หน้า: 1/2
สำปะหลัง
เกร็ดความรู้เรื่องสำปะหลัง :
* สำปะหลังเป็นพืชประเภท “รากสะสมอาหาร” รากสามารถแตกออกมาจากตาตามข้อทุกตาที่ยัง
สมบูรณ์ได้ เมื่อรากโตขึ้นจะพัฒนาตัวเองให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เรียกว่า “หัว” ภายในหัวมีสารอาหารกลุ่มแป้ง
ซึ่งต้นจะนำกลับไปใช้เพื่อการดำรงชีวิตในช่วงขาดแคลนอาหารอย่างหนักได้
* เทคนิคการตัดแต่งตาที่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูก (ปัก) ทั้งตาที่ถูกตัดแต่งและแผลควั่นเปลือกสามารถแตก
รากออกมาได้ทั้ง 2 เทคนิค การที่ท่อนพันธุ์แทงรากออกมาจากหลายๆจุด จากบนลงล่าง เป็นชั้นๆ ในท่อนพันธุ์
เดียวกันได้นี้ ชาวไร่สำปะหลังเรียกว่า “มันคอนโด” ซึ่งทุกหัวที่ออกมาจากทุกจุด หากได้รับการบำรุงอย่างถูกวิธี
ก็จะเป็นหัวที่มีคุณภาพสูงได้…….เทคนิคเฉพาะสำหรับมันคอนโดก็คือ ปักท่อนพันธุ์ให้มีตาลงไปเนื้อดิน 15-20
ตา เหลือส่วนปลายให้อยู่เหนือดินเพียง 3-5 ตา สำหรับการแตกยอดเกิดใบเท่านั้น.......ในจำนวน 15-20
ตานี้ หากเกิดรากเพียง 3-5 ตา ย่อมหมายถึงปริมาณหัวที่เพิ่มขึ้นต่อ 1 ต้นนั่นเอง
* ท่อนพันธุ์ที่ได้จาก “ส่วนกลาง” ลำต้น เมื่อนำไปปลูก (ปัก) จะให้ผลผลิตและโตเร็วกว่าท่อนพันธุ์
ที่ได้จาก “ส่วนโคน” หรือ “ส่วนปลาย” ของต้นที่ใช้ทำพันธุ์
* ท่อนพันธุ์ที่ตัด “เฉียง” แล้วปลูก เมื่อโตขึ้นจะออกรากแล้วกลายเป็นหัวเฉพาะขอบแผลด้านบน
ส่วนแผลหรือปลายล่างสุดจะไม่ออกราก กรณีนี้ หากตัดท่อนพันธุ์ปลายที่จะปักลงดินแบบ “รอยตัดตั้งฉาก” กับ
ท่อนพันธุ์ สำปะหลังต้นนั้นจะออกรากรอบปลายท่อน……..เทคนิคตัดท่อนพันธุ์ให้รอยตัดตั้งฉากกับท่อนพันธุ์นี้จะ
ต้องปลูกหรือปักให้ตั้งฉากกับพื้นดินด้วย จึงจะได้ผล 100 % .......ในขณะเดียวกัน ท่อนพันธุ์ที่ตัดให้รอยตัด
เฉียงกับท่อนพันธุ์ แม้จะปลูกหรือปักตั้งฉากกับพื้นดิน รากก็จะออกเฉพาระแผลรอยตัดด้านเท่านั้น
* ผลผลิตจากสายพันธุ์ใหม่ล่าสุด กับ สายพันธุ์เก่า ที่ไม่ล้าสมัยนัก ภายใต้เทคนิคการปฏิบัติบำรุงเดียวกัน
สายพันธุ์ใหม่ล่าสุดสามารถให้ผลผลิตมากกว่าสายพันธุ์เก่าเพียง 10-15 % เท่านั้น ในทางกลับกัน หากสาย
พันธุ์ใหม่ล่าสุดได้รับการปฏิบัติบำรุงไม่ดีพอ แต่สายพันธุ์เก่าได้รับการปฏิบัติบำรุงอย่างดีก็จะให้ผลผลิต
มากกว่า.......นั่นคือ เรื่องของสายพันธุ์เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของการวางแผนปลูกสำปะหลังเท่านั้น หา
ใช่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดไม่ ........แต่สายพันธุ์มีความสัมพันธ์กับสภาพโครงสร้างดิน (เหนียว ร่วน ทราย)
อย่างมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เหมาะสมกับสภาพโครงสร้างดินที่ปลูก
* ต้นสำปะหลังที่ไม่ทิ้งใบเลย หรือทิ้งไปเพียง 1 ใน 4 ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว จะให้ผลผลิตดีกว่าต้น
ที่มีจำนวนใบเป็นกระจุกเล็กๆที่ปลายกิ่ง
* สำปะหลังเมื่ออายุครบเก็บเกี่ยว หากไม่ขุดขึ้นมาคุณภาพผลผลิตจะลดลง คือ นอกจากขนาดหัวจะ
ไม่ขยายใหญ่ขึ้นแล้ว น้ำหนักเบาลง เปอร์เซ็นต์แป้งลดลง ไส้ในกลวง อีกด้วย ชาวไร่เรียกว่า “กินตัว
เอง” ทั้งนี้เพราะ อายุครบขุดได้ถูกกะคำนวณล่วงหน้าให้ตรงกับช่วงหน้าแล้งซึ่งช่วยให้การขุดสำปะหลังสะดวก
และง่าย โดยไม่ได้คิดว่าช่วงแล้งนั้นไม่มีน้ำ ……..แนวทางแก้ปัญหา “กินตัวเอง” คือ ให้ “น้ำ+ สาร
อาหาร” เมื่อเข้าสู่ช่วงแล้ง หรือเมื่อพบว่าต้นเริ่มขาดน้ำ
* ปกติสำปะหลังจะเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 8 เดือนหลังปลูก ซึ่งมักตรงกับช่วงหน้าแล้ง กรณีที่ครบอายุเก็บ
เกี่ยวแล้วยังไม่เก็บเกี่ยวแต่ต้องการฝากแปลงต่อไป กรณีนี้สามารถทำได้โดยการระดมให้ "น้ำ + ปุ๋ย" ทั้งทาง
ใบและทางราก เทคนิคนี้ นอกจากสำปะหลังจะไม่กินตัวเองแล้วยังสร้างหัวสะสมแป้งเพิ่มขึ้นอีกด้วย กล่าวคือ
เมื่อครบกำหนดเก็บเกี่ยว (8 เดือน) แล้วฝากแปลงต่ออีก 2 เดือน จะได้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 20-25 % และเมื่อ
ครบกำหนดฝากแปลง 2 เดือนรอบแรกแล้วต้องการฝากแปลงต่ออีก 2 เดือนเป็นรอบ 2 ก็ให้ระดมให้ "น้ำ +
ปุ๋ย" ทั้งทางใบและทางรากอีก ก็จะได้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 20-25 % ของการฝากแปลงรอบแรก
* การหว่านเมล็ดถั่วเขียว อัตรา 2 กก./ไร่ ร่วมกับปักท่อนพันธุ์ จากนั้นบำรุงสำปะหลังควบคู่กับถั่วเขียว
ระยะเวลา 45 วัน ถั่วเขียวเริ่มออกดอกให้ล้มต้นถั่วเขียวแล้วปล่อยทิ้งปกคลุมหน้าดินไว้อย่างนั้น เศษซากต้นถั่ว
เขียวที่ได้นอกจากช่วยบังแดดไม่ให้แผดเผาหน้าดินแล้ว ยังป้องกันวัชพืชเจริญเติบโต และเมื่อเน่าสลายยังกลาย
เป็นปุ๋ยบำรุงดินได้อีกด้วย
* คุณภาพของสำปะหลังคือเปอร์เซ็นต์แป้ง สารอาหารเพื่อการสร้างแป้ง ได้แก่ สังกะสี. และ
ฟอสเฟต. ดังนั้นจึงควรให้ปุ๋ยทางราก 1 : 1 : 7 หรือ 2 : 1 : 7 (10-5-40) ร่วมกับ “สังกะสี” ใน
ฮอร์โมนน้ำดำ และแม็กเนเซียม.ในฮอร์โมนน้ำดำ ช่วยสร้างคลอโรฟีลด์ทำให้ใบเขียวสดตลอดช่วงแล้งได้ และ/
หรือ ให้ธาตุสังกะสี.เดี่ยวๆ ทางรากเสริมเป็นบางคราว ควบคู่กับปุ๋ยอินทรีย์ที่มีส่วนผสมของมูลสัตว์ปีก (ไก่ นก
กระทา ค้างคาว) เป็นพื้น.......เทคนิคการใส่ปุ๋ยแบบ “รองพื้น – รองก้นหลุม – หยอดโคนต้น” เป็นสิ่ง
สิ้นเปลืองโดยเกิดประโยชน์ต่อต้นสำปะหลังน้อยมาก
* ดินที่มีอินทรีย์วัตถุเป็นส่วนผสมมากๆ ถึงอัตราส่วน 1:1 หรือ ดิน 3 อินทรีย์วัตถุ 1 จะมีสภาพโปร่ง
ร่วนซุย เมื่อฝนตกลงมา น้ำฝนจะซึมดิ่งตรงๆลงสู่เนื้อดินลึกอย่างรวดเร็ว และน้ำนั้นจะแฝงอยู่ในเนื้อดินนานนับ
เดือน.......ในทางกลับกัน เนื้อดินที่ไม่มีอินทรีย์วัตถุใดๆเป็นส่วนผสม สภาพแข็งแน่น ผิวหน้าดินร้อนขนาด
เท้าเปล่าเดินลงไปไม่ได้ เมื่อฝนตกลงมา นอกจากน้ำจะไหลบ่าผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้วยังไม่อาจซึมดิ่งตรงๆลงลึกสู่
เนื้อดินด้านล่างได้ทันอีกด้วยเพราะเนื้อดินแน่นมากนั่นเอง
* เทคนิคปรับปรุงบำรุงดินด้วย “ ยิบซั่ม – กระดูกป่น – มูลไก่ – แกลบดิบ” โดยหว่านกระจายทั่วแปลง
แล้วไถด้วยผานระเบิดดินดาน (ริปเปอร์) หรือผานสอง ส่งอินทรีย์วัตถุลงในเนื้อดินให้ลึก 50-80 ซม. เสร็จ
แล้วไถพรวนเพื่อย่อยดิน........หรือหว่านเมล็ดถั่ว (กรมพัฒนาที่ดิน – ท้องตลาด) เมื่อต้นถั่วเริ่มออกดอกให้
ไถกลบลงดินลึก 1-2 รุ่น ก่อนก็ได้.......เทคนิคปลูกถั่วบำรุงดินมี 2 ทางเลือก คือ ปลูกเพื่อเอาผลผลิตก่อน
แล้วจึงจะเศษซากไถกลบ ให้ใช้เมล็ดพันธุ์อัตราปกติ ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนเก็บเกี่ยวผลผลิตถั่ว กับอีกทาง
เลือกหนึ่ง คือ ปลูกเพื่อไถกลบเศษซาก ไม่เอาผลผลิต ใช้เมล็ดพันธุ์มากกว่าปลูกเพี่อผลผลิต 2 เท่า ใช้ระยะเวลา
ประมาณ 45 เดือน ต้นถั่วเริ่มออกดอกก็ให้ไถกลบเศษซาก
* สภาพดินที่มีอินทรีย์วัตถุกับดินที่ไร้อินทรีย์วัตถุ ตรวจสอบได้โดยหลังฝนหยุด 1 ชม. หากขุดหน้าดิน
พิสูจน์ก็จะเห็นว่าน้ำสามารถซึมลงสู่เนื้อดินด้านล่างได้ลึกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
* ตรวจสอบประวัติดินที่ผ่านการปลูกสำปะหลังมานานหลายรุ่น แต่ละรุ่นได้เคยใส่ปุ๋ยจำนวนมาก ย่อมมี
ปุ๋ยหลงเหลือตกค้างอยู่ในดินเนื่องจากต้นนำไปใช้ไม่หมดจำนวนมากด้วย การปลูกสำปะหลังรุ่นต่อๆมา อาจไม่ต้อง
ใส่ปุ๋ยเคมีเลย เพียงแต่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ สารปรับปรุงบำรุงดิน จุลินทรีย์ และให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้น ทุก
15-20 วัน ความชื้นและจุลินทรีย์จะเป็นตัวปลดปล่อยปุ๋ยเคมีที่เหลือตกค้างมาเป็นประโยชน์ต่อสำปะหลังอย่าง
เพียงพอ จนสามารถสร้างผลผลิตเป็นที่น่าพอใจได้
* สัมปะหลังที่ปลูกใน "ดินแดง" เมื่อแปรรูปเป็นแป้งจะได้เนื้อแป้งสีคล้ำ ราคาไม่ดี ส่วนสำปะหลังที่ปลูก
ใน "ดินดำ" เมื่อแปรรูปเป็นแป้งจะได้เนื้อแป้ง "สีขาว" ราคาดี.....ทั้งนี้เกิดจากสารอาหารที่มีอยู่ในเนื้อ
ดิน แก้ไขโดยการ ตรวจหาชนิดของสารอาหารที่ทำให้เนื้อแป้งสีคล้ำแล้ว "ปรับ/แก้" โดยการเพิ่มสาร
อาหารที่ทำให้เนื้อแป้งเป็นสีขาวเข้าไปแทน
เกษตรานุสติ :
* ไม่มีพืชใดในโลกไม่ต้องการน้ำ เพียงแต่ต้องการมาก/น้อยตามชนิดของพืชเท่านั้น สำปะหลัง ก็เป็น
พืชชนิดหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเว้นธรรมชาติได้ สำปะหลังต้องการน้ำพอหน้าดินชื้นสม่ำเสมอ
* สำปะหลัง 100 ไร่ ปลูกแบบไม่ให้น้ำ ไม่ปรับปรุงบำรุงดิน ใส่ปุ๋ยเคมี 50 กก./ไร่/รุ่น ไม่ให้ปุ๋ย
ทางใบใดๆทั้งสิ้น ได้ผลผลิต 3 ตัน/ไร่ เท่ากับ 300 ตัน/รุ่น.......กับสำปะหลัง 10 ไร่ ปลูกแบบให้
น้ำ ใส่อินทรีย์วัตถุปรับปรุงบำรุงดิน ใส่ปุ๋ยเคมี 10 กก./ไร่/รุ่น ให้ปุ๋ยทางใบ ทุก 10-15 วัน ได้ผลผลิต 30
ตัน/ไร่/รุ่น เท่ากับ 300 ตัน/รุ่น......ตอบโจทย์ข้อนี้ ให้เปรียบเทียบต้นทุนระหว่าง 100 ไร่ กับ 10 ไร่ ว่า
ต่างกันอย่างไร ?
* ในงานสำปะหลังโลก จัดที่เมืองทองธานี กทม. สำปะหลังชนะเลิศการประกวด ใน 1 ต้น ได้หัวน้ำหนัก
กว่า 100 กก. เจาะลึกเทคนิคการบำรุงแล้วทราบว่า........เตรียมดินโดยเน้นอินทรีย์วัตถุสำหรับสำปะหลัง
(พืชกินหัว) โดยเฉพาะ อัตรา 1 : 1 กับเนื้อดิน สันแปลงยกสูง 75 ซม. ให้น้ำทุก 3 วัน ให้ปุ๋ยทางใบ
ทุก 5 วัน ให้ปุ๋ยทางรากทุก 20 วัน เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพดิน เตรียมท่อพันธุ์ด้วยการแช่ใน
“ไคตินไคโตซาน + สังกะสี” ก่อนนำลงปลูก 12 ชม.
ประสบการณ์ตรง :
* เกษตรกรผู้หญิงชาวไร่สำปะหลังที่รอยต่อ จ.พิจิตร-สุโขทัย ปลูกสำปะหลัง 20 ไร่ ด้วยวิธีการแบบ
เดิมๆ เคยได้ผลผลิต 3-4 ตัน/ไร่ หลังจากได้รับคำแนะนำจากลุงคิมว่า “ให้น้ำทุก 7-10 วัน” ไม่ต้องใส่
ปุ๋ยทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี แต่ให้ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ (สั่งตัด) 7-15 วัน/ครั้ง ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว ท่าม
กลางเสียงคัดค้านด้วยความหวังดี (แต่ไม่มีความรู้เรื่องสำปะหลัง) จากเพื่อนบ้าน แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจ รับฟัง
แต่ไม่รับทำ คงยืนกรานต์ทำตามแนวทางที่แนะนำอย่างแน่วแน่ กระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 20 ตัน/ไร่ ใน
ขณะเพื่อบ้านที่ให้คำแนะนำ ทำได้เพียง 4 ตัน/ไร่ เท่านั้น
* ชาวไร่ย่าน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ปลูกสำปะหลัง 20 ไร่ ด้วยวิธีการแบบเดิมๆ เคยได้ผลผลิต 2-3
ตัน/ไร่ ได้รับคำแนะนำจากสมาชิกชมรมสีสันชีวิตไทยว่า ให้ “น้ำ” อย่างเดียว ทุก 7-15 วัน ไม่ต้อง ใส่ปุ๋ย
อินทรีย์ ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมี แต่ให้ปุ๋ยทางใบ 15 วัน/ครั้ง ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว ปรากฏว่าได้ผลผลิต 12 ตัน/
ไร่ เจ้าของบอกว่า รุ่นนี้ระยะระหว่างต้นห่างมาก ถ้าปรับระยะปลูกให้ถี่ขึ้นคงได้ถึง 15 ตันอย่างแน่นอน
* เกษตรกรชาวไร่ย่าน ต.หัวลำ อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี โดยคำแนะนำจากกลุ่มสมาชิกชมรมสีสันชีวิตไทย
ปลูกพืชไร่ เช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ข้าวโพดหวาน สำปะหลัง ฯลฯ ในอดีตไม่เคยให้น้ำแก่พืชเหล่านี้เพราะ
เชื่อมั่นว่า “พืชไร่ไม่ต้องให้น้ำ” เมื่อปรับระบบการเพาะปลูกใหม่มาเป็นให้ “น้ำ” พอหน้าดินชื้น ลดปุ๋ยทาง
ราก – เพิ่มปุ๋ยทางใบ ทันทีที่เริ่มรุ่นแรกปรากฏว่า ต้นทุนลดกว่า 30-50 % ผลผลิตเพิ่มขึ้น 100-200 %
……..ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ชาวไร่หลายรายย่านนั้น สร้างมิติการเกษตรใหม่โดยเจาะบ่อบาดาลในแปลงแล้วติดตั้ง
ระบบสปริงเกอร์
* ชาวไร่สำปะหลัง อ.กบินทร์บุรี มีรถบริการดูดส้วมขนาดจุ 5,000 ล. วันนี้มีกากอยู่ก้นถังประมาณ
500 ล. จัดการเติมกากน้ำตาลลงไป 100 ล. แล้วเติมน้ำเปล่าจนเต็มถัง 5,000 ล. เรียบร้อยแล้วออกรถ
วิ่งๆเบรคๆแรงๆ เพื่อเขย่าให้น้ำในถังเข้ากัน ขึ้นไปทางเหนือไร่ซึ่งเป็นพื้นที่ลาดสูง แล้วเปิดก๊อกท้ายรถให้น้ำใน
ถังไหลออกมาพร้อมกับวิ่งรถช้าๆไปจนสุดเขตไร่ ความที่แปลงสำปะหลังเป็นพื้นที่ลาด น้ำในถังจึงไหลผ่านร่อง
ระหว่างแถวปลูก จากลาดสูงลงสู่ลาดต่ำ วิ่งรอบแรกสุดเขตไร่แล้ววิ่งย้อนพร้อมกับปล่อยน้ำซ้ำ ทำซ้ำได้ 3-4
รอบจนน้ำในถังหมด......ทำครั้งแรกเมื่อสำปะหลังอายุ 2 เดือน ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4 เดือน และครั้งที่ 3
เมื่ออายุ 6 เดือน.......เมื่ออายุสำปะหลังได้ 6 เดือน สุ่มขุดขั้นมาดูพบว่า หัวมันใหญ่ราวหน้าแข้ง ยาวเกือบ
สุดแขน แต่ละกอมี 3-6 หัวเป็นพวง ผ่าพิสูจน์เนื้อในมีแป้งได้เปอร์เซ็นต์ที่น่าพอใจอย่างมาก
เตรียมดิน-เตรียมแปลง :
1.ใส่อินทรีย์วัตถุ แกลบดิบ. ยิบซั่ม. กระดูกป่น. มูลไก่. มูลค้างคาว. ด้วยการหว่านปู
พรมให้ทั่วแปลง แล้วราดรดด้วยน้ำหมักชีวิภาพสูตรระเบิดเถิดเทิงด้วยการสาดทั่วแปลง เสร็จแล้วไถกลบด้วยริป
เปอร์ให้ลึก 50-75 ซม. เพื่อส่งอินทรีย์ทั้งหมดลงสู่ใต้ดินลึก
วัตถุประสงค์.......เพื่อให้ดินโปร่งร่วนซุยน้ำและอากาศผ่านสะดวก เมื่อฝนตกลงมาน้ำจะซึมลงสู่
ใต้ดินลึกได้ทันที ไม่ไหลผ่านไปง่ายๆ อินทรีย์วัตถุเหล่านี้นอกจากจะเป็นตัวอุ้มน้ำใต้
ดินลึกให้อยู่ได้นานแล้ว ยังเป็นแหล่งสารอาหารและจุลินทรีย์บำรุงดินอีกด้วย
2.ไถพรวนเพื่อย่อยดิน เสร็จแล้วยกร่องลูกฟูก ปรับเรียบสันแปลง สันลูกฟูกสูง 30-50 ซม. กว้าง
2 ม. ร่องระหว่างลูกฟูกลึก 30-50 ซม. ก้นสอบ
วัตถุประสงค์..... สันแปลงลูกฟูกสูงๆเพื่อให้สะเด็ดน้ำดี น้ำไม่ขังค้าง
หมายเหตุ :
การเตรียมดิน/แปลงถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งในการปลูกสำปะหลัง เทคนิคการใส่แกลบดิบ
ใส่ครั้งหนึ่งอยู่ได้นานนับ 10 ปี แกลบดิบนอกจากจะสลายตัวช้าแล้วยังสามารถอุ้มน้ำได้ดีอีกด้วย
สำปะหลังเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ย K. สูงมากเมื่อเทียบกับปุ๋ยตัวอื่นๆ เทคนิคการใส่ มูลไก่. มูลค้างคาว.
จึงเท่ากับเป็นการเน้น K. กับเป็นตัวช่วยอุ้มน้ำและเป็นแหล่งจุลินทรีย์อีกด้วย
เทคนิคการใส่อินทรัย์วัตถุแล้วไถกลบลงดินลึกๆ นั้น เมื่อฝนตกลงมาน้ำจะซึมลงสู่ใต้ดินลึกแล้วสามารถอยู่
ได้นานนับเดือน ซึ่งต่างจากดินที่หน้าดินแข็ง ไม่มีอินทรีย์วัตถุ เมื่อฝนตกลงมาน้ำไม่อาจซึมลงสู่ใต้ดินลึกได้แต่กลับ
ไหล่ผานหน้าดินไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลังฝนหยุดไม่เกิน 3 วัน หน้าดินก็จะแห้งแข็งเหมือนเดิม.....
พิสูจน์ :
หลังฝนหยุด 1-2 ชม. ทดสอบโดยการขุดหน้าดิน ถ้าในเนื้อดินไม่มีอินทรีย์วัตถุ จะพบว่าน้ำฝนสามารถ
ซึมลงสู่เนื้อดินได้ลึกไม่เกิน 1 ฝ่ามือ และน้ำบริเวณนี้จะอยู่ได้นานไม่เกิน 3 วัน แต่ถ้าในเนื้อดินมีอินทรีย์วัตถุ กลับ
พบว่าน้ำฝนสามารถซึมลงสู่เนื้อดินได้ลึกเท่าที่ได้อินทรีย์วัตถุลงไป (50-70 ซม.) และน้ำนี้จะคงอยู่ได้นานนับ
เดือน - หลายเดือน
เตรียมพันธุ์ :
1. เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพโครงสร้างดิน (ดำ-เหนียว, ดำ-ร่วน, ทราย-เหนียว, ทราย
ร่วน, ฯลฯ) เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการบำรุง
2. เลือกสายพันธุ์ที่ออกหัวแบบรอบทิศ หรือเป็นช่อ สั้น อ้วนใหญ่ เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการขุดหรือ
ถอนยกกอด้วยมือ หรือขุดด้วยรถขุด ไม่แนะนำสายพันธุ์ที่ออกหัวยาว 2 ข้าง เหมือนเขาควาย เพราะเวลาขุดจะ
หักต้องขุดซ้ำตามเก็บส่วนที่หักทำให้เสียเวลา
3. เลือกต้นพันธุ์ที่สมบูรณ์แข็งแรง อวบน้ำ ข้อห่าง ตาใหญ่ มีใบติดต้นมากๆ
4. ใช้ส่วนกลางของลำต้นของต้นพันธุ์เท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ส่วนโคนแก่จัด หรือส่วนปลายอ่อนจัด
5. ตัดท่อนพันธุ์เป็นท่อน ยาว 25-30 ซม. ส่วนโคนที่จะใช้ปักลงดินตัดเป็นมุมฉากกับลำต้น ส่วนปลาย
ตัดฉากหรือตัดเฉียงก็ได้ พยายามอย่าเปลือกรอยตัดที่โคนท่อนพันธุ์ช้ำหรือเปิดแยก (ระหว่างเปลือกกับแก่นใน
คือ "เยื่อเจริญ" ซึ่งเยื่อเจริญนี้จะเป็นจุดที่แตกราก) ตัดเสร็จนำลงแช่ "น้ำ 100 ล.(พีเอช 6.0)+ ไคติน
ไคโตซาน 100 ซีซี. + สังกะสี 100กรัม" ทันทีไม่ควรปล่อยให้แผลรอยตัดแห้ง เพื่อให้ท่อนพันธุ์ได้ดูดซับ
สารอาหารเข้าไปเก็บไว้ในตัวเองก่อนปลูกแล้วเจริญเติบโตต่อไป.....แช่นาน 6-12 ชม. ให้นำขึ้นมาตัดแต่งตา
6. ตัดแต่งตา โดยนำท่อนพันธุ์ที่แช่น้ำสารอาหารครบกำหนดแล้วขึ้นมาตัดแต่งตา โดย....
วิธีที่ 1........ใช้มีดคมๆ (คัตเตอร์) เฉือนเฉพาะปลายตุ่มตาออกเล็กน้อย ประมาณครึ่งหนึ่งของความ
สูงของตุ่มตา ถึงเยื่อเจริญ เฉือนประมาณ 4-5 ตุ่มตา ที่อยู่ตรงข้ามกันและให้กระจายห่างเท่าๆกัน
วิธีที่ 2........ใช้มีดคมๆ ควั่นหรือตัดตรงๆที่เปลือกระหว่างตาบนตาล่าง ความยาวประมาณ 1 ใน 4
ของเส้นรอบวงท่อนพันธุ์ ควั่นให้เปลือกขาดเพื่อตัดเส้นทางน้ำเลี้ยง
จากท่อนพันธุ์ที่ตัดเตรียมไว้ยาวประมาณ 25-30 ซม.นั้น จะปักปลูกลงดินลึกโดยให้เหลือส่วนปลายอยู่
เหนือพื้นดินประมาณ 5-10 ซม. (1 ฝ่ามือตั้ง) ดังนั้นจึงควรกะประมาณจำนวนตุ่มตาที่จะตัดแต่งหรือควั่นเปลือก
ตัดเส้นน้ำเลี้ยง จำนวนทั้งท่อน 4-5 ตุ่มตาให้เฉลี่ยกระจายระยะห่างเท่าๆกัน และอยู่ตรงข้ามกัน......ตุ่มตาที่ถูก
ตัดจะแตกรากใหม่ กับตุ่มตา (ไม่ได้ตัด) เหนือหรือไต้รอยควั่นจะแตกราก และรากก็จะพัฒนาเป็นหัวต่อ
ไป.......ในขณะที่ปลายล่างสุดของท่อนพันธุ์มีการแตกรากตามปกติอยู่แล้วนั้น กรณีนี้ทำให้ท่อนพันธุ์ 1 ท่อน
โตขึ้นเป็น 1 ต้น จะมีหัวเกิดขึ้นทั้งที่ปลายล่างสุดของท่อนพันธุ์กับจากตาที่กลางท่อนพันธุ์อีก ซึ่งจะส่งผลให้ได้
จำนวนหัวต่อต้นมากขึ้น ชาวไร่สำปะหลังเรียกว่า "มันคอนโด" คือ มีหัวเป็นชั้น 2-3-4 ชั้น ขึ้นอยู่กับความ
สมบูรณ์อันเนื่องมากจากการปฏิบัติบำรุง
ท่อนพันธุ์ที่ผ่านการตัดแต่งตา หรือควั่นเปลือกแล้ว ผึ่งลมในร่มให้แห้งนาน 12-24 ชม.จึงนำไปปักปลูก
ในแปลงจริง.....เทคนิคการปล่อยให้ท่อนพันธุ์ผึ่งลมจนแห้งจะทำให้ท่อนพันธุ์เกิดความเครียด เมื่อนำไปปักปลูก
จะแตกยอดใหม่เร็ว
7. ปลูกโดยการปักท่อนพันธุ์ให้ "ตั้งฉาก" กับพื้นดิน เทคนิคนี้จะทำให้ส่วนปลายล่างสุดซึ่งตัดฉากกับ
ท่อนพันธุ์รอไว้แล้วแล้วนั้นเกิดรากใหม่ "รอบทิศทาง" ของท่อนพันธุ์......ถ้าตัดท่อนพันธุ์แบบฉากแต่ปัก
เฉียง รากจะออกเฉพาะรอยตัดหรือแผลตัดด้านบนเท่านั้น......ถ้าตัดท่อนพันธุ์เฉียงแล้วปักปลูกแบบตั้งฉากกับ
พื้น ก็จะออกรากเฉพาะที่แผลรอยตัดบน......ถ้าตัดท่อนพันธุ์เฉียงแล้วปักเฉียงกับพื้นดิน ก็จะออกรากเฉพาะ
จากแผลรอยตัดด้านบนเท่านั้น ยิ่งหากตัดท่อนพันธุ์เฉียงแล้วปักเฉียงกับพื้นดินให้แผลรอยตัดด้านบนลงล่าง ยิ่ง
ออกรากน้อย หรือออกรากแล้วไม่เป็นหัวหรือเป็นหัวไม่สมบูรณ์
อุปกรณ์-เทคนิคการให้น้ำ :
หลักการและเหตุผล
- ไม่มีพืชใดในโลกไม่ต้องการน้ำ เพียงแต่ต้องการน้ำปริมาณมากถึงระดับท่วมขัง หรือต้องการ
ปริมาณเพียงหน้าดินชื้น เท่านั้น......ในอดีตที่ผ่านมาชาวไร่ถูกปลูกฝังให้มีทัศนคติที่ผิดต่อพืชไร โดยว่า "พืช
ไร่เป็นพืชทนแล้ง ไม่ต้องการน้ำ" จึงไม่มีการให้น้ำใดๆทั้งสิ้น บางคราวขาดน้ำถึงขนาดยืนต้นตายก็มีให้เห็บ่อยๆ
ในทางกลับกัน คราวใดที่มีฝนตกลงมา พืชไร่ที่เคยเหี่ยวเฉากลับงามสะพรั่งเขียวขจีขึ้นมาได้ กระนั้นชาวพืชไร่ก็
ยังไม่ยอมรับว่า พืชไร่ก็ต้องการน้ำเช่นเดียวกับพืชอื่นๆ
- จากประสบการณ์ตรงผ่านรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตรและอาชีพเสริม ได้ชี้นำพร้อมด้วย
เหตุผลทางธรรมชาติและวิชาการ แนะนำชาวไร่สำปะหลังให้น้ำ 1-2 อาทิตย์/ครั้งช่วงแล้งจัด หากฝนตกก็ให้
เลื่อนกำหนดออไปได้ ปรากฏว่า ทุกรายที่ให้น้ำได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 3-4 ตัน/ไร่ เป็น 10-15 ตัน/ไร่ ทั้งๆ
ที่บางรายใส่ปุ๋ยเท่าเดิมและสูตรเดิม และบางรายไม่ใส่ปุ๋ยเลย
วิธีที่ 1.....ติดสปริงเกอร์แบบ "ท็อปกัน" หรือ "โอเวอร์เฮด" โดยการติดตั้งแบบตายตัว หรือ
ถอดประกอบแล้วย้ายตำแหน่งติดตั้ง
วิธีที่ 2......จัดแปลงปลูกให้มีช่องทางเป็นถนนสำหรับให้รถบรรทุกน้ำติดตั้งเครื่องสูบน้ำวิ่งฝ่าเข้าไปได้
เข้าไปแล้วฉีดพ่นน้ำออก 2 ปีกซ้ายขวา สุดแปลงแล้ววนกลับโดยมีอีกช่องทางเป็นถนน แล้วฉีดพ่นน้ำ 2 ปีก
ซ้ายขวา วนไปกลับฉีดน้ำจนทั่วทั้งแปลง
วิธีที่ 3......ปล่อยน้ำไหลจากลาดสูงไปตามร่องระหว่างแถวปลูกลงสู่ลาดต่ำ
วิธีที่ 4......ลากสายยาง
การบำรุง :
ระยะต้นเล็ก
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 7 วัน
- อายุต้นประมาณ 2 เดือน เริ่มให้ "ฮอร์โมนน้ำดำ" สลับกับ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-
10" ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น 15-20 วัน/ครั้ง
- กำจัดวัชพืชด้วยการถากหรือดายด้วยจอบเพื่อตัดราก แล้วนำคลุมโคนต้น
หมายเหตุ :
ถ้ามีการเตรียมดินด้วย แกลบดิบ. ยิบซั่ม. กระดูกป่น. มูลไก่. มูลค้างคาว. ตั้งแต่แรก
แล้วไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเคมี เพราะปริมาณสารอาหารที่ได้จากอินทรีย์วัตถุเหล่านี้แม้จะไม่มากแต่ก็ถือว่าพอเพียงต่อ
ความต้องการของต้นสำปะหลังระยะต้นเล็ก
ระยะเริ่มลงหัว
ทางใบ
- ในรอบ 1 เดือน ให้ "น้ำ 100 ล.+ ปุ๋ยทางใบ อัตราส่วน 1 : 2 : 8 (5-10-40/400 กรัม)+
ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี." 1 ครั้ง สลับกับให้ "ฮอร์โมนน้ำดำ" อีก 1
ครั้ง โดยฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น เป็นการให้น้ำไปในตัว
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3-5 วัน ช่วงที่สภาพอากาศเหมาะสมต่อการแพร่ระบาดของศัตรูพืช
ทางราก
- กำจัดวัชพืชด้วยวิธีถากหรือดายด้วยจอบ แล้วปล่อยคลุมหน้าดิน
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้นสม่ำเสมอ
หมายเหตุ :
- แม็กเนเซียม.ในฮอร์โมนน้ำดำจะช่วยสร้างคลอโรฟีลด์ ทำให้ใบเขียวสดเป็นเงามันวาวและใบไม่ร่วงตั้งแต่
แรกเกิดถึงเก็บเกี่ยวได้
- สังกะสี.ในฮอร์โมนน้ำดำจะช่วยสร้างแป้ง
- ฟอสฟอรัส.ในมูลค้างคาว (ในน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง) เป็นตัวเสริมปริมาณฟอสฟอรัส.ในปุ๋ยเคมีให้
มากขึ้นเพื่อช่วยในการสร้างแป้ง
- เทคนิคการให้น้ำเดี่ยวๆ หรือให้ "น้ำ + สารอาหาร" ทางใบจนโชกลงถึงพื้น ทำให้ต้นได้รับน้ำสม่ำ
เสมอ นอกจากต้นจะไม่ทิ้งใบเลยแล้วยังช่วยให้ผลผลิตดีอีกด้วย
- กรณีที่หา 1 : 2 : 8 (5-10-40) ไม่ได้ แนะนำให้ใช้ 8-24-24 + 0-0-60 (1:1) หรือ
14-7-21 + 0-0-60 (1 : 1)แทนได้ ในอัตราใช้เดียวกัน
- มันสำปะหลังที่ชนะเลิศในงานประกวด "มันสำปะหลังโลก" ที่เมืองทองธานี ปี 2552 นั้น สำปะหลัง
1 กอ.น้ำหนัก 100(+) กก. เปอร์เซ็นต์แป้ง 30(+) % ...... ทราบว่า ดินปลูก อินทรีย์วัตถุ : เนื้อดิน
1:3 สันแปลงสูง 70 ซม. ให้น้ำด้วยระบบน้ำหยดตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว