-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 328 บุคคลทั่วไป และ 1 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

มะม่วง




หน้า: 5/7


มนตรี แสนสุข

มะม่วงอกร่องโบราณ
ของ วีระศักดิ์ (ผู้ใหญ่แก้ว) อร่ามรัตน์


สำหรับผู้นิยมมะม่วงอกร่องกับข้าวเหนียวมูน แหล่งปลูกใหญ่ ที่ "บ้านแพ้ว"

"มะม่วง" ไม้ผลยืนต้น นิยมปลูกกันทั่วประเทศ มีอยู่นับร้อยสายพันธุ์ มีการบันทึกกันไว้ว่า มะม่วงในประเทศไทยจากอดีตจนปัจจุบันมีอยู่ 200 กว่าสายพันธุ์ กระจายกันอยู่ทุกภาคทั่วประเทศ บางสายพันธุ์ล้มหายตายจากสูญพันธุ์ไปแล้วก็มี ส่วนใหญ่จะเป็นมะม่วงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อพันธุ์ มะม่วงประเภทนี้จะขึ้นอยู่ตามหัวไร่ปลายนา ตามป่าเขากระจัดกระจายกันอยู่ รสชาติอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างว่ากันไปตามเรื่อง

แต่มะม่วงที่ผู้บริโภคให้ความนิยมในปัจจุบันนี้มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้น มะม่วงสายพันธุ์หลักๆ ที่นิยมบริโภคกันอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศก็เห็นจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงเขียวเสวย มะม่วงอกร่อง มะม่วงแรด มะม่วงแก้ว มะม่วงหนังกลางวัน มะม่วงพิมเสน มะม่วงมหาชนก และอื่นๆ อีกไม่กี่สายพันธุ์ นอกนั้นก็เป็นมะม่วงพื้นบ้านที่ออกตามฤดูกาลขายกันในท้องถิ่น มีมากพอสมควร ส่วนมะม่วงที่ไม่ทราบยี่ห้อไม่ทราบสายพันธุ์ขึ้นตามชนบททั่วๆ ไปนั้น ประเภทนี้มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ยากที่จะแยกแยะและสืบค้นหาที่มาที่ไป

สำหรับ "มะม่วงอกร่องโบราณ" ที่จะกล่าวถึงนี้ ยังมีอยู่อีกมากพอสมควร ขึ้นกระจัดกระจายในเขตพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะเขตอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เป็นแหล่งปลูกมะม่วงอกร่องโบราณแหล่งใหญ่ของประเทศ ในแต่ละปีมีผลผลิตมะม่วงออกสู่ตลาดหลายพันตัน

มะม่วงอกร่อง เป็นมะม่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุดเมื่อในอดีตที่ผ่านมา จัดว่าเป็นมะม่วงที่รับประทานกับข้าวเหนียวมูนอร่อยที่สุด รสชาติของมะม่วงจะหอมเป็นเอกลักษณ์ หวาน อร่อย กลมกลืนกับข้าวเหนียวมูน จึงได้รับความนิยมถูกจัดอยู่ในประเภทของว่างตามฤดูกาลคือ "ข้าวเหนียวมะม่วง"

มาระยะหลังมีการพัฒนามะม่วงน้ำดอกไม้จนได้คุณภาพ ทำให้มะม่วงน้ำดอกไม้กับข้าวเหนียวมูนมีผู้นิยมบริโภคพอๆ กันกับมะม่วงอกร่อง และอาจจะมากกว่า เหตุเพราะมะม่วงน้ำดอกไม้ในปัจจุบันมีผลผลิตเป็นจำนวนมาก ผู้คนหาบริโภคง่าย ตลอดจนรสชาติหวาน หอม อร่อย เป็นที่ถูกปากถูกใจผู้บริโภคเช่นกัน มะม่วงน้ำดอกไม้จึงมาแรงแซงโค้งอยู่ทุกวันนี้

คุณวีระศักดิ์ อร่ามรัตน์ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันดีในนาม "ผู้ใหญ่แก้ว" อดีตเคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสารวัตรกำนัน ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านแพ้ว เป็นอีกผู้หนึ่งที่จับงานทำสวนมะม่วงมาโดยตลอด ปัจจุบันเปิดโรงบ่มมะม่วงอยู่ที่บ้าน มีมะม่วงจากสวนเข้ามาให้บ่มในช่วงฤดูมะม่วงมากมาย ถือว่าเป็นโรงบ่มมะม่วงใหญ่ที่สุดในเขตตำบลหนองบัว และอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ก็ว่าได้

ผู้ใหญ่แก้ว บอกว่า ถ้าเป็นฤดูมะม่วงเก็บผลผลิต ที่บ้านเปิดรับบ่มมะม่วง มีผลผลิตมะม่วงเข้ามาบ่มวันละเป็นร้อยๆ ตัน มะม่วงที่เข้าโรงบ่มจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้กับมะม่วงอกร่อง เพราะตลาดนิยมบริโภคผลสุกมากกว่าผลดิบ

สำหรับมะม่วงในสวนของผู้ใหญ่แก้วนั้น เจ้าตัวบอกว่า มีทั้งมะม่วงน้ำดอกไม้ และมะม่วงอกร่อง โดยเฉพาะมะม่วงอกร่องโบราณ ที่สวนน่าจะมีมากที่สุดในตำบลก็ว่าได้ เป็นมะม่วงที่ปลูกกันมาแต่ครั้งรุ่นคุณพ่อคุณแม่ ล้อมรอบคันสวนมะม่วง แต่ละต้นมีอายุนับสิบๆ ปี บางต้นอายุร่วม 100 ปี ก็มี

ผู้ใหญ่แก้ว กล่าวต่อไปว่า มะม่วงอกร่องโบราณ หรืออกร่องธรรมชาติ หรืออกร่องทอง พันธุ์เดียวกันแต่เรียกกันหลายชื่อ จริงๆ แล้วเป็นมะม่วงโบราณ มีอายุนับ 100 ปี สืบทอดสายพันธุ์มาจนทุกวันนี้ มะม่วงอกร่องนั้นมีหลายสายพันธุ์ เช่น มะม่วงอกร่องโบราณ หรือมะม่วงอกร่องทอง มะม่วงอกร่องพิกุลทอง มะม่วงอกร่องหอม และมะม่วงอกร่องกะทิ

มะม่วงอกร่องพิกุลทองนั้น จัดว่าเป็นน้องใหม่ที่กลายพันธุ์จากมะม่วงอกร่องโบราณได้รับความนิยมพอสมควร ระหว่างมะม่วงอกร่องโบราณกับมะม่วงอกร่องพิกุลทองนั้นมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ มะม่วงอกร่องพิกุลทอง ทรงผลยาวกว่ามะม่วงอกร่องโบราณ ผิวเปลือกเหลืองสวย ส่วนมะม่วงอกร่องโบราณ ทรงผลออกแบน ออกอ้วนกว้าง บ่มแล้วผิวเหลืองสวย ผลดิบที่อกมีร่อง แต่พอแก่จัดร่องอกจะเติมเต็มหายไป

กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของมะม่วงอกร่องคือ หอมมาก รับประทานกับข้าวเหนียวมูนสุดยอดทั้ง 2 สายพันธุ์ แต่ดูเหมือนว่ามะม่วงอกร่องโบราณจะมีรสชาติอร่อยกว่า หอม หวาน และเปลือกบางกว่า มะม่วงอกร่องพิกุลทองจะได้ทรงผลใหญ่

ส่วนมะม่วงอกร่องกะทิ เป็นมะม่วงโบราณอีกสายพันธุ์หนึ่ง มีรสชาติหวานมัน รับประทานดิบรสชาติออกมัน ผิวผลไม่สวย ออกขรุขระ สีผลเข้มเหลืองออกเขียวแซมเล็กน้อย รสชาติหวานมันกว่ามะม่วงอกร่องโบราณ กลิ่นหอมคล้ายมะม่วงอกร่องโบราณ รับประทานทานสุกเปล่าๆ อร่อยดี แต่รับประทานกับข้าวเหนียวมูนสู้มะม่วงอกร่องโบราณไม่ได้ รับประทานผลดิบห่ามๆ แบบปากตะกร้อออกหวานมัน อร่อย รับประทานดิบออกมัน ไม่เปรี้ยว ทรงผลใหญ่กว่ามะม่วงอกร่องโบราณ ผิวผลไม่เรียบ รูปทรงไม่สวย เนื้อหนา เมล็ดบาง หารับประทานยากเพราะไม่ค่อยมีใครปลูกกัน ตลาดไม่ต้องการ เพราะทรงผลขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่สวย ออกตามฤดูกาลเป็นมะม่วงฤดูปี

สำหรับมะม่วงอกร่องหอม ผู้ใหญ่แก้ว อธิบายว่า เป็นมะม่วงอกร่องโบราณเช่นกัน ทรงผลมะม่วงอกร่องหอม หัวจะโตกว่า ท้ายผลลีบเล็ก ผิวจะออกเหลืองขาว นำมาบ่มจะเสียหายมาก ผิวมักเสียไม่ค่อยสวย รสชาติหวานเย็น ไม่มีความมัน เทียบกับมะม่วงอกร่องโบราณไม่ได้ อกร่องโบราณหวานมันกว่า ส่วนกลิ่นหอมรัญจวนใจพอๆ กัน

ผู้ใหญ่แก้ว บอกว่า มะม่วงอกร่อง ถ้าจะรับประทานให้อร่อยต้องสอยตอนสุกปากตะกร้อ แล้วนำมาบ่ม 2 คืน สุดยอดจริงๆ แต่มะม่วงอกร่องปัจจุบันนี้มักจะสอยชิงราคากัน คือเก็บก่อนกำหนด มะม่วงอกร่องอายุเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 120 วัน พอมะม่วงอายุ 105 วัน ขึ้นไป เกษตรกรจะเริ่มสอยกันแล้ว ความแก่จะอยู่ที่ 85% แล้วนำมาบ่มแก๊ส ซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ เกษตรกรจะสอยไปจนหมดก็ครบ 120 วัน ถึงตอนนี้มะม่วงที่ครบกำหนด เพราะแก่ 100% จะเริ่มเสียหายแล้ว ฉะนั้น เกษตรกรส่วนใหญ่มักสอยมะม่วงอยู่ในราว 85% แล้วนำมาบ่ม

ส่วนกรณีที่เป็นสวนใหญ่ มีจำนวนต้นมะม่วงมาก เมื่อคำนวณดูแล้วว่าหากเริ่มสอยมะม่วงตั้งแต่อายุ 105 วัน ขึ้นไป กว่าจะหมดสวนก็ไม่ทันการ เพราะกาลเวลาในแต่ละวันมะม่วงจะสุกมากขึ้นๆ ถึงเวลาครบกำหนด 120 วัน หากยังสอยมะม่วงไม่หมด เหลือตกค้างบนต้นมาก ความเสียหายจะเกิดมาก มะม่วงจะสุกก่อนเก็บขาย กรณีนี้เกษตรกรก็จะเก็บมะม่วงกันก่อน ไล่ตั้งแต่ 60 วัน ขึ้นไป มะม่วงที่เก็บก่อนจะไม่ได้คุณภาพ จำเป็นต้องเคล้ากันไปอย่างนี้ มิเช่นนั้นจะเกิดความเสียหายมาก มะม่วงอกร่องถ้าจะให้อร่อย ได้คุณภาพตามมาตรฐาน ต้องเก็บอายุ 110 วัน ขึ้นไป จึงจะดี

หลังจากที่เก็บมะม่วงลงมาจากต้นแล้ว ต้องนำมาบ่มแก๊ส ผู้ใหญ่แก้ว บอกว่า การบ่มแก๊ส หลายๆ คนไม่เข้าใจ คิดว่าจะเป็นอันตราย ซึ่งจริงๆ แล้ว แก๊สเพียงมีส่วนทำให้เกิดความร้อนไปบ่มมะม่วงให้สุกเร็ว และสุกสม่ำเสมอกันทุกผลเท่านั้นเอง ไม่มีผลเสียหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแต่ประการใด

วิธีการบ่มมะม่วงต้องใช้พื้นที่เป็นพื้นเรียบกว้างพอสมควร จากนั้นก็เอากระสอบป่านมาปูเต็มพื้นที่ แล้วเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาปูทับให้ทั่วอีกชั้นหนึ่ง นำมะม่วงที่จะบ่มมาวางเรียงกันเป็นแถว เอาด้านหัวมะม่วงลงเรียง พอเรียงเป็นแถวจนหมดแล้วก็เอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อแก๊สที่จะใช้บ่ม นำห่อแก๊สไปวางบนแถวเรียงมะม่วงระยะห่างระหว่างห่อแก๊สพอสมควร วางเป็นจุดๆ ให้ทั่วทั้งกอง ถ้าบ่มมะม่วงฤดูหนาวอากาศเย็นต้องวางห่อแก๊สห่างกัน ซ้าย ขวามือ 1 คืบ แต่ถ้าหน้าร้อนให้ห่อแก๊สห่างราว 2-3 ฟุต จากนั้นก็นำกระดาษหนังสือพิมพ์ปูทับทั้งกองมะม่วงให้ทั่ว แล้วเอากระสอบป่านปูทับด้านบนอีกชั้น เหน็บชายทุกด้านให้มิดชิด ทิ้งไว้ 2 คืน เป็นใช้ได้ มะม่วงจะสุกสีเหลืองสดสวยเสมอกันทุกผล นำออกขายได้ ถ้าบ่มแบบโบราณเขาจะใช้ใบชุมเห็ดแทนแก๊ส

ผู้ใหญ่แก้ว กล่าวต่อไปว่า มะม่วงอกร่องโบราณมีมากที่เขตอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เท่านั้น

"มะม่วงที่ไหนๆ ก็มักมาบ่มที่ หมู่ที่ 2 ตำบลหนองบัว โดยเฉพาะบ้านผม เป็นโรงบ่มมะม่วงที่ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้"

ผู้ใหญ่แก้ว ไม่ได้คุย แต่บอกให้ฟัง สำหรับปีนี้มะม่วงอกร่องโบราณมีออกมามากพอสมควร ต้นๆ ฤดูทำท่าไม่ค่อยดี เพราะดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง แต่พอเข้าฤดูกาลมะม่วงติดมาก เกษตรกรชาวสวนเลยชื่นอกชื่นใจ หายใจได้ทั่วท้องหน่อย

"จะทานมะม่วงกับข้าวเหนียวมูน ราดกะทิให้สะใจ อร่อยสุดยอด ต้องทานกับมะม่วงอกร่องโบราณเท่านั้น ถ้าหามะม่วงอกร่องโบราณไม่ได้ ก็ใช้มะม่วงอกร่องอื่นๆ ก็ได้ พอกล้อมแกล้ม แต่ต้องเป็นมะม่วงที่เก็บได้ตามกำหนด ตั้งแต่ 110 วัน ขึ้นไปเท่านั้นนะ มิเช่นนั้นไม่รับประกันคุณภาพ"

ผู้ใหญ่แก้ว กล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางเชิญชวนให้ไปเยี่ยมสวน พูดคุยกัน สนใจโทร.ไป ที่ (089) 221-3889 ผู้ใหญ่แก้ว ซะอย่างบริการทุกระดับประทับใจ


ที่มา  :  เทคโนโลยีชาวบ้าน

********************************************************************************************



พันธุ์มะม่วง

จักกล่าวพันธุ์มะม่วง ท่านทั้งปวงจงรู้ความ
มะม่วงเมืองสยาม จะนับนามอเนกนัก
จะจักที่จำได้   พอคนไทยแจ้งประจักษ์
มีหลากโดยเลิศลักษณ์ ประเภทพรรคอัมพาผล
 
พิมเสน มีดาษดื่น เป็นภาคพื้นทุกตำบล
รู้จักแทบทุกคน    ยังประดน พิมเสนมัน
หมอนทอง  อกร่องรส หวานปรากฏรสสวรรค์
แมวเซา มีสองพรรณ แมวเซาขาว แมวเซาดำ
 
พรวนขอ อีกพรวนควาย แก้ว แก้วกลาย มีประจำ
ควันเทียน แล ทองคำ มะลิอ่อง ทองปลายแขน
น้ำตาลปากกระบอก ขานนามออกทุกดินแดน
มะม่วง นายขุนแผน ปลูกเมื่อทับกลับคืนมา
 
การเกด อีก ไข่ไก่ ทุกเรียนใหญ่ สังขยา
ลิงโลด มะลิลา  แก้วลืม รังหนังกลางวัน
กระสวย รสสนิท อินทรชิต ทศกรรฐ์
แขนอ่อน อีก นวลจันทร์ น้ำตาลจีน เทพรำจวน
 
ไข่เหี้ย ไข่นกกระสา กระล่อนป่า กระล่อนสวน
อีกสาวละห้อยหวน สาวสะกิดมารดา ดู
มะม่วง เทพรำลึก แขกขายตึก อีกคราบหมู
กะละแม มีช่อชู หนึ่งชื่อว่า  ชาละวัน
 
ม่วง พราหมณ์ขายเมีย นี้ ดูท่วงทีรสขยัน
เมียรักดังชีวัน   ยังสู้ขายจ่ายอัมพา
ม่วง สาวกระทืบหอ นี้ก็ส่อรสโอชา
สาวอยากจะโภชา จนโกรธากระทืบเรือน
 
มะม่วง พิมเสนสวรรค์ ชื่อทั้งนั้นไม่มีเหมือน
ล่วงชั้นตะวันเดือน ถึงสวรรค์ชั้นวิมาน
มะม่วงชื่อ รำพึง คนคะนึงด้วยรสหวาน
ม่วง เศียรคชสาร อีก ม่วงบ้าน มะม่วงเนย
 
กระแตลืมรัง  เรียก โดยสำเหนียกตามเคย
ค้างคาวลืมลูก เลย หลงกินเพลินเนิ่นนานวัน
ทองขาว ทองดำ ดู ขึ้นเป็นคู่แข่งเคียงกัน
แก้วขาว  แก้วดำปัน เป็นระยะคละกันไป
 
สุวรรณหงส์ เห็น แต่เขาเล่นละคอนไทย
เป็นม่วงเสียเมื่อไร อยากใคร่รู้ดู หงส์ทอง
โสนน้อย ผะอบนาก เจ้าเงาะ หลากเพื่อนทั้งผอง
กระบุ่ม กระเบาปอง เป็นเหมือนเงาะเยาะ รจนา
 
มะม่วงชื่อ การเวก นาม นกเอก ในเวหา
หอยแครง  แล แตงกวา หัวกิ้งก่า เหนียงนกกระทุง
คิ้วนาง ดูน่ากิน เทพสิน เหมือนชื่อกรุง
แลเห็นเป็นหมู่มุง ม่วง สาวน้อยเยี่ยมห้อง หวน
 
หัวโตต้นต่ำเตี้ย ผัวตีเมีย  ร้องไห้ครวญ
สาวน้อย สีน้ำนวล สาวรัญจวน สาวสวรรค์
มะม่วง ผัวพรากเมีย คิดน่าเสียใจครันครัน
แก้วพราก แม่จากกัน รสสำคัญเห็นรุนแรง
 
สาริกา ลืมรังอยู่ วัดวัง คู่กับ แก้มแดง
ม่วงกระ กระแอมแฝง มะม่วงแฟบ  แอบพุดไทย
สาวตบอุรา ร่ำ   ด้วยระกำจะจำไกล
จากม่วงของชอบใจ ตบอุรา น่าสงสาร
 
มะตูม อีก ตับเป็ด หวานมันเด็ดดุจน้ำตาล
อ้ายฮวบใหญ่  ใครไม่ปาน สับสำปั้น  น้ำตาลทราย
มะม่วง เขียวสะอาด กำเนิดชาติ พิมเสนกลาย
มะม่วง กระจิบลาย อีกม่วงล่า  หมาไม่แล
 
ม่วงสาวกระทืบยอด เดิมนางรอด บุตรตาแห
เดินไปไม่ทันแล   เหยียบ ม่วงเล็ก เด็กว่าขาน
ม่วงนั้นครั้นใหญ่มา ดกระย้าใครจะปาน
จึงตั้งนามขนาน กระทืบยอดรอดบาทา
 
มะม่วง กำมะลอ สาเก ก่อเป็นสมญา
เทพรส  รสโอชา อัมพาดื่นพ้นดินดอน
เหลือจะร่ำไห้สุด ชื่อสมมตินามกร
นักเรียนพึ่งแรกสอน อ่านกลอนเล่นเป็นสำราญ.
 
 
ที่มาพระครูสุธรรมนาถ 
วัดปลักไม้ลาย จังหวัดนครปฐม
http://gotoknow.org/




ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

มะม่วงเคนซิงตัน ไพรด์ และ อาร์ทูอีทู
ปลูกให้ผลผลิตมีคุณภาพดีในไทย

จริงอยู่การปลูกมะม่วงของชาวสวนมะม่วงไทยในเชิงพาณิชย์ปัจจุบันนี้ แทบทั้งหมดจะปลูกพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เนื่องจากผลิตเพื่อการส่งออกเกือบทั้งหมด โดยมีการส่งไปขายในรูปแบบของผลสด แช่แข็ง ฟรีซดาย (เทคโนโลยีฟรีซดาย (Freeze-Drying) เป็นการนำมะม่วงสุกไปแช่แข็ง เพื่อให้รสชาติของมะม่วงทรงคุณค่าและใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุดและนำไปผ่านระบบ Freeze-Drying ทั่วโลก ต่างก็ยอมรับกันว่าเป็นเทคโนโลยีถนอมอาหารที่สามารถรักษาคุณค่าอาหารทั้งรสชาติและกลิ่นใกล้เคียงอาหารสุกมากที่สุด) ฯลฯ เป็นที่สังเกตว่าพื้นที่ผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออกหลักๆ จะอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ อุดรธานี พิจิตร ฯลฯ ยังมีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเติมขึ้นอีกมาก โดยเกษตรกรไม่มีการตรวจสอบเรื่องการตลาดในอนาคตให้ดีเสียก่อน ในขณะที่มีเกษตรกรบางราย อย่างกรณีของ คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา เกษตรกรหัวหน้าจากอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ปลูกมะม่วงหลายสายพันธุ์ สุดท้าย ได้เปลี่ยนยอดเป็นมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทู ทั้งสวน เพราะมีพ่อค้ามารับซื้อเพื่อการส่งออกทั้งหมดและได้ราคาดีไม่แพ้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง อีกทั้งมีราคาดีตลอดฤดูกาลแม้จะเป็นช่วงที่มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองมีราคาตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากๆ

ประวัติความเป็นมามะม่วงพันธุ์ อาร์ทูอีทู
เป็นมะม่วงที่มีขนาดผลใหญ่และสีสด ในปี พ.ศ. 2528 คุณเอียน บัลเล่ คุณรอส ไรท์ และ คุณปีเตอร์ บีล นักวิชาการมะม่วงจากประเทศออสเตรเลีย ได้คัดเลือกพันธุ์จากต้นอ่อนของมะม่วงสายพันธุ์ฟลอลิดาเค้นท์ และชื่อ "อาร์ทูอีทู" มาจากตำแหน่งของแถวและตำแหน่งของต้นที่ปลูก (เหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้ เบอร์ 4 ของไทยมาจากชื่อตำแหน่งของแถว ซึ่ง อาจารย์สนั่น ขำเลิศ เป็นผู้คัดเลือก) อยู่ที่สถาบันวิจัยพืชสวนในเวน ประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบัน อาร์ทูอีทู เป็นมะม่วงพันธุ์การค้าของประเทศออสเตรเลีย การจำหน่าย อาร์ทูอีทู มีขึ้นในปี พ.ศ. 2537 และเป็นที่ยอมรับในตลาดทั่วประเทศ และ อาร์ทูอีทู ยังเป็นมะม่วงที่มีการปลูกมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ (อันดับ 1 คือ พันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์) และยังเป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวนาน และเป็นที่ต้องการของตลาดเพื่อการส่งออก

ลักษณะผลของมะม่วง อาร์ทูอีทู รูปทรงมีลักษณะทรงกลม-ไข่ มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 600 กรัม-1 กิโลกรัม ความยาวของผลเฉลี่ย 107 มิลลิเมตร และความกว้างของผลเฉลี่ย 77 มิลลิเมตร สีผิวเขียวอมเหลือง และส้มอมแดง สีเนื้อเมื่อสุกมีสีเหลืองมะนาว ลักษณะผลของเนื้อ เสี้ยนน้อย เนื้อแข็ง รสชาติหวานปานกลาง (หวานน้อยกว่ามะม่วงน้ำดอกไม้) และไม่มีกลิ่นขี้ไต้

ลักษณะต้นของมะม่วง อาร์ทูอีทู
เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงปานกลางถึงสูงมาก ลักษณะเป็นทรงพุ่ม กิ่งเปราะ และหักง่าย หลังจากการเพาะปลูกต้นมะม่วง อาร์ทูอีทู จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีแรก และจะเจริญเติบโตช้าเมื่อต้นมีอายุประมาณ 4-5 ปี ซึ่งต้นมะม่วงจะให้ผลผลิตในช่วงนี้ด้วย เมื่อ อาร์ทูอีทู มีอายุ 6 ปี อาจมีความสูงถึง 6 เมตร หรือมากกว่า และมีเส้นผ่านศูนย์กลางต้นประมาณ 5 เมตร ลักษณะของดอกมะม่วง อาร์ทูอีทู มีความยาวของช่อดอก 20-50 เซนติเมตร ความกว้างของช่อดอก 10-20 เซนติเมตร ความหนาแน่นของขนมีน้อยมากหรือไม่มีเลย สีของดอกมีสีแดงด้านๆ และมีเปอร์เซ็นต์ของดอกสมบูรณ์เพศเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการติดผลได้ง่ายกว่ามะม่วงพันธุ์อื่น

การปลูกและการตัดแต่งกิ่งมะม่วง อาร์ทูอีทู
ถึงแม้ว่า อาร์ทูอีทู จะเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เราสามารถปลูก อาร์ทูอีทู ให้ระยะชิดกันมากกว่าระยะที่ใช้ปลูกพันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์ ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 4-6x9 เมตร (ระยะระหว่างต้น 4-6 เมตร และระยะระหว่างแถว 9 เมตร) ปลูกได้ประมาณ 30 ต้น ต่อ 1 ไร่ เกษตรกรที่มีพื้นที่ไม่มากจะใช้ระยะปลูกระยะชิดขึ้น เป็น 4x7 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 60 ต้น ในการตัดแต่งกิ่งและจัดทรงพุ่มมะม่วง อาร์ทูอีทู เป็นพันธุ์มะม่วงที่โตเร็วมากในช่วง 2-3 ปีแรก ถ้าต้นไม่ได้รับการแต่งกิ่ง ต้นจะสูงมากและให้ผลน้อยลง ในช่วง 2 ปีแรกต้นมะม่วงต้องได้รับการแต่งกิ่ง 2-3 ครั้ง ต่อปี เพื่อให้กิ่งก้านอยู่ในรูปทรงที่ดี เพื่อจะรองรับน้ำหนักของผลผลิตในช่วงปีต่อๆ ไป เนื่องจาก อาร์ทูอีทู มีการเจริญเติบโตในแนวสูง การแต่งกิ่งเพื่อลดความสูงจึงมีความจำเป็นมากในช่วงปีแรกๆ ที่ต้นไม้เริ่มให้ผลผลิต ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงอายุ 5-6 ปี การเจริญเติบโตจะช้าลง และการแต่งกิ่งก็ยังต้องทำทุกปี

การเก็บเกี่ยว มะม่วงพันธุ์ อาร์ทูอีทู
ผลแก่จะมีเนื้อแข็งและมีอายุหลังการเก็บเกี่ยวยาวนาน เพื่อให้ได้รสชาติที่หวาน การเก็บเกี่ยวควรเป็นในช่วงที่จมูกของผลมีลักษณะสีเหลือง ผลผลิตที่เก็บในช่วงนี้จะยังคงมีความแข็งแรงพอที่จะบรรจุใส่กล่องและส่งไปถึงยังตลาดในช่วงที่เหมาะสมแก่การรับประทาน เนื่องจาก อาร์ทูอีทู มีขนาดผลใหญ่ กล่องที่ใช้บรรจุ อาร์ทูอีทู จึงควรมีขนาดสูง (130 มิลลิเมตร) เพื่อป้องกันการกระแทก

หลายคนยังไม่ทราบว่า มะม่วงพันธุ์ อาร์ทูอีทู เป็นมะม่วงของประเทศออสเตรเลียที่ปลูกและให้ผลผลิตได้ในประเทศไทย แต่เป็นสายพันธุ์ที่บังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากกว่าพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง แม้จะมีการใช้สารแพคโคลบิวทราโซล (เช่น แพนเทียม) ราดเพื่อบังคับก็ตาม แต่มีจุดเด่นตรงที่ถ้าออกดอกแล้วช่อดอกใหญ่และดอกสมบูรณ์เพศทำให้มีการติดผลได้ง่ายมาก หรืออาจจะกล่าวง่ายๆ ว่า ถ้าออกดอกแล้วโอกาสติดผลมีสูงมาก ในขณะที่พื้นที่ปลูกมะม่วงในประเทศออสเตรเลียเองจะมีการปลูกมะม่วงหลักๆ อยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์ (Kensington Pride) และ พันธุ์ อาร์ทูอีทู ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าคนออสเตรเลียนิยมบริโภคมะม่วงพันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์ มากที่สุด ผลผลิตมะม่วงสายพันธุ์นี้มีผลผลิตเฉลี่ย ประมาณปีละ 1.65 ล้านกิโลกรัม มีผลผลิตในแต่ละปีมากกว่ามะม่วง อาร์ทูอีทู ที่ปลูกในออสเตรเลียหลายเท่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักมะม่วงสายพันธุ์นี้ ทั้งที่จัดเป็นมะม่วงที่มีเนื้อละเอียดและรสชาติอร่อย ไม่มีกลิ่นขี้ไต้และสามารถปลูกให้ผลผลิตดีในประเทศไทย

ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัดพิจิตร ได้มะม่วงพันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์ จำนวน 2 ต้น จาก ดร.วสันต์ ผ่องสมบูรณ์ ศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร ซึ่งได้ยอดพันธุ์มาจากประเทศออสเตรเลีย เมื่อครั้งไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ที่ประเทศออสเตรเลีย ในช่วงปีที่ พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมาได้มีการทดลองราดสารแพคโคลบิวทราโซลเพื่อบังคับให้มะม่วงเคนซิงตัน ไพรด์ ออกดอกและติดผลนอกฤดู โดยใช้สารแพนเทียม 10% อัตรา 10 กรัม ต่อความกว้างของทรงพุ่มมะม่วง 1 เมตร เช่น ต้นมะม่วงเคนซิงตัน ไพรด์ อายุต้น 4 ปี มีความกว้างของทรงพุ่ม 4 เมตร ให้ใช้สารแพนเทียม 10% อัตรา 40 กรัม ผสมน้ำ 5-20 ลิตร ราดบริเวณโคนต้นมะม่วง หลังจากนั้น ให้มีการใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24 และฉีดพ่นทางใบด้วยปุ๋ย 0-52-354 ดูแลรักษาเหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เมื่อถึงเวลาจะให้ต้นออกดอก ให้กระตุ้นด้วยสารไทโอยูเรียและโพแทสเซียมไนเตรต ผลปรากฏว่าเป็นพันธุ์ที่ตอบสนองดีเหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและให้ผลผลิตดกมาก มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 300 กรัม ต่อผล ในอนาคตมะม่วงพันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์มะม่วงที่ปลูกมากที่สุดในออสเตรเลียจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการส่งออกมะม่วงไทย เพราะตอบสนองต่อการใช้สารแพคโควบิวทราโซลในการบังคับให้ออกนอกฤดู

การตลาดมะม่วงอาร์ทูอีทู และ เคนซิงตัน ไพรด์
ปัจจุบัน อาร์ทูอีทู เป็นมะม่วงที่มีความต้องการในตลาดค่อนข้างสูงในประเทศไทย โดยปกติแล้ว อาร์ทูอีทู มีราคาสูงกว่ามะม่วงสายพันธุ์อื่น เนื่องจากสีที่สวยสะดุดตา อายุหลังการเก็บเกี่ยวที่ยาวนาน เนื่องจากมีเปลือกหนา และคุณภาพโดยรวม ทำให้มะม่วงสายพันธุ์นี้เหมาะสำหรับการส่งออก อาร์ทูอีทู ได้ถูกส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น หลังจากใช้กระบวนการอบไอน้ำ เพื่อกำจัดแมลงวันทอง สำหรับประเทศไทยสวนวารินทร์ ซึ่งมี คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ได้ผลิตมะม่วง อาร์ทูอีทู เพื่อการส่งออกมานาน 3-4 ปีแล้ว ผลปรากฏว่าตลาดส่งออกหลักอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและรัสเซีย โดยขายผลผลิต เกรด เอ ที่มีขนาดผลมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า ผลละ 800 กรัม ได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 50 บาท ราคาดีตลอดฤดูกาล ถึงแม้ผลผลิตจะออกสู่ตลาดช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองราคาตกต่ำ แต่มะม่วง อาร์ทูอีทู ยังขายได้ราคากิโลกรัมละ 50 บาท มะม่วงเคนซิงตัน ไพรด์ นับเป็นมะม่วงออสเตรเลียที่เป็นพืชใหม่และเริ่มได้รับความสนใจจากเกษตรกรไทยมากขึ้น เป็นมะม่วงที่มีรสชาติใกล้เคียงกับ อาร์ทูอีทู เนื้อละเอียด เนียน ไม่มีกลิ่นขี้ไต้ ที่สำคัญออกดอกและติดผลได้ง่ายกว่า

แมลงศัตรูพืชและโรค ผลมะม่วง อาร์ทูอีทู และเคนซิงตัน ไพรด์ จะมีความทนต่อโรคแอนแทรกโนสได้ดีกว่ามะม่วงน้ำดอกไม้ แต่ อาร์ทูอีทู จะอ่อนแอต่อเชื้อแบคทีเรียจุดดำ แมลงศัตรูพืชที่จะพบในการปลูกมะม่วง อาร์ทูอีทู และเคนซิงตัน ไพรด์ ในประเทศไทยเหมือนกับมะม่วงพันธุ์ไทยทั่วไป อาทิ ช่วงแตกใบอ่อนจะพบการทำลายของเพลี้ยไฟ และด้วงงวงกรีดใบ และในระยะออกดอกติดผลจะต้องระวังการระบาดทำลายของเพลี้ยไฟ และระยะผลแก่ระวังเรื่องแมลงวันทอง



หนังสือ "รวมกลยุทธ์ผลิตมะม่วงเงินล้าน เล่ม 2" พิมพ์ 4 สี มีแจกฟรี พร้อมกับหนังสือ "การผลิตมะม่วงเงินล้าน เล่ม 1" และ "การผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออก" และ "มะม่วงพันธุ์ต่างประเทศเพื่อการส่งออก" รวม 4 เล่ม จำนวน 336 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจ เขียนจดหมายสอดแสตมป์ 100 บาท (ระบุชื่อหนังสือ) ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/395 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398


ที่มา  :  เทคโนโลยีชาวบ้าน
 





หน้าก่อน หน้าก่อน (4/7) - หน้าถัดไป (6/7) หน้าถัดไป


Content ©