ที่มา : http://www.chiangraifocus.com/webboard/view.php?Qid=13917&cat=9
มะขามป้อม
ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นไม้ป่าอายุยืนหลายสิบปี ทนแล้งได้ดีแต่ไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังค้างนาน ชอบดินลูกรังมีอินทรีย์วัตถุมากๆ ระบายน้ำดี
* ให้ผลผลิตปีละ 1 รุ่น ออกดอกช่วงเดือน ส.ค.- ก.ย. ผลแก่เก็บเกี่ยวช่วงเดือน ม.ค.- ก.พ.
* ออกดอกตามข้อใบของกิ่งแก่ ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศผสมตัวเองหรือผสมต่างดอกต่างต้นได้
* ปัจจุบันไม่มีใครปลูกมะขามป้อมเป็นสวนขนาดใหญ่เพราะตลาดค่อนข้างแคบ แต่ก็มีบางคนไปเก็บมะขามป้อมจากป่ามาจำหน่าย
สายพันธุ์
พันธุ์พื้นเมือง. พันธุ์จัมโบ้.
ขยายพันธุ์
ตอน (ดีที่สุด/ให้ผลผลิตเร็ว). เพาะเมล็ด (ไม่กลายพันธุ์/ให้ผลผลิตช้า)
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทาn(แห้งเก่าข้ามปี)ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่และการให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
- ให้กลูโคสเฉพาะช่วงสำคัญ เช่น เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ สะสมอาหาร บำรุงผลกลาง ช่วงละ 1-2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 20-30 วัน.....ถ้าให้บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นเกิดอาการนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อสารอาหารหรือฮอร์โมนใดๆทั้งสิ้น
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
- มะขามป้อมเป็นพืชใบเล็ก กิ่งเจริญทางยาวมากกว่าทางข้างจึงมักไม่ค่อยมีปัญหาใบแน่นทึบจนบังแสงแดดซึ่งกันและกัน การไม่บังแสงแดดซึ่งกันและกันจะทำให้กิ่งในทรงพุ่มโปร่งส่งผลให้ออกดอกติดผลได้ ดังนั้นก่อนลงมือตัดแต่งกิ่งจึงต้องพิจารณาประเด็นนี้ด้วย หากจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งจริงๆก็ให้ตัดแต่งเพื่อให้เกิดการแตกยอดใหม่โดยตัดกิ่งกระโดง กิ่งในทรงพุ่ม กิ่งคดงอ กิ่งชี้ลง กิ่งไขว้ กิ่งหางหนู กิ่งเป็นโรค ทั้งนี้ภายในทรงพุ่มควรให้โปร่งจนแสงส่องผ่านลงไปถึงโคนต้นได้
- ถ้าต้องการตัดแต่งกิ่งเพื่อไม่ให้แตกใหม่ป้องกันทรงพุ่มทึบเกินไปให้ตัดชิดลำกิ่งประธาน
- นิสัยการออกดอกของมะขามป้อมไม่จำเป็นต้องกระทบหนาว แต่ถ้าตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อนช่วงต้นหน้าฝนแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามลำดับอย่างถูกต้องสม่ำเสมอจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์เต็มที่ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งในช่วงอื่น
- หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจะตัดแต่งกิ่งเลยก็ได้ แต่ตัดแต่งแล้วไม่ต้องให้น้ำ ปล่อยต้นให้กระทบแล้ง(พักต้น) ตลอดเดือน เม.ย.– พ.ค. จนหน้าดินแตกระแหงอย่างนั้น กระทั่งถึงประมาณกลางเดือน พ.ค.ถึงต้น มิ.ย.(เริ่มหน้าฝน) มะขามป้อมก็จะแตกใบอ่อนออกมาเอง ถ้าช่วงนี้ไม่มีฝนตกก็จะต้องระดมให้น้ำแบบวันต่อวันพร้อมกับให้สารอาหารกลุ่มเปิดตาดอกทั้งทางรากและทางใบ หลังจากที่ต้นได้ผ่านความแห้งแล้ง (พักต้น) อย่างหนักมาก่อนแล้วเมื่อได้รับน้ำและการบำรุงก็จะแตกใบอ่อนชุดใหม่ทันที
- การตัดแต่งกิ่งไม่ใช่เพียงเพื่อให้การออกดอกติดผลง่ายขึ้นเท่านั้นแต่ดอกและผลที่ออกมานั้นจะมีคุณภาพดีขึ้นกว่าไม่ได้ตัดแต่งกิ่งอีกด้วย
ตัดแต่งราก
- ต้นที่อายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งราก แต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการหาอาหารดียิ่งขึ้นใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน
- ต้นอายุหลายปี ระบบรากเก่าและแก่มาก ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
- ธรรมชาติของมะขามป้อมไม่จำเป็นต้องตัดแต่งรากแต่วิธีล่อรากขึ้นมาอยู่บริเวณผิวดินจะช่วยให้ได้รากใหม่สมบูรณ์กว่ารากเก่า
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อมะขามป้อม
1.เรียกใบอ่อน + เปิดตาดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ จิ๊บเบอเรลลิน 10 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 หรือ 9-26-26 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำทุกวัน
หมายเหตุ :
- หลังจากกระทบแล้งช่วงพักต้นมาอย่างเพียงพอแล้ว เมื่อได้รับน้ำแบบระดมให้วันต่อวันมะขามป้อมจะแตกใบอ่อนพร้อมกับมีดอกออกตามมาด้วย โดยไม่ต้องเรียกใบอ่อนเหมือนไม้ผลอื่นๆ
- หลังจากระดมระดมให้น้ำแล้วต้นแตกใบอ่อนมากจนกลายเป็นเฝือใบและไม่ออกดอกหรือออกดอกน้อย สาเหตุอาจจะมาจากน้ำไต้ดินโคนต้นหรือได้รับปุ๋ยคอกที่มีไนโตรเจนมากเกินไป แก้ไขโดยทำลายใบบางส่วนด้วย “น้ำ 100 ล.+0-10-30 หรือ 0-21-74 สูตรใดสูตรหนึ่ง (5 กก.)” ฉีดพ่นพอเปียกใบเป็นหย่อมๆ เป็นบริเวณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งทรงพุ่ม ใบที่ถูกฉีดพ่นจะร่วง ยอดอ่อนกิ่งอ่อนสีเขียวจะแห้งตาย แต่ไม่เป็นไรเพราะจากนั้นแตกยอดใหม่พร้อมกับดอกรุ่นใหม่ ส่วนใบไม่ถูกฉีดพ่นจะไม่ร่วงและกิ่งแก่สีน้ำตาลไม่แห้งตาย จากนั้นก็จะแตกยอดใหม่แล้วมีดอกออกมาอีก
2.บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ เอ็นเอเอ.100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรช่วงค่ำ ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้น
หมายเหตุ :
- ช่วงดอกระยะดอกตูม บำรุงด้วย “น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมน เอ็นเอเอ.10-20 ซีซี.” เมื่อดอกบานได้จำนวน 1 ใน 4 ของจำนวนดอกทั้งต้น ฉีดพ่นพอเปียกใบ นอกจากช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับผสมแล้วยังช่วยบำรุงขั้วเหนียวได้อีกด้วย
3.บำรุงผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7(1-1.5 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- คลุมโคนต้นด้วยอินทรีย์วัตถุพร้อมกับเสริมยิบซั่มธรรมชาติ อัตรา 1 ใน 10 ส่วนของครั้งที่ใส่เมื่อช่วงเตรียมต้น
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มบำรุงหลังกลีบดอกร่วง
- เทคนิคการให้ปุ๋ยทางใบด้วยสูตร 15-45-15 ซึ่งเป็นสูตรเดียวกับบำรุงดอกนั้น วัตถุประสงค์เพื่อให้ P.สร้างเมล็ดก่อนในช่วงแรก ซึ่งเมล็ดนี้จะเป็นผู้สร้างเนื้อต่อไปเมื่อผลโตขึ้น
4.บำรุงผลกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 21-7-14(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม(100 ซีซี.)+ ไคโตซาน 100 ซีซี.+ แคลเซียมโบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 หรือ 8-24-24 สูตรใดสูตรหนึ่ง(1-1.5 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มบำรุงเมื่อเปลือกหุ้มเมล็ดเริ่มแข็ง (เข้าไคล)
- วัตถุประสงค์เพื่อขยายขนาดผลและลดขนาดเมล็ด (หยุดเมล็ด-สร้างเนื้อ) จะได้ผลขนาดใหญ่เนื้อมากเมล็ดเล็ก
- ให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน 1-2 เดือน/ครั้ง จะช่วยบำรุงต้นให้สมบูรณ์และผลผลิตคุณภาพดี
5.บำรุงผลแก่
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-21-74(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.หรือ น้ำ 100 ล.+ มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ กลูโคส 250 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 หรือ 9-26-26 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1-1.5 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- งดน้ำเด็ดขาด
หมายเหตุ :
- เริ่มให้ก่อนเก็บเกี่ยว 7-10 วัน 1-2 รอบห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- การให้ 8-24-24 จะช่วยให้ต้นได้สะสมไว้ก่อนพักต้นหลังเก็บเกี่ยวผลผลลิต ซึ่งต้นจะใช้สำหรับสร้างตาดอกในรุ่นปีการผลิตต่อไป
มะขามป้อมยักษ์อินเดีย
จากผลงานวิจัยจากหลายประเทศพบตรงกันว่ามะขามป้อมจัดเป็นผลไม้ที่มีปริมาณของสารแทนนินสูงเป็นชนิดที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระต้านสารก่อมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง กำจัดสารพิษจากโลหะหนักออกจากร่างกายและในผลของมะขามป้อมมีปริมาณวิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ
วิตามิน ซี.ที่พบอยู่ในผลมะขามป้อมมีมากที่สุดในโลกเมื่อเปรียบเทียบกับพืชทุกชนิด ที่สำคัญที่หลายคนมองข้ามและไม่รู้ก็คือ ในผลของมะขามป้อมจะมีสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์ วิตามิน ซี. ทำให้วิตามิน ซี. คงตัวอยู่ได้นาน ในผลแห้งของมะขามป้อมที่เก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าเก็บผลมะขามป้อมผลแห้งไว้ในตู้เย็นนาน 1 ปี จะเสียวิตามิน ซี.ไปเพียง 20% เท่านั้น คนอินเดียมีความเชื่อว่าถ้ารับประทานผลมะขามป้อมเป็นประจำ จะช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้มีความพอเหมาะพอดี การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งเป็นผลต่อการป้องกันโรคได้
โดยปกติในบ้านเราจะพบเห็นผลมะขามป้อมที่มีขนาดของผลเล็กแต่ถ้าผลที่ใหญ่ที่สุดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3.5 เซนติเมตร พ.อ.อ.กิติ ชุ่มสกุล ชาวจังหวัดนครปฐม ได้มะขามป้อมมาจากแม่ชีท่านหนึ่งที่ไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย เมื่อนำมา ปลูกและให้ผลผลิตแล้วพบว่ามีขนาดผลใหญ่มากมีเส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 4.5-5.5 เซนติเมตร หรือประมาณ 2 นิ้วเศษ ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อนเมื่อผลแก่สีของผิวจะ เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง เนื้อมีสีขาวนวลคล้ายน้ำนม แต่ละผลจะมีกลีบแบ่งเป็นช่วง ๆ 6 กลีบ เมื่อนำผลแก่มารับประทานสดจะมีรสฝาด (ความฝาดเกิดจากสารแทนนิน) อมเปรี้ยวและติดขมเล็กน้อย แต่เมื่ออมไว้สักครู่จะหวานชุ่มคอ เมื่อดื่มน้ำตามลงไปจะยังหวานชุ่มคอเป็นเวลานาน แก้ไอและแก้กระหายน้ำได้ดีมาก
พ.อ.อ.กิติฯ ยังได้บอกถึงวิธีการปลูกและการขยายพันธุ์มะขามป้อมยักษ์อินเดียว่า ลักษณะการออกดอกและติดผลในธรรมชาติ เมื่อผ่านฤดูหนาวต้นมะขามป้อมจะผลัดใบ เมื่อถึงช่วงปลายเดือนธันวาคม ต้นจะเริ่มออกใบอ่อนพร้อมดอกและมีการติดผลหลายรุ่นกว่าจะเก็บผลหมดประมาณปลายเดือนตุลาคม ซึ่งมีอายุของการเก็บเกี่ยวจากเริ่มติดผลอ่อนจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือน
ในการขยายพันธุ์ถ้าเพาะด้วยเมล็ดจะต้องใช้เวลานานถึง 7-8 ปี กว่าต้นจะออกดอกและให้ผลผลิต แต่ถ้าขยายพันธุ์ด้วยวิธีการทาบกิ่งเมื่อนำไปปลูกจะ เริ่มให้ผลผลิตภายใน 1 ปี และเมื่อต้นมะขามป้อมยักษ์ มีอายุได้ 3-5 ปี จะให้ผลผลิต 50-80 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี, เมื่ออายุต้น 5-7 ปี จะให้ผลผลิต 100-150 ต่อต้นต่อปี และเมื่อต้นมีอายุเกิน 20 ปีขึ้นไป จะให้ผลผลิตเฉลี่ยถึง 300-500 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี.
พ.อ.อ.กิติ ชุ่มสกุล ไร่ขิงพันธุ์ไม้(081)943-2231 :
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ : รายงาน
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=568&contentID=52129
****************************
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.