หน้า: 1/2
ที่มา: http://www.rd1677.com/branch.php?id=39651
ตาล
ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นไม้ผลยืนต้นอายุนับร้อยปี ปลูกได้ในทุกภาคทุกพื้นที่และทุกฤดูกาล พื้นที่ลุ่มมีน้ำบริบูรณ์จะเจริญเติบโตเร็วและดีกว่าในพื้นที่ดอนมีน้ำน้อย ชอบดินเหนียวร่วนมีอินทรียวัตถุมากๆ ทนต่อน้ำท่วมขังค้างนานได้นานนับเดือน แม้ระหว่างถูกน้ำท่วมก็ยังออกดอกติดผลได้
* ส่วนลำต้นที่อายุมากกว่า 50 ปี จะมีเนื้อแข็งมาก สามารถนำมาเลื่อยเป็นไม้กระดานสร้างอาคารได้ แม้แต่ใช้เป็นเสาในน้ำ แช่น้ำนานหลายๆสิบปี สำหรับผูกเรือหรือเสาสะพานก็ทนทาน
* เป็นพืชระบบรากลึกมากจึงควรเลือกพื้นที่ปลูกที่เนื้อดินลึกๆ
* ปีแรกโตช้ามาก เฉลี่ยแล้วจะแตกใบใหม่ปีละ 1 ใบ อายุต้น 5-6 ปีสูงเพียง 1 ม. ต้นตาลที่อายุ 10-12 ปีซึ่งเริ่มให้ผลผลิตแล้วจะมีความสูงเพียง 4-5 ม.เท่านั้น
* ไม่ชอบการตัดแต่งกิ่ง (ทาง) แต่ให้ปล่อยกิ่งหรือทางไว้บนต้นจนแก่แล้วแห้งคาต้นจึงนำลงมา ถ้าตัดกิ่งหรือทางขณะยังสดอยู่ลงมาจะกระทบกระเทือนต่อการพัฒนาของดอกผล
* เป็นพืชไม้ผลที่ตอบสนองต่อ น้ำ-ปุ๋ย ข้ามปี กล่าวคือ การให้น้ำอย่างเพียงพอและให้ปุ๋ยเคมีในเดือนใดของปีนี้ ต้นนั้นจะสมบูรณ์แล้วออกดอกติดผลในเดือนเดียวกันของปีรุ่งขึ้นเสมอ
* ปีใดให้ผลผลิตน้อยในช่วงหน้าแล้ง แสดงว่าช่วงหน้าแล้งของปีที่แล้ว ตาลต้นนั้นขาดการบำรุงโดยเฉพาะน้ำอย่างถูกต้องและเพียงพอนั่นเอง.....หรือการที่ตาลให้ผลผลิตดีช่วงหน้าฝน แสดงว่าต้นนั้นได้รับน้ำซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนจากเมื่อปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน
* ดอกเมื่อออกมามักติดเป็นผลได้ง่ายแม้ไม่มีการบำรุงใดๆ แต่หากต้นได้รับสารอาหารและน้ำบ้าง ดอกที่ออกมาจะสมบูรณ์ การติดผลก็มากขึ้น แต่หากต้นไม่สมบูรณ์หรือไม่ได้รับน้ำและสารอาหารเลยดอกที่ออกมาก็จะไม่สมบูรณ์จึงไม่สามารถพัฒนาเป็นผลได้
* ชอบน้ำแบบลักจืดลักเค็ม (น้ำทะเลขึ้นถึง) หรือบริเวณน้ำกร่อยตามธรรมชาติ พื้นที่ปลูกที่ไม่มีน้ำแบบลักจืดลักเค็มหรือไม่มีน้ำกร่อยให้ใส่เกลือแกงที่โคนต้น 1-2 กก./ต้น (ให้ผลผลิตแล้ว)/ปี หรือให้กากน้ำปลา/กากปลาร้าคั้นน้ำออกหมดแล้วผสมกับปุ๋ยคอก 1:10 อัตรา 10-20 กก./ต้น (ให้ผลผลิตแล้ว/ปี
การบำรุงโดยฝังปลาทะเลบริเวณโคนต้นเขตทรงพุ่มปีละครั้ง ในปลาทะเลมีโซเดียมและอะมิโนสูงกว่าปลาน้ำจืดจะส่งผลให้ต้นสมบูรณ์ให้ผลผลิตดีขึ้น
* เนื่องจากธรรมชาติของตาลทุกสายพันธุ์สามารถออกดอกได้ตลอดปี ดังนั้นมาตรการบำรุงแบบให้มีสารอาหารในดินกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องหลายๆปีติดต่อกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
* เพื่อให้ต้นมีความสมบูรณ์อยู่เสมอตลอดปีควรให้ฮอร์โมนบำรุงราก 2-3 เดือน/ครั้งและให้ไซโตคินนิน 1-2 เดือน/ครั้ง
* บำรุงต้นโดยใส่ เกลือแกง หรือ ขี้แดดนาเกลือ + ปุ๋ยอินทรีย์ ครั้งแรกหลังหมดฝนหรือก่อนเข้าสู่หน้าหนาวต่อเนื่องถึงหน้าแล้งด้วย น้ำ + ปุ๋ยน้ำชีวภาพ + ธาตุหลัก + ธาตุรอง/ธาตุเสริม + ฮอร์โมน ทั้งทางรากและทางใบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้ตาลออกดอกติดผลดีในช่วงหน้าแล้วแล้วต้นยังออกดอกติดผลตลอดปีไปจนถึงช่วงหน้าแล้งของปีถัดไปอีกด้วย
* ปุ๋ยอินทรีย์ที่ดีสำหรับตาล คือ ขี้เถ้าหรือถ่านทางตาล ใบแห้ง. เกลือแกง. กากปลาที่เหลือจากการทำน้ำปลา. กากปลาร้า. พุงปลาทะเลสดบดละเอียดผสมน้ำราดโคนต้นทั่วพื้นที่ทรงพุ่ม หรือ ฝังเศษซากปลาทะเลโคนต้น 4-5 หลุม.ทั้งนี้ ในอินทรีย์วัตถุดังกล่าวมีสารโซเดียมซึ่งในซากสัตว์น้ำจืดไม่มี
* การพรวนดินบริเวณชายพุ่มเพื่อตัดแต่งราก ใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยอินทรีย์แล้วกลบดิบอย่างเดิม ให้ฮอร์โมนบำรุงราก 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 10-15 วัน ต้นจะสร้างรากใหม่ขึ้นมาดีและมากกว่ารากเดิม ช่วยให้ต้นสมบูรณ์ให้ผลดกและดี ควรทำอย่างน้อย 2 ปี/ครั้ง
* อายุต้นช่วงตั้งแต่ระยะต้นเล็ก ถึง ให้ผลผลิตแล้ว 1-2 รุ่น ให้ตัดทาง (ก้านใบ)ออกบ้างด้วยเลื่อยให้เหลือส่วนโคนทาง 10-12 นิ้วเป็นกาบติดอยู่กับลำต้นไว้ ไม่ควรลอกกาบโคนออกเพราะจะทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ถ้าต้นนั้นให้ผลผลิตแล้วก็จะทำให้ดอกผลขาดคอ ควรปล่อยให้กาบโคนทางผุเปื่อยแล้วหลุดจากลำต้นเองเมื่ออายุต้นมากขึ้น
* ต้นใหญ่ อายุมากๆ ให้ผลผลิตแล้ว สามารถย้ายปลูกได้ด้วยวิธี ขุดล้อม และการปลูกต้นใหญ่ที่ล้อมมาอย่าปลูกลึกหรือปลูกลึกเพียงมิดเหง้า แล้วบำรุงด้วยฮอร์โมนเร่งรากสม่ำเสมอจะช่วยให้แตกรากใหม่และแตกยอดใหม่ได้เร็ว
* ผลเล็กร่วงสาเหตุมาจากไนโตรเจน (จากน้ำหรือปุ๋ย)จากดินมากเกินไปให้ใช้มีดสับตามโคนต้น รอยสับจะตัดเส้นทางสารอาหารบางส่วนที่ส่งจากรากขึ้นไปบนต้นพร้อมกับให้ธาตุรอง/ธาตุเสริมทางใบหรือทางรากจะสามารถช่วยแก้อาการผลเล็กร่วงได้
* ทนต่อน้ำท่วมขังค้างนานหลายๆเดือนได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อเจริญเติบโต ดังนั้นในพื้นที่ ๆมีน้ำท่วมแล้วขังค้างนานบ่อยๆจึงควรเลือกปลูกตาล
* ตาลมีต้นตัวผู้กับต้นตัวเมียแยกกัน ต้นตัวผู้จะออกดอกมีเกสรพร้อมผสมก่อนต้นตัวเมียมีเกสรตัวเมีย ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแมลงหรือสายลมช่วยในการนำพาเกสรตัวผู้จากต้นตัวผู้เข้าผสมกับเกสรตัวเมียที่ต้นตัวเมีย
* ตาลปลูกในที่ดอนให้ผลผลิตคุณภาพดีกว่าตาลปลูกในที่ลุ่มมีน้ำขังค้าง
* ต้นตัวเมียให้เนื้อไม้ตาลคุณภาพดีกว่าต้นตัวผู้ ทั้งๆที่อายุต้นเท่าๆกันและอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
* ตาลพื้นที่ดอนน้ำน้อย รสชาติดีกว่าตาลที่ลุ่มมีน้ำมาก
* ไม้ตาลคุณภาพสูงต้องมีอายุต้นไม่ต่ำกว่า 50 ปี
สายพันธุ์
พันธุ์ผลสีดำ เรียกว่า ตาลโตนดกา และพันธุ์สีแดง เรียกว่าตาลโตนดข้าว
พันธุ์ผลสีแดงให้ผลผลิตสูงและดีกว่ากว่าพันธุ์สีดำ
ตาลบ้าน.มี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ตาลหม้อ (ผลใหญ่ สีดำคล้ำ). ตาลไข่ ผล
เล็กกว่าตาลหม้อ และตาลจาก ผลในทะลายดกเบียดกันแน่นเหมือนจาก
ตาลป่า. ส่วนใหญ่ขึ้นในป่า ลักษณะก้านยาว ไม่นิยมปลูก
การขยายพันธุ์
- เพาะเมล็ดโดยการเลือกเมล็ดจากผลแก่ร่วงจากต้น นำเมล็ดไปเพาะในวัสดุเพาะนานประมาณ 3-4 เดือนจะเริ่มงอก เลี้ยงต้นกล้าจนสมบูรณ์แข็งแรงดีจึงนำลงปลูกในแปลงจริงต่อไป
- ขุดต้น (ขนาดเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับการขนย้าย) ด้วยวิธีขุดล้อมต้น
ระยะปลูก
- ระยะปกติ 8 X 8 ม.หรือ 10 X 10 ม.
- ระยะชิด 6 X 6 ม.หรือ 6 X 5 ม.
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม +มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา(แห้งเก่าข้ามปี)ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องหลายๆ ปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก)บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อตาล
1.ระยะกล้า - โตยังไม่ให้ผลผลิต
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.โดยการฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น ทุก 15-20 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง +25-7-7(1-2 กก.)/เดือน/ต้น
- ให้น้ำเปล่าปกติ ทุก 2-3 วัน
2.ระยะต้นโตให้ผลผลิตแล้ว
ทางใบ :
- ในรอบ 10-15 วันให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56(400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัด สมุนไพร 250 ซีซี. 1 รอบกับให้น้ำ 100 ล.
+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.อีก 1 รอบ ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง +8-24-24(1-2 กก.)/เดือน/ต้น
- ให้น้ำเปล่าปกติ ทุก 2-3 วัน
3.บำรุง “ดอก + ผล” หลายรุ่น
ทางใบ :
สูตร 1.....ให้ น้ำ 100 ล.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ ฮอร์
โมนสมส่วน 100 ซีซี.+ เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+สารสกัด
สมุนไพร 250 ซีซี.
สูตร 2.....ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56(200-250 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ ฮอร์โมนสมส่วน 100 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี.+ เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
เลือกใช้สูตรใดสูตรหนึ่งหรือใช้ทั้งสูตรแบบสลับครั้งกัน โดยการฉีดพ่นให้โชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น ทุก 15-20 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24(1-2 กก.)/เดือน/ต้น
- ให้น้ำเปล่าทุก 2-3 วัน
- ช่วงก่อนเข้าหน้าหนาว (ฝนต่อหนาว) และช่วงหน้าแล้งต้องให้น้ำทุกวันหรือวันเว้นวันจะช่วยให้หน้าแล้งปีถัดไปมีผลจะไม่ขาดคอ
หมายเหตุ :
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้แม็กเนเซียม 1-2 รอบ ตลอดระยะผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
*********************************