น้ำหวานหมักจากเศษปลาสดนี้จะมีกลิ่นหอมหวานของจุลินทรีย์ไม่ใช่กลิ่นน้ำปลาอย่างที่เราเคยชิน
5. ซีรั่มของจุลินทรีย์ในกรดน้ำนม (Lactic Acid Bacteria Serum : LAS)
|
เนื่องจากผลิตโดยการหมักน้ำนม ในที่นี้จึงขอเรียกว่า ซีรั่มน้ำนม ๆ นี้ได้จากการเก็บแลคติก
แอซิด แบคทีเรียโดยใช้น้ำซาวข้าวแล้วนำเอามาหมักน้ำนมจนได้ของเหลวสีเหลือง มร.โช
เล่าว่า การใช้ LAS นี้ฉีดพ่นทางใบให้แก่พืชสามารถเพิ่มการเจริญเติบโตและผลผลิตได้เป็น
สองเท่า
ขั้นตอนการทำซีรั่มของจุลินทรีย์ในกรดน้ำนม (LAS)
1. นำน้ำซาวข้าวใส่ในโถให้มีความสูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร ปิดปากภาชนะด้วย
กระดาษแล้วรัดด้วยยางรัดของ เก็บไว้ในที่มืดและค่อนข้างเย็นเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
2. น้ำซาวข้าวที่ได้จะมีกลิ่นออกเปรี้ยว ให้นำมาผสมกับน้ำนมในสัดส่วน 1:10 เก็บหมัก
ไว้อีก 1 สัปดาห์
3. น้ำนมที่หมักแล้วจะเกิดการรวมตัวและลอยตัวขึ้นของไขมันโปรตีนและคาร์โบไฮเดรท
4. น้ำที่อยู่ส่วนล่างมีสีเหลืองคือ LAS
วิธีการใช้ซีรั่มของจุลินทรีย์ในกรดน้ำนม
ให้ใช้โดยผสมน้ำในสัดส่วน 1 : 1,000 นำไปใช้ฉีดพ่นที่ต้นและใบพืช
|
นอกจากการกล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากเชื้อจุลินทรีย์ในรูปแบบต่างๆ แล้ว มร.โช ยังได้กล่าวถึงหลักการพื้นฐานของการทำการเกษตรกรรมธรรมชาติว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปลูกพืชคือเรื่องระบบของรากซึ่งจะต้องมีความแข็งแรง มร.โช ไม่สนับสนุนให้มีการไถพรวนดินโดยแสดงตัวอย่างของระบบรากของต้นข้าวที่ขึ้นในนาที่มีการไถพรวนกับต้นข้าวที่งอกขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งพบว่าระบบรากของพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมีความแข็งแรงมากกว่า ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการหาอาหารมาสร้างผลผลิตนั่นเอง โดย มร.โช แนะนำให้มีการปรับโครงสร้างของดินโดยการใช้จุลินทรีย์ การนำเทคนิคต่างๆ มาใช้ในขั้นตอนต่างๆ ของการปลูกพืชมีรายละเอียดดังนี้คือ
1. การปรับปรุงดิน ใช้ IMO ร่วมกับอินทรียวัตถุคลุมดิน เช่น ฟางข้าว ชานอ้อย ตอซังข้าวโพด โดยอาจทำการไถพรวนเพียงเล็กน้อย ไม่ควรให้ลึกเกิน 3 เซ็นติเมตร
2.การสร้างความแข็งแรงให้เมล็ดพันธุ์โดยการแช่เมล็ดพันธุ์ในสารละลายผสม 0.2 เปอร์เซ็นต์ ของ FPJ BRV และ OHN
3. การบำรุงพืชในขณะเจริญเติบโต โดยการใช้ 0.2 เปอร์เซ็นต์ FPJ ฉีดพ่นทางใบและทางราก
4. การป้องกันกำจัดแมลง โดยใช้ภาชนะใส่ 0.2 เปอร์เซ็นต์ FPJ เพื่อล่อแมลงในบริเวณแปลงเพาะปลูกให้มากินน้ำหวานหมัก ซึ่งแมลงจะเมาและบินกลับไม่ได้
5. การบำรุงพืชในขณะให้ผลผลิต ถ้าพืชติดผลแล้วให้ใช้ 0.2 เปอร์เซ็นต์ FFJ ฉีดร่วมกับ FPJ
6. การควบคุมวัชพืช โดยอาศัยหลักการของการปลูกพืชคลุมดิน และตัดลงคลุมดิน
หลังจาก มร.โช กลับไป ศิษย์ยานุศิษย์ที่ มร.โช เคยสั่งสอนก็ได้เริ่มทดลองตามความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมา โดยอาจารย์ภรณ์ ภูมิพันนา เรียกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ว่า น้ำหวานหมัก กลุ่มของชมรมเกษตรธรรมชาติไทย โดย ดร.อรรถ บุญนิธีและคณะ เรียกน้ำที่ได้จากการหมักในระยะเริ่มต้นนี้ว่า น้ำหมักพืช (Fermented Plant Juice) และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น น้ำสกัดชีวภาพ (Bio-Extract) หรือเรียกว่า น้ำบีอี ไม่ทราบว่าตั้งเอาเคล็ดเพื่อสู้กับ อีเอ็ม หรือไม่ เพราะมี อี เหมือนกัน โดย อีเอ็ม อี เขาอยู่หน้า ส่วนของ ดร.อรรถ บีอี อี นี่อยู่ข้างหลัง แต่ไม่ว่าอยู่หน้าหรืออยู่หลังก็ดังระเบิดด้วยกันทั้งคู่ บางท่านก็เรียกว่า ปุ๋ยจุลินทรีย์ บางท่านก็เรียก ปุ๋ยน้ำหมัก บางท่านก็เรียกว่า ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ทำให้นักวิชาการบางท่านค้อนออกมาว่ามาเรียกว่าปุ๋ยชีวภาพได้อย่างไร และเรียกในชื่ออื่น ๆอีกมากมาย ด้วยภูมิปัญญาไทยก็ได้เกิดการพัฒนาวิธีการหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพหรือน้ำสกัดชีวภาพขึ้นมาเป็นจำนวนมากซึ่งในที่นี้ผมขอจำแนกออกเป็น 7 ประเภทดังนี้
1. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากพืชสด
2. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากผลไม้
3. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากสัตว์(หอยเชอรี่)
4. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากสัตว์(ปลา)
5. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากมูลสัตว์
6. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากขยะในครัวเรือน
7. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรรวมมิตร
โดยในลำดับต่อไปจะขอเสนอรูปแบบและวีธีการทำปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรต่าง ๆทั้งในเรื่องของชื่อผลิตภัณฑ์ ผู้เผยแพร่ และรายละเอียดวิธีการทำตามลำดับดังนี้
|
1. การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากพืชสด
1.1 การทำน้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียว( FPJ: Fermented Plant
Juice)
ผู้เผยแพร่ : อาจารย์ภรณ์ ภูมิพันนา สำนักสันติอโศก กรุงเทพมหานครพืชสดสีเขียว
หมายถึงพืชสีเขียวทุกชนิดที่กินได้น้ำหวานจากพืช หมายถึง น้ำเลี้ยงของพืชที่อยู่ใน
ท่อส่งอาหารของพืช น้ำหวานของพืชใดก็จะเป็นอาหารธรรมชาติที่ดีที่สุดของพืชชนิด
นั้น เช่น น้ำหวานหมักจากข้าวโพดก็จะให้ธาตุอาหารที่ดีที่สุดสำหรับข้าวโพด หรือน้ำ
หวานหมักจากอ้อยก็จะให้ธาตุอาหารที่ดีที่สุดสำหรับอ้อยแต่จะมีพืชบางชนิดที่ให้ธาตุ
อาหารที่มีประโยชน์ต่อพืชอื่นๆโดยทั่วไปได้ดี เช่น ผักบุ้ง หยวกกล้วย หน่อไม้ เป็นต้น
พืชที่ช่วงความยาวระหว่างข้อภายในกิ่งยาวยิ่งดีและควรเป็นพืชโตเร็วเพราะพืชที่โตเร็ว
มีพลังธรรมชาติที่จะสร้างพลังชีวิตได้มากและเร็ว
น้ำหวานจากพืชนี้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติภายในพื้นที่ที่ประเมินค่ามิได้สำหรับเกษตรกร
เพราะไม่ต้องนำเข้าปุ๋ยหรือสารบำรุงพืชใดๆ เนื่องจากน้ำหวานจากพืชเป็นอาหารที่ดีที่
สุดของพืชอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ จะช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมี
รักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสภาพแวดล้อม เป็นผลดีต่อสุขภาพผู้ผลิตและผู้บริ
โภคอีกด้วย
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำน้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียว
1. พืชสดสีเขียว
2. น้ำตาลทรายแดง (น้ำตาลผง แห้งจากน้ำอ้อย)
3. ไหดินเผาเคลือบ สะอาด แห้ง
4. ผ้าพลาสติกปูรอง
5. มีด
6. เขียง
7. ตาชั่ง
8. อ่างคลุกพืช
9. กระดาษสะอาดสำหรับปิดปากไห
10. เชือกสำหรับมัดปากไห
11. ถุงพลาสติกสำหรับใส่น้ำเป็นน้ำหนักทับปากไห
12. ยางรัดถุงพลาสติก
ขั้นตอนการทำน้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียว
คุณโชย้ำนักย้ำหนาว่า พลังงานที่ออกจากสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา ทางใจ
หรือทางอารมณ์ ความรู้สึกย่อมจะถ่ายทอดเป็นคลื่นไปสู่สิ่งมีชีวิตอื่น ต้นไม้กิ่งไม้ก็จะ
รับพลังงานร้อน เย็นจากจิตใจคนเราได้ ก่อนที่จะทำอะไรกับพืช เราควรรักษาใจรักษา
อารมณ์ให้ผ่องใสเยือกเย็น นุ่มนวล ถ้ากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่าไปยุ่งกับพืช เพราะพืช
ต้องการรับและจะให้พลังเย็น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อดินและการเจริญเติบโตของมัน
1.ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในเก็บเกี่ยวพืชที่ต้องการทำน้ำหวานหมัก คือ ก่อนพระอาทิตย์
ขึ้น ไม่ต้องล้าง เพราะไม่ต้องการให้จุลินทรีย์ที่อยู่บนใบพืชถูกชะล้างออกไป ถ้าเปียก
ฝน ผึ่งในร่มให้หมาดก่อน เปียกน้ำค้างไม่เป็นไร เพราะน้ำค้างมีธาตุอาหารของพืชบาง
ส่วน ที่ใบพืชจะมีน้ำหวานของพืชซึมติดอยู่ที่ปลายท่ออาหาร จุลินทรีย์จะไปเกาะกินน้ำ
เลี้ยงที่ซึมอยู่บนใบ จุลินทรีย์เหล่านี้มีประโยชน์มากต่อพืชตระกูลหญ้า เช่น ข้าว อ้อย
ข้าวโพด ฯลฯ
2. ก่อนหยิบมีดตัดพืช ตั้งสติตั้งใจให้สะอาด ผ่องใส ตัดพืชเป็นท่อนๆยาวประมาณ 3-5
ซ.ม. สำหรับหยวก เอามาทั้งต้น ไม่ต้องตัด ไม่ต้องลอกกาบ และแน่นอน ไม่ต้องล้าง
ซอยโคนให้เป็นแฉกๆกว้างประมาณ 2 ซ.ม แล้วสับขวางอีกครั้ง ให้ยาวประมาณ 3-4
ซ.ม. หน่อไม้ก็เช่นเดียวกัน อย่าลืมว่าไม่ต้องล้างพืชก่อนตัด
3. ชั่งน้ำหนักพืชที่ตัดแล้ว เพื่อกำหนดสัดส่วนของน้ำตาลทรายแดงที่จะใช้ผสม ในการ
ทำน้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียว เราจะใช้น้ำตาลครึ่งหนึ่งของน้ำหนักพืชสด ในระยะต้น
ที่เรายังกะประมาณไม่เป็นเพราะยังขาดประสบการณ์ ควรชั่งเพื่อความถูกต้องแน่นอน เมื่อ
เราชำนาญแล้วก็ประมาณเอาได้ แบ่งน้ำตาลออกเป็น 6 ส่วน 1 ส่วน เก็บไว้ปิดหน้าไห
2 ส่วนใช้คลุกอ่างแรก อีก 3 ส่วนใช้คลุกอ่างที่สอง
4. ถ้าเรามีเกลือสินเธาว์ คือ เกลือจากดิน ไม่ใช่เกลือจากทะเล เราจะใช้เกลือสินเธาว์
ผสมในส่วนของน้ำตาลได้ ในสัดส่วนเดิม คือให้เกลือผสมน้ำตาลมีน้ำหนักเท่ากับครึ่งหนึ่ง
ของน้ำหนักพืช เช่น พืช 6 กิโลกรัมปกติต้องใช้น้ำตาล 3 กิโลกรัม ถ้าเป็นเกลือผสมน้ำ
ตาล ก็ต้องเป็น 3 กิโลกรัมเหมือนกัน ควรใช้เกลือน้อยกว่าน้ำตาล จึงเป็นน้ำตาล 2 กิโล
กรัม และเกลือ 1 กิโลกรัม เกลือสินเธาว์มีธาตุอาหารสำหรับพืชมาก จะทำให้น้ำหวานหมัก
ของเรา มีธาตุอาหารสำหรับพืชเพิ่มขึ้น และน้ำหวานก็จะมีมากขึ้น
5. แบ่งพืชที่หั่นและชั่งแล้วออกเป็น 2 ส่วน เอาพืชส่วนหนึ่งใส่อ่าง โรยน้ำตาลทรายแดง
ผงกอง 2 ส่วนลงบนพืช ไม่ต้องมากนัก แล้วใช้มือทั้งสองกอบพลิกพืช คลุกเคล้ากับน้ำตาล
ผงที่โรยให้เข้ากัน ระมัดระวัง ทะนุถนอม อย่าให้พืชช้ำ ทุกอย่างต้องเบามือ แล้วค่อยๆเอามือ
ทั้งสองกอบพืชใส่ไหที่เตรียมไว้ เกลี่ยให้เรียบเสมอ กดเบาๆ ให้แน่นทุกกอบที่ใส่ลงไป
มีเคล็ดจากผู้มีประสบการณ์ท่านหนึ่งบอกว่า เวลาเคล้าพืชนั้น ถ้าพลิกพืชและเคลื่อนมือทวน
เข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ จะเกิดความเย็นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้แม้เมื่อเอามือแตะนอกอ่าง ใบและกิ่ง
ก้านพืชจะมันเหมือนเคลือบน้ำมันและน้ำหวานจะออกมากทีเดียว ลองทำแล้วค่ะได้ผลจริง
6. ขั้นต่อไป โรยน้ำตาลผงกอง 3 ส่วน ลงบนพืชส่วนที่เหลือในอ่างใบที่สอง ถ้าน้ำตาล
เป็นก้อนควรบี้ให้แหลก เหลือน้ำตาลกอง 1 ส่วนสุดท้ายไว้ปิดหน้าพืชที่ปากไห หมักพืช
ส่วนที่สองที่คลุกเคล้าน้ำตาลแล้วนี้ทิ้งไว้ในอ่าง 2 ชั่วโมง เอากระดาษสะอาดปิดคลุมอ่าง
ไว้
7. ค่อยๆกอบพืชจากอ่างคลุก เติมลงในไห กดพืชให้แน่นไปเรื่อยๆด้วยปลายนิ้วทั้งสี่ ทั้ง
สองมือพร้อมกัน จนพืชหมดอ่าง ใส่น้ำตาลที่เหลือปิดหน้าพืชให้ทึบ เอาผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ
เช็ดปากไห ขอบไหและภายนอกตัวไห อย่าให้มีคราบน้ำตาลเพราะมดจะขึ้น ใช้กระดาษสะอาด
ปิดปากไห ทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง ในระหว่าง 3 ชั่วโมงนี้ พืชจะยุบตัวโดยธรรมชาติ ถ้าน้ำหวานออก
มากและพืชยุบตัวลงเหลือประมาณ 2/3 ของไห แล้วเอากระดาษสะอาดปิดปากไห และผูก
เชือกได้เลย
8. สำหรับพืชที่น้ำออกน้อย ควรเอาถุงพลาสติกใส่น้ำ ผูกปากให้แน่น วางทับหน้าพืชเป็น
น้ำหนักอีก ทำความสะอาดภายนอกไหอีกครั้ง ให้หมดน้ำตาล ทิ้งไว้ 1 คืน จึงเอาถุงน้ำออก
9. พืชเขียวต้องอยู่ประมาณ 2/3 ของไห ต้องมีที่ว่างประมาณ 1/3 ที่ปากไห เพื่อให้
จุลินทรีย์หายใจ เอากระดาษสะอาดปิดปากไห (ห้ามใช้กระดาษหนังสือพิมพ์) แล้วเอายาง
หรือเชือกรัดปากไห เขียนชื่อพืช วันเวลาที่ทำปิดไว้กันลืม สำหรับชาวบ้านที่หากระดาษสะอาด
ได้ยาก ดิฉันมักจะแนะให้ขอกระดาษสมุดจากลูก เลือกหน้าคู่ที่ยังไม่ได้เขียน
10. ไหที่ทำน้ำหวานหมัก ต้องวางไว้ในร่ม ภายในหลังคา อย่าให้ถูกฝน จะใช้โถแก้วก็ได้
แต่ต้องหาผ้าหรือกระดาษปิดให้ทึบ อย่าให้แสงเข้าได้
11. พืชส่วนใหญ่จะใช้เวลา 8-10 วัน จนเกิดการหมักที่สมบูรณ์ ช่วง 4-5 วันแรกจะเป็น
เพียงน้ำหวาน การหมักยังไม่สมบูรณ์ เมื่อสมบูรณ์แล้วจะมีกลิ่นหอมหวาน และพืชจะกลายเป็น
สีเหลืองจางๆเพราะธาตุสีเขียว(คลอโรฟีลล์) ถ่ายเทมาอยู่ในของเหลวแล้ว
12. เมื่อได้ที่ เปิดกระดาษที่ปิดไว้ออก ใช้ปั๊มดูดน้ำหวานหมักออก ใส่ขวดแก้วสีทึบไว้ ปิดฝา
ห้ามใส่ขวดพลาสติก เพราะจะมีปฏิกริยาเกิดแก๊สพุ่งออกมา ปริมาณที่ใส่ในขวดก็เหมือนเดิม คือ
2/3 ของขวด เพื่อมีที่ให้จุลินทรีย์หายใจ ถ้าไม่มีตู้เย็น เก็บไว้ในที่ร่มเย็น ถ้ากลิ่นเปลี่ยนเป็น
กลิ่นเปรี้ยวหรือกลิ่นแอลกอฮอล์ ให้เติมน้ำตาลลงไป 1/3 ของปริมาณน้ำ เป็นอาหารจุลินทรีย์
แต่ไม่ควรทำไว้มากเกินความต้องการใช้ในแต่ละครั้ง
ก่อนใช้น้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียวต้อง ผสมน้ำ 1:500 ส่วน อย่าลืมนะคะ เคยมาแล้ว ผสม
เข้มข้นไปผักพับไปคาตาทีเดียว ไม่เชื่อก็ลองดูจะว่าไม่เตือน น้ำนี้รดพืชผักได้ เป็นอาหารโดยตรง
ของพืช โดยหลักแล้วจะใช้ประโยชน์จากพืช 3 ตระกูลคือตระกูลหญ้า ตระกูลถั่วและตระกูลผัก
ซึ่งจะให้ธาตุอาหารที่เหมาะสมตามความต้องการของพืชทุกชนิด ในแต่ละช่วงการเจริญเติบโต
น้ำหวานตัวกลางนี้สำหรับประเทศไทยคุณโชแนะนำผักบุ้ง หยวกกล้วยทั้งต้นและหน่อไม้ทั้งหน่อ
ไม่ลอกกาบ
นอกจากนี้น้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียว ยังเป็นตัวประกอบหลักในการทำหัวเชื้อดินหมักจุลินทรีย์
อีกด้วย
1.2 วิธีการผลิตน้ำสกัดชีวภาพ
ผู้เผยแพร่ : ดร.อรรถ บุญนิธี ชมรมเกษตรธรรมชาติแห่งประเทศไทย กองพัฒนาการ
บริหารงานเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร โทร (02) 902-8928
น้ำสกัดชีวภาพ คือ น้ำที่ได้จากการหมักดองพืชอวบน้ำ เช่น ผัก ผลไม้ ด้วยน้ำตาลในสภาพ
ไร้อากาศ น้ำที่ได้รับจะประกอบด้วยจุลินทรีย์และสารอินทรีย์หลากหลายชนิด จุลินทรีย์ส่วน
ใหญ่จะเป็นพวกยีสต์ แบคทีเรียสร้างกรดแลกติกและพวกรา แบคทีเรียสังเคราะห์แสงก็เคย
พบในน้ำสกัด ชีวภาพ
วัสดุและอุปกรณ์ในการทำ
1. ถังหมักที่มีฝาปิดสนิทจะเป็นถังพลาสติก ถังโลหะหรือกระเบื้องเคลือบหรือจะใช้ถุงพลาส
ติกก็ได้
2. น้ำตาล สามารถใช้น้ำตาลได้ทุกชนิด ถ้าได้กากน้ำตาลยิ่งดี เพราะมีราคาถูกและมีธาตุ
อาหารอื่นๆ ของจุลินทรีย์ นอกจากน้ำตาลอยู่ด้วย
3. พืชอวบน้ำทุกชนิด เช่น ผัก ผลไม้ทั้งแก่และอ่อน รวมทั้งเปลือกผลไม้อวบน้ำที่สดไม่
เน่าเปื่อย เช่น เปลือกแตงโม เปลือกสับปะรด เปลือกขนุนและเปลือกมะม่วง เป็นต้น
4. ของหนัก เช่นอิฐบล็อก หรือก้อนหิน
วิธีทำ
1. นำพืช ผัก ผลไม้ลงผสมกับน้ำตาลในภาชนะที่เตรียมไว้ในอัตราน้ำตาล 1 ส่วน ต่อพืช
ผัก ผลไม้ 3 ส่วน คลุกให้เข้ากันหรือถ้ามีปริมาณมากจะโรยทับสลับกันเป็นชั้นๆ ก็ได้
2. ใช้ของหนักวางทับบนพืชผักที่หมักเพื่อกดไล่อากาศที่อยู่ระหว่างพืชผัก ของหนักที่ใช้
ทับควรมีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักพืชผัก วางทับไว้ 1 คืน ก็เอาออกได้
3.ปิดฝาภาชนะที่หมักให้สนิท ถ้าเป็นถุงพลาสติกก็มัดปากถุงพลาสติกให้แน่นเพื่อป้องกัน
ไม่ให้อากาศเข้าไปได้ เป็นการสร้างสภาพที่เหมาะสมให้แก่จุลินทรีย์หมักดองลงไปทำงาน
4. หมักทิ้งไว้ 3–5 วัน จากการละลายตัวของน้ำตาลและน้ำเลี้ยงจากเซลล์ของพืชผักน้ำ
ตาลและน้ำเลี้ยงเป็นอาหารของจุลินทรีย์ จุลินทรีย์หมักดองก็จะเพิ่มปริมาณมากมายพร้อม
กับผลิตสารอินทรีย์หลากหลายชนิดดังกล่าวข้างต้น ของเหลวที่ได้เรียกว่า “ น้ำสกัดชีวภาพ ”
5. เมื่อน้ำสกัดชีวภาพมีปริมาณมากพอประมาณ 10–14 วัน ก็ถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกบรรจุ
ลงในภาชนะพลาสติก อย่ารีบถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกเร็วเกินไป เพราะเราต้องการให้มีปริมาณ
จุลินทรีย์มากๆ เพื่อเร่งกระบวนการหมัก น้ำสกัดชีวภาพที่ถ่ายออกมาใหม่ๆ กระบวนการ
6.หมักยังไม่สมบูรณ์จะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้น ต้องคอยเปิดฝาภาชนะบรรจุทุกวัน
จนกว่าจะหมดก๊าซ ปริมาณของน้ำสกัดชีวภาพที่ได้จากการหมักจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิด
ของพืชผัก ผลไม้ที่ใช้หมักซึ่งจะมีน้ำอยู่ 95–98 เปอร์เซ็นต์ สีของน้ำสกัดชีวภาพก็ขึ้นอยู่กับ
ชนิดของน้ำตาลที่ใช้หมัก ถ้าเป็นน้ำตาลฟอกขาวก็จะมีสีอ่อน ถ้าเป็นกากน้ำตาลน้ำสกัดชีวภาพ
ก็จะเป็นสีน้ำตาลแก่
7.ควรเก็บถังหมักและน้ำสกัดชีวภาพไว้ในที่ร่มอย่าให้ถูกฝนและแสงแดดจัด ๆน้ำสกัดชีวภาพ
ที่ผ่านการหมักสมบูรณ์แล้วถ้าปิดฝาสนิทสามารถเก็บไว้ได้หลายๆเดือน
8. กากที่เหลือจากการหมัก สามารถนำไปฝังเป็นปุ๋ยบริเวณทรงพุ่มของต้นไม้ได้ หรือจะคลุก
กับดินหมักเอาไว้ใช้เป็นดินปลูกต้นไม้ก็ได้
หมายเหตุ
ในกรณีที่มีการหมักต่อเนื่องก็ไม่จำเป็นต้องเอากากออก สามารถใส่พืช ผักลง
ไปเรื่อยๆ ก็ได้หรือในกรณีที่หมักยังไม่เต็มถังก็สามารถเติมจนเต็มถังก็ได้ทุกครั้ง
หลังจากเปิดถังต้องปิดฝาหรือมัดปากถุงให้แน่นเหมือนเดิมเพื่อป้องกันอากาศเข้า
เพราะถ้าอากาศเข้ามากๆ จะมีจุลินทรีย์อื่นๆที่เราไม่ต้องการลงไปทำให้เสียมีกลิ่น
เหม็นเน่าได้
น้ำสกัดชีวภาพที่มีคุณภาพดีจะมีกลิ่นหมักดองและมีกลิ่นแอลกอฮอล์บ้าง มากน้อย
ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาลและปริมาณผลไม้ที่หมัก ถ้าชิมดูน้ำสกัดชีวภาพจะมีรสเปรี้ยว
วิธีใช้ในพืช
1. ผสมน้ำสกัดชีวภาพกับน้ำในอัตรา 1 ส่วนต่อน้ำ 500–1,000 ส่วน รดต้นไม้
หรือฉีดพ่นบนใบ
2. เริ่มฉีดพ่นเมื่อพืชเริ่มงอกก่อนที่โรคและแมลงจะมารบกวนและควรทำในตอนเช้า
หรือหลังจากฝนตกหนัก
3. ควรให้อย่างสม่ำเสมอและในดินต้องมีอินทรียวัตถุอย่างพอเพียง เช่น ปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยคอก หญ้าแห้ง ใบไม้แห้งและฟาง เป็นต้น
4. ใช้ได้กับพืชทุกชนิด
5. น้ำสกัดชีวภาพเจือจางใช้แช่เมล็ดพืชก่อนนำไปเพาะ จะช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น
และจะได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและสมบูรณ์ ระโยชน์
ในน้ำสกัดชีวภาพประกอบด้วยสารอินทรีย์ต่างๆ หลากหลายชนิด เช่น เอนไซม์ ฮอร์
โมน และธาตุอาหารต่างๆ เอนไซม์บางชนิดจะทำหน้าที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็น
สารอินทรีย์ เป็นอาหารของจุลินทรีย์เองและเป็นอาหารของต้นพืชฮอร์โมนหลายชนิด
ที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นก็เป็นประโยชน์ต่อพืชถ้าให้ในปริมาณเล็กน้อย แต่จะมีโทษถ้าให้
ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป ฉะนั้นในการใช้น้ำสกัดชีวภาพในพืช จำเป็นต้องให้ในอัตรา
เจือจาง สารอินทรีย์บางชนิดสร้างขึ้นเป็นสารเพิ่มความต้านทานให้แก่พืช ทำให้พืชมี
ความต้านทานต่อโรคและแมลง และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่าง
กระทันหัน
|
http://www.doae.go.th/soil_fert/biofert/fpj1plant.htm