หน้า: 1/2
เผือก
1.พันธุ์ -
2. การเตรียมดิน เริ่มจากการไถดินตากประมาณ 7 วัน หากดินร่วนดีก็ทำการชักร่องปลูกได้เลย แต่ถ้าดินแข็งเป็นก้อนมากควรจะไถแปรอีก 1 ครั้งก่อนชักร่องปลูก ปล่อยน้ำไปตามร่องให้น้ำชุ่มชื้นอยู่ตลอดก่อนปลูก
3. การเพาะกล้าเผือก โดยการนำหัวเผือกที่มีขนาดเล็กๆ เท่าหัวแม่มือ (ชาวบ้านเรียกลูกเผือก) มาวางเกลี่ยให้เรียบโดยหัวเผือกไม่ซ้อนกันบนดินที่ไม่มีลูกหญ้า และรักษาความชื้นได้ดี กลบทับด้วยแกลบดำ ให้มิดหัวเผือกคลุมด้วยฟางข้าว ทำการรดน้ำทุกวัน จนเผือกมีใบจริงประมาณ 2-3 ใบ พร้อมนำไปปลูกได้
4. วิธีการปลูก นำต้นพันธุ์เผือกที่ได้จากการเพาะกล้ามาปลูกในร่องที่มีการปล่อยน้ำไว้แล้วโดยปลูก 2 แถว ใน 1 ร่อง สลับฟันปลา ระยะประมาณ 30 x 30 เซนติเมตร โดยที่การดำกล้าเหมือนดำนา แต่บางที่นำหัวพันธุ์ของเผือกลงปลูกได้เลยไม่ต้องมีการเพาะกล้า หรือบางรายปลูกบนร่องผักก่อนการเก็บผัก เช่น หอมแบ่ง คื่นฉ่าย ผักชี โดยนำหัวพันธุ์เผือกปลูกในร่องผักเลยเมื่อเก็บผักแล้ว เผือกก็โตมีใบจริง 3-4 ใบพอดี
5. การให้น้ำ การให้น้ำไปตามร่องจะสะดวกมาก และเก็บความชื้นได้ดี หรือจากเผือกตั้งต้นได้ดีแล้ว หรืองอกดีแล้ว ควรรักษาน้ำให้ชื้นอยู่ตลอด ส่วนการปลูกบนร่องผักก็ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
6. การใส่ปุ๋ย เมื่ออายุเผือกที่ปลูกด้วยกล้าประมาณ 30 วัน ควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 25-7-7 ตามความสมบูรณ์ของดิน อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ และใส่ทุกเดือน อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนการปลูกด้วยหัวพันธุ์เลย ควรใส่ครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 30 วัน หรืองอกมีใบจริงประมาณ 3-4 ใบ อัตราเท่ากับการปลูกด้วยกล้า
7. การแต่งหน่อ ส่วนที่เป็นหน่อ หรือลูกเผือกที่ไม่ต้องการ ต้องทำการขุดทิ้งไป หรือนำไปปลูกต่อไป โดยคอยหมั่นพรวนดินทุกๆ 1 เดือน
8. การเก็บเกี่ยว เผือกเมื่ออายุประมาณ 8 เดือน ก็ทำการเก็บเกี่ยวได้เกษตรกรจะทำการเก็บเกี่ยวโดยการถอนต้นก่อนพ้นดิน ทำการบิดๆ เพื่อให้ลูกเผือก หรือไรโชมไม่ติดขึ้นมากับหัวแม่ ตัดต้นให้เหลือประมาณ 10-15 เซนติเมตร ใช้มีดขุดๆหรือ เกาหัวให้สะอาด บรรจุถุง รอการจำหน่าย
9. โรคของเผือก เช่นโรคตากบ โรคใบไหม้ โรคแอนแทรคโนส ป้องกันกำจัดด้วยการพ่นสารป้องกันโรคพืช เช่น เมนโคเชป เบนเลท คาร์เบนดาซิม หรือโรยด้วยฟูราดาน รอบๆ โคน โดยพิจราณาใช้ตามอาการของโรค
10. แมลงศัตรูเผือก ที่พบ ได้แก่ หนอนกระทู้ผัก หนอนกระทู้หอม ป้องกันกำจัดโดยการฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น แลนเนท ไซเปอร์เมทริน
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
****************************************************************************************
เผือก
ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียวแต่ปลูกได้หลายรุ่นโดยมีหน่อขยายพันธุ์ต่อ ซึ่งการขยาย
พันธุ์นี้สามารถจับแยกออกไปปลูกใหม่ในแหล่งอื่นหรือปล่อยให้ต้นขยายพันธุ์เองตามธรรมชาติเหมือนกล้วย
* ปลูกได้ทุกภาค ทุกพื้นที่ และทุกฤดูกาล เจริญเติบโตดีในดินดำร่วนหรือดินทรายร่วน
มีอินทรีย์วัตถุมากๆ ระบายน้ำดี ความชื้นพอเหมาะ ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังค้างนานได้แต่ต้นจะ
ชะงักการเจริญเติบโตหรือโตช้า ขนาดหัวเล็ก การเกิดตะเกียงและลูกซอไม่ดี ถึงมีก็คุณภาพไม่ดี
* อายุต้นหลังปลูก 1 เดือน ช่วงนี้ควรมีใบ 10-14 ใบ เริ่มให้สารอาหารกลุ่มสร้างใบบำรุง
ต้น และเมื่ออายุต้นหลังปลูก 4 เดือน ช่วงนี้ไม่ควรมีใบ 8-10 ใบ ทุกใบควรหนาเขียวเข้ม
ก้านใบใหญ่แข็งแรง ชูใบแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มพื้นที่หน้าใบทุกใบ และเริ่มให้สารอาหารกลุ่ม
สร้างแป้งและน้ำตาล
* อายุต้นตั้งแต่เริ่มปลูกยืนต้นได้ถึงเก็บเกี่ยว 7-12 เดือนขึ้นกับสายพันธุ์ (พันธุ์หนัก/พันธุ์
เบา) และการปฏิบัติบำรุง
* นอกจากบริโภคส่วนหัวแล้ว ส่วนใบและก้านใบ ก็ใช้บริโภคได้ ซึ่งส่วนใหญ่ใบและก้าน
ส่งออกต่างประเทศ
* ส่วนหัว คือ แหล่งสะสมอาหาร ตราบใดที่ยังบำรุงด้วยสารอาหารกลุ่ม สร้างแป้ง-
น้ำตาล อย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางรากและทางใบ ตราบนั้นขนาดหัวก็จะใหญ่และมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะได้อายุเก็บเกี่ยวแล้วก็ตาม
* เมื่อต้นโตขึ้นถึงระยะลงหัวแล้วจะมี ลูกเผือกหรือลูกซอ เป็นเผือกหัวเล็กๆเกิดที่ด้าน
ล่างหัวแม่ ซึ่งลูกซอเหล่านี้จะเจริญเติบโตมีขนาดใหญ่และคุณภาพดีขึ้นต้องอาศัยอาหารจากต้นแม่
หลังจากนั้นจะมี ตะเกียง เป็นลูกเผือกเหมือนกันแต่งอกออกมาจากด้านข้างเหนือพื้นดินของหัวแม่
อีก จำนวนลูกซอหรือตะเกียงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการบำรุง
ทั้งลูกซอและตะเกียงใช้บริโภคหรือใช้ขยายพันธุ์ได้โดยลูกซอให้คุณภาพในการขยายพันธุ์
ดีกว่าตะเกียง
* ระหว่างต้นกำลังเจริญเติบโตนั้น ไม่ควรปล่อยตะเกียงไว้แต่ให้หมั่นเด็ดทิ้งตั้งแต่เริ่มแทง
ออกมาให้เห็นเพื่อไม่ให้สิ้นเปลือกน้ำเลี้ยง ส่วนลูกซออยู่ใต้หัวแม่ให้คงเก็บไว้
* หลังจากเก็บเกี่ยว (ถอน) หัวต้นแม่ออกไปแล้ว ปล่อยลูกซอทิ้งไว้ที่เดิมโดยไม่มีการ
เคลื่อนย้ายใดๆทั้งสิ้น ให้คลุมด้วยแกลบดำ (เก่าค้างปี) หนาๆ ทับด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งอีกชั้น
เพื่อรักษาความชื้นและไม่ต้องให้น้ำจะช่วยรักษาไว้ได้นานนับเดือนโดยลูกซอกไม่งอก เมื่อไม่ให้น้ำ
แล้วก็ต้องป้องกันน้ำค้างหรือน้ำฝนตกใส่ด้วยมิฉะนั้นลูกซอจะงอก
ถ้าจะไม่ปล่อยทิ้งลูกซอไว้ที่หลุมเดิมก็ได้แต่ต้องทำหลุมขนาดลึก 20-30 ซม. กว้าง/
ยาวตามความเหมาะสม อยู่โคนต้นไม้หรือที่ร่มเย็น อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีแสงแดด และ
ป้องกันน้ำได้ดี รองก้นหลุมด้วยแกลบดำ หนา 5-10 ซม. ปรับเรียบแกลบดำ แล้ววางเรียงลูกซอที่
เก็บมาจากหลุมเดิม (ไม่ต้องล้าง) ลงไป โรยแกลบดำทับหนา 10-20 ซม. คลุมด้วยเศษ
หญ้าหรือฟางแห้งหนาๆอีกชั้นหนึ่ง ก็สามารถเก็บรักษาลูกซอได้นาน 8-10 เดือนเช่นกัน โดยไม่
เสื่อมความงอกและเป็นการพักต้นก่อนนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อ ซึ่งจะส่งผลให้ได้เปอร์เซ็นต์ความ
งอกสูง
* เผือกมีดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศผสมตัวเองหรือต่างดอกต่างต้นได้ เมื่อดอกพัฒนา
เป็นผลจนมีเมล็ดแล้วนำเมล็ดไปขยายพันธุ์ได้แต่กลายพันธุ์และให้ผลผลิตช้า
* เคยมีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า พื้นที่ไร่ต่อไร่ ปลูกเผือกรายได้มากว่าข้าว 7 เท่า โดย
เผือก 1 รุ่น 7 เดือนกับนาข้าว 2 รุ่น 7 เดือนเท่ากัน
สายพันธุ์
เผือกหอม :
พิจิตร-016. พิจิตร-019. พิจิตร-08. เผือกหอมเชียงใหม่.
เผือกไม่หอม :
พิจิตร-06. พิจิตร-025. พิจิตร-012
พันธุ์พื้นเมือง :
เผือกเหลือง. เผือกไม้หรือเผือกไหหลำ. เผือกตาแดง. เผือกน้ำ. หัวขนาดเล็ก
(500-800 กรัม) เนื้อแน่น รสชาติดี
พันธุ์เนื้อสีขาวหรือครีม :
พิจิตร-06,-07,-025,-014 (เผือกบราซิล),ศรีปาลาวี.ศรีรัศมี (เผือกอินเดีย).
พันธุ์เนื้อสีขาวอมม่วง :
เผือกหอมเชียงใหม่. พิจิตร-016,-08,-05,-020.
หมายเหตุ :
- เผือกหอมพิจิตร-016 แตกตะเกียง 10-12 ตะเกียง/ต้น ทำให้ประหยัดเวลาและแรง
งานปลิดตะเกียงทิ้งเพื่อไม่ให้แย่งอาหารจากต้น (หัว) แม่ มีเปอร์เซ็นต์และน้ำตาลสูงสุดในบรรดา
เผือกทุกสายพันธุ์ ส่วนเผือกหอมเชียงใหม่ 20-25 ตะเกียง/ต้น
- เผือกน้ำต้องปลูกในแปลงมีน้ำหล่อ ระดับน้ำลึกพอท่วมคอดินจะโตเร็วให้ผลผลิตดี
เตรียมดิน อินทรีย์วัตถุ และแปลงปลูก
1.ไถดินเปล่าให้ขี้ไถขนาดใหญ่ ทิ้งตากแดดจัด 15-20 แดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคและกำจัด
เหง้าวัชพืช
2.ใส่อินทรีย์วัตถุ ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ + มูลค้างคาว) หมักข้ามปี.
ยิบซั่มธรรมชาติ. กระดูกป่น. เศษพืช. หว่านทั่วแปลงปลูกแล้วไถพรวนอินทรียวัตถุคลุกเคล้าลงดิน
ให้ทั่วถึง
3.ไถยกร่องลูกฟูก สันร่องกว้าง 1-1.20 ม. โค้งหลังเต่า สูงจากพื้นระดับ 30-50
ซม. ร่องทางเดินระหว่างสันแปลงกว้าง 1 ม. ลึก 20-30 ซม.จากพื้นระดับ
4.คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหรือหญ้าแห้งหนาๆ
5.บ่มดินโดยรดด้วย น้ำ + จุลินทรีย์หน่อกล้วยหรือปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก) ทุก 5-7 วัน ติดต่อกันนาน 1 เดือน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ปรับสภาพดิน กำจัดเชื้อโรค และย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้เป็นฮิวมิค แอซิด
6.ลงมือปลูกต้นกล้าที่เพาะไว้ล่วงหน้าแล้วโดยปลูกที่ริมสันลูกฟูกเป็น 2 แถวคู่ตรงกันหรือ
สลับฟันปลาก็ได้
หมายเหตุ :
- ดัดแปลงร่องทางเดินข้างสันลูกฟูกสำหรับปล่อยน้ำ (น้ำเปล่าหรือน้ำสารอาหาร) จากลาดสูง
ไปหาลาดต่ำเข้าไปหล่อในร่องได้ 1-2 เดือน/ครั้งจะดีมาก
- ติดตั้งระบบสปริงเกอร์เหนือยอด 30-50 ซม.สำหรับให้น้ำเปล่า น้ำสารอาหาร หรือ
สารสกัดสมุนไพรนอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของเนื้องานแล้วยังช่วยประหยัดทั้งเวลา
และแรงงานอีกด้วย
เตรียมสารอาหารเสริม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก)หรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
- ให้ฮอร์โมนบำรุงพืชกินหัว (มูลสัตว์ปีกสกัด) 1-2 เดือน/ครั้ง หลังจากเริ่มลงหัวแล้ว
- ให้ ฮอร์โมนน้ำดำ เดือนละ 1 ครั้งตั้งแต่เริ่มลงหัวถึงเก็บเกี่ยว
หมายเหตุ :
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพ
ความสมบูรณ์สูง
ระยะปลูก
ระยะปกติ 50 X 75 ซม.
ระยะชิด 45 X 50 ซม.
หมายเหตุ :
- การปลูกระยะชิดมากเกินไปเมื่อต้นโตขึ้นใบจะตั้งตรงเพราะเบียดกับต้นข้างเคียง การที่ใบไม่
สามารถแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มพื้นที่หน้าใบ ทำให้การสังเคราะห์อาหารไม่ดีจึงส่งผลให้ผลผลิตไม่ดี
ด้วย และการปลูกห่างเกินไปนอกจากทำให้เสียเนื้อที่แล้วยังทำให้แสงแดดส่องถึงพื้นจนวัชพืชเจริญ
เติบโตได้อีกด้วย.......การจัดระยะปลูกที่พอดี ไม่ชิดหรือไม่ห่างจนเกินไปจะทำให้ได้ผลผลิต
ปริมาณมากและคุณภาพดี
ขยายพันธุ์
- เลือกลูกซอที่ผ่านการเก็บใต้หัวแม่อย่างถูกวิธีนาน 1-2 เดือน
- เตรียมกระบะหรือปรับเรียบพื้นที่เพื่อใช้แทนกระบะ ขนาดกว้างยาวตามความเหมาะสม
อยู่ในร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ระบายน้ำดีและป้องกันน้ำท่วมได้ รองพื้นด้วยแกลบดำ (เก่าค้างปี)
ปรับเรียบหนา 10-20 ซม. วางลูกซอหรือตะเกียง ระยะห่าง 5-10 ซม. โรยทับด้วยแกลบดำ
อีกชั้นหนา 15-20 ซม. แล้วคลุมทับบนด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ
ประมาณ 20-30 วัน ลูกซอหรือตะเกียงก็จะเริ่มงอกมีใบแทงขึ้นมาเป็นต้นกล้า
- เมื่อต้นกล้าโตได้ 2-3 ใบ ให้ถอนแยกไปปลูกในแปลงจริงได้
หมายเหตุ :
แช่ลูกซอหรือตะเกียงใน “น้ำ 100 ล.+ ไคตินไคโตซาน 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุ
เสริม 100 ซีซี.+ จุลินทรีย์หน่อกล้วย 100 ซีซี.” นาน 12-24 ชม. นำขึ้นผึ่งลมจนแห้ง
ก่อน แล้วจึงนำไปเพาะ นอกจากทำให้ลูกซอหรือตะเกียงได้สะสมอาหารไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดซึ่งจะส่งผล
ให้ต้นกล้าสมบูรณ์โตเร็วแล้ว ยังช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมากับลูกซอหรือตะเกียงอีกด้วย
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อเผือก
1.ระยะต้นเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 25-5-25 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ ช่วงเช้าแดดจัด
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7(1-2 กก.)ไร่ ใส่ถังสพายฉีดโคนต้น
ทุก 15-20 วัน
- ให้น้ำปกติ ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มให้เมื่ออายุต้นได้ 1 เดือนหลังปลูก หรือมีใบแตกใหม่ 2-3 ใบ
- ไม่ควรใช้ยาฆ่าหญ้าอย่างเด็ดขาดตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว
- พรวนดินแล้วพูนโคนทุก 1 เดือน
2.ระยะลงหัว – เก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 5-10-40(400 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+
สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 10-15 ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ให้ฮอร์โมนน้ำดำ 2-4 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงลงหัว ถึงก่อนเก็บเกี่ยว
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก)+ 5-10-40(1-2 กก.)/ไร่/เดือน ใส่ถังสพายฉีดโคนต้น เดือนละ 1 ครั้ง
- ให้น้ำปกติ ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มให้เมื่ออายุต้น 4 เดือนหลังปลูกหรือเริ่มลงหัว
- กรณีปุ๋ยทางดินอาจพิจารณาใช้ 8-24-24 + 0-0-60(1:1)แทน 5-10-40
ได้ด้วยอัตราใช้เดียวกัน
- การให้ฮอร์โมนน้ำดำ เดือนละ 1 ครั้ง จะได้แม็กเนเซียมบำรุงใบให้เขียวตลอดอายุ
และสังกะสีช่วยสร้างแป้ง
- ระหว่างลงหัวควรบำรุงรักษาให้มีใบ 8-11 ใบขนาดใหญ่ ก้านใหญ่ และสูง 1.20-
1.50 ม. จะได้ผลผลิตดีมาก
- ก่อนลงมือเก็บเกี่ยวให้ตรวจสอบอายุ (ประจำสายพันธุ์) และสังเกตใบล่างเริ่มเหี่ยว
เหลืองในขณะที่ใบบน 2-3 ใบยังเขียวสดอยู่
- ก่อนเก็บเกี่ยวงดน้ำ 10-15 วัน
ดูรูปประกอบและข้อมูลเพิ่มเติมที่ "กูเกิ้ล - เผือก"