ผู้ส่ง |
ข้อความ |
kimzagass |
ตอบ: 22/10/2011 1:22 pm ชื่อกระทู้: |
|
... |
|
|
kimzagass |
ตอบ: 14/09/2011 5:21 pm ชื่อกระทู้: |
|
จาก : kimzagass
ถึง : Sombutt
-------------------------------------------------------------------------------------
copy :
ส่วนในซองก็มี
แคลเซี่ยม โบร่อน (จะผสมใหม่)
แมกสปีด,
สังกะสี
0-52-34,
46-0-0 จี.เกรด,
มัลติแชมป์ (ซองน้ำเงิน),
มัลติแชมป์ เอฟ-วัน (ซองม่วง) (สองอย่างนี้ธาตุอาหารแตกต่างกันตามความต้องการใช้)......แล้วก็มีปุ๋ย
46-0-0 กับ
16-16-16 ด้วย ......เพราะหา 16-8-8 ยังไม่ได้
ตอบ :
นี่มันสูตร เบอเลอะ เบอเต๋อ แล้ว ..... เอามาทำไมเยอะแยะ ใน "ไบโออิ.-ไทเป-ยูเรก้า" ใส่ไว้ครบแล้ว
แต่ก็ดีนะ เอาให้ชาวบ้านดู ให้เขารู้ว่า นี่ก็คือปุ๋ยที่ต้นข้าว ต้นพืชต้องการเหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่ ยูเรีย. เอ็น-พี-เค เท่านั้น ว่แต่ว่า ชาวบ้าน ข้างบ้านเห็นแล้ว เขาว่ายังไงบ้างล่ะ
copy :
(1) เพื่อยืนยันกับลุงว่า ผมทำนาครั้งแรกในชีวิต ใช้ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวข้างต้นตามที่ลุงแนะนำ ปลูกข้าว (ณ วันนี้) ได้เพียง 48 วัน หลังจากผ่านเพี๊ยง (รา) รบกวนแล้ว ข้าวดูเขียว งาม ขนาดนี้ ดูแล้วมันชื่นใจ ไม่ได้กินข้าวก็ไม่ว่ากันละครับ
ตอบ :
- ทำไปก่อนเถอะ อย่างน้อย 3 รุ่น 3 รอบ โน่นแหละ ถึงจะรู้จริง (ครึ่งเดียวของทั้งหมดในธรรมชาตินะ) ตอนนี้ขอให้เก็บข้อมูล ทั้งที่ ใช่และไม่ใช่, ทั้งที่ ของเรา/ของเขา, ทั้ง รุ่นนี้/รุ่นหน้า, ทั้งที่ สำเร็จ/ล้มเหลว รวบรวมไว้เป็นสูตรของตัวเอง นี่แหละ ก.ทำ กับ มือ
- โรคพืช V.S. สารสมุนไพร-สารเคมี ไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกข้อมูลเป็นเพียง นี่คือ 1 แนวทาง หรือ 1 วิธีเท่านั้น ไม่ใช่สูตรสำเร็จ ในโลกนี้ยังมีอีกหลายแนวทาง หลายวิธีการ จงค้นหาให้พบ ..... อย่าลืม ยาดี ใช่ไม่ดี-ใช้ไม่เป็น-ใช้ไม่ถูกโรค นอกจากโรคไม่หาย เผลอๆต้นพืชตายด้วย ..... มาตรการที่ดีที่สุด คือ กันก่อนแก้ อย่ารอให้เกิดก่อนแล้วค่อยกำจัด + บำรุงพืชให้สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อสร้างภูมิต้านทานในต้นพืชให้สู้กับเชื้อโรคได้เอง |
|
|
kimzagass |
ตอบ: 14/09/2011 4:05 pm ชื่อกระทู้: |
|
จาก : Sombutt
ถึง : kimzagass
ตอบ : 14/09/2011 3:38 pm
ชื่อกระทู้ : จะปลูกข้าวหอมที่เชียงรายครับ
เรียนลุงคิมทราบ
เมื่อเช้า (14 กย.54) ได้ส่งข่าวว่าจะส่งรูปมาให้ลุงอีกชุดหนึ่ง แต่ขัดข้องเลยส่งแต่ข้อความ ส่งรูปมาได้ตอนสาย แต่ภาพมันมัว เพราะตอนเช้ามีหมอกลง อยู่ในบ้านมองดูก็ไม่เห็นแต่กล้องมันเห็น เอาเป็นว่า ผมได้เอาอาวุธยุทโธปกรณ์ (ปุ๋ยและยา)ตามสูตรของลุงคิม ออกมาตั้งเรียงไว้ใต้ถุนบ้าน ตั้งแต่
ระเบิด 30-10-10, 21-7-14,
ไทเป,
ยูเรก้า,
ไบโออิ,
สมุนไพร,
กลูโคสน้ำ
ส่วนในซองก็มี
แคลเซี่ยม โบร่อน (จะผสมใหม่)
แมกสปีด,
สังกะสี
0-52-34,
46-0-0 จี.เกรด,
มัลติแชมป์ (ซองน้ำเงิน),
มัลติแชมป์ เอฟ-วัน (ซองม่วง) (สองอย่างนี้ธาตุอาหารแตกต่างกันตามความต้องการใช้)......แล้วก็มีปุ๋ย
46-0-0 กับ
16-16-16 ด้วย ......เพราะหา 16-8-8 ยังไม่ได้
การนี้หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับลุงแต่อย่างใด ไม่ได้เป็นหน้าม้า (แต่เป็นยิ่งกว่า คือ หน้าช้าง เพราะหน้าช้างใหญ่กว่าหน้าม้า) ที่เอาออกมาตั้งเรียงไว้ก็มีวัตถุประสงค์สองอย่าง
(1) เพื่อยืนยันกับลุงว่า ผมทำนาครั้งแรกในชีวิต ใช้ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวข้างต้นตามที่ลุงแนะนำ ปลูกข้าว (ณ วันนี้) ได้เพียง 48 วัน หลังจากผ่านเพี๊ยง (รา) รบกวนแล้ว ข้าวดูเขียว งาม ขนาดนี้ ดูแล้วมันชื่นใจ ไม่ได้กินข้าวก็ไม่ว่ากันละครับ
(2) ขี้เกียจเสียเวลาตอบคำถาม ซึ่งจะเริ่มมีคนมาถามว่า "คิงใจ๊ปุ๋ยใจ๊ยา บ่ะหยัง ข้าวเขียวงาม ต้นแข็งดีแต๊ ของฮา ใจ๊ยูเรีย 3 ไร่ 2 กระสอบเขียวได้บ่เมิน ใบออกเหลืองแล้ว ต้นก็อ่อน ปู๋กิ๋น " (ความจริงคิงนี่แปลว่ากู และฮาแปลว่ามึง ก็เอาให้ดูสุภาพขึ้นนิดเป็นว่า) เอ็ง ใช้ปุ๋ย ใช้ยาอะไร ข้าวเขียวงามดีจัง ของข้าใช้ยูเรีย 3 ไร่ 2 กระสอบ เขียวได้ไม่นานใบออกเหลือง ๆ ต้นก็อ่อน โดนปูกินอีก.....ผมก็บอกว่า ให้ดูตามที่ตั้งโชว์ไว้นั่นแหละ ว่ามีอะไรบ้าง สงสัยถามก็แล้วกัน ....เวลาที่ผมไม่อยู่ จะมีคนมาถาม แม่ภรรยา .... อุ้ย เปิ้นใจ๊จะอี๊ก๊ะ ข้าวงามแต๊เน้อ ปี้นี้คงได้ข้าวนักเน้อ(ยาย เค้าใช้ไอ้นี่แค่นี้เรอะ ข้าวงามดีแท้ ๆ ปีนี้คงได้ข้าวแยะนะ) ผมเคยแอบได้ยินแกบอกว่า ....ก็หันมีเต้าอี๊ ข้าวก็งามจะอั๊น ๆ จะได้ข้าวนักซักเต้าใดยังบ่ฮู้.....ก็เห็นมีแค่นี้ ข้าวจะว่างามก็งั้น ๆ แหละ จะได้ข้าวมากแค่ไหนยังไม่รู้...ว่าแล้วก็สูบบุหรี่ ขี้โย เคี้ยวเมี่ยง ตามแบบคนเหนือ
และขอบคุณที่ลุงแนะนำ ถั่วเน่า แก้เชื้อราได้ยิ่งแจ๋งเลย (เวลานี้ถั่วเน่าแผ่น ราคา 4 แผ่น 5 บาทครับ แต่ก่อนแผ่นละบาทเดียวเอง) ผมเอาขยำ บี้ แล้วเอาแช่ในน้ำซาวข้าว ลองใส่กลูโคสแทนกากน้ำตาล จะลองเอาฉีดดูในวันที่ 16 กย.(ข้าวอายุ 50 วันพอดี) โดยจะผสมกับ ไบโออิ+แคลเซี่ยมโบร่อน อย่างละ 20 ซีซี. ไม่ลองก็ไม่รู้ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เห็นนั้น คงเหลือพอใช้ได้อีกสองรุ่นครับ อาจขาดบางอย่างก็ฝากพี่ชายซื้อเพิ่มส่งไปให้ หลังเกี่ยวแล้วจะรวบรวมว่าลงทุนอะไรไปบ้าง ดู ๆ แล้วไร่นึงไม่น่าจะถึง 2 พันครับ จะไปหนักตอนเลี้ยงแขกที่มาช่วยเกี่ยว เพราะต้องมียำ มีส้า(อ่านว่า ส้า เอาเนื้อดิบมายำ) มีลาบ (ถ้าเป็นลาบไก่ละก็แขกมากันตรึมเลย) แล้วก็มีน้ำตาตั๊กแตน (ต้มกันเอง) ขาดไม่ได้ เกี่ยวเสร็จก็ตีเลยเพราะคนอยู่แยะ (ตี คือการนวดข้าวโดยวิธีการฟาด ทางเหนือเรียกว่า ตีข้าว)
สำหรับการฟังรายการของลุง แต่ก่อนพี่ชายเอาโทรศัพท์อัดเสียงลุงจากวิทยุ ส่งไป ผมก็เปิดฟัง มันก็เสียเวลาทำงานหน่อย แต่มาตอนหลัง พี่เค้าอัดเสียงลุงลงในการ์ด แล้วส่งข้อมูลไปให้ผมทาง อีเมล์ เสียงของลุงก็อยู่ในคอม และผมก็โอนข้อมูลลงในโทรศัพท์ เวลาเข้านาก็เอาใส่ถุงพลาสติคกันเครื่องตกน้ำเปิดฟังไปเรื่อย ๆ ....
ปัญหาเรื่องปู เอากิ่งสะเดามุบ ๆ โยนใส่ริม ๆ นาตามที่ลุงแนะนำ ก้ามมันหลุดจริง ๆ แฮะ แถมถ้าก้ามใหญ่เก็บเอาไปนึ่งกินได้ ปลอดภัยด้วยซี ขอบคุณครับ ขอบคุณหลาย ๆ |
|
|
kimzagass |
ตอบ: 14/09/2011 12:42 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
kimzagass |
ตอบ: 12/09/2011 9:30 pm ชื่อกระทู้: |
|
กรรมวิธีการผลิต "ถั่วเน่า" ของชาวบ้าน
การผลิตถั่วเน่าของชาวบ้านที่ได้จากการศึกษา มีกรรมวิธีที่คล้ายคลึงกัน คือ
1. นำถัวเหลืองมาต้มให้สุกจนเปื่อยใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งในระหว่างการต้มชาวบ้านจะใช้ไฟแรงให้น้ำเดือด 2-3 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นใช้ไฟกลางไปเรื่อยๆ จนเปื่อย โดยใช้เชื้อเพลิงจากฟืน
2. ตักถั่วเหลืองต้มทิ้งให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปหมัก
3. ทำการบ่มถั่วเหลือง เพื่อให้เกิดการหมัก ชาวบ้านที่ จ.แม่ฮ่องสอนจะหมักถั่วเหลืองในกระสอบปุ๋ย โดยใส่ถั่วเหลืองประมาณครึ่งกระสอบ หมักทิ้งไว้ 2-3 คืน ส่วนที่ จ .เชียงใหม่ จะหมักในตะกร้าไม้ไผ่สานรองด้วยใบตอง หมักทิ้งไว้ 2-3 วัน ในช่วงที่อากาศเย็นจะใช้สังกะสีหรือผ้าห่มเก่าๆ คลุมทับอีกชั้นหนึ่ง
4. นำถั่วเหลืองไปบด ชาวบ้านที่ จ .แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ในเขต อ.สารภี หางดง สันป่าตอง ใช้เครื่องบด ส่วนที่ อ.แม่แจ่ม จะใช้ครกไม้ขนาดใหญ่ตำ
5. การทำถั่วเน่าปรุงรส ในระหว่างการบดถั่วเน่าจะผสมกับเครื่องปรุง ได้แก่ เกลือ ผงชูรส กระเทียม พริก ทำการห่อด้วยใบตอง นำไปนึ่งหรือย่างไฟจำหน่าย
6. การทำถั่วเน่าแผ่น ถั่วเน่าแผ่นถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์หลักของชาวบ้าน ต.ปางหมู จ.แม่ฮ่องสอน มีวิธีการ คือ นำถั่วเน่าบดวางลงบนแผ่นไม้ แล้วมีแผ่นไม้อีก 1 แผ่นกดทับลงมาให้ได้แผ่นบางๆ ของถั่วเน่า นำไปตากแดด 1 วัน เก็บใส่ถุงพลาสติก
ฯลฯ
4.2 การศึกษาคุณภาพของถั่วเน่า
จากการเก็บผลิตภัณฑ์ถั่วเน่าแบบต่างๆ ของชาวบ้านมาตรวจวิเคราะห์หาปริมาณความชื้น ปริมาณโปรตีนทั้งหมด ปริมาณโปรตีนที่ละลายน้ำ และปริมาณอัลฟ่า-อะมิโนไนโตรเจนได้ผลดังตารางที่ 5 ซึ่งตัวอย่างของถั่วเน่าที่มีความชื้นต่ำสุด คือ ถั่วเน่าแผ่นมีค่าเท่ากับ 12.08 +/- 0.65 % และถั่วเน่าปรุงรสนึ่งมีความชื้นมากที่สุด 66.10 +/- 0.92 % ปริมาณโปรตีนทั้งหมด ในผลิตภัณฑ์ถั่วเน่าทุกชนิดมีค่าเฉลี่ย 42.49 +/- 1.15 % (โดยน้ำหนักแห้ง) โปรตีนละลายน้ำ พบว่า ถั่วเน่าแผ่นมีค่าสูงสุด 201.20 +/- 9.52 mg/g (โดยน้ำหนักแห้ง) และอัลฟ่า-อะมิโนไนโตรเจน พบว่า ถั่วเน่านึ่งมีค่าสูงสุด 0.139 +/- 0.015 mg/g (โดยน้ำหนักแห้ง)
www.localsciences.com/index.php?option=com_docman...
กรณีศึกษาโครงการวิจัยเรื่อง การปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตถั่วเน่า: อาหารหมักพื้นบ้านภาคเหนือ
--------------------------------------------------------------------------------
"ถั่วเน่า" แบบอัดแผ่น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "กะปิแม้ว".......
ในกะปิแม้วมีจุลินทรีย์กลุ่ม "บาซิลลัส ซับติลิส (B.S.)" มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อราในพืช
ใช้ "กะปิแม้ว 1 แผ่น + น้ำ 20 ล." ฉีดพ่นให้เปียกโชกทุกซอกส่วนของพืช ช่วงค่ำหรือเช้ามืด
จะช่วยกำจัดเชื้อราแป้ง. ราสนิม. ราน้ำค้าง. ราแอนแทร็คโนส. ราขอบใบ/ปลายใบไหม้. ได้
--------------------------------------------------------------------------------
|
|
|
kimzagass |
ตอบ: 12/09/2011 7:46 pm ชื่อกระทู้: |
|
การทำน้ำปู
ปูจะขุดรูทำมุมกับแนวระดับลึกมาก และจะลึกที่สุดในช่วงเดือนพฤษภาคมและใช้ดินปิดปากรูเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ภายในรู หรือไม่ก็อพยพจากท้องนาไปยังหนองน้ำใกล้เคียง ในกรณีที่เกิดฝนตก เกิดอุทกภัย น้ำท่วมคันนา ปูจะหลบอาศัยเกาะอยู่ตามกอหญ้าริม ๆ น้ำ โดยใช้ก้ามเกาะต้นหญ้าพยุงตัวลอยอยู่ในน้ำ ปูนาจัดได้ว่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีนสัตว์ราคาถูกและหาได้ง่ายในธรรมชาติ
ปูนาเป็นปูน้ำจืดที่พบมีอยู่ทั่วไปตามทุ่งนาและในที่ลุ่มของประเทศไทย เป็นกลุ่มปูที่มีวิถีชีวิต
ปูนาชอบขุดรูอาศัยอยู่ตามทุ่งนา คันนา บริเวณชายคลอง คันคู และคันคลองชลประทานต่าง ๆ โดยมีแหล่งอาหารและน้ำเป็นปัจจัยหลัก ลักษณะและตำแหน่งของรูปูนาจะแตกต่างกันตามสภาพของพื้นที่ ดินฟ้าอากาศและน้ำซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต บริเวณที่มีน้ำปูจะขุดรูในที่ ๆ น้ำท่วมไม่ถึง รูปูจะเอียงเล็กน้อยและไม่ลึกนัก ปากรูจะอยู่เหนือน้ำ หรือต่ำกว่าระดับน้ำเล็กน้อย เพื่อความสะดวกในการเข้าออก รูปูส่วนใหญ่จะเป็นแนวเอียง 30-60 องศากับแนวระดับ รูจะตรง ไม่คดเคี้ยว ในที่ ๆ มีความชื้นสูงหรือบริเวณที่มีระดับน้ำตื้นมากรูปูจะไม่ลึกและมีรูขนาดไปกับ พื้นดิน ตามทุ่งนาที่มีน้ำเฉอะแฉะ เช่นระยะหลังการเก็บเกี่ยว ปูจะขุดรูอาศัยอยู่ตามพื้นนามีความลึกประมาณ 1 เมตร ในฤดูแล้งช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พื้นนาแห้ง ดินขาดน้ำ ระดับน้ำใต้ดินลึก ปูจะขุดรูทำมุมกับแนวระดับลึกมาก และจะลึกที่สุดในช่วงเดือนพฤษภาคมและใช้ดินปิดปากรูเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ภายในรู หรือไม่ก็อพยพจากท้องนาไปยังหนองน้ำใกล้เคียง ในกรณีที่เกิดฝนตก เกิดอุทกภัย น้ำท่วมคันนา ปูจะหลบอาศัยเกาะอยู่ตามกอหญ้าริม ๆ น้ำ โดยใช้ก้ามเกาะต้นหญ้าพยุงตัวลอยอยู่ในน้ำ ปูนาจัดได้ว่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีนสัตว์ราคาถูกและหาได้ง่ายในธรรมชาติ
น้ำปู หรือ น้ำปู๋ เป็นอาหารที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้านในภาคเหนือ เป็นการ
ถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้กินเป็นเวลาเเรมปี นอกจากที่ชาวบ้านจะทำไว้กินเอง
เเล้วยังนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมอีกด้วย
คุณแสงดวง หมื่นอินต๊ะ เกษตรตกรที่ได้เรียนรู้วิธีการทำน้ำปูมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย
อาศัยการเรียนรู้กรรมวิธีการทำมาจากคุณแม่ คือ แม่อุ้ยนาง การทำน้ำปูของชาวบ้าน
ค่ายเจริญส่วนใหญ่จะไม่ทำไว้เพื่อการค้า แต่จะมีไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน
หลายคนถามว่าน้ำปูนำมาเป็น อาหารได้อย่างไรทั้งๆที่กลิ่นจะไม่ค่อยพึงประสงค์สัก
เท่าไหร่ คุณแสงดวงเล่าว่า น้ำปู สามารถนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเหนือได้
หลายประเภท เช่น ยำหน่อไม้ แกงหน่อไม้ ส้าแตง ตำกระท้อน น้ำพริกน้ำปู เป็นต้น
วิธีการทำน้ำพริกน้ำปูพริกขี้หนูสด
ส่วนประกอบ
1.พริกขี้หนูสด 1 ขีด
2.กระเทียม 5 กลีบ
3.เกลือป่น 1-2 ช้อนชา
4.มะนาว 1 ลูก
วิธีทำ
1.โขลกกระเทียมให้ละเอียด
2.ใส่พริกขี้หนูที่ล้างสะอาด แล้วโขลกพอแหลก
3.ใส่เกลือป่นลงไปแล้วโขลกให้เข้ากัน
4.ตักใส่ถ้วย หาก ใครชอบความเปรี้ยวก็เติมมะนาวลงไปคนให้ทั่ว
** ใช้ทานกับข้าวเหนียว พร้อมเครื่องเคียงเป็นแตงกวา ผักขี้เหล็กลวก หรือ ผัก
ลวกที่ชื่นชอบ
น้ำปูที่ผ่านการเคี่ยวมายาวนาน ก็เก็บใส่กระปุกไว้กินได้ตลอดทั้งปี
แหล่งอ้างอิงข้อมูล :
ชื่อ - นามสกุล : คุณแสงดวง หมื่นอินต๊ะ
ที่อยู่ : หมู่ที่5 ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
ที่มา : รักบ้านเกิด.คอม
[http://www.rakbankerd.com/]
http://www.vijai.rmutl.ac.th/kaewpanya/index.php?option=com_content&view=article&id=4848:2011-02-04-05-52-19&catid=238:209- |
|
|
kimzagass |
ตอบ: 12/09/2011 7:38 pm ชื่อกระทู้: |
|
จาก : kimzagass
ถึง : Sombutt
....... แล้วก็เก็บใบไม้รอบบริเวณที่คิดว่าเป็นสมุนไพร หาบอระเพ็ดไม่ได้ มันมีแต่เถาอะไรไม่ทราบ ขมคล้ายบอระเพ็ด ก็ตัดเถาเอามา แล้วเอาเปลือกสะเลียม (สะเดา) ต้นฟ้าทะลายโจร ใบสาบเสือ และอื่น ๆ มาใส่ปี๊บต้ม จากน้ำเต็มปี๊บ เหลือ 2/3 ปิ๊บ เอาน้ำที่ต้มได้ + น้ำสมุนไพรจากกองคาราวาน (พี่ชายซื้อส่งไปให้) + ไบโออิ + ยูเรีย (หา จี.เกรด ไม่ได้เพราะไม่มีขาย ใช้ 46-0-0 แทน) + แคลเซี่ยม-โบร่อน ผมแอบ + นมสดลงไปด้วย (น้ำ 20 ลิตร ใช้ 1/2 กล่อง)
ตอบ :
- บอกแล้วไง สมุนไพรอะไรก็ได้ที่ขมจัดๆ ชิงช้าชาลี. เขียวไข่กา. ฟักข้าว. พวกนี้ขมจัดทั้งนั้น
- ยูเรีย จี.เกรด ไม่มี ใช้ยูเรียโฟมหรือยูเรียเม็ด ที่หว่านลงดินแทนได้ ละลายน้ำ กรองเอากากฟิลเลอร์ออกก่อน เสร็จแล้วใช้ได้เลย.....แทนกันได้แบบนี้เฉพาะยูเรียนะ สูตรอื่นไม่เกี่ยว
---------------------------------------------------------------------------------------
..... เอา 30-10-10 + 21-7-14 + 16-8-8 ราดหมักฟางตั้งแต่ก่อนทำเทือก จากนั้นเอาอีขลุบย่ำทุบ ปลูกครั้งเดียว ไม่ต้องซิม ไม่ต้องถอนดำ ครั้งเดียวจบ
ตอบ :
เอาเลย สูตรนี้ลุงคิมยังไม่มีใครทำ คนอื่นอาจเคยทำมาแล้วก็ได้ เพราะฉนั้น ลุย ! ..... ตำรวจไม่จับ เอาคำตอบสุดท้าย ก.ทำกับมือ มาให้ได้
ที่จริง "หมักฟาง" เป็นหน้าที่ของ "จุลินทรีย์" นะ ไม่ใช่ปุ๋ย แล้วก็ปุ๋ยที่เป็นแหล่งพลังงานสำหรับจุลินทรีย์ก็คือ "ยูเรีย" แต่ยูเรียอยู่ได้นานแค่ 3-5 วันเท่านั้น แต่ถ้าเป็น 21-0-0 ตัวนี้อยู่ได้นานกว่านับเดือน
ว่างๆ ทำ "จุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง" ซี่ ตรงเป้ากว่านะ
----------------------------------------------------------------------------------------
.....ตอนนี้หอยเชอรี่ No Prompram ไม่มีปัญหา เอื้องหมายนาปราบเรียบ......
ตอบ :
นี่ไง ก.ทำกับมือ.....คิง อย่าเถียง....
-----------------------------------------------------------------------------------------
.... แต่ว่า ปู ครับ ปูแยะมาก เจาะรูคันนา คนที่ชอบเอาน้ำขังในนาแยะ ๆ เลยสะดือข้าว เค้าบ่นกันว่า ขังน้ำไม่ค่อยอยู่ ปูเจาะรูน้ำรั่วออกหมด เค้าก็ไปซื้อยาปูมาหว่าน แต่ผมบอกเค้าว่า ให้ลองเอาแชมพูซัลซิน (อ่านเจอในเน็ท) เอามาละลายน้ำราดรอบ ๆ คันนา เค้าหัวเราะ คือ ไม่เชื่อ แต่ของผมลองทำ ปูมันหนี แต่หนีหรือไม่หนีผมไม่แคร์ เพราะของผมปลูกข้าวแบบน้ำแฉะ ๆ ทีนี้ ซัลซิน มันก็แพงน่ะนะครับ ลุงมียาสมุนไพรอะไรไล่ปูบ้างมั๊ยครับ
ตอบ :
ใช้กิ่งสะเดาสดๆ ขนาดเท่านิ้วมือ ทุบพอบุบ โยนลงน้ำประมาณเนื้อที่ 1 ตร.ว./1 ชิ้น น้ำมีนสะเดาจะออกมา ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ พอปูมาสัมผัสก้ามจะหลุด ถ้าปูไม่มีก้ามแล้วมันจะเอามือที่ไหนจับต้นข้าวกิน จับอย่างอื่นกินก็ไม่ได้ ไม่นานก็ตายไปเอง
นาข้าวรอบๆ ไร่กล้อมแกล้ม เขาใช่วิธีปล่อยน้ำท่วมคันนา ทิ้งไว้ 3-4 วัน ธรรมชาติปูต้องอยู่ในรู ในรูก็ต้องมีอากาศด้วย ปูที่ขุดรูอยู่ในคันนา ในเมื่อคันนาถูกน้ำท่วม น้ำก็จะเข้าไปในรูปูทำให้ไม่มีอากาศหายใจ ปูก็จะโยกย้ายไปหาที่ขุดรูอยู่ใหม่ หรือไม่ก็ไปแย่ง รูงู รูหนู รูแย้ ..... หลักการน้ำท่วมคันนาแบบนี้กำจัดหนูได้ด้วยนะ
ที่ชัยนาท ใช้น้ำบอระเพ็ดข้มข้น ฉีดพ่นที่โคนต้นข้าว ข้างคันนา ลึกเข้าไปในเนื้อนาประมาณ 1 ม. (คนฉีดเดินบนคันนา) ในบอระเพ็ดมีสารดูดซึม ต้นข้าวจึงขม หนูนากัดต้นข้าว หวังล้มต้นแล้วกินรวง ทันทีที่กัดต้นข้าวก็จะสัมผัสกับรสขม แล้วไม่กัดอีกเลย..... หลักการเดียวกันนี้ น่าจะ (เน้นย้ำ....น่าจะ) ใช้กับ ปู" ได้นะ
เริ่มเข้าหน้าหนาว อากาศหนาวรากข้าวไม่ทำงาน แก้ไขโดยให้ทางใบแทน ให้ "สังกะสี" เป็นหลัก ตามด้วย "แม็กเนเซียม" ก็ในไบโออิ.นั่นแหละ ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนหนาว กับ "แคลเซียม โบรอน" อย่าขาด
---------------------------------------------------------------------------------------- |
|
|
kimzagass |
ตอบ: 12/09/2011 1:29 pm ชื่อกระทู้: |
|
จาก : Sombutt
ถึง : kimzagass
ตอบ : 12/09/2011 12:52 pm
ชื่อกระทู้ : จะปลูกข้าวหอมที่เชียงรายครับ
เรียนลุงคิมทราบ
หลังจากที่ส่งรูปข้าวใบเหลืองมาให้ลุงพิจารณาว่าสาเหตุจากอะไร ลุงบอกว่าเกิดจากเชื้อรา ผมได้ทำตามที่ลุงแนะนำ พยายามลุยตัดใบที่แห้งออกมากที่สุด เก็บใส่กระสอบปุ๋ยเอาไปเผาทิ้ง แล้วก็เก็บใบไม้รอบบริเวณที่คิดว่าเป็นสมุนไพร หาบอระเพ็ดไม่ได้ มันมีแต่เถาอะไรไม่ทราบ ขมคล้ายบอระเพ็ด ก็ตัดเถาเอามา แล้วเอาเปลือกสะเลียม (สะเดา) ต้นฟ้าทะลายโจร ใบสาบเสือ และอื่น ๆ มาใส่ปี๊บต้ม จากน้ำเต็มปี๊บ เหลือ 2/3 ปิ๊บ เอาน้ำที่ต้มได้ + น้ำสมุนไพรจากกองคาราวาน (พี่ชายซื้อส่งไปให้) + ไบโออิ + ยูเรีย (หา จี.เกรด ไม่ได้เพราะไม่มีขาย ใช้ 46-0-0 แทน) + แคลเซี่ยม-โบร่อน ผมแอบ + นมสดลงไปด้วย (น้ำ 20 ลิตร ใช้ 1/2 กล่อง) ฉีดไปได้ครึ่ง ชม. ฝนตก วันรุ่งขึ้นตอนสาย ระบายน้ำออกจนแห้งพอแฉะ ๆ ลงไปลุยฉีดซ้ำ อยู่ได้ถึงเที่ยงฝนตกอีก แต่คิดว่า จาก 9 โมงเช้าถึงเที่ยง ใบข้าวแห้งแล้ว คงไม่ต้องฉีดซ้ำ
วันที่เห็นข้าว (อายุ 35 วัน) ใบเหลือง ใจแป้วเลย อดกินแหง๋ ๆ ตู โทรบอกพี่ชาย ช่วยจัดการเอารูปมาถามลุงให้ที วันนั้นกลัวโดนดุ แต่วันนี้ไม่กลัวแล้ว โดนก็โดนซีวะ ก็ไม่เป็น ไม่เคยปลูกนี่หว่า ผิดเป็นครู
หลังจาก 10 วันผ่านไป วันนี้ข้าวอายุ 45 วัน ผมเห็นต้นข้าวแล้วยิ้มได้เลย งามครับ งามจริง ๆ ผมได้ส่งรูปมาให้ลุงดูอีกครั้ง (ผ่านมือถือลุงนะครับ)
คนหนุ่มคนเฒ่า (คนแก่) ที่ผ่านมาเห็นมีแต่บอกว่า ข้าวของผม มันงามล้ำ (งามเกินไป) ใช้ยูเรียไปกี่ถุง (กระสอบ) ผมบอกว่า ใช้ 46-0-0 + 16-16-16 อย่างละ 10 กิโล / ไร่ เขาร้อง หา ! เป็นไปได้จะได จุ๊ก๊า ของฮาใจ๊ไร่ละกระสอบ ยังบ่เขียวจะอี๊ (เป็นไปได้อย่างไร โกหกมั๊ง ของเขาใช้ไร่ละกระสอบ ยังไม่เขียวอย่างนี้เลย)
ผมก็บอกว่า ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผมใช้มันมีปุ๋ยเคมี มีธาตุอาหารรอง อาหารเสริมผสมอยู่ด้วย ข้าวมันก็เลยงาม แข็ง แกร่ง ใบเขียวอมเหลือง เดี๋ยวคอยดูตอนที่มันออกดอก มันจะหอมทั่วทั้งทุ่ง
ส่วนคนที่เคยบอกว่าผมทำนาชีวภาพจะพังพาบนั้น ตอนนี้เริ่ม เหล่ มาแล้ว แต่ผมจะไม่ต่อว่าเขาหรอกครับ อยากแนะนำเค้ามากกว่า อย่างน้อย ๆ เค้าจะได้รอดพ้นจาก ธรณีกรรแสง ก็เสียน้ำใจอยู่นิด ๆ ว่า คนที่เอาพันธุ์ข้าวมาขายให้ทีแรกนั้น มันมีข้าวลีบ ข้าวนก ข้าว ฯลฯ ปนมาแยะ เสี่ยว (เพื่อน) กันแท้ ๆ และ ยังไม่ทันคัดเลือก มารดายาย เอาใส่กระสอบแช่น้ำเลย และที่แกบอกให้พี่สาวกับพี่เขยมาช่วยปลูก (ดำ) ตอนแรก ปรากฏว่า ข้าวที่ผมกับ ผบ.ทบ.ช่วยกันปลูก จุดละสองต้น มันแตกกองามดีกว่าที่พี่สาวกับพี่เขยปลูก จุดละ4-5 ต้น ผบ.ทบ.บอกกับแม่เค้าว่า "อีแม่ผ่อเลาะ ตี้เจ้าปลูกกับปี้ดวน (พี่สาว) ปลูก ของเจ้างามกว่าของเปิ้นหนา" มารดายายได้แต่พูดเปรย ๆ ว่า ผ่อแล้ว ก็จะอั๊นจะอั๊น (ดูแล้วก็งั้น ๆ ) กลัวเสียเหลี่ยมน่ะครับ เพราะที่ปลูก 4-5 ต้น มันแตกกอเบียดกันแอ่ดเลย
ผมชักสนุกแล้วละครับ คราวหน้าถ้าได้เครื่องหยอดเมล็ดข้าวนะครับ แจ๋ว วรจักรเลย หรือไม่ก็ปลูกข้าวต้นเดี่ยวแบบ SRI ห่างกันต้นละ 35 ซม. เอา 30-10-10 + 21-7-14 + 16-8-8 ราดหมักฟางตั้งแต่ก่อนทำเทือก จากนั้นเอาอีขลุบย่ำทุบ ปลูกครั้งเดียว ไม่ต้องซิม ไม่ต้องถอนดำ ครั้งเดียวจบ
ลุงคิมว่ายังไงครับ จะดุจะด่าว่าได้เลย ยินดีรับฟัง ไม่กลัวแล้ว เพราะคิดว่ามาถูกทาง ผมฝันเกินไปครับ เพราะเดือนหน้า (ต.ค.) อากาศทางนี้ก็เริ่มจะเย็น ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าวของผมก็จะมีอายุ 60 วัน น่าจะเริ่มท้อง แต่อากาศแห้ง จะมีมารผจญจาก เพลี้ยไฟ ไรแดง หรือเปล่ายังไม่ทราบเลย
มีอีกเรื่องที่อยากถามครับ คือ ตอนนี้หอยเชอรี่ No Prompram ไม่มีปัญหา เอื้องหมายนาปราบเรียบ แต่ว่า ปู ครับ ปู (ไม่ใช่นายกฯ ปูนะครับ ปูจริง ๆ) แยะมาก เจาะรูคันนา คนที่ชอบเอาน้ำขังในนาแยะ ๆ เลยสะดือข้าว เค้าบ่นกันว่า ขังน้ำไม่ค่อยอยู่ ปูเจาะรูน้ำรั่วออกหมด เค้าก็ไปซื้อยาปูมาหว่าน แต่ผมบอกเค้าว่า ให้ลองเอาแชมพูซัลซิน (อ่านเจอในเน็ท) เอามาละลายน้ำราดรอบ ๆ คันนา เค้าหัวเราะ คือ ไม่เชื่อ แต่ของผมลองทำ ปูมันหนี แต่หนีหรือไม่หนีผมไม่แคร์ เพราะของผมปลูกข้าวแบบน้ำแฉะ ๆ ทีนี้ ซัลซิน มันก็แพงน่ะนะครับ ลุงมียาสมุนไพรอะไรไล่ปูบ้างมั๊ยครับ
พูดถึงปู พอหมดฝนต้นหนาว ปูทางนี้มันก็จะมีไข่และมีมันมาก เค้าก็จะจับเอามาเคี่ยวทำ น้ำปู (ทำเสร็จแล้วกิโลละเป็นร้อยครับ) คนเหนือกินน้ำปูแทนกะปิครับ ส่วนผม คนภาคกลางมาอยู่เหนือ กินไม่เป็น มันเหม็นแปลก ๆ ต้องกินกะปิ
ก็ขอขอบคุณลุงคิมอย่างมากครับ ได้กินข้าวแน่ๆ แล้วครับ สำหรับสมุนไพรนั้น ผมฉีดจะทุก 5 วันละครับ และจะถ่ายรูปต้นข้าวพร้อมราก ส่งมาให้ลุงดู พร้อมกับข้าวเหนียวที่ปลูกไว้กินเองด้วย .... ต้นมันสูงกว่าข้าวเจ้า งามดีไม่มีโรค ส่วนแมลงนั้น มีแมงมุมช่วยครับ ทางนี้เขากินข้าวเหนียวพันธุ์สันป่าตอง 1 ครับ ผมกำลังถามคนเฒ่าถึงพันธุ์ข้าวเหนียวเก่า ๆ ดั้งเดิม เพราะแต่เดิมมานั้น คนเฒ่าบอกว่า ข้าวเหนียวของอำเภอเวียงชัย เพียงอำเภอเดียว สามารถเลี้ยงคนภาคเหนือได้ทั้งหมด ส่วนข้าวของที่อื่น ๆ ก็ปลูกเพื่อขาย แสดงว่าข้าวพันธุ์พื้นเมือง เป็นสิ่งที่น่าท้าทายไม่เบาเลย
ขอบคุณอีกครั้งครับ |
|
|
kimzagass |
ตอบ: 05/09/2011 6:12 pm ชื่อกระทู้: Re: ปลูกข้าวหอมที่เชียงรายครับ..................Sombutt |
|
จาก : kimzagass
ถึง : Sombutt
เมื่อวันที่ 3 กย.54 ผมได้ส่งรูปต้นข้าวจากเชียงราย ฝากพี่ชายช่วยพริ้นท์ฝากต่อมาที่คุณน้ำส้ม มหิดล เพื่อให้ลุงช่วยกรุณาวินิจฉัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือ
ตอบ :
ได้รับแล้ว .... ทำไมไม่ใช้โทรศัพท์ น่าจะสดวกกว่า ว่ามั้ย....
น้ำส้มเล่าให้ฟัง คุณบอกว่า "ไม่กล้าโทรคุยกับลุงคิม เพราะลุงคิมดุ...." นี่มันคิดแบบเด็กๆนะ เหมือนผู้ใหญ่ขู่เด็ก "อย่าร้องนะ เดี๋ยวตุ๊กแกกินตับ..." เด็กเลยเงียบ
ได้ยินคนพูดบ่อยๆ "ลุงคิมดุ ลุงคิมด่า...." ก็ยังนึกอยู่เหมือนกันว่า พูดแบบไหนถึงจะเรียกว่าใจดี พูดแบบไหนถึงจะเรียกว่าชม
ทุกคำถามก่อนจะให้คำตอบ จะสอบถามถึงสาเหตุก่อนแล้วจึงแนะนำคำตอบ....การสอบถามถึงสาเหตุก่อน นั่นคือ "ดุ"
การชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในอดีตของตัวเอง กับความล้มเหลวของคนข้างบ้านมาเป็น "กรณีศึกษา" คำแนะนำนี้คือ "ด่า"
แม้แต่วันนี้พูดแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออก ด่า หรือ ดุ
ตั้งแต่แรกปลูกมาจนข้างมีอายุ 30 วัน นั่ง นอน ดีใจว่า ข้าวอินทรีย์นำ-เคมีเสริม-ตามสูตรของลุง มันงอกงามจนคนที่เคยดูแคลนไม่กล้าเดินผ่าน มันแตกกองอกงามดีจริง ๆ ครับ แต่พอถึงวันที่ข้าวมีอายุ 35, 35, 36 วัน (หลังฝนตกห่าใหญ่) ข้าวก็มีอาการใบไหม้ตามที่เห็น (คนทางเหนือเค้าบอกว่าเป็นอาการ เพี๊ยงลงกิน - ไม่ใช่เพลี้ยนะครับ เพลี้ยคือแมลง เพี๊ยง คือ โรคและเชื้อรา เค้าให้ผมซื้อยาชื่อ ฟูจีวัน - ขวดครึ่งลิตร 150 กับยาชุดชื่อ ดังจังแก - ชุด 3 ขวด 600 เอามาฉีด ถ้าไม่ฉีดจะไม่ได้กินข้าว ผมบอกว่า ฟังชื่อแล้วมันแปลก และผมไม่อยากดัง ก็เลยว่าจะไม่ซื้อมาฉีด จะไม่ได้กินข้าวก็ช่างมัน) สำหรับรูปต้นที่แห้งมาก ผมถอนเผาทิ้งไปแล้ว ...
ตอบ :
- ไม่มีพืชใดในโลกนี้ที่ไม่มีศัตรูพืชประจำตระกูล วันนี้ยังไม่มีเพราะยังไม่มา พอมาเถอะเอาไม่ทัน....
- ข้าว คือ พืชที่มีศัตรูพืชมากที่สุดในบรรดาพืชด้วยกัน มากถึง 200 (+) ชนิด ลึงคิมมีหนังสือโรคข้าวอย่างเดียว 1 เล่ม หนา 400 หน้า....
- เพลี้ยเพลี้ย เพลี้ยงเพลี้ยง เป็นภาษาพื้นบ้าน บ้านไหนบ้านนั้น บ้านอื่นไม่รู้เรื่องด้วยหรอก คนไทยเก่งทุกบ้าน ตั้งชื่อเองแล้วก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง .... วิเคราะห์จากรูปแล้วตัวนี้คือ "รา" (ภาษาวิชาการ - ภาษากลางในเอกสารตำรา - ภาษาในพจนานุกรรม)
- รามากับความชื้น หน้าฝน ๆตก มันยิ่งกว่าชื้น เขาเรียกว่าแฉะไง ..... ถามว่า ทำไมไม่กันก่อนแก้ (ด่าอีกละ) .... สมุนไพร ขิง ข่า พริก ขมิ้น สาบเสือ ว่านน้ำ ฯลฯ (สมุนไพรรสเผ็ด ร้อน ฝาด) ทำขึ้นมา ทำเองใช้เอง ไม่เปลือง .... ปุ๋ยทางใบ (ทุกสูตร ทุกยี่ห้อ) + สารสมุนไพร แล้วให้พร้อมกันเลยได้
- ไม่มีสารเคมียาฆ่าแมลงใดและไม่สารสมุนไพรใดในโลกนี้ สามารถทำให้ส่วนของพืชที่ถูกทำลายไปแล้ว ดีคืนอย่างเก่าได้ แล้วจะไปฉีดให้มันสิ้นเปลืองเงินทำไม....ส่วนที่เสียแล้วปล่อยให้เสียไป เลยตามเลย ไหนๆก็ไหนๆ หันมา บำรุง-ป้องกัน ส่วนที่เหลือให้ดีทั้งคุณภาพ-ปริมาณ และต้นทุนต่ำ มิดีกว่ารึ
- ปุ๋ย คือ สิ่งบำรุงพืช
- ยา คือ สิ่งกำจัดโรค
สองสิ่งนี้ คือ คนละอย่าง คนละเรื่องกัน แต่ต้องไปด้วยกัน เหมือน "อาหาร" กับ "ยา" ของคน เพราะฉนั้นต้องแยกให้ออก
ยาดี กินผิด โรคไม่หาย เผลอๆ ตายด้วย ............................... ฉันใด
ปุ๋ยดี ใช้ไม่เป็น ใช้ไม่ถูกต้อง ถึงต้นไม่ตายก็ไม่ได้ผล ................. ฉันนั้น
ปุ๋ย-ฮอร์โมน-สารสมุนไพร-สารเคมี ซื้อหรือทำเอง ปกติแยกกันอยู่คนละขวดหรือคนละถัง พอจะใช้สามารถเอามารวมกันครั้งละ 2 ตัว, 3 ตัว หรือ ทั้ง 4 ตัวก็ได้ ตามสดวก แต่มีข้อแม้ เมื่อผสมรวมกันแล้วต้องใช้ให้หมดในแต่ละครั้ง ไม่ควรเก็บนาน หรือเก็บนานไม่เกือน 1-3 เดือน ในอุณหภูมิห้อง .... แบบนี้ทำให้พืชได้รับทั้งอาหารและยาในเวลาเดียวกัน ช่วยให้ประหยัดเวลาและแรงงานได้เป็นอย่างดี....ปุ๋ยทางใบสำหรับนาข้าวบางยี่ห้อ (ลิตรละ 500-750) ในเขตภาคกลาง เนื้อในใช้ส่วนผสมเดียวกันกับไบโออิ (สากลโลก)แต่มีการใส่เพิ่มสารเคมีฆ่าแมลงจำพวกเพลี้ยเข้าไปด้วย เวลาโฆษณาจะพูดถึงแต่สารอาหาร ไม่พูดถึงสารเคมีที่ใส่เพิ่มเข้าไปด้วย ชาวนาใช้แล้วต่างพอใจว่าดีมากๆ....จากหลักการเดียวกันนี้ เราก็เอา "ปุ๋ย + ยา" แล้วใช้งาน จะต่างกันตรงไหน อยู่แต่ว่า จะเลือกใช้ปุ๋ยสูตรไหน + ยาตัวไหน เท่านั้น....
.... ฯลฯ ....นอกจากการใส่ปุ๋ยไปพร้อมกับน้ำแล้ว อาจมีการใส่สารตัวอื่นไปพร้อมกับน้ำได้ด้วย เช่น บางสวนอาจมีการใส่ยาปราบวัชพืชลงไป หรือ อาจใส่ยาป้องกันกำจัดศัตรูพืชลงไปด้วยก็ได้ และปัจจุบันบางสวนมีการใส่สาร โปแตสเซียม คลอเรต ลงไปพร้อมกับน้ำเพื่อทำลำไยนอกฤดู ซึ่งระบบนี้จะเรียกว่า Chemigation ....... (รศ.ดร.อิทธิสุนทร นันทกิจ ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โทร 02-327-4537)
พอวันที่ข้าวอายุ 37 วัน ผมก็เดินลุยตัดต้นที่ใบแห้งมากบ้างน้อยบ้าง เก็บใส่กระสอบปุ๋ย เอาไปเผาทิ้ง แต่ก็แปลกที่ว่า ข้าวเหนียวพันธุ์ สันป่าตอง 1 ที่ปลูกประมาณ 2 งานเอาไว้กินเอง กลับไม่มีอาการแต่อย่างใด ....
ตอบ :
นี่คือข้อแตกต่างระหว่าง "พันธุ์ต้านทาน" กับ "พันธุ์ไม่ต้านทาน" ไงล่ะ .... เรื่องนี้ควรรู้ก่อนปลูก แล้วเตรียมมาตรการป้องกัน นั่นแหละจึงจะรอด
จะส่งรูปผ่านเน็ทก็ทำไม่เป็น ที่สำคัญไม่กล้าทำด้วย เลยส่งฝากพี่ชายมาให้ลุง .....
ก็ขออนุญาตให้พี่ชายส่งรูปผ่านมือถือให้ลุงดูอีกครั้งหนึ่ง
ตอบ :
ลุงคิมให้ลูกทำให้
อย่างไรก็ตาม พี่ชายโทรไปผมบอกว่าได้สอบถามคุณน้ำส้ม ได้รับคำตอบว่า ลุงบอกให้ใช้ ไบโออิ + ยูเรียนิดหน่อย - ที่เชียงรายถามหาชนิด G Grade ไม่มีใครรู้จักหรอกครับ มีแต่ 46-0-0 คงพอกล้อมแกล้มใช้ไปก่อน ผมได้บอกให้พี่ชายซื้อ G Grade ส่งไปให้แล้ว
ตอบ :
น้ำ 100 ล. + ไบโออิ 100-200 ซีซี. + ยูเรีย 200 กรัม หลายคนใช้แล้วบอกว่าได้ผล ตามหลักวิชาการ แต่กรณีของคุณอาจจะ (เน้นย้ำ...อาจจะ) ไม่ใด้ผลก็เป็นได้ เพราะ 1) ไบโออิ ไม่ใช่ปุ๋ยวิเศษ 2) ต้นข้าวคุณต้นข้าวเขา 3) อากาศบ้านคุณอากาศบ้านเขา 4) ความรุนแรงของโรคในข้าวคุณในข้าวเขา 5) ฯลฯ .... ยัไงๆก็ยังเชียร์ให้ใช้หลักการนี้ต่อไป จนกว่าจะเจอปุ๋ยวิเศษ (ลิตรละ 6,000-10,000 ไง)
ในเมื่อธาตุอาหารพืชในโลกนี้ (ทั้งโลก) มี 14 ธาตุ, 3 ก๊าซ, 10 ฮอร์โมน, 3 วิตามิน และ 100 อื่นๆ ใส่ครบทุกตัวแล้วขายแค่ 200 บาท ยังได้กำไร แล้วที่มันขายลิตรละ 10,000 น่ะ มันใส่อะไร (วะ)
ว่างๆ ซื้อ UREA G. ที่กองคาราวานลุงคิม แล้วเอาไป เฟี่ยง ใส่หน้าร้านขายปุ๋ยที่เชียงราย แล้งบอกมันว่า "เถ้าแก่ สูตรที่ถูกต้อง เอามาขายแล้วไม่ได้กำไรเหรอ จะหลอกเกษตรกรไปถึงไหน บาป รู้ไหม?" ..... กล้ามั้ยล่ะ
ขอขอบคุณลุงคิมอย่างยิ่งที่กรุณาแนะนำ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด แม้จะไม่ได้กินข้าวจ้าว แต่ก็น่ายังมีข้าวเหนียวให้กินครับ ผลเป็นอย่างไรจะเรียนให้ทราบต่อไป
ตอบ :
ทำต่อ ถ้าใจรัก เตรียมตัวเตรียมใจ อย่างน้อย 3 รุ่นติดต่อกัน นั่นแหละจึงจะเห็นทาง (แค่เห็นทางนะ ไม่ใช่เก่ง) ...... ระหว่างนี้
อย่า ! เชื่อโฆษณา อย่างเด็ดขาด แต่ให้เชื่อตัวเอง
อย่า ! มุ่งเอาแต่ปริมาณให้เหมือนข้างบ้าน โดยไม่ดูต้นทุน
ลุงคิม (กล้าเชียร์ เพราะ ก.ทำกับมือมาแล้ว) ครับผม |
|
|
kimzagass |
ตอบ: 05/09/2011 5:34 pm ชื่อกระทู้: ถาม ปลูกข้าวหอมที่เชียงรายครับ............Sombutt |
|
จาก : Sombutt
ถึง : kimzagass
ตอบ: 05/09/2011 3:49 pm
ชื่อกระทู้: จะปลูกข้าวหอมที่เชียงรายครับ
เรียนลุงคิมที่นับถือ
ขอรายงานผลการปลูกข้าวหอม (กข.15) ที่เชียงรายครับ
เมื่อวันที่ 3 กย.54 ผมได้ส่งรูปต้นข้าวจากเชียงราย ฝากพี่ชายช่วยพริ้นท์ฝากต่อมาที่คุณน้ำส้ม มหิดล เพื่อให้ลุงช่วยกรุณาวินิจฉัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือตั้งแต่แรกปลูกมาจนข้างมีอายุ 30 วัน นั่ง นอน ดีใจว่า ข้าวอินทรีย์นำเคมีเสริมตามสูตรของลุง มันงอกงามจนคนที่เคยดูแคลนไม่กล้าเดินผ่าน มันแตกกองอกงามดีจริง ๆ ครับ แต่พอถึงวันที่ข้าวมีอายุ 35, 35 36 วัน(หลังฝนตกห่าใหญ่) ข้าวก็มีอาการใบไหม้ตามที่เห็น(คนทางเหนือเค้าบอกว่าเป็นอาการ เพี๊ยงลงกิน - ไม่ใช่เพลี้ยนะครับ เพลี้ยคือแมลง เพี๊ยง คือ โรคและเชื้อรา เค้าให้ผมซื้อยาชื่อ ฟูจีวัน - ขวดครึ่งลิตร150 กับยาชุดชื่อ ดังจังแก - ชุด3ขวด 600 เอามาฉีดถ้าไม่ฉีดจะไม่ได้กินข้าว ผมบอกว่า ฟังชื่อแล้วมันแปลก และผมไม่อยากดัง ก็เลยว่าจะไม่ซื้อมาฉีด จะไม่ได้กินข้าวก็ช่างมัน) สำหรับรูปต้นที่แห้งมาก ผมถอนเผาทิ้งไปแล้ว ...พอวันที่ข้าวอายุ 37 วัน ผมก็เดินลุยตัดต้นที่ใบแห้งมากบ้างน้อยบ้าง เก็บใส่กระสอบปุ๋ย เอาไปเผาทิ้ง แต่ก็แปลกที่ว่า ข้าวเหนียวพันธุ์ สันป่าตอง 1 ที่ปลูกประมาณ 2 งานเอาไว้กินเอง กลับไม่มีอาการแต่อย่างใด ....จะส่งรูปผ่านเน็ทก็ทำไม่เป็น ที่สำคัญไม่กล้าทำด้วย เลยส่งฝากพี่ชายมาให้ลุง .....ก็ขออนุญาตให้พี่ชายส่งรูปผ่านมือถือให้ลุงดูอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม พี่ชายโทรไปผมบอกว่าได้สอบถามคุณน้ำส้ม ได้รับคำตอบว่า ลุงบอกให้ใช้ ไบโออิ + ยูเรียนิดหน่อย - ที่เชียงรายถามหาชนิด G Grade ไม่มีใครรู้จักหรอกครับ มีแต่ 46-0-0 คงพอกล้อมแกล้มใช้ไปก่อน ผมได้บอกให้พี่ชายซื้อ G Grade ส่งไปให้แล้ว ขอขอบคุณลุงคิมอย่างยิ่งที่กรุณาแนะนำ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด แม้จะไม่ได้กินข้าวจ้าว แต่ก็น่ายังมีข้าวเหนียวให้กินครับ ผลเป็นอย่างไรจะเรียนให้ทราบต่อไป
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Private_Messages&file=index&folder=inbox&mode=read&p=1785&sid=19a5738361ddab25ce9bcb2901e05c66 |
|
|