kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11623
|
ตอบ: 14/11/2011 7:04 am ชื่อกระทู้: ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 14 NOV |
|
|
ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตร ทางวิทยุ-โทรศัพท์ 14 NOV
**********************************************************
สร้างสรรสังคม....ส่งเสริมคนดี....พัฒนาชีวิต ให้มีคุณภาพ...
กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม
ทางสถานีวิทยุ พล.ปตอ. เอเอ็ม 594 เวลา 08.1009.00 และ 20.05-20.30 ทุกวัน
ผลิตรายการโดย กองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก
กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น (คิม ซา กัสส์) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ
เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 สายด่วน 4 ตัว ฝากข้อความ-ฝากคำถาม-ฝากข่าว
ก่อนเริ่มรายการที่ โทรศัพท์มือถือส่วนตัว (081) 913-4986
*********************************************************
จาก : (082) 982-74xx
ข้อความ : มะม่วงแตกใบอ่อน น้ำท่วมระดับหัวเข่ามานาน 3 อาทิตย์ สังเกตุใบบางมาก ถามว่า
ควรบำรุงอย่างไรต่อไป.....เกษตรกรบ้านจัดสรร
ตอบ :
ข้อมูลเกี่ยวกับมะม่วงที่ได้จากการสังเกตุ .... อายุต้น 5 (+) ปี ผ่านการบำรุงต้นสะสมความสมบูรณ์มาตลอด หรืออย่างน้อย 2 รุ่นการผลิต สามารถทนน้ำท่วมขังค้างนาน น้ำลึกกว่าหัวเข่า นานราว 1 - 1 เดือนครึ่ง ก็เคยเห็นนะ ต้นอายุ 20 ปี ปลูกแบบเพาะเมลฃ็ดมีรากแก้ว ทนได้นานตลอดฤดูน้ำท่วม น้ำลดพ่อออกดอกติดลูกเลย นี่ไงที่บอกว่า ในธรรมชาติไม่มีตัวเลข และไม่มีสูตรสำเร็จ
ตั้งแต่น้ำเริ่มท่วม คำถามที่มามามากที่สุด คือ น้ำท่วม ต้นจะตายไหม คำตอบก็คือ "ไม่รู้" ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น การบำรุงระหว่างน้ำท่วม ประมาณนี้
เหมือนคนป่วยไปหาหมอ บางครั้งหมอบอกว่าจะอยู่ได้อีก 1 เดือน ขอให้ทัมใจ ปรากฏว่า 10 ปี 20 ปี คนๆนั้นยังไม่ตายเลย ...... ก็มีนะที่หมอบอกว่า ไม่มีปัญหา-ไม่มีปัญหา กลับถึงบ้าน นอนบ้านได้ 3 คืน คนนั้นตาย ก็มี ใช่ไหม
แม้แต่ ณ วันนี้ เขาจะแตกใบอ่อนออกมาให้เห็น ก็อย่าเพิ่งแน่ใจนะว่าจะรอด 100% เพียงแต่เปอร์เซ็นต์สูงหน่อยเท่านั้น
บ่อยครั้งที่ ธรรมชาติ กับ วิชาการ สวนทางกัน หรือไปคนละทิศกันเลย....เอางี้นะ
ต้องการใบ แก่-ใหญ่-หนา เร็วๆ บำรุงทางใบด้วย 0-39-39 หรือ 0-42-56 หรือ 0-52-34 หรือ 0-21-74 สลับกับ แคลเซียม โบรอน. เอาซัก 3-5 วัน/ครั้ง ก็พอได้นะ
งานนี้ รอดคือรอด ไม่รอดคือตาย แต่เปอร์เซ็นต์รอดสูงกว่าเปอร์เซ็นต์ตายก็แล้วกัน นี่ว่าตามหลักวิชาการนะ
หมายเหตุ : สถานีพืชสวนพลิ้วจันทบุรี แนะนำให้ใช้ K. เดี่ยวๆ (ทางใบ คือ 0-0-50) แต่ของเราแนะนำให้ใช้ทั้ง P. และ K. แต่ K. สูงเหมือนกัน อันนี้ก็น่าจะอนุโลมแทนกันได้
-------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก : (081) 529-14xx
ข้อความ : สวด.ลุงคิมค่ะ ข้าวปลูกถังละ 450 ซื้อดีไหมคะ พันธุ์อะไรก็ไม่รู้ ที่ 10 ไร่ ไม่ทำนาแล้ว
จะทำอะไรดีล่ะ แนะนำดีๆนะคะ ถ้าไม่ดี ไม่ทำตามด้วย....หลานสาวคนเล็ก ตัวโตค่ะ
ตอบ :
บอกแล้วไง หลังน้ำท่วม น้ำลงได้เนื้อที่นาคืนมาแล้ว จะปลูกข้าวใหม่ เมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกแพงแน่ๆ (เน้นย้ำ....แพงแน่ๆ) ถังละ 450 ถือว่ายังถูกนะ เพราะมีขาย บางที่ถังละ 500 พันธุ์อะไรก็เอา ยังไม่มีขายเลย พูดง่ายๆ มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ...... ว่างั้น
ถังละ 450 พันธุ์อะไรก็ไม่รู้ แบบนี้ ไม่ปลูกดีกว่า เพราะขืนปลูกไป ขายก็ไม่ได้ราคา เหมาะม่อย สาระพัดสายพันธุ์ปนเปกันไปหมด โรงสีรับซื้อไปทำข้าวนึ่ง มันไม่มีราคา
ลุงคิมว่า ใจเย็น-ใจเย็น ดีกว่า ขืนทำนาลงไปเลยตอนนี้ คงได้ทั้ง คุณภาพ-ปริมาณ ไม่ดีหรอกนะ เราน่าจะหันมาปรับปรุงบำรุงดิน (แบบได้เงิน) ก่อนจะดีกว่า เอาซักแค่รุ่นเดียวก็พอ ระหว่างนี้ก็ออกตระเวนหาพันธุ์ข้าวปลูกในอุดมการณ์ไว้ก่อน เสร็จจากปรับปรุงบำรุงดินได้เงินแล้วค่อยว่ากันใหม่
ทำใหม่คราวหน้า ตั้งเป้าประสงค์....นาข้าว ขายข้าวปลูก - ข้าวกล้อง โอทอป - ฯลฯ เรียกง่ายๆ "แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม" ไง
คลิก....อ่านแล้ว "ปรับใจ-ทัมใจ" เกมส์นี้ยากที่ใจ
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2295&sid=e18eda69835f3a4f152ee4d4446f08c0
ทำนาหลังน้ำท่วม...
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2319&sid=fa4dbf75b70c7c1de1141ec1c7ede79b
ฟื้นฟูดินหลังน้ำท่วม เพื่อการเพาะปลูกใหม่...
-------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก : (084) 186-72 xx
ข้อความ : ลุงครับ สมช.รายการเรา มีใครขายพันธุ์ทุเรียนก้านยาวบ้าง ต้องการประมาณ 20 ต้น
ขอเบอร์โทรด้วยนะครับ.....จากพิษณุโลก
ตอบ :
"วันเพ็ญ" ............................. ปราจีนบุรี (081) 803-4930
"วินัย" ................................. นครปฐม (081) 299-0745
"พรพรรณ" ............................ ตลาดนัดธนบุรี (089) 814-7944
"วชิระ" ................................ นครนายก (081) 481-4287
อ้างชื่อ "ลุงคิม" ได้เลย....
"ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ดูให้แน่ดูถึงยาย.............ซื้อต้นไม้ไปถึงสวน"
ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ....ทำตัวเป็นลูกค้าขาจร = เอาคอพาดเขียงให้เขาฟัน
เสียเงินพอว่า เสียรู้พอทน ซื้อต้นไม้ผิด กว่าจะรู้ 3 ปี 5 ปี เสียเวลา.....มะเร็งกินอารมย์น่ะ
ซื้อต้นไม้ อย่า ! ถามนำ เช่น ต้นนี้ก้านยาวใช่ไหม ? ต้นนี้หมอนทอง ใช่ไหม ? .... ถ้าคนขายบริสุทธิ์ใจ ก็จะตอบว่า "ใช่/ไม่ใช่" ตามความเป็นจริง ที่แน่ๆ คนขายรู้แล้วว่า คนซื้อไม่รู้ แบบนี้หลอกก็ได้ จริงก็ได้ ..... แต่ถ้าคนซื้อ ถาม "ต้นนี้พันธุ์อะไร - ต้นนี้พันธุ์อะไร ? ดูยังไง ? ต่างกันยังไง ? ถามแบบนี้เดี๋ยวก็รู้ว่า คนขายรู้จริง หรือรู้ตามที่เคยได้ยินมา....ว่ามั้ย
-------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก : (083) 374-56xx
ข้อความ : สุพรรณบุรีน้ำแห้งแล้ว รุ่นแรกอยากปลูกแตงกวา กับฟักทองก่อน แล้วรุ่น 2 จะปลูกถั่วฝักยาว
กับ.. ? ..ครับ ให้ลุงคิมช่วยร่ายยาวด้วยนะครับ......ขอบคุณครับ
ตอบ :
ใจคอจะรีบร้อนไปไหน บอกแล้วไง....
- ดินน้ำท่วม น้ำไหล พัดพาสารที่ทำให้ดินดีไปหมดแล้ว วันนี้เหลือแต่ดินเพียวๆ
- ดินดี ได้แล้วกว่าครึ่ง.....ดินไม่ดี เสียแล้วกว่าครึ่ง
- ทำดินก่อนดีไหม....ทำอั้ยที่อยากปลูกนี่แหละ
กลับทิศใหม่ ปลูกถั่วฝักยาวก่อน เก็บเกี่ยวจนต้นโทรมแล้ว ไถกลบต้นถั่วลงดิน ระหว่างที่ถั่วฝักยาวกำลังโต กำลังให้ผลผลิต เราก็ปรับดินไปด้วย ปรับไปเรื่อยๆ เรียกว่า ทั้งปลูก-ทั้งปรับ ได้ทั้งถั่ว ได้ทั้งดิน เรียบร้อย-ร้อยเรียบแล้วค่อยปลูกแตงกว่า ฟักทอง
เริ่มจากเตรียมดินปลูกถั่วฝักยาว อันนี้จำเป็นอย่างมากๆ (เน้นย้ำ....จำเป็นอย่างมากๆ) เพราะนอกจากจะได้ถั่วฝักยาวแล้ว ยังได้ดินสำหรับพืชคราวหน้าด้วย
1. ไถดินขี้ไถใหญ่ๆ ตากแดดจัด 10-15 แดด
2. ไถพรวน ครั้งที่ 1 แล้วหว่าน "แกลบดิบหรือขี้ไก่แกลบ + ขี้วัว + ขี้หมู + ยิบซั่ม + กระดูกป่น" รดด้วย "ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2-3 ล.)/ไร่" ให้ทั่วแปลง
3. ไถพรวนครั้งที่ 2 เพื่อคลุกอินทรีย์วัตถุทุกอย่างให้เข้ากับดินเป็นเนื้อเดียวกัน
4. ยกแปลงปลูก คุลมแปลงด้วยหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ
5. บ่มดิน โดยทิ้งไว้ 10-15 วัน ระหว่างนี้ รดด้วย "ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรเดิม 1 ล./ไร่" ทุก 5-7 วัน
6. หญ้าหรือฟางแห้งเริ่มยุบ ลงมือหยอดเมล็ดถั่วฝักยาวได้....
บำรุงถั่วฝักยาว :
- ระยะต้นเล็ก.....ให้ทางรากด้วย ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 (1 ล.)/ไร่ ฉีดโคนต้น ตอนเย็น ทุก 7-10 วัน.... ให้ไปเรื่อยๆ จนให้ผลผลิต ถึงเก็บเกี่ยว ต้นโทรม
- ระยะต้นโตเริ่มให้ผลผลิตแล้ว.... ให้ทางใบด้วย UN (BIOI 50 CC. + TAIPE 50 CC. + UREGA 50 CC.) + น้ำ 100 ล. ทุก 5-7 วัน ตอนเช้า 09.00-12.00 .... ฉีดพ่นสารสมุนไพร ทุก 3 วัน ..... ให้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มให้ผลผลิต ถึง ต้นโทรม
**** ต้นถั่วฝักยาวโทรมแล้วไถกลบลงดิน รอบนี้ไม่ต้องใส่อินทรีย์วัตถุอีก ใส่เติมเพิ่มแค่ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2-3 ล./ไร่) แล้ว "บ่มดิน" 7-10 วัน ก็ลงมือปลูกแตงร้าน-ฟักทอง ตามแผนได้.....
เคล็ดลับ ถั่วฝักยาว-แตงร้าน-ฟักทอง :
6. พืชที่มีดอกตัวผู้และตัวเมียแยกกัน ไม่ว่าจะต้นเดียวกันหรือแยกต้นก็ตาม จิบเบอเรลลิน.สามารถเปลี่ยนเพศของดอกได้ จิบเบอเรลลิน.มักเร่งให้เกิดดอกตัวผู้ ส่วนออกซิน, เอทธิลีน, และไซโตไคนิน.มักจะเร่งให้เกิดดอกตัวเมีย ในแตงกวาดอกล่างๆที่มักเป็นดอกตัวผู้และดอกบนเป็นดอกตัวเมีย การให้สารอีธีฟอน.จะเร่งให้เกิดดอกตัวเมียขึ้น
http://web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359311/PPHY10_hormone.htm
หมายเหตุ : ให้ "จิ๊บเบอเรลลิน 20 ซีซี./น้ำ 20 ล." ทางใบ ช่วงต้นเล็กมีใบ 4-5 คู่ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้ได้ดอกตัวเมียมากกว่าดอกตัวผู้ ส่งผลให้ได้ผลผลิตมากขึ้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก :(090)435-6637
ข้อความ : ปุ๋ยรุ้งฉีดลูกสับปะรด มีสารไนเตรทตกค้างไหม โซดาฉีดลูกสับปะรดแก้สารตกค้างได้ไหมครับ.....
ตอบ :
การปฏิบัติเบื้องต้น...
- ไม่ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนหลังการบังคับดอกแล้ว
- ไม่ทำลายจุกสับปะรดก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต
- ไม่เก็บผลสับปะรดดิบ
- ไม่ใช้สารเคมีทุกชนิดเร่งให้สับปะรดสุกก่อนกำหนด
ปุ๋ยที่แนะนำ :
- ทางใบ....ไบโออิ 5-10-40
- ทางราก...ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 5-10-40 หรือ 0-0-50 หยอดที่กาบ
เกษตรานุสติ :
- ไม่มีพืชใดในโลกไม่ต้องการน้ำ สับปะรดเป็นพืชอวบน้ำ ถ้าไม่ให้น้ำเขา เขาจะเอาน้ำที่ไหนไปสร้างความอวบ
- ปริมาณน้ำที่สับปะรดต้องการระดับ "ชื้น-ชุ่ม" (ชื้น-ชุ่ม-โชก-แฉะ-แช่) เฉพาะช่วงที่แล้งมากๆเท่านั้น
- แปลงสับปะรด 300 ไร่ ติดสปริงเกอร์โอเวอร์เฮด ต้นทุนผลผลิตหัวละ 2.80 บาท ส่งโรงงานได้ราคาหัวละ 5.40 บาท.....เนื้อที่ 300 ไร่ สับปะรดราว 1 ล้านหัว แบบนี้รุ่นเดียวก็ได้ค่าลงทุนสปริงเกอร์แล้ว แต่ในความเป็นจริง สปริงเกอร์ชุดนั้นยังสามารถใช้งานต่อได้อีกนับ 10 (+) ปี
คลิก...
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1719&sid=806599c92e82e4049513168b3e1cf835
สปริงเกอร์โอเวอร์เฮด สับปะรด 300 ไร่
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1813&sid=d4c930e4f2fd68a1390aff9218ce21d3
สปริงเกอร์โอเวอรน์เฮด แบบเคลื่อนย้ายได้ (Mobile Overhead Springles)
------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก : (087) 995-66xx
ข้อความ : ขอคำแนะนำ ดูแลแคนตาลูปที่เขต จ.ตากครับ อากาศเย็น น้ำค้างแรง และสายพันธุ์....
ตอบ :
อันที่จริงแคนตาลูปก็เหมือนพืช "สวนครัว-อายุสั้นฤดูกาลเดียว-ประเภทเถาไม่มีมือเกาะ-กินผล" ทั่วๆไป แต่ด้วยคุณลักษณะสรีระ ราก-ใบ-ต้น-ผล ของเขาต้องการปฏิบัติบำรุงที่ละเอียดอ่อนกว่าเท่านั้น ..... กล่าวคือ
- ดิน ..... ว่ากันตั้งแต่ เนื้อดิน-อินทรีย์วัตถุ-จุลินทรีย์-สารอาหาร เหมือนดินปลูกถั่วฝักยาวแล้วต่อไปที่ฟักทอง-แตงร้าน (กระทู้ข้างบน) กับพืชสวนครัวอื่นๆ ทุกชนิดว่าได้เลย....เนื้อดินให้มีอินทรีย์วัตถุ 25-50% เทียบกับเนื้อดิน และบ่มดินมานานไม่น้อยกว่า 2 เดือน ..... ทางออกที่ดี คือ เตรียมเนื้อที่ไว้ 2 แปลง แล้วปลูกสลับแปลง ขณะที่กำลังปลูกแปลงหนึ่งอยู่นั้น ให้ "เตรียมดิน-บ่มดิน" อีกแปลงหนึ่งรอไว้ การปลูกจะได้ต่อเนื่องกัน
(.....อิสราเอลปลูกแคนตาลูป ไม่ใช้ดินเป็นวัสดุปลูก ไม่หวังพึ่งจุลินทรีย์และสารอาหารพืชประเภทสารอินทรีย์ใดๆ แต่ใช้ทรายล้วนๆแทน แล้วให้สารอาหารประเภทสารสังเคราะห์แทนทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ.....ผลผลิตที่ได้เกรดส่งออก 95% ของปริมาณผลผลิต.....นศ.สจล.ฝึกงานที่อิสราเอล.....)
- น้ำ.....แคนตาลูปเป็นพืชอวบน้ำระดับ "ชื้น" (ชื้น-ชุ่ม-โชก-แฉะ-แช่) สม่ำเสมอตลอด 24 ชม. ดังนั้นระบบให้น้ำที่เหมะสมที่สุด คือ "ระบบน้ำหยด" ทางราก....กับที่สันแปลงควรมีพลาสติกคลุมเพื่อกักเก็บความชื้นที่ผิวดิน
(.....แปลงปลูกแคนตาลูป 9 ใน 10 แปลง ปลูกแบบที่โล่ง แสงแดด 100% เพียง 1 ใน 10 หรือมากกว่าเท่านั้นที่ปลูกในโรงเรือน....)
- พันธุ์....แคนตาลูปเยอะสายพันธุ์มากๆ ที่ปลูกในประเทศไทยได้ บางสายพันธุ์กำเนิดจากต่างประเทศแท้ พอมาอยู่เมืองไทย กลับให้ผลผลิตคุณภาพดีกว่าอยู่ประเทศเดิมก็มี ส่วนสายพันธุ์ไหน จะเหมาะสมกับ "อากาศ-อุณหภูมิ" แบบไหนของเมืองไทยเรา ลองๆคลิกไปดูตามลิงค์ที่ยกมานี้ก็แล้วกัน
คลิก..
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2284#top
หลากหลายแคนตาลูป
- การบำรุง :
ระยะต้นเล็ก :
ทางราก......ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10
ทางใบ.......ไบโออิ + 25-5-5
ระยะก่อนออกดอก :
ทางราก......ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24
ทางใบ.......ฮอร์โมนไข่ไทเป
ระยะผลกลาง :
ทางราก.....ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 13-13-21
ทางใบ......ไบโออิ + ยูเรก้า สลับด้วย แคลเซียม โบรอน
ระยะผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว :
ทางราก....ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 13-13-21
ทางใบ.....ไบโออิ + ยูเรก้า หรือ 0-21-74 สลับด้วย แคลเซียม โบรอน
หมายเหตุ :
- ให้ปุ๋ยทางรากครั้งละ 2-3 ชม. วันละ 3 รอบ รอบสุดท้ายให้ตอนค่ำ
- ให้ปุ๋ยทางใบ ทุก 3 วัน ทุกครั้งที่ให้ +สารสมุนไพรด้วย
- เลี้ยงใบแรกโคนกิ่งให้ได้ หรือให้ร่วงได้เพียง 1-2 ใบโคนต้นเท่านั้น
- การช่วยผสมเกสรด้วยมือจะได้ผลผลิตคุณภาพดีกว่าปล่อยให้ผสมติดเองตามธรรมชาติ
- ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ยูเรก้า, ฮอร์โมนไข่ไทเป สูตรอยู่ที่หน้าเว้บ.....
------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก : (687) 494-05xx
ข้อความ : อยากทราบคุณสมบัติของสะเดา ไล่แมลงในนาข้าว.....
ตอบ :
**** ผลของสารสกัดสะเดาในการป้องกันกำจัดแมลงคือ
- ยับยั้งการกินอาหาร
- เป็นสารไล่แมลง
- ยับยั้งการเจริญเติบโต
- ทำให้ผลผลิตไข่ได้น้อยและยับยั้งการวางไข่
- ไม่เป็นอันตรายแก่เกษตรกร
- ไม่มีสารพิษตกค้าง
- ศัตรูธรรมชาติไม่ตาย
- ไม่เป็นอันตรายต่อปลา
http://www.ku.ac.th/e-magazine/june47/agri/sadoe.html
**** สารออกฤทธิ์ในสะเดาที่ใช้ป้องกัน กำจัดแมลงนั้น ต้องได้จากเมล็ดในสะเดา (Seed kernel) นำมาสกัดแล้วทำให้เข้มข้น สะดวกต่อการใช้ ที่เห็นว่าได้คุณภาพดีและสามารถขายไปต่างประเทศได้บ้าง ก็คือ สะเดาไทย หมายเลข 111 ของบริษัท ผลิตภัณฑ์สะเดาไทย จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังมีชนิดที่เข้มข้นมาก ๆ ปริมาณ AZADIRACHTIN 1-3% สามารถนำไปละลายในสารละลายบางอย่างที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์แล้วนำไปใช้กับการทำเกษตรอินทรีย์ได้อย่างดี เพื่อแก้ปัญหา การใช้สารกำจัดแมลง คุณสมบัติดังกล่าวมีดังนี้
1. เป็นสารไล่แมลงและทำให้แมลงไม่วางไข่
2. เป็นสารยับยั้งการกิน ทำให้ลดความเสียหายจากการกินและการเจาะ
3. ทำให้ตัวอ่อนของแมลงหรือหนอน ลอกคราบไม่ได้ แล้วตายในที่สุด
4. เป็นสารยับยั้งการสร้างสารไคตินของแมลง
5. รบกวนการสื่อสารเพื่อการผสมพันธุ์ ทำให้ไข่ไม่ถูกผสมโดยเพศผู้
6. ทำให้ลดปริมาณการสร้างไข่ของแม่ผีเสื้อ
7. ไม่ทำลายแมลงที่มีประโยชน์ เช่น แมลงห้ำ แมลงเบียน แมลงผสมเกสร
ดังนั้นเมื่อใช้สารสะเดาแล้วจะเกิดความสมดุลของแมลง แมลงจะควบคุมกันเอง เป็นการลดการใช้สารกำจัดแมลง
http://www.thaineem.com/index.php?option=com_content&task=view&id=12&Itemid=10
**** ชนิดของแมลงศัตรูพืช
ถือเป็นหัวใจของเกษตรกรที่ต้องให้ความใส่ใจในการแยกแยะ ระหว่างแมลงที่เป็นคุณต่อพืชและแมลงที่เป็นโทษต่อพืช เท่าที่ผ่านมาเกษตรกรไทยยังมีความรู้ในเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งยังได้ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ที่จะคอยช่วยปราบแมลงที่เป็นศัตรูพืชตัวจริงไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
นอกจากนั้น จากผลการทดลองในแปลงทดลองและห้องปฏิบัติการ พบว่า สารสกัดสะเดาให้ผลในการป้องกันและกำจัดแมลงแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของแมลง โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่สารสกัดสะเดาให้ผลเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ หนอนชอนใบหนอนกระทู้ หนอนหลอดหอม หนอนใยผัก หนอนม้วนใบ หนอนบุ้ง หนอนแก้วส้ม หนอนหัวกะโหลก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไก่แจ้ เป็นต้น แต่ในกรณีที่แมลงศัตรูพืชระบาดมาก อาจต้องใช้สารเคมีสังเคราะห์ผสมลงไปด้วยประมาณ 1-2 ครั้ง จากนั้นค่อยๆ ลดปริมาณสารเคมีลง จนในที่สุดพ่นแต่เพียงสารสกัดสะเดาเท่านั้น
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่สารสกัดสะเดาใช้ได้ผลปานกลาง ได้แก่ หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนเจาะต้นกล้าถั่ว หนอนเจาะดอกกล้วยไม้ หนอนเจาะยอดคะน้า หนอนเจาะถั่วฝักยาว หนอนเจาะมะเขือ แมลงวันทอง เพลี้ยจั๊กจั่น เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว ไรแดง เป็นต้น ศัตรูพืชกลุ่มนี้ต้องใช้เวลาในการพ่นสารสกัดสะเดานานกว่ากลุ่มแรก รวมทั้งต้องใช้สารเคมีร่วมด้วยบ่อยครั้งในระยะเริ่มต้น
กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่สารสกัดสะเดาไม่สามารถออกฤทธิ์กำจัดศัตรูพืชกลุ่มนี้ได้เลย เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูพืชทุกชนิด รวมทั้งด้วงปีกแข็งกัดกินใบ หมัดกระโดด และไรสนิม เป็นต้น
http://www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=2322
------------------------------------------------------------------------------------------------
. |
|