ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 16/09/2009 3:05 pm ชื่อกระทู้: Idea สำหรับการคิดนอกกรอบ |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 16/09/2009 3:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 16/09/2009 3:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 16/09/2009 3:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 16/09/2009 3:06 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
uthanasamut สาวดอง
เข้าร่วมเมื่อ: 23/07/2009 ตอบ: 23 ที่อยู่: 366 ถ.ปัทมานนท์ อ.เมือง สุรินทร์
|
ตอบ: 16/09/2009 5:55 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ถูกใจมากครับ....(เอาอีก อยากอ่าน) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11623
|
ตอบ: 16/09/2009 6:59 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ลุงคิมก็ถูกใจ.....อ่านแล้ว 3 รอบ....กะอ่านให้ได้ 10 (+) รอบ
ดีมาก....ขอบคุณ.....ขอบคุณแทนทุกคนด้วย
ลุงคิมครับปุ้ม (ที่รักของคุณดำ) |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Aorrayong หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009 ตอบ: 869
|
ตอบ: 16/09/2009 10:50 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ประทับใจเช่นกัน ขอบคุณ คุณปุ้ม ว่างๆหามาให้พวกเราอ่านอีกนะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Aorrayong หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009 ตอบ: 869
|
ตอบ: 17/09/2009 7:29 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ที่มา http://www.ninerx.com/smf/index.php?topic=216.0
จับฉ่ายแมน ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ 'ผมเป็นคนขายสมอง'
เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ตอนอยู่นาซาผมเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
จนไม่มีวิชาอะไรให้เรียนแล้ว ผมก็เลยเกิดคำถามว่า
วิทยาศาสตร์เองก็มั่วเยอะ
ใช้วิธีการอนุมานและตั้งสมมติฐานเยอะ ก็เลยถามตัวเองว่า
ฉันกำลังทำอะไรอยู่ พอได้อ่านบทความของไอสไตน์
เขียนไว้ก่อนตายว่า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดคือ
พุทธะ
**********************
บางคนถามผมว่า ในโลกนี้มีอาชีพนี้ด้วยหรือ
อย่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ครูในโรงเรียนสอนไม่รู้เรื่อง
เด็กก็เลยไปโรงเรียนกวดวิชา บริษัทก็เหมือนกัน
คนข้างในคิดไม่ออก ก็ต้องให้มือที่สามมอง คล้ายๆ
การกินนมวัว ไม่จำเป็นต้องเอาวัวมาเลี้ยงที่บ้าน
เขาเรียกว่า ขายไอเดีย อย่างคนทำการตลาดอยู่ 5-10 ปี
ไอเดียก็ตัน ที่สุดก็จ้างคนนอกช่วยคิด
**********************
19 ปีที่แล้ว เขาเป็นวิศวกรองค์การอวกาศนาซา
ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่น่าทึ่งกว่านั้น ก็คือ
ได้รับรางวัลงานวิจัยดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น
และที่ไม่น่าเชื่อก็คือ เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ทำไมต้องคิดจนสุดขอบจักรวาลถึง 450 ล้านปีแสง
เราบ้าหรือไร้สาระเกินไปหรือเปล่า
ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ผู้ชายอารมณ์ดีที่กล่าวถึง
ปัจจุบันเป็นพ่อของลูกสองคน นักเขียน วิทยากรอิสระ
ที่ปรึกษามืออาชีพให้องค์กรรัฐและเอกชนหลายสิบแห่ง
เจ้าของบริษัทพรีม่า แมเนจเม้นท์ จำกัด
และนักปฏิบัติธรรม
เขาเป็นนักอ่านตัวยง อ่านหนังสือเร็วมาก
จนบรรณารักษ์ห้องสมุดสงสัยว่า อ่านจริงหรือเปล่า
ขณะที่เด็กคนอื่นๆ วิ่งเล่น
แต่เขาอ่านหนังสือที่คนอื่นไม่อ่าน ตอนเรียนมัธยมปีที่ 1
อ่านสารานุกรม (Encyclopedia ) 30 กว่าเล่ม
และอ่านแบบเรียนมัธยมปีที่ 5 ของพี่ชาย
ทำให้ไม่ค่อยสนใจการเรียน กระทั่งไปเรียนต่างประเทศ
จนจบปริญญาเอกวิศวกรรมเครื่องกลและวัสดุศาสตร์
และทำงานองค์การอวกาศนาซานาน 7 ปี
ในที่สุดเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทย
เพราะเรียนจนไม่รู้จะเรียนอะไร กลับมาช่วย 'ดร.รุ่ง
แก้วแดง' วางแผนระบบการศึกษาอยู่พักหนึ่ง เขาบอกว่า
ระบบการศึกษาต้องรื้อทั้งโครงสร้าง เอาไม่อยู่แล้ว
และงานหลักเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
สอนด้วยวิธีการไม่สอนใคร บางครั้งเรียนริมสระว่ายน้ำ
บางครั้งเรียนที่บ้าน ที่พิสดารกว่านั้น
คือเขาให้นักศึกษาออกข้อสอบและตรวจข้อสอบเอง ปรากฏว่า
นักศึกษาสอบตกทั้งห้อง
และผู้บริหารไม่พอใจวิธีการสอนของเขา
จนอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งเตือนว่า
"วรภัทร์...ถ้าเธอยังปากจัดแบบนี้
จะมีแต่ศัตรูมากกว่ามิตร "
ไม่เพียงเท่านั้น เขาเกือบเป็นคนพิการ
เพราะป่วยเป็นโรคกระดูกเปราะ
นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลแรมปี ตอนนั้นศรีภรรยาร้องไห้
แต่เขายิ้มรับ และวางแผนการรักษาตัวเอง
จนสามารถลุกขึ้นยืนได้
กว่าจะได้พูดคุยเป็นเรื่องเป็นราว
เขาจำต้องเคลียร์คิวนัดหมายจนลงตัว
และส่งเสียงมาตามสายว่า ?จะให้ผมประแป้งไว้รอไหม?
ทำให้คนปลายสายรู้สึกว่า งานนี้สนุกแน่
จะสนุกหรือไม่
ต้องลองอ่านเรื่องราวของผู้ชายที่รู้จักจัดการชีวิตตัวเองอย่างมีแบบแผน
และไม่ลืมที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้คนรอบข้าง
+คุณเป็นคนเรียนเก่งตั้งแต่เด็กหรือ
ก็ไม่ถึงกับสอบได้ที่ 1 ตอนอยู่ประถมปีที่ 6-7
อ่านหนังสือจิตวิทยาและปรัชญาแล้ว
ถ้ามุ่งเรียนอย่างเดียว คบเพื่อนน้อย
แล้วบริหารใจตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์
ผมคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าตอนเรียนอัสสัมชัญ
ครูตีเพื่อนผม ผมถามมาสเตอร์ว่า ทำไมไม่ใช้จิตวิทยา
ครูก็งง! ว่า เราคิดได้ยังไง
ผมมาจากครอบครัวธรรมดาๆ พ่อแม่ค้าขาย ตอนเด็กๆ ป้าข้างๆ
บ้านขายผลไม้ จ้างผมให้อ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง
อ่านแต่ละครั้งก็ได้ผลไม้เป็นค่าจ้าง ผมเป็นลูกคนเล็ก
เวลาพี่เรียนอะไร ผมก็เรียนด้วย พ่อแม่ต้องทำธุรกิจ
ทิ้งผมให้อยู่บ้านกับยาย พอไม่มีอะไรทำ ผมก็อ่านหนังสือ
+แล้วคุณแปลกแยกจากเพื่อนๆ ไหม
เวลาคนอื่นไปปาร์ตี้เฮฮา ผมนั่งอ่านหนังสือ
ผมคิดประหลาดๆ ตอนเรียนมัธยมปีที่ 1เห็นเพื่อนเล่นกีตาร์
ก็ถามเพื่อนว่า ทำไมเล่นกีตาร์เพลงคนอื่น
ทำไมไม่แต่งเพลงเอง เวลาใครร้องเพลงอะไรออกมา
ผมก็เอามาแปลง คนเราไม่จำเป็น ต้องตามรอยเท้าใคร
ผมโดนครูตบและตีบ่อย กลายเป็นตัวประหลาด
ในที่สุดผมต้องเงียบ เผด็จการทางการศึกษาเยอะ
ผมไม่ค่อยพูดเรื่องพวกนี้กับเพื่อน ก็คุยกับพี่ชาย
สมัยอยู่ประถม 6 ผมกับพี่ชายประดิษฐ์เรือดำน้ำเล็กๆ
เล่นกัน
สมัยเด็กผมเคยได้รางวัลแกะสลัก
เขาเอาผลงานผมไปประกวดกับรุ่นใหญ่ ตอนแรกๆ เขาหาว่าผมโกง
จริงๆ แล้วผมทำเอง เด็กวัยนั้นส่วนใหญ่แกะลายง่ายๆ
ผมแกะไม้สักลายกนกสองชั้น
แต่ไม่ถึงระดับประตูวัดสุทัศน์นะ
+คุณเป็นนักอ่านตัวยงตั้งแต่เด็ก
แล้วอ่านหนังสืออะไรบ้าง
อ่านเอ็นไซโคลพิเดียภาษาอังกฤษ 30
เล่มตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่1 ผมเป็นนักเสพข้อมูล
เรื่องไหนที่ผมไม่เข้าใจ ผมจะพยายามศึกษาจนรู้จริง
อย่างตอนนี้คุณดื่มชา ถ้าคุณถามเรื่องนี้ผมก็อธิบายได้
สมัยเด็กๆ เพื่อนผมหวงกล้องมาก ไม่ให้ผมแตะ ผมอยากรู้
ผมก็เรียนเรื่องถ่ายภาพด้วยตัวเอง สุดยอดของการอ่าน
ผมค้นพบว่าต้องคบคนที่รู้จริงในศาสตร์นั้นๆ
และต้องปฏิบัติด้วย
ผมอ่านหนังสือเร็วมาก 2-3 เล่มหนาๆ อ่านแค่คืนสองคืน
ครูบรรณารักษ์ก็งง! ถามว่า อ่านจริงหรือเปล่า
ผมบอกให้ถามเรื่องราวในหนังสือที่อ่าน หนังสือเล่มบางๆ
หรือหนังสือกำลังภายใน ผมอ่านไม่นาน
ผมหันมาเป็นพุทธเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
เมื่อก่อนนับถือศาสนาคริสต์ ตอนนั้นสับสนในศาสนาตัวเอง
ผมทะเลาะกับนักบวช เขาบอกให้แก้บาป รับศีล
ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิล ผมเถียงไปว่า ในใบเบิลไม่มีแก้บาป
รับศีล มนุษย์รุ่นหลังเขียนขึ้นเอง พอผมเถียง
เขาก็ว่าผมเป็นแกะดำ (หัวเราะ)
เวลาผมอ่านหนังสือ ถ้าเล่มไหนชอบมากจะอ่านทุกตัว
ถ้าเป็นหนังสืออ่านยากๆ ก็จะเขียนโน้ตสรุปความคิดรวบยอด
อ่านจบบรรยายได้เลย เล่มไหนไม่ชอบก็อ่านแค่วิธีคิด
พออ่านมากๆ ก็เดาแนวทางคนเขียนออก
อ่านแค่ตัวอย่างและประสบการณ์เพื่อจำไว้สอนคนอื่น
ผมอ่านหนังสือบริหารประมาณ 50%,อ่านหนังสือธรรมะ 30%
และที่เหลือเป็นหนังสือประวัติศาสตร์
+คุณค่อนข้างใฝ่รู้ในทุกๆ เรื่อง
แล้วจัดการองค์ความรู้อย่างไร
ตอนผมเรียนเมืองนอก ผมไปพิพิธภัณฑ์บ่อยมาก
เวลาผมดูภาพวาด ผมชอบคุยกับเจ้าหน้าที่
ผมอยากรู้ว่าภาพวาดชุดนี้โด่งดังได้อย่างไร
องค์ประกอบภาพ การใช้สี ความกลมกลืนระหว่างศิลปะ
เราตั้งคำถามว่า ทำไมศิลปินดังๆ
ใช้พู่กันปากเป็ดเพียงอันเดียวก็สามารถวาดรูปได้สวย
เราไม่ได้มองแค่ภาพ แต่มองลึกลงไปถึงปรัชญาที่ซ่อนอยู่
อย่างภาพวาดอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี หรือเฉลิมชัย
โฆษิตพิพัฒน์ มองแค่ความงามอย่างเดียวไม่ได้
ต้องมองลงไปถึงวิธีคิดและอารมณ์ที่ใส่ลงไป
สุดท้ายมองความว่างในใจเขา
ผมสนใจทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่ได้มั่ว ผมคิดว่า
ท่ามกลางพายุที่สับสน ผมจับลมปราณของมันได้
ผมจับได้ทุกวิชา
อย่างประวัติศาสตร์สะท้อนอารมณ์และจิตใจคนยุคนั้นๆ
ผมคิดต่อว่า ทำไมเขาตัดสินทำแบบนั้น พอมาถึงยุคปัจจุบัน
เหตุการณ์ใกล้เคียงกัน ก็นำมาใช้กับการวางยุทธศาสตร์
ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกันหมด
หากขึ้นไปที่ต้นแม่น้ำจะเจอเรื่องเดียวกันคือ ตาน้ำ
การศึกษาก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักอ่านหนังสือ
ก็จะเจอแก่นของมัน จะวิพากษ์อะไรก็ได้ เพราะเราเข้าใจ
+แล้วคิดว่า ตัวเองเก่งกว่าคนอื่นไหม
ไม่ครับ ผมเป็นมิสเตอร์ประนีประนอม
ผมชอบการวางยุทธศาสตร์ ประสานให้คนโน้นรักกับคนนี้
ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งจนได้ที่ 1 ผมเป็นพวกชอบเข้าห้องสมุด
มีโลกเป็นของตัวเอง ร่างกายไม่แข็งแรง
สมัยก่อนผมเป็นคนจนในโรงเรียนรวย ถูกเปรียบเทียบตลอด
บางทีถูกประจานหน้าโรงเรียน เพราะไม่จ่ายค่าเล่าเรียน
เรื่องหลงตัวเอง ก็เลยไม่มี อีกอย่างผมมีนิสัยชอบให้อภัย
อย่างมีคนขับรถปาดหน้ารถพ่อแม่ผม พ่อก็บอกว่า
ให้เขาไปเถอะ เมียเขาคงจะคลอดลูก
+ตอนนั้นคุณวางแผนการเรียนไว้อย่างไร
ผมอยากเป็นแพทย์มาก แต่ตอนอยู่มัธยมปีที่ 5
สงสัยเล่นไพ่บริดจ์และหมากรุกมากไป
ผมชอบเกมที่ใช้ยุทธศาสตร์
ผมจึงเข้ามาทำงานวางแผนพัฒนาให้บริษัทต่างๆ
อย่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ ก็เคยไปช่วย
ผมมาเรียนคณะวิศวกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ถึงผมจะไม่ชอบ ผมก็เรียน เพราะครอบครัวมีเงินจำกัด
พอเรียนจบผมต่อรองกับพ่อแม่ว่า จะไม่เอามรดก
แต่ขอค่าเครื่องบินไปเรียนเมืองนอก
ถ้าพลาดผมจะไปแบกถาดเสิร์ฟอาหาร
+ชอบวางยุทธศาสตร์การบริหารมาตั้งแต่เมื่อไหร่
โดยสันดานแล้ว ผมสนใจทุกอย่าง ทำกับข้าวก็สนใจ
อยู่อเมริกาลองไปเป็นกุ๊กร้านอาหาร
ตอนนั้นผมไม่ค่อยมีเงิน
และคิดว่าถ้าเราต้องทำกับข้าวกินทุกวัน
จะทำอย่างไรให้อร่อย ผมก็ไปเป็นลูกมือ
พัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ตอนนั้นผมเป็นนักเคมีเทคนิค
พอมาจับศาสตร์เรื่องอาหาร ก็ใช้ศิลปะมาผสมผสาน
ผมได้เป็นกุ๊กร้านอาหารไทยของเพื่อน
ช่วยทำกับข้าวและบริหารร้านอาหาร โหราศาสตร์ผมก็สน
แต่ไม่ได้เรียนรู้เพื่อการทำนาย ผมชอบสังเกตคน
ทำให้ง่ายในการบริหาร อ่านเกมขาด อย่างเจอสาวราศีกันย์
เธอชอบความมีระเบียบ ความสะอาด ผมเอาหลายๆ
ศาสตร์มารวมกันแล้วบูรณาการ
+ทำไมองค์การอวกาศนาซา อยากได้คนอย่างคุณมาทำงานด้วย
ในนาซามีคนไทยประมาณ 10 คน
ทางนาซาต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างผม
คือจบปริญญาตรีด้านวิศวเคมี
ปริญญาโทด้านวัสดุศาสตร์วิศวกรรม
ผมเก่งชีววิทยาและวิศวกรรมด้วย
ตอนผมเรียนปริญญาโททำวิทยานิพนธ์เรื่องเหล็กดามในกระดูกมนุษย์
นาซาต้องการจับฉ่ายวิศวกรรม
หาคนแบบนี้ในโลกได้ยากและหามานาน 3 ปี
ผมเป็นคนเดียวในโลกที่มีลักษณะเหมาะกับโครงการใหม่ตอนนั้น
เซรามิคเคลือบไอพ่น
ตอนนั้นนาซาถามไปที่อาจารย์ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย
อาจารย์ที่ปรึกษาผม ทำวิจัยที่นาซา ก็เลยแนะนำวรภัทร์
องค์การอวกาศนาซามีวิศวกรกว่า 3,000 คน
ตอนนั้นนาซาส่งผมเรียนปริญญาเอก ออกค่าใช้จ่ายให้หมด
ผมทำงานในแล็บด้านวัสดุเคลือบยาน มีเลขานุการหนึ่งคน
เราทำงานเป็นทีมมีหลายชาติด้วยกัน
งานวิจัยของผมเรื่องเครื่องยนต์ไอพ่นดีเด่นเมื่อปี 2528
คว้ารางวัลที่ 1 ของโลกให้นาซา
+ได้ประสบการณ์อะไรจากนาซาบ้าง
อยู่นาซาสนุกครับ ผมทำงานวิจัยออกแบบและทดลอง ทุก 6
เดือนต้องมีผลงานวิจัยออกมา
เข้าแล็บใช้หุ่นยนต์เคลือบเซรามิคบนไอพ่น
แล้วประกอบลูกไอพ่นติดบนยานอวกาศ เพื่อให้บินขึ้นฟ้า
เราก็ใช้คอมพิวเตอร์คำนวณแก้สูตร
พวกอเมริกันเก่งเรื่องกระบวนการคิด ทำงานเป็นทีม
ทำคนเดียวไม่ได้หรอก จึงยากในการขโมยความคิด
ผมได้เรียนรู้จากนาซามาก
เวลาสอนอาจารย์จะโยนหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง
อ่านภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่เราอ่านเร็วอยู่แล้ว
ที่นั่นใช้วิธีสอนเหมือนไม่สอน
ซักถามและวิเคราะห์กันหนักๆ อย่างเช่น
คุณเห็นใบไม้ที่โคนกิ่งไม้ ลองคำนวณว่ามีแรงกี่ปอนด์
แต่ผมกลับถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องไปถึงสุดขอบจักรวาล
450 ล้านปีแสง เรากำลังบ้าหรือเปล่า สุดท้ายเราทำอะไร ณ
วินาทีนี้ ถ้าเราอยู่ขอบจักรวาล เราจะทำอะไร ผมว่า
มันไร้สาระ
+ความไร้สาระในความคิดของคุณคืออะไร
ก็รู้สึกว่า สิ่งที่พวกเขาทำดูไร้สาระ รวมทั้งตัวเราด้วย
น่าจะมีคำตอบที่ดีกับชีวิต ตอนนั้นผมอ่านพุทธศาสนาแล้ว
ยิ่งมาเจอหนังสืออาจารย์พุทธทาส ก็รู้สึกว่า ใช่
เราไปถึงขอบจักรวาล สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ใจตัวเอง
แต่ไม่เคยศึกษาเลย ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่คนบ้างาน
ผมทำทุกอย่างด้วยความสมดุล ไม่มีปัญหาครอบครัว
มีแต่ปัญหาสุขภาพ กระดูกหลังแตก เป็นโรคกระดูกเสื่อม
+อาการป่วยของคุณมีสาเหตุจากอะไร
จะให้ผมตอบคำถามทางโลก หรือทางธรรม (หัวเราะอารมณ์ดี)
ทางโลกคือ เป็นโรคชนิดหนึ่งทางกรรมพันธุ์
เกิดในชายอัตราส่วน 1 ต่อ 4 และหญิงอัตรา 1 ต่อ 7
แต่ในทางธรรมคือ กรรม หมอพบว่า ผมเป็นโรคกระดูกหัก
หมอสรุปว่า เป็นโรคคนขยัน ใช้สมองเยอะไป
แต่ผมเป็นคนขี้เล่นและร่าเริง (ขณะถ่ายภาพ
เขากระโดดโลดเต้นกับลูกๆ )
+ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก
แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ
คุณกำลังค้นหาอะไรหรือ
ผมค่อนข้างจับฉ่ายแมน ชอบขับรถ เดินป่า ธรรมชาติ
และศิลปะ ตอนอยู่นาซาผมเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
จนไม่มีวิชาอะไรให้เรียนแล้ว ผมก็เลยเกิดคำถามว่า
วิทยาศาสตร์เองก็มั่วเยอะ
ใช้วิธีการอนุมานและตั้งสมมติฐานเยอะ ก็เลยถามตัวเองว่า
ฉันกำลังทำอะไรอยู่ พอได้อ่านบทความของไอสไตน์
เขียนไว้ก่อนตายว่า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดคือ
พุทธะ ผมก็งง! ตอนนั้นผมยังเป็นคริสเตียน
ผมต้องขอบคุณท่านอาจารย์พุทธทาส
ท่านเขียนเชื่อมโยงพุทธกับคริสต์ได้ดีมาก
สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน
แต่วิธีการเข้าหามีหลายวิธี ไม่ต่างจากการขึ้นภูเขา
พระพุทธเจ้าพูดอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่งมงาย
คนมาปฏิบัติธรรมทางพุทธ ถ้าขี้เกียจจะไม่ค่อยเห็นผล
+หลังจากเรียนจบปริญญาเอก ทำไมคุณไม่ทำงานอยู่นาซาอีก
นาซาก็ถามว่า จะอยู่ต่อไหม ถ้าอยู่ต่อก็เป็นหนึ่งในทีม
ทำเรื่องเครื่องมือขุดแร่บนดวงจันทร์ ตอนนั้นผมมีแฟน
ก็เลยสับสน ก่อนตัดสินใจมีทางเลือกให้หลายข้อคือ 1.
อยู่นาซา 2.
อยู่บริษัททำเครื่องบินโบอิงหรือบริษัททำเครื่องบินไอพ่นอีกแห่ง
3. เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 4. กลับไทยหรือไปยุโรป
ผมก็ให้คะแนน แล้วถามว่า ชีวิตนี้ต้องการอะไร คำตอบคือ
กินอร่อย ก็ต้องอยู่เมืองไทย,ชอบเที่ยว
อยู่อเมริกาอากาศหนาว เที่ยวได้น้อย
ถ้าชราแล้วอยู่อเมริกาจะเป็นประชากรชั้น 3 หรือชั้น 4
ลูกจะกลายเป็นฝรั่งและไม่รักเรา
แล้วจะดูแลพ่อแม่ที่กำลังชราอย่างไร
อีกข้อเงินเดือนในเมืองไทยน้อยมาก แต่ฝีมือระดับผม
ไม่กลัวอยู่แล้ว
+แม้กระทั่งการตัดสินใจก็คิดเป็นระบบ ?
คุณสังเกตผมสิ ผมคุยกับคุณ ไม่ค่อยเปลี่ยนเรื่อง
คิดเรื่องเดียว อารมณ์เดียว ผมคิดเป็นระบบ พอเรียนพุทธ
ยิ่งคิดเป็นระบบมากขึ้น ผมเคยบวชเป็นพระธุดงค์อยู่ 13
วัน ผมขยันสุดๆ ผมคิดว่าถ้าคนคิดไม่เป็น จะคิดวนเวียน
ย้ำคิด ย้ำทำ คิดไม่ตกเป็นเดือน แต่ผมตัดสินใจแล้ว
ทำได้เลย ตัดอารมณ์ออกไป ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกับใครว่า
ทำไมเราเลือกแบบนี้ ไม่สับสน
ผมปรึกษาหลายคนเหมือนทำวิจัยให้ตัวเอง
ทำเป็นตารางการตัดสินใจ สรุปแล้วผมกลับเมืองไทย
เพราะอยากดูแลพ่อแม่ แม้จะมีปัญหารายได้
แต่เปรียบเทียบแล้ว ตอนชราถ้าอยู่อเมริกา
ก็จะกลายเป็นคนแก่เหงาๆ ลูกผมคงไปอยู่อีกรัฐ
รอลูกมาเยี่ยมช่วงคริสต์มาส
สุดท้ายเราก็จะแก่ลงอยู่บ้านพักคนชราให้พยาบาลฝรั่งดุและตบตี
พยาบาลไทยอ่อนหวานกว่าเยอะ
แต่ถ้าอยู่เมืองไทยก็จะเจอสภาพรถติด คนคิดอะไรก็ไม่รู้
ระบบสุขภาพแย่ แต่ผมก็คิดว่า พ่อและปู่มาจากเมืองจีน
ก็ทำได้ เราก็ต้องทำได้ ด้วยฝีมือขนาดนี้ ไม่มีปัญหา
+พอกลับมาเมืองไทย
คุณมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยไหม
แค่ออกมาอยู่ในสังคมอเมริกัน ก็ต่างจากนาซาแล้ว
คนนาซาจะคิดเป็นระบบ ถ้าอยู่อเมริกาต่อไป
อย่างมากก็แค่กลางแถวหรือหางแถว
ถ้ากลับเมืองไทยต้องเจอกับพวกเจ้าพ่อทำอะไรชั่วๆ
ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์
อย่างโครงการสมองไหลที่ดึงนักวิทยาศาสตร์เมืองนอกกลับมา
บอกจะให้โน้น ให้นี่ ก็ไม่ใช่แบบนั้น
บริษัทแห่งหนึ่งติดต่อผมตั้งแต่อยู่อเมริกา พอมาสัมภาษณ์
ก็รู้ทันทีว่า เขาไม่รับผม
เพราะคุณใหญ่มาจากที่อื่นมาทำงานกับเขา อาจถูกหมั่นไส้
ผมก็คิดว่าเป็นอาจารย์จุฬาฯ น่าจะดีกว่า
ตอนนั้นเป็นทั้งอาจารย์ ที่ปรึกษาการบริหาร
และวิทยากรอิสระ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Aorrayong หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009 ตอบ: 869
|
ตอบ: 17/09/2009 7:30 am ชื่อกระทู้: |
|
|
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Aorrayong เมื่อ 30/09/2009 9:05 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Aorrayong หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009 ตอบ: 869
|
ตอบ: 17/09/2009 7:31 am ชื่อกระทู้: |
|
|
+ชีวิตการสอนในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้าง
ผมจะสอนหนังสือไม่เหมือนใคร เคยมีคนว่า ผมเพี้ยน
ผมพาเด็กวิศวะไปเรียนริมสระว่ายน้ำ ดูนิสิตสาวๆ
ว่ายน้ำและเรียนไปด้วย ไม่เห็นเป็นไร ผมออกนอกกรอบตลอด
เคยถูกผู้บริหารเรียกไปดุ ผมออกข้อสอบสนุกมาก
เด็กวิศวะได้ศูนย์ทั้งห้อง ตัวอย่างข้อสอบผม
"จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย"เด็กใบ้ทั้งห้อง
ส่วนใหญ่คิดข้อสอบแบบตื้นๆ ตรงไปตรงมา ยกตัวอย่าง
ปั้นจั่นมีกี่ชนิด แต่ผมอยากให้เป็นข้อสอบแสดงความคิด
เพราะชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้
ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดอาจารย์จะปรับให้
แต่เด็กไทยทำไม่ได้ เด็กก็โวยวายว่า
อาจารย์วรภัทร์ไม่ค่อยสอน แล้วมาออกข้อสอบประหลาดๆ
ผมก็บอกเด็กว่า พวกคุณติดสันดานเด็กกวดวิชา
รอคนคาบของทุกอย่างมาป้อนให้
คุณเคยทำตัวเป็นครูกวดวิชามอบความรู้ให้คนอื่นไหม
ถ้าคุณรอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่คุณแย่กว่า
คุณเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่ป้อนให้
แล้วคุณจะไปสู้มหาอำนาจได้ยังไง
เด็กๆ ตามไม่ทัน จนผมขึ้นไปสอนระดับปริญญาโท
ก็ใช้วิธีการสอนแบบนี้ สุดยอดการสอนคือ ไม่ต้องสอนมาก
เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ผม ก็ยังติดต่อกัน เมื่อก่อนมาเต็มบ้าน
(ศรีภรรยาบอกว่า บางครั้งเด็กๆ มานั่งปรึกษาปัญหาหัวใจ
เหมือนเป็นศิราณี ) ไม่ต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ได้
มานั่งคุยกันก็ได้ เวลาผมไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทไหน
ก็เอานักศึกษาหิ้วกระเป๋าตามอาจารย์ จะได้เรียนรู้ไปด้วย
ถ้าไม่ทำงานข้างนอกบ้าง อาจารย์จะโง่
อ่านตำราแล้วไปสอนเด็กอย่างเดียวไม่ได้
ในเมืองนอกถ้าอาจารย์คนไหน ไม่ทำงานข้างนอกแสดงว่า
คุณห่วย
+แล้วทำไมต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
ผมคิดต่าง
จำได้ว่าอาจารย์เกษียณในวงการศึกษาคนหนึ่งมากระซิบผมว่า
วรภัทร์...ถ้าเธอยังปากจัด เธอจะทำงานสำเร็จลำบาก
ศัตรูจะมากกว่ามิตร ผมรู้ตัวว่า ปากจัด เป็นแบบฝรั่ง
ซัดกันในที่ประชุมเลย แต่คนไทยประชุมกัน 3-4 ชั่วโมง
ออกความคิดกันให้วุ่นวาย แต่ไม่ได้อะไรเลย
อาจารย์ในมหาวิทยาลัยบางคน
ก็ทำวิจัยในสิ่งที่สังคมไม่ต้องการ ไม่ได้ถามสังคมว่า
ตอนนี้สังคมอยากรู้เรื่องอะไร
แต่ไม่ใช่ว่าอาจารย์เป็นอย่างนี้ทุกคน ผมรู้ตัวว่า
เป็นอาจารย์คงไม่รุ่ง ผมโดนว่า เอาเวลาราชการไปหากิน
ทั้งๆ ที่เราอยากนำกรณีศึกษากลับมาให้เด็ก
และข้าราชการเงินเดือนน้อย
สุดท้ายเราไม่อาจสร้างสมดุลชีวิตตรงนี้ได้ ก็เลยลาออก
+ตอนป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นปีๆ คุณจัดการชีวิตอย่างไร
10 ปีที่แล้วผมหลังหัก กระดูกแตก นอนเตียงเกือบปี
ผมเป็นแบบนี้บ่อยๆ ตอนนี้ก็เป็น เข้าโรงพยาบาลบ่อย
ตอนนั้นผมใช้ห้องพิเศษในโรงพยาบาลทำงาน
นิสิตปริญญาโทก็เอารายงานมาคุยกันตรงนั้น
ผมให้คำปรึกษาบริษัทต่างๆ บนเตียงนอน
ผมวางแผนการรักษากระดูกแตกให้ตัวเอง
เพื่อให้ร่างกายขยับได้
ผมวางแผนไว้ว่าจะว่ายน้ำได้กี่เมตร ตั้งเป้าว่า
จะต้องยืนครั้งแรกให้ได้ ถ้าพิการก็ไม่เป็นไร
+ช่วงนั้นท้อแท้มั้ย
ไม่มี อกหักสองสามครั้ง ก็ช่างมัน คิดแบบนี้
ถ้าวินาทีนี้ถึงผมจะนอนเตียง ขยับตัวไม่ได้เลย
มือและปากยังเหลือ ผมจะแปลหนังสือภาษาอังกฤษให้
ตอนนั้นพยาบาลที่มาเฝ้าไข้ กำลังเรียนปริญญาโท
ผมก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยคิดหัวข้อให้
และตลกมากตอนนั้นหมอพาผมไปที่สถานที่คนพิการอยู่
นั่งรถเข็นเข้าไป ผมเห็นคนอื่นท้อแท้ หมดอาลัยตายอยาก
มีวงดนตรีมาแสดงให้กำลังใจคนพิการ
เราก็เป็นคนพิการนั่งอยู่ด้วย หลายคนท้อแท้
แต่เราวางแผนชีวิตแล้ว อีก 3 เดือนจะยืนให้ดู
ถ้ายืนไม่ได้ ถึงผมต้องเป็นคนพิการ
ก็ต้องเป็นแชมป์พาราลิมปิก ผมทำได้ครับ
ผมทะเลาะกับหมอ ผมถามหมอว่า เคยวางแผนการรักษาคนไข้ไหม
แล้วบอกไปว่า หมอควรรักษาใจเขาด้วยนะ
ผมซักถึงทางเลือกในการรักษามีกี่วิธี
ยาชนิดไหนใช้แล้วประสบความสำเร็จมากกว่ากัน แล้วอีก 3
เดือนผมจะเป็นอย่างไร ถ้าพลาดมีทางเลือกอื่นไหม
หมอก็บอกว่า คุณไม่ใช่หมอ ผมก็บอกไปว่า
คุณกำลังจัดการชีวิตผม ผมมีสิทธิรู้ สุดท้ายผมค้นพบว่า
โรคนี้รักษาไม่หาย ผมก็เลยลองมาปฏิบัติธรรม
+หันมาใช้ธรรมะรักษาโรค แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ยังไม่ปรากฏผล ลองใช้สมาธิรักษา
ผมอ่านงานท่านอาจารย์พุทธ หลวงปู่มั่น อ่านแล้วก็นั่งคิด
คนไทยนี่ขนาดเรียนพุทธศาสนา ก็ยังคิดไม่เป็นระบบ
พอหลวงพ่อบอกว่าให้ดูลมหายใจ ก็ทำกันเล่นๆ ไม่จริงจัง
แต่ผมจะทำทั้งวัน ทั้งคืน ว่างเป็นปฏิบัติทุกสถานที่
เวลาผมเดินตรวจโรงเรียน ก็ดูลมหายใจทำใจให้ว่าง
ความคิดมาก็ทำจิตให้ว่าง เดี๋ยวนี้ผมจะวางอารมณ์
ไม่มีอคติ ผมฝึกจริงๆ แค่ 2 ปี ก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ
อารมณ์นิ่ง แต่มีบางครั้ง เราต้องแกล้งโมโหนิดหนึ่ง
เพื่อให้ยุทธศาสตร์บางเรื่องประสบความสำเร็จ
+ในช่วงบวชเป็นพระธุดงค์ คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
บวช 13 วันก็ได้เรื่องได้ราว
เพราะก่อนหน้านี้ก็ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ตอนนั้นบวชกับหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย พิจิตร
ผมเลือกสายปฏิบัติหลวงปู่มั่น ได้เรียนรู้การนอนน้อย
ฉันมื้อเดียว พุทโธทั้งวัน ทั้งคืน
จนสามารถควบคุมอารมณ์ได้ ทำให้ผมเข้าใจว่า
พุทธะคือความว่าง ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ตอนหลังไปเรียนเพิ่มเติม เดินในป่าช้าที่วัดธรรมอุทยาน
ขอนแก่น ก็เอาเรื่องพวกนี้มาสอนคน
+อุตส่าห์เรียนวิทยาศาสตร์จนถึงขั้นสุดยอด
แต่กลับรู้สึกว่า พุทธศาสนาน่าจะให้คำตอบชีวิตมากกว่า
ลองอธิบายความคิดตรงนี้ได้มั้ย
ศาสนาพุทธเหมือนโลกกลม นักวิทยาศาสตร์เป็นพวกโลกแบน
แล้วไม่ยอมเดินเรือออกไปที่ขอบจักรวาล
เมื่อผมอยากรู้จักพุทธ ก็ต้องศึกษาและปฏิบัติ แรกๆ
ก็เชื่อเขาไปก่อน โยนความคิดทิ้งไปก่อน
ถ้าพลาดก็ว่ากันใหม่ เวลาหลวงปู่หลวงพ่อสั่งให้ทำ
ก็ทำเต็มที่ สุดท้ายพบว่า กายกับจิตคนละตัวกัน
อย่าไปหลงกาย กายคือรถผจญภัย
ผมก็ทำงานเต็มที่สร้างสมดุลทางโลกกับทางธรรม
ถ้ารักษาจิตให้ว่าง ถ้าทำจิตให้เป็นศูนย์หรือว่างก็คือ
นิพพาน
+แล้วคุณนำเรื่องธรรมะมาใช้กับงานอย่างไร
ปรากฏว่า สิ่งที่อาจารย์พุทธทาสสอน สุดยอดคือ บวชกับงาน
หากเวลาทำงานเกิดเบื่อ ก็ให้รู้เท่าทัน แล้วทำงานต่อ
ผมสอนเรื่องการเดินจิต ปฏิบัติธรรมด้วย
พอสอนเสร็จก็พาไปเดินในป่าช้าที่ขอนแก่น
เรื่องศาสนาผมให้เวลาเต็มที่ บางทีก็สอนปฏิบัติที่บ้าน
ถ้ามีเวลาว่าง ก็จะพาไปวัด
ก่อนอื่นต้องสอนตัวเองและคนรอบข้างให้ได้ก่อน ผมคิดว่า
คนไทยฝึกเรื่องใจน้อยไป ตามใจลูกมากไป
เด็กไม่เคยถูกสอนให้ควบคุมใจ กลายเป็นว่า
ทุกคนอยู่อำเภอที่ไม่น่าอยู่คือ อำเภอใจ
ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง และแยกไม่ออกว่า
ใจเป็นกุศลกับอกุศลต่างกันอย่างไร
+อาชีพที่ปรึกษาต้องใช้ความสามารถหลายด้าน
แล้วคุณให้คำปรึกษาด้านไหนเป็นกรณีพิเศษ
ผมจับฉ่ายนะ ใครอยากได้เรื่องไหนบอก ผมทำได้
อย่างการวางระบบไอเอสโอ 9000
ก็มีทั้งคนรู้จริงและไม่รู้จริง
แต่ตอนนี้ผมไม่ได้จับเรื่องไอเอสโอแล้ว
ผมเปลี่ยนมาทำเรื่องอื่นๆ
เคยให้คำปรึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน
อย่างสถาบันมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ครัวการบินไทย
ธนาคาร โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ
บางคนถามผมว่า ในโลกนี้มีอาชีพนี้ด้วยหรือ
อย่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ครูในโรงเรียนสอนไม่รู้เรื่อง
เด็กก็เลยไปโรงเรียนกวดวิชา บริษัทก็เหมือนกัน
คนข้างในคิดไม่ออก ก็ต้องให้มือที่สามมอง คล้ายๆ
การกินนมวัว ไม่จำเป็นต้องเอาวัวมาเลี้ยงที่บ้าน
เขาเรียกว่า ขายไอเดีย อย่างคนทำการตลาดอยู่ 5-10 ปี
ไอเดียก็ตัน ที่สุดก็จ้างคนนอกช่วยคิด
+คุณก็เหมือนคนขายความคิด ?
ลองคิดดูนะ วิศวกรอยู่กับบริษัทมา 10 ปี
ก็จะรู้เรื่องของบริษัทเท่านั้น ทำงานเยอะ
ไม่มีเวลาค้นคว้า ไม่มีพรรคพวกมาก
สมมติผมเก่งเรื่องปั้มน้ำ
ก็จะมีบริษัทที่ทำเรื่องนี้หลายแห่ง
วันหนึ่งก็มาจัดการเรื่องปั้มน้ำให้
ก็ย่อมเก่งกว่าคนที่อยู่ตรงนั้น
การบริหารสมัยใหม่จะเป็นอย่างนี้
ในโลกอนาคตจะไม่จ้างคนถาวร เป็นลักษณะจ้างเป็นช่วงๆ
บางบริษัทเห็นผมเก่งด้านทรัพยากรบุคคล ก็เรียกไปช่วย
บางบริษัทเห็นผมเก่งด้านการตลาดก็เรียกไป
หรือเรื่องการวิเคราะห์ความเสียหายระบบสินค้า
ใครปิ้งผมอารมณ์ไหนก็จ้างไป บางบริษัทก็ให้ไปสอนธรรมะ
ก็มีทั้งเหมาปี เหมาวัน เป็นครั้งคราว
ถ้าจะปรึกษาให้ได้ผล ผู้บริหารต้องเข้มแข็ง
แนะนำอะไรแล้วไม่ทำ ก็ไม่มีผล เข้าทำนองให้ยาแล้วไม่กิน
หรือไม่สามารถบริหารลูกน้องตัวเองได้
+แล้วตอนให้คำปรึกษาในแวดวงการศึกษา
คุณเจออุปสรรคอะไรบ้าง
ตอนนั้น ดร.รุ่ง แก้วแดง ชวนผมมาช่วยวางแผนการศึกษา
แต่ผมก็ต้องออกมา เพราะคนดื้อเยอะ ผลประโยชน์เยอะ
จนที่สุดผมมองว่า การศึกษาไทยไปไม่รอด ผมเบื่อระบบ
เข้าวัดปฏิบัติธรรมดีกว่า
ผมช่วยเรื่องวางระบบการประเมินคุณภาพโรงเรียน
จัดวิธีคิดให้ พอผมเข้าไปทำ ก็เลยรู้ว่า
ระบบการศึกษาไม่ได้สอนให้เด็กเรียนรู้
คนประเทศนี้ยังติดยึดอัตตาตัวเอง
เวลาเสนออะไรไป ก็ไม่ทำ มีอะไรให้รื้อหลายอย่าง
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ สนุกๆ
สุดยอดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือ ไม่ต้องมีการสอบ
แล้วเด็กหญิงไทยที่ทำแท้งกันเยอะแยะ
ส่วนใหญ่เป็นเพราะมหาวิทยาลัยไทย ไม่รับคนมีสามี
หรือคนมีลูกเข้าเรียน พอเด็กผู้หญิงพลาด อนาคตถูกทำลาย
ต้องฆ่าเด็กด้วยการทำแท้ง
ตอนผมสอนในอเมริกา ลูกศิษย์ผมมีลูก มีสามี
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มหาวิทยาลัยไทยจำกัดอายุผู้เรียน
พวกสิทธิสตรีน่าจะลุยตรงนี้มากกว่า ที่ผมประท้วงหนักๆ
ก็คือ การเรียนการสอนของไทย จะเป็นลักษณะครอบจักรวาล
ไม่สอนให้เรียนรู้จริง แต่ตอนนี้ดีขึ้น
มีโรงเรียนอย่างวิถีพุทธ ฯลฯ
สุดท้ายผมก็ปรับตัวเอง ผมเป็นคนปากจัด พอศึกษาทางพุทธ
ก็ช่วยได้มาก ผมพูดตรง ทำจริง ไม่เห็นแก่หน้าใคร
คิดแบบฝรั่ง ใครใหญ่ที่ไหนมาไม่สำคัญ
ผมคิดว่าผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องฉลาดกว่าเด็ก แต่ไม่ใช่ว่า
สอนเด็กให้ไม่เคารพผู้ใหญ่นะ
+ปัญหาแบบไหนแก้ยากที่สุด
ปัญหาคือ ใจ การเลี้ยงลูกมีปัญหามาก
ที่ผมไปทะเลาะกับเขาคือ
หลักสูตรของไทยไม่เคยสอนเรื่องการเลี้ยงลูก
หรือสอนการใช้ชีวิตง่ายๆ การใช้เงินก็ไม่สอน
ไม่สอนให้ซัดกับกิเลส จริงๆ แล้วอย่าไปมองว่า
การศึกษาต้องคุมครูอย่างเดียว สื่อมวลชนก็มีผลต่อเด็ก
ลงข่าวการฆ่าตัวตายและภาพศพทุกวัน
สื่อก็ไม่ได้เสนอข่าวเพื่อการเรียนรู้
การโฆษณาก็เน้นการใช้เงินมากจนเกินเหตุ 80%
ของโทรศัพท์มือถือ โทรคุยเรื่องไร้สาระ อย่าไปโทษครูเลย
การศึกษาไม่ใช่แค่ระบบโรงเรียนอย่างเดียว
มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละ เราแก้ไขคนทั้งโลกไม่ได้
ผมว่ามาแก้ที่ตัวเองก่อน เพราะสังคมไทยเลี้ยงลูกไม่เป็น
ลูกงอแงก็ตี หรือไม่ก็ตามใจลูก จริงๆ ไม่ได้ตามใจลูกหรอก
เขาเรียกว่า ตามใจพ่อแม่ ผมว่ามักง่ายในการเลี้ยงลูก
บางคนเลี้ยงหมาได้ดีกว่าลูกตัวเอง
คนไทยเวลาเล่นพระเครื่อง ก็อ่านหนังสือพระ
เล่นรถก็อ่านหนังสือรถ
ชอบเครื่องเสียงก็ซื้อหนังสือมาอ่าน
บางทีอ่านหนังสือมาทั่วโลก
แต่พอมีลูกไม่อ่านหนังสือเลี้ยงลูก
+ลองกะเทาะเปลือกปัญหาสังคมให้ฟังอีกสักนิดได้ไหมคะ
เศรษฐกิจเมืองไทย เติบโตในกลุ่มเล็กๆ ที่ร่ำรวยอยู่แล้ว
ประชาชนใช้เงินไม่เป็น เป็นทาสของสินค้า
ผมคิดว่าฝรั่งพยายามทำลายวัฒนธรรม แล้วใส่กิเลสลงมาเยอะๆ
ญี่ปุ่นพัง เพราะกิเลสตรงนี้
ปีที่แล้วญี่ปุ่นไม่ได้เจริญขึ้น
ตะวันตกมาถือหุ้นในไทยมากขึ้น
เพื่อให้เราตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ ผมขอเดาว่า
วัฒนธรรมจะค่อยๆ หายไป ถ้าคนไทยยังเป็นอย่างนี้
ฝรั่งจะมาครองประเทศ
เราเข้าใจสังคมอเมริกันตามแบบที่เขาอยากให้เข้าใจ
ฮอลลีวู้ดกับชีวิตจริงไม่เหมือนกัน ผมอยู่ในอเมริกา
บ้านไม่ต้องมีรั้ว ผู้หญิงอเมริกันที่บอกว่า แย่ๆ
บางคนท้องไม่มีพ่อ แต่ไม่ได้ทำแท้ง
พวกเขาตกลงกันในโบสถ์ว่า
จะเลี้ยงเด็กไม่มีพ่อคนนี้อย่างไร
แต่สังคมเมืองไทยน่ากลัว รีดไถรังแกคนยาก คนจน
และไม่เป็นพุทธะที่แท้จริง
แต่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ก็มีดอกบัวผุดขึ้น
มีพุทธสมบูรณ์แบบจำนวนไม่น้อย เวลาผมเขียนหนังสือ
ก็เลยใช้ธรรมะสอดแทรกในหลักการบริหาร
ผู้บริหารระดับดอกเตอร์โยธาคนหนึ่งเคยอ่านหนังสือผม
แล้วไปบวชเลย หรือบางคนอ่านหนังสือผม แล้วบอกว่า
ศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้เอง ไม่ต้องบวชก็ได้
ถ้าฝรั่งได้เรียนรู้พุทธศาสนา
พวกเขาคิดเป็นระบบและขยันกว่าคนไทย
เขาก็จะเปลี่ยนเป็นพุทธมากขึ้น
สุดท้ายศาสนาพุทธจะเจริญในประเทศอื่น
ผมคิดว่า ตัวเองใช้ชีวิตคุ้มแล้ว ได้เจอพุทธะก็พอแล้ว
ตอนนี้ก็สอนคนให้เข้าใจ ถ้ามาถึงจุดหนึ่ง ก็จะรู้ว่า
ไม่มีศาสนา เป็นเรื่องของความว่าง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Aorrayong หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 30/07/2009 ตอบ: 869
|
ตอบ: 17/09/2009 7:43 am ชื่อกระทู้: |
|
|
่
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Aorrayong เมื่อ 30/09/2009 9:06 pm, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 17/09/2009 10:28 am ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 17/09/2009 10:29 am ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 17/09/2009 10:29 am ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 17/09/2009 10:30 am ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 17/09/2009 10:30 am ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 17/09/2009 10:30 am ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 17/09/2009 10:33 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ประตูเปิดไม่ออก ปัญหาผลักไม่ออก
ไม่ใช่เป็นเพราะปัญหาแก้ไม่ได้ หรือประตูเปิดไม่ได้
หากแต่เป็นที่ตัวเราไม่เคยใช้ "ความคิด"
เพื่อค้นหาวิธีการเปิดประตูอย่างถูกต้องเลย
ในเมื่อหลายๆ คนได้พบเจอบุคคลที่ให้ทางสว่างในการดำเนินการเกษตรแล้ว แต่ยัง
ไม่เลือกที่จะเดินตาม คนเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกเปิดประตูผิดวิธีนั่นแหละค่ะ
ปุ้มระยอง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11623
|
ตอบ: 17/09/2009 11:27 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ใช่เลย ปุ้ม....... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
sompoch หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 28/09/2009 ตอบ: 2 ที่อยู่: 3003 ถ.สืบศิริ47 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000
|
ตอบ: 30/09/2009 10:13 am ชื่อกระทู้: Idea สำหรับการคิดนอกกรอบ |
|
|
อ่านบทความที่คุณปุ้มโพสไว้แล้ว ให้ประโยชน์มากครับ
ความสุขที่เกิดจากการให้ ไม่หวังสิ่งตอบแทน คือสุขที่แท้จริง
คนเรา มองไปแต่ภายนอกที่ไกลตัว หากรู้คิดนอกกรอบบ้าง
หันกลับมามองดูภายในจิตใจตน รู้เหตุ รู้ผล พัฒนาตนเองได้
สังคมเมืองไทยคงเป็นสังคมที่สงบสุข และน่าอยู่ยิ่งกว่าปัจจุบัน
ย้ำอีกครั้ง เยี่ยมจริง ๆ คงต้องอ่านและหัดคิดนอกกรอบให้มากขึ้น
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 30/09/2009 1:33 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอบคุณค่ะคุณ sompoch ยังมีอีกนะคะ ลองอ่านดูค่ะ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 30/09/2009 1:33 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 30/09/2009 1:34 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Pum_NWF_Rayong สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 29/07/2009 ตอบ: 177
|
ตอบ: 30/09/2009 1:34 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|