ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
hearse สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 08/01/2010 ตอบ: 110
|
ตอบ: 13/09/2010 9:22 pm ชื่อกระทู้: แมลงนูนหลวงอ้อย...ป้องกันกำจัดโดย IPM |
|
|
แมลงนูนหลวงอ้อยและการป้องกันกำจัดโดยวิธีผสมผสาน
ดารารัตน์ มณีจันทร์สถาบันวิจัยพืชไร่
แมลงนูนหลวง Lepidiota stigma Fabricius (Coleoptera : Scarabaeidae)เป็นศัตรูที่สำคัญชนิดหนึ่งของอ้อยและมันสำปะหลังที่ปลูกในจังหวัดชลบุรี กำแพงเพชร ระยอง กาญจนบุรี และราชบุรี พบระบาดในสภาพดินทรายถึงดินร่วนปนทรายและมีอินทรียวัตถุต่ำ (0.56-0.84%)
ลักษณะการทำลาย
การเข้าทำลายอ้อยของหนอนแมลงนูนหลวงจะปรากฏเป็นหย่อมไม่แพร่กระจายไปทั้งไร่ พบการทำลายน้อยในพื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขังและพบการทำลายมากในสภาพดินทรายปลูกในที่ดอน กออ้อยที่ถูกหนอนของแมลงนูนหลวงเข้าทำลายเพียงหนึ่งตัวต่อกอจะทำให้อ้อยตายไปทั้งกอได้ ทำให้ผลผลิตของอ้อยลดลงจนเก็บผลผลิตไม่ได้
หนอนของแมลงนูนหลวงกัดกินรากอ้อยเป็นอาหาร อาการเริ่มแรกของอ้อยที่ถูกทำลายคล้ายกับอ้อยขาดน้ำ เนื่องมาจากความแห้งแล้ง คือ ใบอ้อยมีสีเหลือง ต่อมาใบอ้อยจะแห้งตายมากผิดปกติ ในที่สุดอ้อยจะแห้งตายไปทั้งกอ กออ้อยที่ถูกหนอนเข้าทำลายสามารถถอนทั้งกอออกจากพื้นดินได้ง่าย เนื่องจากรากอ้อยถูกทำลายหมด
การระบาด พบเข้าทำลายมากในจังหวัดชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี ราชบุรี และกำแพงเพชร ในช่วงเดือนมิถุนายน กุมภาพันธ์ ปีถัดไปแปลงอ้อยถูกทำลาย ตัวหนอน แมลงนูนตัวเต็มวัยเพศเมียและไข่ ตัวหนอน แมลงนูนหลวง
พืชอาหาร ของหนอนแมลงนูนหลวง ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ยูคาลิปตัส มันแกว ปาล์มน้ำมัน ยางพาราและ ตะไคร้ เป็นต้น
ศัตรูธรรมชาติ
ในสภาพพื้นที่มีความชื้นเหมาะสม จะพบเชื้อราขาว Beauveria bassiana ช่วยทำลายหนอนและดักแด้ในดิน และนกช่วยทำลาย ส่วนตัวเต็มวัยในบางพื้นที่มีการจับมาทอดเป็นอาหารได้
การป้องกันกำจัดแมลงนูนหลวงอ้อยโดยวิธีผสมผสาน
1. ทำการไถพรวนดินหลายๆ ครั้ง เพื่อทำลายหนอนแมลงนูนหลวงและดักแด้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม (ก่อนปลูกอ้อย)
2. จับแมลงนูนหลวง (ตัวเต็มวัย) ก่อนการวางไข่ (แมลงชนิดนี้ออกเป็นตัวเต็มวัย ปีละครั้ง ในช่วงตั้งแต่ต้นฤดูฝน) โดยจับ ในช่วงเย็น เวลา 18.30-19.00 น. บริเวณต้นไม้ใหญ่ซึ่งแมลงจะเกาะจับเป็นคู่เพื่อผสมพันธุ์ หรือ ในช่วงเช้า โดยสังเกตขุยดินบริเวณรอบๆ โคนต้น หรือห่างจากทรงพุ่มต้น 1-5 เมตร หากพบให้ทำการขุดจับ และจับต่อเนื่องกันประมาณ 15-20 วัน เมื่อดำเนินการต่อเนื่อง 2-3 ปี แมลงชนิดนี้จะหมดความสำคัญลง
3. สารฆ่าแมลง ที่แนะนำคือ ฟิโพรนิล ชนิดน้ำ (fipronil 5% SC ) อัตรา 80 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟิโพรนิล ชนิดเม็ด (fipronil 0.3 % GR) อัตรา 5 กก. ต่อไร่ แต่ต้องดินมีความชื้น ในอ้อยปลูกเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้สารฆ่าแมลง โดยพ่นบนท่อนพันธุ์อ้อยในร่องอ้อยแล้วกลบดิน
4. ใช้เชื้อราขาว Beauveria bassiana ซึ่งเป็นศัตรูธรรมชาติช่วยทำลายหนอนและดักแด้ในดิน การใช้เชื้อราขาว ต้องมีความชื้นในดินสูง หรือใช้ในฤดูฝน เพื่อให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
5. ปลูกพืชอาศัยชนิดอื่นล่อแมลงนูนหลวง บริเวณใกล้เคียงต้นไม้ใหญ่ที่แมลงจับคู่ผสมพันธุ์กันให้ห่างจากแปลงปลูกพืชหลัก ได้แก่ ตะไคร้บ้าน เพื่อล่อ แมลงนูนหลวงมากัดกินรากแล้วขุดจับตัวหนอนทำลาย
6. เพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน โดยการไม่เผาใบอ้อย ปลูกเพื่อบำรุงดินหรือใส่ปุ๋ยอินทรีย์
7. ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อการกำจัดอย่างยั่งยืนแมลงนูนหลวงไม่กลับมาแพร่ระบาดอีก
ที่มา http://as.doa.go.th/fieldcrops/cane/pest/warn/003.pdf |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Googied หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 22/11/2011 ตอบ: 2
|
ตอบ: 22/11/2011 8:11 pm ชื่อกระทู้: กับดักแสงไฟกำจัดแมลงนูนหลวง |
|
|
ต้นปี 2554 ผมใช้กับดักแสงไฟแล้วได้ผลครับ ดักตัวเต็มวัยได้ประมาณ 15,000 ตัวตอนนี้พบตัวหนอนในดินน้อยมาก ผมคิดว่าวิธืนี้ใช้ได้ผลดีที่สุดแล้ว
ผมลองใช้หลายวิธีัตั้งแต่ไถ่หน้าดินทิ้ง พ่นสารเคมี เชื้อราเขียว แล้วไม่ได้ผล หมดไปหลายหมื่น เพื่อนๆ ชาวเกษตรกรที่ประสบปัญหาลองใช้วิธีนี้ดูนะครับ ปีหน้าผมก็จะดักอีก
รายละเอียดวิธีที่เคยทำ
1. ติดตั้งกับดักช่วงเดือน พ.ย - เม.ย ตัวเต็มวัยจะออกช่วงประมาณ 1-3 ทุ่ม
(ที่สวนของผมเริ่มดักได้ต้นเดือนมกราคม)
2. ให้ไปเก็บแมลงประมาณ 3 ทุ่มทุกวัน เพราะแมลงบางตัวไม่ตกลงในอ่างน้ำแต่จะตกอยู่รอบๆอ่างน้ำ ถ้าไม่ละเอียดมันจะหลุดลอดไปวางไข่ได้ครับ ต้องอย่าลืมว่าตัวเดียววางไข่ได้ถึง 30 ฟองเลยที่เดียว
3. พื้นที่ที่สวนประมาณ 20 ไร่ ติดตั้งประมาณ 8 จุด กระจายระยะห่างเท่าๆกัน
ตัวอย่างการติดตั้ง (ต้องสมัครสมาชิกของเขาก่อนนะครับ หรือคุยกันได้ครับที่ thana_849@hotmail.com)
[/img]http://www.malaeng.com/webboard/index.php?topic=6196.0[img][/img]
http://www.malaeng.com/webboard/index.php?topic=6196.0
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11566
|
ตอบ: 22/11/2011 9:38 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แมลงนูนหลวง
ความเสียหาย/ลักษณะการทำลาย
แมลงนูนหลวงเป็นศัตรูสำคัญชนิดหนึ่งของอ้อยและมันสำปะหลังที่ปลูกในจังหวัดระยองและชลบุรี มักระบาดในสภาพดินทรายที่มี pH 6-6.5 และสภาพดินที่มีอินทรียวัตถุ 0.56-0.84% การเข้าทำลายอ้อยมักปรากฏเป็นหย่อมไม่แพร่กระจายไปทั้งไร่ พื้นที่ใดค่อนข้างลุ่มเมื่อมีฝนตกน้ำขัง ตัวหนอนของแมลงนูนหลวงจะเข้าทำลายได้น้อย แต่ถ้าอ้อยปลูกในที่ดอนมักถูกหนอนเข้าทำลายมาก อ้อยกอใดที่ถูกหนอนเข้าทำลายเพียงหนึ่งตัวต่อกอก็ทำให้อ้อยกอนั้นตายไปทั้งกอได้ หรือถ้าไม่ตายก็ทำให้ผลผลิตของอ้อยลดลงมาก จนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ส่วนใหญ่พบหนอน 1-2 ตัวต่อกอ แต่บางกออาจพบหนอนเข้าทำลาย 6-8 ตัว ปีใดที่มีความแห้งแล้งติดต่อกันนาน เช่น ปี 2520 ทำให้การระบาดเข้าทำลายอ้อยมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หนอนเข้ากัดกินรากอ้อยเป็นอาหาร อาการเริ่มแรกของอ้อยที่ถูกทำลายดูคล้ายกับว่าเป็นผลเนื่องจากความแห้งแล้ง คือ ใบอ้อยมีสีเหลืองต่อมาใบอ้อยจะแห้งตายมากผิดปกติจนในที่สุดกออ้อยจะแห้งตายทั้งกอ กออ้อยที่ถูกหนอนเข้าทำลายจะดึงออกมาจากพื้นดินได้ง่าย เนื่องจากรากอ้อยถูกทำลายหมด
รูปร่างลักษณะและชีวประวัติ
ไข่ :
ไข่มีสีขาวค่อนข้างกลม ลักษณะคล้ายไข่จิ้งจก เปลือกแข็ง ขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร กว้าง 4 มิลลิเมตร
หนอน :
ลำตัวมีสีขาวนวลโดยตลอดและมีรูปโค้ง หัวกะโหลกเป็นสีน้ำตาลมีขนาดใหญ่และแข็ง ปากมีเขี้ยวใหญ่แข็งแรง ส่วนขาเจริญเติบโตดีมองเห็นได้ชัดเจน แต่มักไม่ค่อยใช้เดิน หนอนโตเต็มที่มีขนาด 65-70 มิลลิเมตร กว้าง 20-25 มิลลิเมตร หัวกะโหลกกว้าง 10 มิลลิเมตร
ดักแด้ :
หนอนที่เข้าดักแด้ใหม่ ๆ มีสีขาวนวลหรือสีครีม แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ก่อนออกเป็นตัวแก่และมีสีน้ำตาลเข้ม หนวด ขา และปีกติดอยู่ข้างลำตัวเห็นได้ชัดเจน มีขนาดยาวประมาณ 45-50 มิลลิเมตร กว้าง 25-30 มิลลิเมตร
ตัวเต็มวัย :
เป็นแมลงปีกแข็งค่อนข้างใหญ่ ขนาดยาวประมาณ 32-40 มิลลิเมตร กว้าง 15-20 มิลลิเมตร ส่วนท้ายของปีกมีจุดสีขาวด้านละจุด จากการสังเกตพบว่า ตัวผู้มีสีน้ำตาลดำตลอดลำตัว ส่วนตัวเมียมีสีน้ำตาลปนเทา สีอ่อนกว่าตัวผู้ทั้งด้านบนและด้านล่างของลำตัว
พบว่าแมลงนูนหลวงมีวงจรชีวิต 1 ปี และมี 1 รุ่นต่อปี โดยพบว่า ตัวเต็มวัยออกจากดักแด้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์และจะออกมามากยิ่งขึ้นหากดินมีความพื้นสูงหรือมีฝนตกลงมาชุก ตัวเต็มวัยจะบินออกไปหาต้นไม้ใหญ่ในบริเวณไร่อ้อยที่ถูกทำลาย จึงทำการผสมพันธุ์ หลังจากนั้นประมาณ 14-25 วัน ตัวเมียจะบินลงสู่พื้นดินเพื่อวางไข่ โดยวางไข่ที่ระดับลึกประมาณ 15 เซนติเมตร โดยตัวเมียสามารถวางไข่ได้ต่อเนื่อง 3 วัน ตัวเมียตัวหนึ่ง ๆ สามารถวางไข่ได้ 15-28 ฟอง ตัวเต็มวัยมีอายุอยู่เพียง 30-40 วันก็ตาย ระยะฟักไข่ 15-28 วัน ก็จะฟักออกมาเป็นตัวหนอน โดยตัวหนอนที่ฟักออกมาใหม่ ๆ หัวกะโหลกกว้าง 4 มิลลิเมตร บำตัวยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร ระยะนี้หนอนอาศัยกินรากอ้อยอยู่ตามบริเวณใต้กออ้อยและมักอยู่บึกลงไปจากสันร่องอ้อยประมาณ 20-32 เซนติเมตร หนอนมีการลอกคราบ 3 ครั้ง หนอนวัยที่ 2 มีหัวกะโหลกกว้าง 7 มิลลิเมตร ลำตัวยาว 35-40 มิลลิเมตร หนอนจะลอกคราบเป็นวัยที่ 3 ประมาณต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งระยะนี้หนอนจะเจริญเติบโตรวดเร็ว และเป็นระยะที่หนอนกินจุมากกว่าวัยอื่น ๆ จึงเป็นระยะที่สร้างความเสียหายให้แก่รากอ้อยได้มากที่สุด เมื่อหนอนโตเต็มที่หัวกะโหลกกว้าง 10 มิลลิเมตร หนอนมีอายุนานถึง 8-9 เดือน หนอนจะเข้าดักแด้ประมาณเดือนธันวาคม ก่อนที่หนอนจะเข้าดักแด้ หนอนจะมุดลงไปในดินให้ลึกประมาณ 30-60 เซนติเมตรจากผิวดิน หนอนบางตัวมุดลงไปถึง 85 เซนติเมตร แล้วก็เข้าดักแด้ในโพรงดินนั้น ระยะดักแด้ประมาณ 2 เดือนก็จะออกเป็นตัวเต็มวัย และจะผสมพันธุ์ทันที ตัวเต็มวัยกินอาหารน้อยมาก และไม่ชอบมาบินเล่นรอบกองไฟ รวมอายุขัยของแมลงชนิดนี้ ตั้งแต่ไข่จนกระทั่งเป็นตัวเต็มวัยประมาณ 1 ปี
การแพร่กระจายและฤดูกาลระบาด :
เป็นแมลงที่แพร่หลายในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบเข้าทำลายและสร้างความเสียหายให้แก่อ้อยได้มากในจังหวัดชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี และกำแพงเพชร
พืชอาหาร :
อ้อย มันสำปะหลัง ตะไคร้
ศัตรูธรรมชาติ :
ขณะไถไร่มีสุนัขและนกชนิดต่าง ๆ เข้าช่วยกินหนอน สุนัขขุดลงไปตามกออ้อยหรือโคนต้นมันสำปะหลังเพื่อหาหนอนกิน แต่ชาวไร่ไม่ชอบเนื่องจากอ้อยและมันสำปะหลังเสียหาย นอกจากนี้ยังมีเชื้อราที่ยังไม่สามารถระบุชนิด เข้าช่วยทำลายหนอนและดักแด้ในดินได้อีกด้วย สำหรับตัวเต็มวัยชาวบ้านนิยมจับไปประกอบอาหาร
คำแนะนำการป้องกันกำจัด :
เนื่องจากแมลงชนิดนี้เป็นตัวเต็มวัยปีละครั้ง วิธีที่ประหยัดและได้ผลดีคือ ชาวไร่ควรพร้อมใจกันจับตัวเต็มวัยทำลาย หรือนำไปประกอบอาหารก่อนที่จะวางไข่ โดยเริ่มจับครั้งแรกตอนกลางเดือนกุมภาพันธุ์ และจับต่อเนื่องประมาณ 15-20 วัน การจับทำได้ง่ายโดยการใช้ไม้ตีตามกิ่งไม้ หรือปีนขึ้นไปเขย่าให้ตัวเต็มวัยตกลงมาในขณะผสมพันธุ์ ใช้เวลาจับประมาณวันละ 30 นาที ช่วงหัวค่ำ สามารถลดปริมาณแมลงนูนหลวงลงได้ ทำต่อเนื่อง 2-3 ปี แมลงนูนหลวงก็จะหมดความสำคัญไปเอง
ไร่อ้อยที่ถูกแมลงนูนหลวงเข้าทำลายมาก และคาดว่าจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ หรือไม่คุ้มค่า ควรรีบไถพรวนหลาย ๆ ครั้ง เพื่อทำลายตัวหนอนที่เข้าดักแด้ในดินลึกในเดือนธันวาคม นอกจากนี้เกษตรกรที่ปลูกอ้อยตั้งแต่เดือนมีนาคม พฤษภาคม ควรพรวนดินหลาย ๆ ครั้เพื่อทำลายไข่และตัวหนอนในดินก่อนการปลูกอ้อย
ถ้าจำเป็นต้องใช้สารฆ่าแมลง ควรจะใช้วิธีป้องกันจะให้ผลดีกว่าการกำจัด เพราะเมื่อหนอนโตแล้ว การใช้สารฆ่าแมลงจะไม่ค่อยประสบผล และเป็นการยากที่ใช้สารฆ่าแมลงเมื่ออ้อยโตแล้ว ระยะเวลาใช้สารฆ่าแมลงที่เหมาะสมคือ ระยะที่หนอนเริ่มฟักออกจากไข่ประมาณกลางเดือนมีนาคม สารฆ่าแทมลงที่ได้ผลดี คือ fipronil (Asscend 5% SC) อัตรา 80-250 ต่อน้ำ 20 ลิตร ตามร่องอ้อย สำหรับอ้ยตอก็เปิดหน้าดินออกให้ห่างจากกออ้อยประมาณ 8 นิ้ว ทั้งสองด้านของแถวอ้อย แล้วฉีดสารสารฆ่าแมลงไปตามร่องอ้อยที่เปิดหน้าดินออก เสร็จแล้วจึงกลบ
http://oldweb.ocsb.go.th/udon/Udon12/02/02.213.htm |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11566
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Googied หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 22/11/2011 ตอบ: 2
|
ตอบ: 23/11/2011 10:11 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ที่ดักได้มันจะตัวสีขาว บางตัวก็สีน้ำตาล มีจุดตรงปลายปีก ตัวยาวประมาณ 4 cm
มีรูป แต่ไม่รู้จะลงรูปอย่างไร[/img] |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11566
|
ตอบ: 24/11/2011 3:42 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แมลงนูนหลวงอ้อยและการป้องกันกำจัดโดยวิธีผสมผสาน ด้วย....
ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง กำจัดศัตรูอ้อย บำรุงดิน และบำรุงอ้อย
การป้องกัน/กำจัด แบบผสมผสาน (I.P.M.) หมายถึง การใช้หลายๆ วิธีการ แบบร่วมกันหรือแยกกัน ที่ตรงกับ "จุดอ่อน"
ทางธรรมชาตินิสัยของศัตรูพืชนั้นๆ เช่น
**** แสง-สี-กลิ่น ................ ล่อหรือไล่
**** รส-สารออกฤทธิ์............. ไม่กิน หรือกินแล้วตาย
**** จุลินทรีย์..................... เชื้อโรคของหนอน แมลง
นิสัยหรือธรรมชาติของแมลงนูนหลวง ก็เหมือนกับแมลอื่นๆ ที่มีวงจรชีวิต "ไข่ - หนอน- ดักแด้ - แมลง" ซึ่งแต่ละ
จังหวะชีวิตต่างก็มี "จุดอ่อน" ที่ทำให้ชีวิตจบสิ้น (ตาย) ได้ เช่น....
ไข่ .......................... ไข่ฝ่อ ฟักออกเป็นตัวหนอนไม่ได้ ชีวิตก็จบแค่หนอน
หนอน ...................... ลอกคราบไม่ได้ (5 ครั้ง/5 วัย) ชีวิตก็จบแค่ดักแด้
ดักแด้ ...................... เมื่อสัมผัสกับสารออกฤทธิ์ ชีวิตก็จบก่อนได้เป็นแมลง
แมลง ...................... ไม่ชอบ กลิ่น/รส อย่างอื่น นอกจากอ้อย จึงเข้าหาอ้อยแล้ววางไข่
สารอาหารพืชที่มีในปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ได้แก่ .....
- สารอินทรีย์ ได้จากไขกระดูก เลือด ขี้ค้างคาว เลือด น้ำมะพร้าว นม ฮิวมิก กากน้ำตาล และสารอาหารพืชจากปลาทะเล
- จุลินทรีย์ ได้บาซิลลัส. กลุ่มต้องการอากาศและไม่ต้องการอากาศ ฯลฯ
- ฮอร์โมน ได้ไซโตไคนิน, ไคโตซาน, เอสโรเจน, ฟลาโวนอยด์, ควินนอยด์, อะมิโน, โอเมเก้า, ฯลฯ
- อื่นๆ ได้สารท็อกซิก แหล่งพลังงานสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น
หมายเหตุ : สารเหล่านี้ได้จากกระบวนการหมัก 1-2-3 ปี ด้วยกรรมวิธีที่ถูกต้อง
- สารสังเคราะห์ โดยการเติมปุ๋ยธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม แม็กเนเซียม สังกะสี
- สารอินทรีย์ ฮอร์โมน สารสังเคราะห์ ต่างก็คือ สารอาหารพื่ชโดยตรง
- สารท็อกซิก เป็นพิษต่อศัตรูพืช (ไข่-หนอน-แมลง) โดยตรง
- แหล่งพลังงานสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น ช่วยปรับปรุงบำรุงดิน
การปฏิบัติ :
- หลังตัดอ้อย-เจียนตอ ....... เกลี่ยเศษใบอ้อยให้กระจายทั่วแปลงเสร็จแล้วรดด้วย "น้ำ 200 ล. + ปุ๋ยน้ำชีวภาพ
ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (5 ล.)/ไร่ ภายใน 3 วัน สาดให้ทั่วแปลงแล้วรดน้ำตามมากๆ เหมือนการให้น้ำบำรุง
ตออ้อย จะช่วยให้การแตกหน่อใหม่ดีมาก จำนวนมาก
- บำรุงหน่ออ้อย ...... ให้ "น้ำ 200 ล. + ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2 ล.)/ไร่ เดือนละ 1 ครั้ง
(รวม 3 ครั้ง) พร้อมกับรดน้ำทับมาก เหมือนการให้น้ำบำรุงหน่ออ้อย
- บำรุงอ้อยระยะปล้องถึงตัด.....ให้ "น้ำ 100 ล. + ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 (2 ล.)/ไร่/เดือน รวม 3 ครั้ง
พร้อมกับให้น้ำมากๆ เหมือนการให้น้ำบำรุงต้นอ้อย
หมายเหตุ : อ้อยเป็นพืชอวบน้ำ ถ้าไม่ให้น้ำ เขาจะเอาน้ำที่ไหนไปสร้างความอวบ
ผลที่คาดว่าจะได้ :
- สารท็อกซิก. ทำให้ไข่ฝ่อฟักออกเป็นตัวหนอนไม่ได้, หนอนไม่ลอกคราบ ตายคาคาบ, ดัดแด้ตายในหลอด, ทำให้
ไม่มีทายาทของแมลง
- แม่แมลงได้กลิ่นระเบิดเถิดเทิงแล้วจะไม่เข้าหา ที่อยู่ก่อนแล้วจะหนี
- แม่แมลงถูกจุลินทรีย์บาซิลลัสฯ ก็ตายได้
- ในระเบิดเถิดเทิงมีสารอาหาร ทั้งสารอินทรีย์ และสารสังเคราะห์ (เคมี)
- ทุกครั้งที่ให้ระเบิดเถิดเทิงแล้วรดน้ำตาม เท่ากับเป็นการให้น้ำเดือนละครั้ง ส่งผลให้ต้นอ้อยโตเร็ว
- เศษใบอ้อยถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ กลายเป็นอินทรีย์วัตถุบำรุงดิน
- แหล่งพลังงานในระเบิดเถิดเทิง บำรุงจุลินทรีย์ประจำถิ่น ทำให้ดินดีขึ้น
- ผลรับระยะยาว เป็นผลดีต่ออ้อยตอต่อๆไป ทำให้ได้อ้อยหลายตอ ไม่ต้องลงทุนปลูกใหม่
- ประหยัดปุ๋ยเคมีจากเคยใส่ 1 กส./ไร่/รุ่น ลงมาเหลือเพียง 5-10 กก./ไร่/รุ่น
- ยืดอายุดิน เพราะไม่มีปุ๋ยเคมีเหลือตกค้างเนื่องจากต้นอ้อยเอาไปใช้ไม่หมด
(ไนโตรเจนเหลือตกค้าง เปลี่ยนเป็นไนเตรท-ไนไตร์ท ซึ่งเป็นพิษต่อพืช, ฟอสฟอรัสเหลือตกค้าง จะไปยับยั้งปุ๋ยตัวอื่นๆ)
****ระเบิดเถิดเทิง สูตรอยู่ที่หน้าเว้บ ***** |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|