอกที่มีขนาดเล็กและกลาง ส่วนดอกขนาดใหญ่มักจะใช้ประดับตามสถานที่ต่างๆ เช่น โรงแรม ดอกที่ตัดจะต้องบานได้ระยะหนึ่งจึงจะตัดได้ ถ้าตัดในระยะดอกอ่อนเกินไป ก็จะใช้งานได้ไม่ทน วิธีสังเกตว่าดอกหน้าวัวบานได้ทีถึงระยะตัดแล้ว คือ ให้สังเกตปลีดอกซึ่งจะต้องเปลี่ยนสีถึง 1 ใน 4 ของความยาวของปลีดอกคุณภาพเช่นนี้จะปักแจกันไว้ได้นาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ด้วย จะมีตั้งแต่ 10 วัน จนถึง 21 วัน เลยทีเดียว สีที่ตลาดต้องการ จะเป็น สีแดง สีเขียว สีชมพู และสีขาว
ขนาดของดอกหน้าวัว และราคาที่จำหน่าย (โดยประมาณ)
เกรด............ ขนาดดอก .......................ราคา
SS................. 6 x 8 .......................... 4
SS ................ 8 x 10 ......................... 8
M ...................10 x 12 ....................... 10
L ....................12 x 14 ....................... 14
XL ..................14 x 16 ........................18
จัมโบ้ ............. 16 x 18.5...................... 23
การจัดการหลังการตัดดอก คุณเล็กจะจัดดอกหน้าวัวเป็นเกรดๆ รวมกันกำละ 10 ดอก แล้วนำสำลีที่แช่น้ำหมาดๆ หุ้มปลายก้านทั้งกำ แล้วจึงนำมาบรรจุกล่องอีกที ส่วนร้านค้าที่อยู่ไม่ไกลมาก จะไม่ต้องใช้ลำลีชุบน้ำหุ้ม ส่วนดอกแต่ละดอกจะต้องนำถุงพสาติคมาสวมไว้ทุกดอก เพื่อไม่ให้มีการเสียดสีจนดอกมีตำหนิ การรักษาคุณภาพของดอกสำคัญต่อลูกค้ามาก เพราะเมื่อสินค้าถึงมือลูกค้าตามจำนวนก็จริง แต่ของเสียมีจำนวนมาก เราก็จะเสียลูกค้า
คุณชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เกษตรกรที่มีพื้นที่และทุนของตัวเอง สามารถสร้างสรรค์กิจการทางด้านการเกษตรที่ยั่งยืนให้เป็นการเกษตรของตัวเองได้ตามศักยภาพที่มี ด้วยพื้นฐานความคิดที่มีการแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองได้ โดยพึ่งพาผู้อื่นให้น้อยลง เรียนรู้จากประสบการณ์งานที่ทำ ก็จะประสบความสำเร็จ (เหมือนงานของไร่แผ่นดินทอง-อันนี้ผู้เขียนกล่าวเอง) ติดต่อสอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการปลูกดอกหน้าวัว ติดต่อ คุณเล็ก โทร. (085) 413-0391
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน
หน้าวัว
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้นของโลก จึงนับเป็นโชคดีของเกษตรกรไทยที่สามารถปลูกไม้ดอกที่มีความสวยแปลกตา การปลูกไม้ดอกพื้นเมือง อาจกระทำได้ง่ายเนื่องจากมีความคุ้นเคยอยู่ก่อน แต่การนำเอาไม้ดอกเขตร้อนชื้นจากต่างประเทศ เข้ามาปลูกนั้น จำเป็นต้องมีวิทยาการและเทคนิคที่เหมาะสม เอกสารเผยแพร่ฉบับนี้จึงถูกเขียนขึ้นส่าหรับผู้สนใจที่จะปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัว เนื่องจากนิสัยความต้อง การของไม้ดอกสกุลนี้ต่างจากไม้ดอกชนิดอื่นอย่างมาก ส่าหรับความรู้ที่ใช้เขียนเอกสารฉบับนี้ ได้รับจากประสบการณ์ในมลรัฐฮาวาย และจากการศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิชาการ และเกษตรกรไทยผู้ชำนาญในการปลูกไม้ดอกสกุลนี้ หากผู้อ่านต้อง การทราบข้อมูลเพิ่มเติมอาจติดต่อกับผู้เขียนได้ ทั้งนี้หวังว่าเอกสารฉบับนี้จะช่วยให้ผู้สนใจเริ่มปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัวได้อย่างมั่นใจและประสบความส่าเร็จตามสมควร
ลักษณะทั่วไป
หน้าวัวและเปลวเทียนเป็นไม้ดอกสกุลหน้าวัวเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่มีการ ปลูกเป็นการค้าในเขตร้อนชื้น โดยเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีเนื้อไม้อ่อนและมีอายุยืน ลำต้นตั้งตรง ความยาวของปล้องจะแตกต่างกันใปขี้นอยู่กับชนิดหรือพันธุ์ เมี่อยอดเจริญสูงขึ้นอาจพบรากบริเวณลำต้นและรากเหล่านี้จะเจริญยืดยาวลงสู่ เครื่องปลูกได้ก็ต่อเมื่อโรงเรือนมีความชื้นสูงพอ ลำต้นอาจเจริญเป็นยอดเดี่ยวหรือ แตกเป็นกอก็ได้ ใบมีรูปร่างต่าง ๆ กัน เช่น รูปหัวใจ ดังเช่นที่พบในหน้าวัว หรือ รูปพายคล้ายใบของเขียวหมื่นปี และรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดดังที่พบใน เปลวเทียน แต่ไม่ว่าจะมีรูปร่างอย่างไรจะสังเกตเห็นว่าปลายใบแหลม ในพวกที่มี ใบกว้างเส้นใบจะเรียงตัวคล้ายร่างแห ขณะที่พวกซึ่งมีใบแคบเส้นใบจะเรียงตัว คล้ายเส้นขนาน แต่ทั้งนี้เส้นใบมักจะนูนขึ้นอย่างชัดเจน ดอกหน้าวัวและดอกเปลวเทียนเป็นดอกสมบูรณ์เพศคือ ดอกแต่ละดอกจะมี ทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ดอกมีลักษณะเป็นดอกช่อโดยดอกรูปสี่เหลี่ยมข้าว หลามตัดจะเรียงอัดกันแน่นอยู่บนส่วนที่เรียกว่าปลี ดอกมีกลีบดอก 4 กลีบ สีของกลีบดอกมักจะเปลี่ยนไปเมื่อดอกบาน เช่น ในปลีของดอกหน้าวัว ส่วนใหญ่ จะพบว่า เมื่อดอกบาน สีของกลีบดอกจะเปลี่ยนจากสีเหลืองไปเป็นสีขาว ส่าหรับ จานรองดอกซึ่งมีสีสันที่สวยงามนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือใบประดับที่ติดอยู่กับโคน ช่อดอกหรือปลี จานรองดอกอาจมีสีขาว ส้ม ชมพูอมส้ม ชมพู แดง ม่วง และ สีเขียว หรือบางครั้งอาจพบจานรองดอกที่มีสีเขียวและ สีอื่นปนกันก็ได้ ปกติจานรอง ดอกจะมีอายุการใช้งานได้ไม่ต่ำกว่า 7 วัน โดยจานรองดอกจะมีคุณภาพทั้งในด้านสี และอายุการใช้งานดีที่สุดเมื่อตัดในขณะที่ดอกจริงบานได้ครึ่งปลี ส่าหรับจานรอง ดอกของหน้าวัวที่เหมาะส่าหรับในการตัดดอกเพื่อการส่งออกนั้น ควรมีร่องน้ำตาตื้น หูดอกช้อนกันเพียงเล็กน้อย และขอบจานรองดอกต้องไม่ม้วนงอ เนื่องจากลักษณะ ดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้จานรองดอกหักในระหว่างการบรรจุและการขนส่ง อนึ่งจานรองดอกและปลีควรชี้ไปในแนวเดียวกัน ส่าหรับจานรองดอกของดอก เปลวเทียนนั้น ควรอยู่ชิดกับโคนปลีและโอบรอบปลีเอาไว้
พันธุ์
พันธุ์หน้าวัวของไทยที่มีผู้นิยมปลูกเพี่อตัดดอกคือพันธุ์ดวงสมร ซึ่งมี จานรองดอกสีแดง หน้าวัวพันธุ์นี้มีสีสดใส รูปร่างจานรองดอกสวยและให้ดอกดก แต่มีข้อเสียตรงที่ว่าจานรองดอกของหน้าวัวพันธุ์นี้มักมีรอยเว้าฉีกขาดในช่วง ที่สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากพันธุ์ดวงสมรแล้วก็อาจจะมีผู้ปลูกพันธุ์ ผกามาศซึ่งมีจานรองดอกสีส้ม และพันธุ์ขาวนายหวานซึ่งมีจานรองดอกสีขาวอยู่บ้าง พันธุ์ไทยอื่น ๆ เช่น พันธุ์จักรพรรดิ์ แดงนุกูล กษัตริย์ศึก กรุงธน นครธน ศรีสง่า ผกาทอง ดาราทอง สหรานากง โพธิ์ทอง ประไหมสุหรี ผกาวลี ศรียาตราและ วิยะดานั้นไม่เป็นที่นิยมในการปลูกเพื่อตัดดอกนัก ส่าหรับหน้าวัวพันธุ์ต่างประเทศก็ มีผู้ปลูกอยู่บ้างเหมือนกัน ได้แก่พันธุ์ Nagai พันธุ์ Avo-Anneke พันธุ์ Sunset (ตั้งชื่อโดยคนไทยที่นำเข้า) และ พันธุ์ Dusty Rose เป็นต้น ส่าหรับพันธุ์เปลวเทียนที่ปลูกกันนั้นได้แก่พันธุ์ไทย 2 พันธุ์ด้วยกันคือ พันธุ์ภูเก็ตซึ่งมีจานรองดอกสีแดง และพันธุ์ลำปาง ซึ่งมีจานรองดอกสีชมพู ส่วนพันธุ์ ต่างประเทศที่นำเข้ามาปลูกเพี่อเป็นไม้กระถาง ได้แก่พันธุ์ ARCS ซึ่งมีจานรองดอก สีม่วง พันธุ์ Lady Jane ซึ่งมีจานรองดอกสีชมพู และ A. Amni-oquiense ซึ่งมี จานรองดอกสีม่วงอ่อน แม้ปัจจุบันพันธุ์ไม้ดอกสกุลหน้าวัวมีอยู่ค่อนข้างจำกัด แต่กรมส่งเสริมการเกษตรและมูลนิธิโครงการหลวงกำลังนำพันธุ์ต่างประเทศเข้ามา ศึกษาเพื่อเตรียมเผยแพร่ในอนาคตอัน
โรงเรือน
ธรรมชาติของไม้ดอกสกุลหน้าวัวต้องการสภาพที่มีความชื้นสูงและมีแสง แดดรำไร แต่ต้องมีการถ่ายเทอากาศได้ดี ดังนั้นโรงเรือนจึงต้องมีความสูงไม่ต่ำ กว่า 3.0 เมตร หลังคาคลุมด้วยตาข่ายพลาสติกพรางแสงชนิดที่ยอมให้แสงผ่าน ได้ 20-30% โดยจะเลือกใช้ชนิดใดขี้นอยู่กับสภาพแวดล้อมบริเวณดังกล่าว รอบ โรงเรือนควรปิดด้วยตาข่ายพรางแสงให้เว้นด้านบนไว้เล็กน้อย เพื่อระบายอากาศปัองกัน ไม่ให้อากาศในโรงเรือนร้อนเกินไป พื้นโรงเรือนควรเก็บความชื้นได้ดี ขณะเดียวกันจะต้องระบายน้ำได้ดี ด้วย ดังนั้นพื้นโรงเรือนจึงอาจใช้อิฐมอญหรือกาบมะพร้าวปูพื้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม อาจใช้พื้นคอนกรีตเพือความทนทาน โดยพื้นคอนกรีตที่สร้างขึ้นจะต้องทำร่อง ระบายน้ำให้สามารถขังน้ำไว้ช่วยเพิ่มความชื้นภายในโรงเรือนได้ด้วย พื้นโรงเรือนใน ลักษณะที่กล่าวมานี้จำเป็นมากส่าหรับการปลูกในกระถาง แต่การปลูกในแปลงไม่ จำเป็นต้องใช้พื้นโรงเรือนที่เก็บความชื้นได้ เนื่องจากเครื่องปลูกช่วยเก็บ
การปลูก
ไม้ดอกสกุลหน้าวัวสามารถปลูกได้ทั้งในกระถางและปลูกลงแปลง ส่าหรับ เกษตรกรไทยนั้นนิยมปลูกในกระถาง เนื่องจากสะดวกในการจำหน่ายต้นพันธุ์ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะปลูกในกระถางหรือปลูกลงแปลง ควรเลือกเครี่องปลูกให้ เหมาะสม ส่าหรับในประเทศไทยเครื่องปลูกที่ดีที่สุดคือ อิฐมอญทุบขนาดเส้นผ่า ศูนย์กลาง l.5 - 3.0 เชนติเมตร เพราะสามารถเก็บความชื้นได้ดีและมีความคงทน สูง นอกจากนี้การเลือกขนาดอิฐทุบที่เหมาะสม ยังทำให้สามารถควบคุมการระบาย อากาศได้ตามต้องการอีกด้วย อนึ่งการปลูกด้วยอิฐมอญทุบในสภาพที่ค่อนข้าง แห้ง อาจเติมถ่านแกลบหรือกาบมะพรัาวสับเพี่อช่วยเก็บความชื้นคัวยก็ได้ อย่างไรก็ ตาม ผู้ปลูกควรทดลองปลูกด้วยอิฐมอญทุบจำนวนน้อยต้นก่อน เนี่องจากคุณภาพดิน ที่ใช้ทำอิฐมอญชี่งแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ด้วย นอกจากอิฐมอญทุบแล้วอาจใช้กาบมะพร้าวเป็นเครื่องปลูกก็ได้ แต่ต้องหมั่น เติมเครี่องปลูกบ่อย ๆ เพราะกาบมะพร้าวผุพังง่าย
การปลูกในกระถาง
กระทำได้ไดยวางอิฐหักเปิดรูระบายน้ำที่บริเวณก้นกระถางเสียก่อน จากนั้นวางโคนต้นบนเศษอิฐหักนั้น โดยให้ต้นอยู่ตรงกลางกระถางและรากกระจาย อยู่โดยรอบ นำอิฐมอญทุบขนาดใหญ่ที่แต่ละก้อนมีความยาวด้านละประมาณ 4 เชนติเมตร ใส่รอบโคนต้นประมาณครึ่งกระถาง แล้วนำอิฐมอญทุบที่มีก้อนขนาด เล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่งมาใส่จนมีระดับต่ำกว่าปลายยอดประมาณ 2 เชนติเมตร หรือ ใส่จนเต็มกระถางในกรณีที่ต้นค่อนข้างสูง หากโรงเรือนตั้งอยู่ในบริเวณที่มีสภาพ อากาศที่ค่อนข้างแห้ง อาจใส่ใยมะพร้าวบนผิวเครี่องปลูกเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่ม ชื้น ทั้งนี้การใช้จานรองกระถางก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความชื้นให้แก่พืชได้
การปลูกลงแปลง
กระทำได้โดยกั้นขอบแปลงด้วยอิฐบล็อกหรือตาข่ายกรงไก่ให้ มีความสูงราว 30 เซนติเมตร พื้นแปลงควรทำเป็นสันนูนมีลักษณะคล้ายหลังเต่าเพื่อ ให้น้ำสามารถระบายออกทางด้านข้างแปลงได้โดยไม่ขังแฉะ และควรใช้ผ้าพลาสติก ปูพื้นแปลงเพี่อปัองกันไส้เดือนดิน จากนั้นจึงใส่เครี่องปลูกลงในแปลงให้มีความ หนาประมาณ 5 - 10 เซนติเมตร เสร็จแล้วปักหลักลงในแปลง ผูกต้นให้ตั้งตรงและ โคนต้นชิดกับเครี่องปลูกโดยให้รากแผ่กระจายบนเครื่องปลูกแล้วจึงเติมเดรี่อง ปลูกลงไปคล้ายกับการปลูกในกระถาง คือใส่ให้มากที่สุดโดยไม่กลบยอด
โดยปกติแล้วการปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัวนี้ จะปลูกให้แต่ละต้นห่าง กันไม่น้อยกว่า 30 เชนติเมตร ซึ่งถ้าเป็นการปลูกในกระถาง ก็อาจปลูกในกระถาง ขนาด 12 นิ้วแล้วนำมาวางชิดกัน หลังจากปลูกแล้วจะต้องหมั่นเติมเครื่องปลูกอยู่ เสมอ อย่าปล่อยให้เครื่องปลูกอยู่ในระดับที่ห่างจากยอดเกิน 30 เซนติเมตร เพราะ การที่ยอดอยู่สูงเหนือเดรี่องปลูกมาก ๆ จะมีผลทำให้ต้นเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร
การดูแลรักษา
การให้น้ำ
ควรเลือกใบ้ระบบสปริงเกอร์หรือระบบน้ำเหวี่ยง โดยอาจใช้ระบบที่หัว พ่นน้ำตั้งบนพื้น การให้น้ำระบบนี้จะช่วยให้ความชื้นในโรงเรือนอยู่ในระดับ สูง ปกติจะให้น้ำวันละ 2 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งจะเปิดน้ำให้คราวละ 10 - 15 นาที การให้น้ำควรแบ่งทยอยเปิดน้ำภายในโรงเรือนเป็นส่วน ๆ ไปเพี่อรักษาความชื้น ในโรงเรือน ไม่ควรให้น้ำพร้อมกันทั้งโรงเรือน อนึ่งในช่วงที่มีสภาพอากาศ แห้ง อาจจะต้องให้น้ำถึงวันละ 3 ครั้ง
การให้ปุ๋ย
ควรให้ปุ๋ยเม็ดสูตรเสมอ เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 โรยรอบชายพุ่ม หรือรอบโคนต้นเดือนละครั้ง ในอัตราต้นละ 1 ช้อนโต๊ะ (20 กรัม) และอาจใช้ปุ๋ย เกร็ดละลายน้ำสูตร 15-30-15 หรือะ 17-34-17 อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) ฉีดพ่นเสริมให้ทุก 15 วัน จะช่วยให้ต้นเจริญเติบโตได้ดีและออกดอกดก
การตัดแต่ง
ควรตัดแต่งใบออกบ้างในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยตัดให้ เหลือเพียงยอดละ 3 - 4 ใบ ทั้งนี้ก็เพื่อให้บริเวณโคนต้นมีการระบายอากาศได้ดีขึ้นใน ช่วงฤดูฝน อีกทั้งการตัดใบจะช่วยให้มีโรคและแมลงลดลง โดยไม่ทำให้การเจริญ เติบโตหรือจำนวนดอกลดลงแต่อย่างใด
การขยายพันธุ์
ในการปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัวเพื่อการค้านิยมการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัย เพศหรือที่เรียกว่าการขยายโคลน เพราะต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดมีโอกาสที่จะกลาย พันธุ์ไปจากต้นเดิมได้สูงมาก การขยายโคลนให้ได้ต้นที่ตรงตามพันธุ์เดิมอาจกระทำ ได้ดังนี้
การตัดดอก
เป็นวิธีที่นิยมทำกันมาก สามารถทำได้ทั้งในขณะที่ยังเป็นต้นกล้าขนาด เล็กชึ่งได้จาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยี่อ และต้นขนาดใหญ่ที่สูงเกินไปคือ ยอดสูงกว่า เครื่องปลูกเกิน 60 เชนติเมตร โดยตัดให้มีใบติดยอดมาด้วยประมาณ 4 - 5 ใบ และหากมีรากติดยอดที่ตัดมาด้วย จะทำให้ต้นตั้งตัวและเจริญเติบโตเร็ว แต่ถ้าไม่มี รากติดยอดมาเลย ในช่วงแรกจะต้องนำยอดที่ตัดมานี้ไปชำไว้ในที่ซึ่งมีความชื้นสูง มากก่อน รอจนยอดแตกรากและรากมีขนาดใหญ่พอสมควรแล้ว จึงย้ายไปไว้ในโรงเรือนตามปกติ
การตัดหน่อ
นิยมตัดหน่อที่มีรากแล้ว 2-3 ราก ซึ่งหน่อที่ตัดนี้อาจเกิดมาจากโคนต้น ของพันธุ์ที่มีหน่อดอก หรือเกิดจากตอที่ตัดยอดและหน่อไปแล้วหรือเกิดจากการชำ การรีบตัดหน่อ ในขณะที่ยังมีขนาดเล็กจะทำให้ต้นตั้งตัวช้า จึงควรทิ้งให้หน่อมีขนาดใหญ่และมีรากพอสมควรก่อน
การปักชำ
วิธีนี้จะทำกับต้นตอที่เมื่อตัดยอดไปแล้วไม่เหลือใบติดอยู่ ซึ่งปกติจะ เป็นต้นที่มีอายุมากอาจปักชำทั้งต้นหรือตัดต้นเป็นท่อน ๆ ก่อนแล้วจีงนำไปปักชำ โดยที่แต่ละท่อนจะต้องมีข้อติดไปด้วยอย่างน้อย 3 ข้อ ในการปักชำจะต้องวาง ต้นให้ทำมุมกับวัสดุปักชำ 30-45 องศา โดยให้ตาหันออกด้านข้างเพราะจะทำให้ได้ หน่อในปริมาณมาก วัสดุปักชำอาจใช้อิฐมอญทุบละเอียด หรือทรายหยาบผสมถ่าน แกลบก็ได้ ควรปักชำในบริเวณที่มีแสงน้อยกว่าปกติ ถ้าเป็นการปักชำในกระบะชำ จะต้องควบคุมความชื้นให้อยู่ในระดับสูงอยู่เสมอแต่ไม่แฉะ
การเพาะเนื้อเยื่อ
วิธีนี้เกษตรกรจะต้องพึ่งบริการจากห้องปฎิบัติการเชิงการค้า โดยจะใช้ ใบอ่อนที่ยังม้วนอยู่ไปขยายพันธุ์ ซึ่งต้นพันธุ์ที่คัดเลือก ไว้เพื่อขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะ เลี้ยงเนื้อเยี่อนี้ จะต้องได้รับการดูแลรักษาเป็นพิเศษ คือในการรดน้ำจะต้องรด เฉพาะบริเวณโคนต้นเท่านั้น การขยายพันธุ์วิธีนี้จะกระทำในกรณีที่ต้องการต้นพันธุ์ ในปริมาณมาก เช่น10,000 ต้น ในเวลา 2 - 2.5 ปี อย่างไรก็ตาม ต้นพันธุ์ที่ได้จากการ เพาะเลี้ยงเนื้อเยือจะมีขนาดเล็ก จึงต้องปลูกในบริเวณที่ร่มและมีความชื้นสูง โดย เฉพา อย่างยิ่งในระยะที่นำออกจากขวดใหม่ ๆ
การขยายพันธุ์โดยวิธีต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ต้นพันธุ์ที่ได้จะมีลักษณะที่แตกต่าง กันไป คือ การตัดยอดจะได้ต้นพันธุ์ที่ให้ดอกได้เร็วที่สุดแต่ได้จำนวนต้นน้อย การตัดหน่อจะได้จำนวนต้นพันธุ์มากขึ้นโดยต้นจะเล็กลง ในขณะที่การเพาะเลี้ยงเนื้อ เยื่อจะได้ต้นพันธุ์จำนวนมากที่สุด แต่ต้นก็มีขนาดเล็กกว่าการขยายโคลนโดยวิธีอี่น
การตัดดอก
ไม้ดอกสกุลนี้มีอายุการใช้งานค่อนข้างนาน คือไม่ควรต่ำกว่า 10 วัน ในระยะ ที่จานรองดอกเริ่มคลี่จะมีสีสดใสมากแต่ความสดใสจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ส่าหรับอายุการปักแจกันนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อรอให้ดอกบานบนต้นนานขึ้นจนถึงระยะ ที่ปลีเปลี่ยนสีทั้งปลีแล้วจากนั้นอายุการปักแจกันของดอกจะลดลง ปกติระยะที่เหมาะสม ที่สุดในการตัดดอกคือในระยะที่ปลีเปลี่ยนสีหรือเกสรตัวเมียชูขึ้นเหนือดอกแล้ว ครึ่งปลี ซึ่งเมื่อตัดดอกแล้วควรจุ่มมีดในน้ำยาฆ่าเชื้อเช่น ฟายแชน -20 (Physan-20) ในอัตรา 5 ชีชีต่อน้ำ 1 ลิตร ทุกครั้ง เพื่อป้องกันกันการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส ดอกที่ตัดมาแล้วก็ควรแช่ในน้ำสะอาดและวางไว้ในร่มก่อนที่จะจัดส่ง ไปจำหน่ายต่อไป ทิ้งนี้ต้องระวังอย่าวางดอกไว้ในที่แห้งโดยไม่แช่น้ำ
ศัตรูและการป้องกันกำจัด
ปกติไม้ดอกสกุลนี้มีศัตรูรบกวนน้อยมาก เนื่องจากสามารถผลิตสารเคมีมา ป้องกันตัวได้ อย่างไรก็ตาม หากจัดสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ก็อาจพบโรคและศัตรูบางอย่าง เช่น
โรคนี้หากไม่ได้เกิดจากการได้รับแสงมากเกินไป อาจเกิดจากเชื้อรา เป็นสาเหตุของโรคแอนแทรคโนส หรืออาจเกิดจากเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค ไฟทอพโธรา อาการของโรคแอนแทรคโนสจะสังเกตเห็นได้ชัดเพราะแผลจะแห้ง เป็นวงช้อนกันในขณะที่อาการใบแห้งจากโรคไฟทอพโธราจะไม่เป็นวง หากมีโรค ใบแห้งเกิดขึ้น ควรลดแสงเพิ่มความชื้นและการระบายอากาศให้มากขึ้น แล้วฉีดพ่น ด้วยอาลีเอท หากเป็นโรคไฟทอพโธรา หรือฉีดพ่นด้วยบาวิสติน หากเป็น
โรคแอนแทรคโนส
โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยจะทำให้เกิดอาการช้ำและไหม้ซึ่งอาจทำ ให้ต้นตายได้ โรคนี้จะแสดงอาการรุนแรงมากเมี่อมีความชื้นและอากาศไม่ถ่ายเท หากพบอาการในระยะเริ่มแรกควรนำต้นที่เป็นโรคไปเผาทำลายเสียและฉีดพ่น ด้วยแคงเกอร์เอ๊กช์หรือสเตรป
1 คือใบที่แสดงอาการโรคใบแห้งที่เกิดจากเชื้อราซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไฟทอพโธรา
2 คือใบที่แสดงอาการโรคใบไหม้ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ทำให้ใบหนาและด้าน ใบจะมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จึง ต้องรีบนำต้นที่มีอาการของโรคไปเผาทำลายทันที
พบทั้งไรแดงและไรขาว ซึ่งจะทำลายทั้งใบและจานรองดอก ทำให้ผิว ใบและจานรองดอกมีลักษณะด้าน หากพบอาการเข้าทำลายของไร ควรฉีดพ่นด้วย โอไมท์หรือกำมะถันหรือไวท์ออยล์
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าไม้ดอกสกุลหน้าวัวเลี้ยงดูง่าย ผู้ที่สนใจ อาจเลือกปลูกพันธุ์พื้นเมือง เช่น หน้าวัวพันธุ์ดวงสมร ผกามาศและขาวนายหวาน หรือ เปลวเทียนพันธุ์ลำปาง และภูเก็ต หรือเลือกพันธุ์ต่างประเทศจากรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือจากประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ได้
ที่มา : กองส่งเสริมพืชสวน กรมส่งเสริมการเกษตร