ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรกล้อมแกล้ม
หลักการและเหตุผล
- ในอินทรีย์วัตถุที่มาจากสัตว์และพืชมีธาตุอาหารพืชทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม
ฮอร์โมนและอื่นๆ ที่พืชต้องการ เมื่อนำอินทรียวัตถุชนิดใดมาผ่านกรรมวิธีแปรสภาพด้วยการ
หมักโดยมีจุลินทรีย์เป็นตัวดำเนินการก็จะได้ธาตุอาหารตัวนั้น
- การใช้อินทรีย์วัตถุหลากหลายชนิดมาแปรสภาพย่อมทำให้ได้ธาตุอาหารพืชหลากหลาย
ชนิด หรือเท่าที่ชนิดและปริมาณของอินทรียวัตถุนั้นจะพึงมีธาตุอาหาร
- คำว่า “กล้อมแกล้ม” เป็นภาษาไทยโบราณ แปลว่า “อะไรก็ได้ ง่ายๆ ทำไปเถอะ” แต่
คำว่ากล้อมแกล้มในปุ๋ยน้ำชีวภาพจะถือหลักอะไรก็ได้ง่ายๆ ทำไปเถอะนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ทุกอย่างทุกขั้นตอนต้องมี “หลักเกณฑ์และหลักการ” บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
วัสดุส่วนผสมหลัก :
1. พืชผักสด (5 กก.) ผักสวนครัว ได้แก่ ผักกาด. ผักคะน้า. ผักกวางตุ้ง. ยอดผัก
บุ้ง. ยอดตำลึง. ยอดกระทกรก. ยอดฟักทอง. ใบฟักทองแก่จัด. ผักปรัง. หน่อไม้ฝรั่ง.
ข้าวโพดหวาน. ข้าวน้ำนม. ต้นหอม. ผักชี. กุยช่าย ฯลฯ ....... ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
หลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก. ...... วัชพืช
ได้แก่ ผักขม. ผักปอด. สาหร่าย. แหนแดง ฯลฯ ..... ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย
อย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก.
หมายเหตุ :
- ไม่ควรใช้พืชที่ใช้สำหรับทำสารสกัดสมุนไพรป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช เพราะ
สารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรจะเป็นตัวยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์
- พืชที่เกิดหรือขึ้นเองตามธรรมชาติในฤดูกาลและอยู่มานานดีกว่าพืชที่ตั้งใจปลูก
- สภาพสด ใหม่ สมบูรณ์ โตเต็มที่ อวบน้ำ ไม่มีโรคและแมลง ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
- เก็บตอนเช้าตรู่ (ตี 5) มีน้ำค้างเกาะ ดีกว่าเก็บตอนสายแดดออกจนใบ/ต้นแห้งแล้ว
- เก็บขึ้นมาแล้วบดละเอียดทันทีไม่ควรทิ้งไว้นาน
- เก็บแบบถอนทั้งต้น (ยอดถึงราก) ไม่ต้องล้างเพียงแต่สลัดดินติดรากออกบ้างเท่านั้น
- ใช้มากชนิดดีกว่าน้อยชนิด
2. ผลสดดิบ+เมล็ด (5 กก.)ผลไม้กินได้มีเมล็ดมากๆ ทั้งอ่อนและแก่ ได้แก่ แตงกวา.
แตงโม. แตงไทย. แคนตาลูป. มะระ. มะเขือเทศดิบ. ฟักทอง. ฟักเขียว. ถั่วฝักยาว. ถั่ว
ลันเตา. ถั่วพู. ตำลึง ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ
ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก. พืชหัวระยะแก่ใกล้เก็บเกี่ยว ได้แก่ ไชเท้า. แครอท. เผือก.
มันเทศ. มันฝรั่ง. ถั่วเหลือง. ถัวลิสง. หอมหัวใหญ่ ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ
ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก.
หมายเหตุ :
- ไม่ควรใช้ผลหรือหัวของพืชที่ใช้ทำสารสกัดสมุนไพรป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรู
พืช เพราะสารออกฤทธิ์ในผลหรือหัวของพืชสมุนไพรจะเป็นตัวยับยั้งการเจริญพัฒนาของ
จุลินทรีย์
- สภาพสด ใหม่ สมบูรณ์ โตเต็มที่ อวบน้ำ ไม่มีโรคและแมลง ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
- เก็บตอนเที่ยงหรือบ่าย เก็บมาแล้วไม่ต้องล้างน้ำให้บดละเอียดทันที
- ใช้มากชนิดดีกว่าน้อยชนิด
3. ผลสุก + เมล็ด (5 กก.) ผลไม้รสหวานสนิท ได้แก่ ทุเรียน. มะละกอ. กล้วย. องุ่น.
ลิ้นจี่. เงาะ. ลำไย. ขนุน. ฝรั่ง. น้อยหน่า. ตำลึง ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ
ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก. ผลไม้รสเปรี้ยว ได้แก่ มะเขือ
เทศสุก. ส้ม. สับปะรด. มะปรางเปรี้ยว. มะขามเปรี้ยว ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย
อย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งที่ต้องการ คือ ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก.
หมายเหตุ :
- ไม่ควรใช้ผลไม้ที่ใช้ทำสารสกัดสมุนไพรป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช เพราะ
สารออกฤทธิ์ในผลสมุนไพรจะเป็นตัวยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์
- ใช้ผลไม้แก่จัดเริ่มสุกงอม มีกลิ่นหอมฉุน ใช้ทั้งเปลือก เนื้อ และเมล็ด
- สภาพสมบูรณ์ โตเต็มที่ ไม่มีโรคและแมลง ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
- ผลไม้ป่าหรือพันธุ์พื้นเมือง เกิดและให้ผลผลิตเองตามธรรมชาติดีกว่าผลไม้จากต้นที่ปลูก
- ได้มาแล้วบดละเอียดทันที ไม่ต้องล้าง ใช้หลายอย่างดีกว่าน้อยอย่าง
- ชาวสวนองุ่นในยุโรปนิยมเก็บผลองุ่นช่วงเดือนหงายหรือขึ้น 15 ค่ำ เพราะทำให้ได้น้ำ
องุ่นสำหรับทำเหล้าองุ่นที่มีคุณภาพดีกว่าองุ่นที่เก็บในช่วงอื่น
4. ซากสัตว์ (5 กก.) สัตว์ทั่วไป ได้แก่ ปลา. เครื่องใน. เลือด. เมือก. รก. น้ำเชื้อ.
ไข่ ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย
รวม 2.5 กก. สัตว์ไมมีกระดูกสันหลัง ได้แก่ เปลือกกุ้ง. กระดองปู. ปูนิ่ม. กิ้งกือ. ไส้เดือน.
ไรแดง. หอยพร้อมเปลือก. หนอน. แมลง. ปลิงทะเล/น้ำจืด. แมงกะพรุน. เปลือกกั้ง. เคย.
อาทิเมีย. ลิ้นทะเล ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งที่ต้องการ คือ
ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก.
หมายเหตุ :
- สภาพสด ใหม่ สมบูรณ์ โตเต็มที่ ไม่มีโรค
- สัตว์ในแหล่งธรรมชาติดีกว่าสัตว์ในฟาร์ม
- ใช้หลายอย่างดีกว่าน้อยอย่าง
- ใช้สัตว์มีชีวิตดีกว่าสัตว์ที่ตายแล้ว
- ไม่ต้องล้าง บดละเอียดแล้วนำมาหมักทันที
5. วัสดุส่วนผสมเสริมจากอาหารคน ได้แก่ นมกล่อง. ผงชูรส. นมสัตว์สดรีดใหม่. นม
เหลืองแม่วัว. น้ำมันพืช. น้ำมันตับปลา. น้ำผึ้ง. น้ำสลัด. กระทิงแดง/ลิโพ. วิตามิน. อาหาร
เสริม ฯลฯ จากแหล่งอื่นๆ ได้แก่ น้ำมะพร้าวอ่อน. น้ำตาลสดจากมะพร้าว/ตาล/อ้อย. เมล็ด
พืชเริ่มงอก. อาหารสัตว์. ถั่วเน่า. สาหร่ายทะเล/น้ำจืด. สาหร่ายน้ำเงินแกมเขียว. เกลือสินธุ์
เทา. ขี้เพี้ยในไส้อ่อน ฯลฯ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน โดย
พิจารณาธาตุอาหารพืชหรือจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในวัสดุส่วนผสมแต่ละชนิดเป็นหลัก และสิ่งที่ต้อง
การ คือ ความหลากหลายของธาตุอาหารพืช
6. จุลินทรีย์จากอาหารคน ได้แก่ ยาคูลท์. โยเกิร์ต. นมเปรี้ยว. แป้งข้าวหมาก. ยีสต์
ทำขนมปัง ฯลฯจากพืชได้แก่ เปลือกติดตาสับปะรด. เหง้าปรง. วัสดุเพาะเห็ดถุง. ฟางเห็ด
ฟาง. จุลินทรีย์หน่อกล้วย. จุลินทรีย์อีแอบ. จุลินทรีย์ประจำถิ่น ฯลฯจากห้องปฏิบัติการ ได้แก่
พด.1-7 จุลินทรีย์ทั่วไป (ทำเอง/ท้องตลาด-แห้ง/น้ำ) เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย
อย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งที่ต้องการ คือ ความหลากหลายของจุลินทรีย์
หมายเหตุ :
- สภาพสด ใหม่ ไม่มีเชื้อโรค
- จุลินทรีย์จากห้องปฏิบัติการดีกว่าจุลินทรีย์ธรรมชาติ หรือควรใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน
- อย่างไหนมาก่อนใส่หมักลงไปก่อน อย่างไหนได้มาทีหลังใส่หมักตามทีหลัง
- แม้จะเป็นจุลินทรีย์ต่างชนิดกัน แต่เป็นจุลินทรีย์เพื่อการเกษตรเหมือนกันสามารถใช้ร่วม
กันได้
- เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งแต่ถ้าใช้หลายอย่างได้จะดีกว่าใช้น้อยอย่าง
วิธีทำ
1. บด “วัสดุส่วนผสมหลัก” ตามข้อ 1-4 ที่เป็นของแข็งทั้งหมดทีละอย่างหรือพร้อมกัน
ทุกอย่างก็ได้ บดหลายๆ รอบให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ น้ำที่ออกมาอย่าทิ้ง ใช้ทั้งน้ำ
และกากได้มาแล้วบรรจุลงถังที่ไม่ใช่โลหะ
2. นำ “วัสดุส่วนผสมเสริม” ที่เป็นของแข็งบดละเอียด อัตรา 1-5 เปอร์เซ็นต์ของ
ปริมาณวัสดุส่วนผสมหลักใส่ตามลงไป
3. ใส่ “กากน้ำตาล” พอท่วม.....เพื่อประกันความผิดพลาดที่อาจจะใส่กากน้ำตาลมาก
เกินไปหรือน้อยเกินไป แนะนำให้ตวง “วัสดุส่วนผสม” กับ “กากน้ำตาล” ให้ได้ปริมาณอัตรา
ส่วน 1:1 เสียก่อนจึงใส่ลงถัง
4. ใส่ “วัสดุส่วนผสมเสริม” ที่เป็นน้ำไม่จำกัดปริมาณเพื่อให้ได้ส่วนผสมเหลวมากๆ
5. ใส่ “จุลินทรีย์” มากหรือน้อยไม่จำกัด
6. คนเคล้าให้เข้ากันดี ติด “ปั๊มออกซิเจน” เพื่อเติมอากาศให้แก่จุลินทรีย์ตลอดเวลา
7. ปิดฝาภาชนะหมักพอหลวม เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง8. ระวังอย่าให้แมลงตอมเพราะจะ
ทำให้เกิดหนอนและอย่าให้มีวัสดุแปลกปลอมลงไป
9. มีของหนักกดวัสดุส่วนผสมให้จมตลอดเวลา
10. หมั่นคนบ่อยๆ เพื่อป้องกันวัสดุส่วนผสมนอนก้น
หมายเหตุ :
- ควบคุมอัตราส่วนของวัสดุส่วนผสมทุกอย่างให้ได้เท่าๆ กัน เพื่อให้ได้ธาตุอาหารเท่าๆ กัน
- วัสดุส่วนผสมที่ได้มาไม่พร้อมกัน โดยได้อย่างไหนมาก่อนให้หมักลงไปก่อนและอย่าง
ไหนได้มาทีหลังให้หมักลงตามหลังนั้น ระยะห่างไม่ควรนานเกิน 1-2 เดือน เพื่อให้กระบวนการ
ย่อยสลายดำเนินไปพร้อมๆ กันซึ่งจะส่งผลให้ได้ธาตุอาหารเท่ากัน
- อัตราส่วนกากน้ำตาลที่ใช้ ถ้าใส่กากน้ำตาลมากเกินอัตราจะทำให้วัสดุส่วนผสมจับตัวแข็ง
เป็นก้อน แต่ถ้าใส่กากน้ำตาลน้อยจะทำให้วัสดุส่วนผสมบูดเน่า
- อัตราส่วนกากน้ำตาลที่น้อยเกินไปนอกจากจะทำให้จุลินทรีย์มีประโยชน์ไม่เจริญพัฒนา
แล้วยังทำให้จุลินทรีย์มีโทษเกิดขึ้นอีกด้วย และอัตราส่วนของกากน้ำตาลที่มากเกินก็ทำให้
จุลินทรีย์มีประโยชน์ไม่เจริญพัฒนาและจุลินทรีย์มีโทษเกิดขึ้นได้เช่นกัน
- ในกากน้ำตาลใหม่มีสารเป็นพิษต่อพืช 16 ชนิด เมื่อให้ทางใบต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะ
เวลานานๆ จะทำให้ใบลาย ใบมีขนาดเล็กลงและต้นโทรมได้ นอกจากนี้กากน้ำตาลใหม่ยังเป็น
อาหารอย่างดีสำหรับเชื้อรา (เข้าทำลายใบ ดอก ผล ต้น) หลายชนิดอีกด้วยวิธีการดับพิษใน
กากน้ำตาลสามารถทำได้โดยหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพนานข้ามปีเพื่อให้จุลินทรีย์ย่อยสลายสารพิษนั้น
หรือต้มกากน้ำตาลให้เดือดก่อนใช้ในการหมัก......หากใช้ทั้ง 2 วิธีนี้แล้วยังเกิดปัญหาแก่ต้นพืช
อีกก็ต้องยกเลิกการให้ทางใบแล้วให้ทางรากอย่างเดียว
- ถ้าไม่มีกากน้ำตาลสามารถใช้น้ำตาลอื่นๆ เช่น น้ำตาลทรายแดง. น้ำตาลทรายขาว.
น้ำตาลปี๊บ. น้ำอ้อย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่ากันแทนได้ แต่ต้องใช้ใน
อัตรามากกว่ากากน้ำตาล 7 เท่าจึงจะได้ความหวานเข้มข้นเท่ากากน้ำตาล......การนำน้ำตาล
อื่นๆ มาเคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อมเพื่อเพิ่มความหวานจนหวานจัดแล้วใช้แทนกากน้ำตาลได้เช่นกัน
- ในการหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพไม่ควรใช้กลูโคส (ผงหรือน้ำ) เนื่องจากมีความหวานน้อยกว่า
กากน้ำตาล จะทำให้เกิดการบูดเน่าแล้วแก้ไขไม่ได้
- ใส่วัสดุส่วนผสม ½ หรือ ¾ ของความจุภาชนะหมัก เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับอากาศหมุน
เวียนดี และสะดวกต่อการคน
- หมักในภาชนะขนาดเล็ก ปากกว้าง จะช่วยให้กระบวนการหมักดีกว่าหมักในภาชนะขนาด
ใหญ่ปากแคบ
- วัสดุส่วนผสมที่ผ่านการบดละเอียดเหลวหรือเหลวมากๆ กระบวนการหมักจะดี มี
ประสิทธิภาพและใช้การได้เร็วกว่าวัสดุส่วนผสมชิ้นหยาบๆ และส่วนผสมที่ข้นมากๆ
- ปุ๋ยน้ำชีวภาพกล้อมแกล้มไม่มีการใส่ “น้ำเปล่า” เด็ดขาด เพราะในน้ำเปล่าไม่มีธาตุ
อาหารพืช หากต้องการให้วัสดุส่วนผสมเหลวมากๆ ให้ใส่วัสดุส่วนผสมเสริมที่เป็นน้ำ เช่น น้ำ
มะพร้าว นมสด หรือจากพืชอวบน้ำ เช่น แตงโม แตงกวา ไชเท้า ฟัก ให้มากขึ้นหรือจนกว่าจะ
เหลวตามต้องการ
- ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีหรือฮอร์โมนวิทยาศาสตร์ใดๆ ในระหว่างการหมักทั้งสิ้น เพราะจะทำให้ได้
ธาตุอาหารพืชจากปุ๋ยเคมีนั้นเพียงสูตรเดียว หรือได้ฮอร์โมนพืชเพียงชนิดเดียวแต่ให้ใส่ก่อนใช้
งานจริงซึ่งจะทำให้สามารถเลือกสูตรปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนพืชได้ตรงตามความต้องการของพืช
- วัสดุส่วนผสมที่อายุการหมักสั้น (น้อยกว่า 6 เดือน) มีความเป็นกรดจัดมาก (2.0-3.0)
หมักนาน 6 เดือน -1 ปี มีความเป็นกรด (4.0-5.0) และหมักนานข้ามปีมีความเป็นกรดอ่อนๆ
(5.0-6.0) โดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุส่วนผสม โดยส่วนผสมที่เป็นซากสัตว์จะ
เป็นกรดมากกว่าวัสดุส่วนผสมที่เป็นพืช
- ธาตุอาหารพืชจากปุ๋ยน้ำชีวภาพที่อายุหมักนาน 3 เดือนจะได้แต่ธาตุอาหารหลัก....อายุ
การหมักนาน 6 เดือนจะได้ธาตุหลัก ธาตุรอง และฮอร์โมน....อายุการหมักนาน 9 เดือนจะได้
ธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน และอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกวัสดุส่วนผสมที่หมักกับกาก
น้ำตาลหรือน้ำตาลอื่นๆ ด้วยระยะเวลาการหมักเพียง 1 สัปดาห์ -1 เดือน นั้นจุลินทรีย์ยังไม่
สามารถแปรสภาพ (ย่อยสลาย) วัสดุส่วนผสมให้ธาตุอาหารพืชออกมาได้ เมื่อนำไปใช้จึงได้
เพียงประโยชน์จากกากน้ำตาลหรือตัวเสริมเปล่าๆ เท่านั้นเอง
วิธีเก็บรักษา ปรับปรุง และแก้ไข
1. เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง ติดปั๊มออกซิเจนเติมอากาศให้จุลินทรีย์ตลอดเวลา ปิดฝาพอ
หลวม คนบ่อยๆ เพื่อป้องกันการนอนก้นและป้องกันการจับก้อน ระวังอย่าให้ส่วนผสมลอย
2. อายุหมัก 7 วันแรกให้ตรวจสอบด้วยการดมกลิ่น ถ้ามีกลิ่นบูดเปรี้ยว แสดงว่าอ่อนกาก
น้ำตาลและจุลินทรีย์ แก้ไขด้วยการเติมกากน้ำตาล อัตรา ¼ ของที่ใส่ครั้งแรกพร้อมกับเพิ่ม
จุลินทรีย์และน้ำมะพร้าวลงไปอีก คนเคล้าให้เข้ากันดีแล้วดำเนินการหมักต่อไปตามปกติ หลัง
จากนั้น 7 วัน ให้ตรวจสอบอีกครั้ง ถ้ายังมีกลิ่นบูดเปรี้ยวอยู่อีกก็ให้แก้ไขด้วยกากน้ำตาล ¼
ของที่ใส่เติมเพิ่มครั้งก่อนกับใส่จุลินทรีย์และน้ำมะพร้าวอ่อนลงไปอีก ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปพร้อม
กับตรวจสอบทุก 7 วัน ถ้ายังมีกลิ่นบูดเปรี้ยวอยู่ก็ให้แก้ไขด้วยวิธีการเดียวกันจนกว่าจะหายกลิ่น
บูดเปรี้ยว และเมื่อหายจากบูดเปรี้ยวแล้วก็จะไม่บูดเปรี้ยวอีก
3. ใช้ถังหมักแบบ “บด-ปั่น” ที่มีมอเตอร์ทดรอบ (เกียร์มอเตอร์) ซึ่งจะทำหน้าที่ทั้งบด
และปั่นในเวลาเดียวกันตลอด 24 ชม.หรือตลอดอายุการหมัก อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่บดจะย่อย
วัสดุส่วนผสมให้ละเอียดเล็กลงไปอีก ส่วนอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ปั่นจะช่วยเติมอากาศแก่จุลินทรี
ยตลอดเวลา เช่นกัน ส่งผลให้กระบวนการหมักดีและเร็วขึ้น
4. ใช้ถังหมักแบบควบคุมอุณหภูมิภายในที่ใจกลางถังและขอบนอกของถังให้คงที่ ณ 40
องศาเซลเซียลสม่ำเสมอตลอดเวลาในระหว่างการหมักจะช่วยให้จุลินทรีย์เจริญพัฒนาและ
ขยายพันธุ์ได้ดีมาก
5. ระหว่างการหมักถ้ามีฟองอากาศเกิดขึ้นแสดงว่าดีมีจุลินทรีย์มากและแข็งแรง และถ้ามีฝ้า
สีขาวอมเทาเกิดขึ้นที่ผิวหน้าก็แสดงว่าดีเช่นกัน ฝ้าที่เกิดขึ้นคือจุลินทรีย์ที่ตายแล้วให้คนฝ้านั้น
ลงไปก็จะกลายเป็นอาหารอย่างดีแก่จุลินทรีย์ที่ยังไม่ตายต่อไป
6. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่หมักไว้นานแล้วเกิดอาการ “นิ่ง-ไม่มีฟอง” แต่กลิ่น “หอม-หวาน-ฉุน” ดี
ให้ใส่น้ำมะพร้าวอ่อน นมสด หรือวัสดุส่วนผสมเสริม คนเคล้าให้เข้ากันดี ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่เคยนิ่ง
จะเดือดมีฟองเกิดขึ้นมาทันที ช่วยทำให้ได้ประสิทธิภาพในกระบวนการหมักสูงขึ้นไปอีก
7. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ทำไว้นานแล้วด้วยวัสดุส่วนผสมน้อยอย่างหรือไม่หลากหลายนั้น สามารถ
แก้ไขได้โดยการใส่วัสดุส่วนผสมที่ยังขาดหรือไม่ได้ใส่ตามภายหลังแล้วหมักต่อไปด้วยวิธีการ
หมักปกติได้
8. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ทำไว้นานแล้ว วัสดุส่วนผสมจับตัวเป็นก้อนแข็ง หรือบูดเน่า หรือมีกลิ่น
ไม่พึงประสงค์ สามารถแก้ไขได้ด้วยการใส่ กากน้ำตาล จุลินทรีย์ น้ำมะพร้าวอ่อน ตัวเสริม
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามความเหมาะสม จากนั้นหมักต่อไปตามปกติแล้วทุกอย่าง
จะดีขึ้น
9. หนอนในปุ๋ยน้ำชีวภาพเกิดจากไข่ของแมลงที่ลอบเข้ามาวางไว้ ไม่มีผลเสียต่อปุ๋ยน้ำ
ชีวภาพ หนอนเหล่านี้จะไม่ลอกคราบและไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นแมลงได้ ให้บดละเอียด
หนอนลงหมักร่วมไปเลยจะได้ฮอร์โมนไซโตคินนินและอะมิโนโปรตีน
10. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ดีจะมีกลิ่น “หอม-หวาน-ฉุน” ชัดเจนอยู่ได้นานนับปีหรือหลายๆ ปี หรือ
ยิ่งหมักนานยิ่งดี
11. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่หมักจนใช้การได้ดีแล้ว กรองกากออกเหลือแต่น้ำเพื่อนำไปใช้งาน ในน้ำ
ที่กรองออกมานั้นยังมีจุลินทรีย์ เมื่อปิดฝาขวดเก็บไว้นานๆ ขวดจะบวมจนระเบิดได้ ให้ยับยั้งการ
เจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในขวดด้วยการใส่ “โซเดียมเมตตะไบร์ ซัลไฟด์ หรือ โปแตสเซียม
เมตตะไบร์ ซัลไฟด์” (อย่างใดอย่างหนึ่ง) อัตรา 250 พีพีเอ็ม. หรือ 250 ซีซี./1,000 ล.
หรือ 25 ซีซี./100 ล. หรือ 2.5 ซีซี./10 ล.การยับยั้งจุลินทรีย์แบบพลาสเจอร์ไลท์ โดยนำ
น้ำปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ผ่านการกรองดีแล้วใส่ถังยกขึ้นตั้งไฟความร้อน 70-72 องศาเซลเซียส แล้ว
นำลงกรอกบรรจุขวด ปิดฝาสนิทอย่าให้อากาศเข้าได้ แล้วใส่ลงในถังควบคุมความเย็นจัด (ถัง
น้ำแข็ง) ทันที เมื่อเก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง จะทำให้ขวดไม่บวมหรือไม่ระเบิด และอยู่ได้นานนับปี
วิธีใช้และอัตราใช้
ทางใบ :
ปุ๋ยน้ำชีวภาพ 100 ซีซี./น้ำ 100 ล. (1:1,000) ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลง
ถึงพื้นดินโคนต้น ช่วงเช้าแดดจัดทุก 5-7 วัน
ทางราก :
ปุ๋ยน้ำชีวภาพ 200 ซีซี./น้ำ 100 ล. (1:500) ราดโชกๆ ที่โคนต้นไปพร้อมกับการให้
น้ำปกติ ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- ในปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรมาตรฐานมีธาตุอาหารพืชทุกตัวตรงตามที่มีอยู่ในวัสดุส่วนผสม การที่
จะรู้ว่ามีธาตุอาหารอะไรบ้างนั้นต้องดูจากวัสดุส่วนผสมที่นำมาทำและกรรมวิธีในการทำเป็นหลัก
- ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพอัตราเจือจาง ประจำสม่ำเสมอ เป็นฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตพืชมีการ
แตกใบอ่อนชุดใหม่ดี
- ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพอัตราเข้มข้น นานๆ ให้ครั้ง เป็นฮอร์โมนยับยั้งการเจริญเติบโต พืชจะใบ
ไหม้ร่วงหรือกร้านด้านสังเคราะห์อาหารไม่ได้ เสริมประสิทธิภาพปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรกล้อมแกล้ม
หลักการและเหตุผล :
ในปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรกล้อมแกล้ม (ทำเอง) มีธาตุอาหารพืชเพียง 1-5 เปอร์เซ็นต์ อาจจะ
เพียงพอสำหรับพืชบางชนิดต่อการเจริญเติบโตบางระยะ เช่น พืชล้มลุกอายุสั้นฤดูกาลเดียว
หรือไม้ผลยืนต้นระยะกล้า แต่อาจจะไม่เพียงพอสำหรับพืชบางชนิดต่อการเจริญเติบโตบาง
ระยะ เช่น ไม้ผลยืนต้น ระยะสะสมอาหาร. ออกดอกติดผล. บำรุงผล ฯลฯ จึงจำเป็นต้องเสริม
ประสิทธิภาพด้วยการเพิ่ม “ธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมนวิทยาศาสตร์/ฮอร์โมน
ธรรมชาติ และอื่นๆ” ด้วยการ “ปรุง” หรือ “สร้างสูตร” ขึ้นมาใหม่ให้เหมาะสมสำหรับพืช
วิธีทำ วิธีใช้ และอัตราใช้
ทางใบ :
น้ำ............................ 100 ล.
ปุ๋ยน้ำชีวภาพ.................. 100 ซีซี.
ธาตุหลัก...................... 400 กรัม.
(สูตรตามชนิดและระยะการเจริญเติบโตของพืช)
ธาตุรอง/ธาตุเสริม............ 100 ซีซี.
(สูตรตามชนิดและระยะการเจริญเติบโตของพืช)
ฮอร์โมน....................... 50-100 ซีซี.
(สูตรตามชนิดและระยะการเจริญเติบโตของพืช)
สารเสริมอื่นๆ ตามฉลาก
(สารจับใบ ฯลฯ)
กลูโคสผง..................... 250 กรัม.
สารสกัดสมุนไพร............. 250 ซีซี.
(ตามชนิดของโรคและแมลงศัตรูพืช)
- ปรับสภาพน้ำที่จะใช้ผสมให้เป็นกรดอ่อนๆ (6.5) ก่อน ใส่ส่วนผสมทีละตัว ใส่ตัวแรกลง
ไปแล้วคนให้กระจายตัวดีก่อนจึงใส่ตัวต่อไปตามลำดับจนกระทั่งครบทุกตัว
- ใช้ฉีดพ่นทางใบให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบ ช่วงเช้าแดดจัด ทุก 5-7 วัน
ทางราก :
น้ำ.............................. 100 ล.
ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรมาตรฐาน..... 200 ซีซี.
ธาตุหลัก........................ ½-1 กก.
(สูตรตามชนิดและระยะการเติบโตของพืช)สารเสริมอื่นๆ ตามฉลาก
(ฮอร์โมนบำรุงราก สารบำรุงดิน จุลินทรีย์)
- ใช้ราดรดโคนต้นไปพร้อมกับการให้น้ำ ทุก 10-15 วัน
- ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ สารอินทรีย์ปรับปรุงดิน และคลุมหน้าดินด้วยเศษพืชแห้งหนาๆ
หมายเหตุ :
- ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ผสมธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน และอื่นๆ ในสภาพที่พร้อมใช้
งาน หากใช้ไม่หมดสามารถเก็บไว้ได้นานไม่เกิน 6 เดือน
- ฮอร์โมนทำเอง ได้แก่ ฮอร์โมนขยายขนาดทางข้าง. ฮอร์โมนขยายขนาดทางยาว.
ฮอร์โมนสมส่วน (ทางยาว + ทางข้าง). ฮอร์โมนเอ็นเอเอ. ฮอร์โมนไข่. ฮอร์โมนเร่งหวาน.
ฮอร์โมนเร่งการแตกใบอ่อน. ฮอร์โมนสะสมอาหาร. ฮอร์โมนบำรุงราก. และสารสกัดสมุนไพร. ฯลฯ สามารถนำมาใช้ร่วมกับปุ๋ยชีวภาพได้ทุกสูตร
- สารเสริมอื่นๆ สำหรับให้ทางราก ได้แก่ ฮอร์โมนบำรุงราก. จุลินทรีย์. ไคตินไคโตซาน.
ฮิวมิค แอชิด.
- ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่แต่ละคนทำหรือคนเดียวกันทำแต่ทำไม่พร้อมกัน และวัสดุส่วนผสมที่ใช้
แตกต่างกัน ย่อมมีความเข้มข้นไม่เท่ากัน ดังนั้นอัตราใช้จึงไม่เท่ากัน การที่จะรู้ว่าอัตราใช้
เท่าใดจึงจะไม่ส่งผลเสียแก่พืชนั้น ผู้ทำต้องทดสอบอัตราการใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรของตัวเอง
ด้วยตัวเองเสียก่อน เช่น เริ่มจากการใช้ครั้งแรกอัตรา 50 ซีซี./น้ำ 100 ล. การใช้ครั้งที่สองให้
เพิ่มขึ้นเป็น 100 ซีซี./น้ำ 100 ล. การใช้ครั้งที่สามเพิ่มเป็น 150 ซีซี./100 ล. และการใช้
ครั้งที่สี่เพิ่มเป็น 200 ซีซี./น้ำ 100 ล. ใช้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับเพิ่มอัตราใช้ให้มากขึ้นทุกครั้ง แต่
ละครั้งห่างกัน 5-7 วัน จนกว่าพืชจะเกิดอาการใบไหม้ให้เห็น เมื่อรู้ว่าอัตราการใช้เท่าใดหรือพืช
ใบไหม้ ให้ลดอัตราการใช้ลงครึ่งหนึ่งของอัตราการใช้ที่ใช้แล้วใบไหม้ จากนั้นก็ให้ยึดอัตราการ
ใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพเฉพาะถังนั้นตลอดไป
- เมื่อใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพประจำๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ และเมื่อเห็นว่าพืชเจริญเติบโต
สมบูรณ์ดีให้ “ลดอัตราการใช้ลง” เช่น ให้ทางใบเคยใช้ 100 ซีซี./น้ำ 100 ล./ 7 วัน
เปลี่ยนเป็น 100 ซีซี./น้ำ 100 ล./15-20 วัน หรือเปลี่ยนเป็น 50 ซีซี./น้ำ 100 ล./7 วัน
ทั้งนี้ให้ถือหลักธรรมชาติภายใต้กฎเกณฑ์ “ความพอดีพองาม” เป็นหลักการทำปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตร
ของตัวเองแล้วใช้เองด้วยตัวเอง ระยะแรกๆ อาจมีปัญหาเรื่องอัตราส่วนผสมและอัตราใช้อยู่บ้าง
แต่ครั้นเมื่อทำและใช้ไปหลายๆ ครั้งแล้วก็จะชำนาญไปเอง
...................................................................................................
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.