เก็บเกี่ยวผลผลิต
หลังดอกบานประมาณ 80-90 วัน
1. เพื่อจัดการการเก็บเกี่ยวผลผลิตตามกระบวนการต่างๆ ตามข้อตกลงในสัญญาผู้ส่งมอบ2. เก็บผลผลิตที่มีความสุกแก่ 85% ความหวานมากกว่าหรือเท่ากับ 10 brix และติดรหัสแยกผลผลิตว่ามาจากฟาร์มไหน วันที่เท่าไหร่ เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ3. ส่งบริษัทภายใน 12 ชั่วโมง โดยรถขนส่ง
http://mamong124.blogspot.com/
การปลูกมะม่วง
โดย สุรพจน์ นิมานนท์
มะม่วงเป็นไม้ผลที่มีอนาคตสำหรับเกษตรกรชาวสวนมะม่วงอย่างแน่นอน ถ้ามีคุณภาพดี ถูกใจผู้ซื้อ กล่าวคือ ผลมะม่วงปลอดจากโรคแมลง มีผิวพรรณ รส กลิ่น ถูกใจผู้ซื้อ เมื่อสุกเก็บ ได้ยาวนาน ไม่เสียง่าย อาจแปรรูปเป็นอาหารที่ต้องการได้หลายอย่างด้วย
การผลิตมะม่วงให้มีคุณภาพดีต้องกำหนดผังสวนได้เหมาะสมกับเจ้าของ ต้องดูแลรักษาต้นและผลมะม่วงให้ดี เมื่อเก็บก็ต้องเก็บให้พอเหมาะ ไม่ชอกช้ำ เปรอะเปื้อน คัดผลเน่าชอกช้ำออก รีดยางจากผลให้มากที่สุด คัดขนาดให้ไล่เลี่ยกัน มีการอบไอน้ำ(วี.เอช.พี.)เพื่อฆ่าเชื้อโรคและแมลงที่ติดมากับผลให้สิ้นบรรจุลงในหีบห่อที่กับชอกช้ำได้ดี หีบห่อที่ส่งออกต้องระบุพันธุ์ ขนาดจำนวนผล น้ำหนัก ผู้ส่ง ผู้รับให้ชัดเจน
ขั้นตอนการปลูกมะม่วงให้มีคุณภาพ
ก. การกำหนดผังสวน
สวนมะม่วงในประเทศไทยมีหลายแบบ แบบยกร่องมีแถบแปดริ้ว สวนแบบที่ดอนของเพชรบุรี กาญจนบุรี โคราช เชียงใหม่ ฯลฯ
พอสรุปได้ว่า การจะทำสวนมะม่วงก็แล้วแต่บุคคลและสถานที่ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นราย ๆไป แต่มีหลักที่ควรพิจารณาดังนี้
1. พยายามลงทุนให้ต่ำที่สุด
2. ให้ผลผลิตสูงที่สุด
3. คุณภาพดีที่สุด
4. ขายให้แพง ๆ
ดังนั้นการจะเลือกซื้อหรือทำสวนมะม่วง ขอให้ยึดหลักดังกล่าวไว้ โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกัน เช่น การใช้เครื่องมือทุนแรง การซื้อปุ๋ย สารเคมียาฆ่าแมลงที่ดีราคาไม่แพงจะกู้เงินก็ให้เสียดอกเบี้ยต่ำ ระยะยาวนาน แรงงานหาง่าย มีน้ำพอเก็บ การคมนาคมสะดวก มีเครื่องกีดกั้นทางธรรมชาติบังแรงลม เป็นต้น
ข. การดูแลรักษามะม่วงก่อนการเก็บเกี่ยว
1. หมั่นเอาหญ้าบอนออกอย่าให้รบกวนต้นมะม่วง
2. เพิ่มปุ๋ยที่จำเป็น เช่น ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยเคมี ใส่ให้พอเหมาะ
3. อย่าให้มะม่วงขาดน้ำในช่วงที่ที่มะม่วงต้องการน้ำ
4. ตัดแต่งสางกิ่งที่ไม่จำเป็นออก
5. พ่นยาเคมีป้องกันและกำจัดโรคแมลงอย่างดี
6. รักษาสวนให้สะอาดอยู่เสมอ เก็บลูกหล่นร่วงฝังหรือเผา
7. รมควันไฟช่วยเร่งการออกดอกและไล่แมลง
8. ห่อผล
9. ค้ำกิ่งที่รับน้ำหนักไม่ไหว ป้องกันกิ่งหัก
ค. การดูแลหลังการเก็บเกี่ยว
เมื่อมะม่วงแก่ได้ดีเท่าที่ควร เก็บมะม่วงด้วยความระมัดระวังอย่าให้ชอกช้ำ ยางเปรอะเปื้อนผล เก็บทั้งขั้ว บังคับให้ยางในผลไหลออกจนแห้ง คัดผลเสียผิดรูปออก แล้วคัดขนาดที่ต้องการ อย่าให้ผลมะม่วงที่เก็บแล้วถูกแดดจัด เปียกน้ำ ควรเก็บในที่ลมโกรกเบา ๆ ในร่ม
ง. การกำจัดโรคแมลงที่ติดมากับผลมะม่วง
สวนมะม่วงที่ดูแลรักษาดี ผลมะม่วงที่เก็บมาจะสวย ผิวเนียน สะอาด ไม่มีแมลง เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยหอย เพลี้ยปุยฝ้าย ตะไคร่น้ำเกาะผล
ถ้าจะให้ปลอดโรคแมลงจริง ๆ แล้วในปัจจุบันต้องใช้อบด้วยไอน้ำร้อน(วี.เอช.ที.)ที่อุณหภูมิ 46.5 องศาเซลเซียส นานประมาณ 2 ชั่วโมง มะม่วงที่อบแล้วจะปลอดโรคจุดดำ เมื่อสุก (แอนแทรกโนส) ไม่มีแมลงวันทองอาศัยเลย พร้อมที่จะส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้
จ. การบรรจุหีบห่อ
การคัดขนาดลงบรรจุในปีบหรือห่อ ต้องระวัง ขนาด น้ำหนัก การกระทบกระแทกระหว่างเดินทาง ที่หีบห่อควรระบุชื่อสวน เลขที่หีบห่อ พันธุ์ ขนาดผล จำนวนผล น้ำหนักสุทธิต่อหีบห่อ ชื่อผู้ส่งออก ชื่อผู้รับปลายทางไว้ด้วย
ปฏิทินการปฏิบัติมะม่วง
เดือน |
ระยะ |
โรคแมลงสำคัญ |
การปฏิบัติ |
ต.ค/พ.ย |
ระยะสะสมอาหาร |
- แมลงศัตรูเตรียมทำลายช่อ
- โรคแทนแทรกโนส |
- หยุดให้น้ำ
- เผาสุมหญ้า ใบไม้แห้ง
- ฉีดยาเซฟวิน+ยาป้องกันเชื้อราใช้อัตรา 2 เท่าของปกติ
- ฉีดโปรแตสเซี่ยมไนเตรท |
ธ.ค/ม.ค |
ระยะเริ่มออกดอก |
- เพลี้นจั๊กจั่น
- เพลี้ยไฟ
- หนอนเจาะช่อ
- โรคแทนแทรกโนส |
- ฉีดยาเซฟวินก่อนดอกบานทุก 7 วัน
- ฉีดยาพอลส์กำจัดเพลี้ยไฟ
- ฉีดยาประเภทดูดซึม
- ฉีดยาป้องกันเชื้อรา เช่น เบนเลท
- ให้ปุ๋ยทางใบ |
ก.พ/เม.ย |
ระยะติดผล |
- หนอนผีเสื้อ
- แมลงวันผลไม้
- โรคแทนแทรกโนส |
-ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 และปุ๋ยทางใบ
- ฉีดยาป้องกันการเข้าทำลาย
- ใช้เมธิลยูจินอลล่อ
- ใช้นาสิมานผสมมาลาไธออนอัตรา 200 ซีซี/70 ซีซี/น้ำ 5 ลิตร นับเป็นจุด ๆ
- ฉีดยาป้องกันประเภทดูดซึมเป็นระยะๆ |
พ.ค-มิ.ย |
เก็บเกี่ยว |
เก็บเกี่ยว |
เก็บเกี่ยว |
มิ.ย/ก.ค |
แตกใบอ่อน |
- หนอนผีเสื้อ
- หนอนกินใบอ่อน |
- ตัดแต่งกิ่ง
- ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ปุ๋ยคอก
- ให้ปุ๋ยทางใบหลังตัดแต่งกิ่ง
- ฉีดยาฆ่าแมลง เช่น เซฟวิน |
เดือน |
ระยะ |
โรคแมลงสำคัญ |
การปฏิบัติ |
ส.ค/ก.ย |
เจริญเต็มที่พร้อมจะสะสมอาหาร |
- ด้วงงวง
- แมลงค่อมทอง
- หนอนผีเสื้อ |
- ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่น เช่น เซฟวิน, อโซดริน
- ใส่ปุ๋ยสูตรตัวกลางและท้ายสูง
- กำจัดวัชพืชในสวนให้สะอาด
- ตัดแต่งกิ่งอย่างเบา |
พันธุ์และลักษณะประจำพันธุ์มะม่วงบางพันธุ์
พันธุ์หนังกลางวัน (งาหม่น)
ลักษณะเปลือก เปลือกค่อนข้างหนาและเหนียว มีต่อมมองเห็นไม่ค่อยชัด
ผลเมื่อดิบ ผิวเปลือกสีเขียวเข้มเนื้อสีขาวนวล ลักษณะเนื้อละเอียด กรอบ มีเสี้ยนค่อนข้างน้อย รสเปรี้ยว เมื่อแก่จัดรสมันอมเปรี้ยว
ผลเมื่อสุก ผิวของเปลือกสีเหลืองทอง สีของเนื้อเหลืองอ่อน ลักษณะเนื้อละเอียดมีเสี้ยนน้อย รสหอมหวาน
เมล็ด เมื่อเพาะมีต้นอ่อนขึ้นหลายต้นจากเมล็ดเดียว เมล็ดทั้งเปลือกแข็งยาวแบน มีเนื้อในเมล็ดค่อนข้างเต็ม เสี้ยนติดกับเมล็ดน้อย
หมายเหตุ เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากในเขตราชบุรีและเชียงใหม่ ผลเมื่อแก่จัดเก็บไว้ได้หลายวัน เปลือกหนาทนทานต่อการขนส่ง ผลเรียวหัวกลมท้ายเรียว ปลายผลงอนเล็กน้อย ส่วนหลังค่อนข้างตรง เป็นพันธุ์หนักที่ออกผลดก ต้นพุ่มใหญ่แข็งแรงและโตเร็ว (ประเภทกินสุก)
พันธุ์น้ำดอกไม้
ลักษณะเปลือก เปลือกบางเปราะ มีต่อมกระจายห่าง ๆ ทั่วผล
ผลเมื่อดิบ ผิวเปลือกสีเขียวนวล เนื้อแน่นหนา สีขาว เปรี้ยวจัด เมื่อแก่จัดรสมัน
ผลเมื่อสุก ผิวของเปลือกสีเหลืองนวลถึงเหลืองทอง เนื้อสีเหลืองมีกลิ่นหอม เนื้อละเอียดมีเสี้ยนค่อนข้างน้อยรสหวานเย็น
เมล็ด เมล็ดเพาะมีต้นอ่อนขึ้นหลายต้นจากเมล็ดเดียว เมล็ดแบน ยาว มีเนื้อในเมล็ดน้อย
หมายเหตุ เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมาก ออกดอกดก แก่ติดผลได้ปานกลาง ให้ผลทุกปีมักออกผลทะวายหรือนอกฤดูได้ง่ายผลมีขนาดกลางไปถึงใหญ่ เนื้อมากเมล็ดลีบ ผลอ้วนจนเกือบกลม หัวใหญ่ปลายแหลม ผลค่อนข้างยาว (ประเภทกินสุก)
พันธุ์เขียวเสวย
ลักษณะเปลือก เปลือกหนาและเหนียว มีต่อมไม่ค่อยชัด
ผลเมื่อดิบ ผิวเปลือกสีเขียวเข้มออกนวลเมื่อแก่ สีเนื้อขาว เนื้อละเอียด กรอบ เสี้ยนน้อย เปรี้ยวเมื่ออ่อน แก่จัดรสมัน
ผลเมื่อสุก ผิวเปลือกสีเขียวปนเหลือง เนื้อละเอียด เสี้ยนน้อย รสหวานไม่จัด
เมล็ด เพาะเมล็ดได้ต้นอ่อนหลายต้นจากเมล็ดเดียวเมล็ดทั้งเปลือกค่อนข้างยาวแบน เนื้อเมล็ดค่อนข้างเต็ม มีเสี้ยนติดกับเมล็ดน้อย
หมายเหตุ เจริญเติบโตค่อนข้างช้า ทรงพุ่มโปร่ง ใบเรียวยาว พื้นใบไม่เรียบ ใบสีเขียวเข้ม เส้นใบสีขาวเห็นชัด ยอดอ่อนสีนากหรืออออกแดงเรื่อ ๆ ส่วนหัวใหญ่ หนา เรียวไปหาปลาย ขนาดผลปานกลาง อายุเริ่มจากออกดอกบานถึงเก็บเกี่ยวประมาณ
105 วัน (มะม่วงมันกินดิบ)
พันธุ์แรด
ลักษณะเปลือก เปลือกค่อนข้างหนาและเหนียว มีต่อมใหญ่ แต่ไม่ค่อยชัดนัก
ผลเมื่อดิบ เปลือกสีเขียวนวลสีของเนื้อขาว หยาบเนื้อกรอบ แก่จัดรสมันอมเปรี้ยว
ผลเมื่อสุก เปลือกสีเขียวอมเหลือง สีของเนื้อเหลือง เนื้อหยาบ เสี้ยนค่อนข้างมาก รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย
เมล็ด เพาะขึ้นต้นอ่อนหลายต้นจากเมล็ดเดียว เนื้อในเมล็ดค่อนข้างเต็ม เสี้ยนติดเมล็ดมาก
หมายเหตุ ผลดิบเป็นที่นิยมของตลาด เป็นพันธุ์เบา ต้นโตเร็ว พุ่มต้นทึบ ใบไม่เล็กไม่ใหญ่ ใบไม่เรียบ สีเขียวเข้ม ผลกลมหัวใหญ่อ้วน ปลายผลแหลมเล็กน้อย ผิวผลเป็นคลื่นไม่เรียบ มีนอตรงส่วนบนด้านหลังบางผลไม่มีจากดอกบานถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 93 วัน(มะม่วงมันกินดิบ)
พันธุ์ทองดำ
ลักษณะเปลือก เปลือกสีเขียวเข้ม หนาและเหนียว มีตอม ขนาดปานกลางทั่วผล
ผลเมื่อดิบ ผิวเปลือกเขียวเข้มสีของเนื้อขาวปนเหลืองเนื้อละเอียด กรอบ รสเปรี้ยว
เมื่ออ่อน แก่จัดรสมันอมเปรี้ยว
ผลเมื่อสุก ผิวผล เหลืองปนเขียว สีเนื้อเหลืองจาปา เนื้อละเอียด เสี้ยนน้อย รสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ
เมล็ด เพาะขึ้นต้นอ่อนหลายต้นจากเมล็ดเดียว เสี้ยนติดเมล็ดมาก
หมายเหตุ มีพุ่มต้นทึบ ใบเขียวเข้ม ยาว เส้นใบไม่เด่นชัด ผิวใบเรียบเป็นมัน ออกดอกติดผลดี อายุจากดอกบานถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 105 วัน ผลหนาป้อมๆ ปลายผลแหลม(มะม่วงมันกินดิบ)
พันธุ์หนองแซง
ลักษณะเปลือก เปลือกค่อนข้างหนา มีต่อมที่ผิวเปลือกปานกลางกระจายทั่วผล
ผลเมื่อดิบ ผิวเปลือกสีเขียวนวล สีของเนื้อขาว เนื้อค่อนข้างละเอียด มีเสี้ยนน้อย รสมันจืดตั้งแต่ผลเล็ก แก่จัดรสมันกรอบ
ผลเมื่อสุก ผิวเปลือกสีเขียว สีของเนื้อขาว เนื้อละเอียด รสหวานชืด
เมล็ด เมล็ดเพาะขึ้นหลายต้นจากเมล็ดเดียว เมล็ดยาวแบน เนื้อในเมล็ดน้อย
หมายเหตุ ไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง ออกดอกติดผลดี ต้นโตเร็ว พุ่มต้นทึบ ใบใหญ่และสั้น ขอบใบเป็นเคลื่อนเล็กน้อย การแตกใบเป็นชั้น ๆ คล้ายฉัตร ขนาดผลปานกลาง(มะม่วงมัน กินดิบ)
ช่วงการเจริญเติบโตของมะม่วง
|
พ.ค |
มิ.ย |
ก.ค |
ส.ค |
ก.ย |
ต.ค |
พ.ย |
ธ.ค |
ม.ค |
ก.พ |
มี.ค |
เม.ย |
|
- การเจริญเติบโตทางกิ่ง – ใบ
- การเจริญเติบโตของใบคงที่
- ใบเริ่มสะสมอาหาร
- การเจริญเติบโตของดอก
- การให้ปุ๋ย
- การให้น้ำ
- การอดน้ำ
- การเจริญเติบโตของผล
- การรมควันฉีดโปแตสเซียมไนเตรท
- การตัดแต่งกิ่ง |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
--- --- |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
---- |
--- |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
น้ำและปุ๋ย
การให้น้ำ หลักที่ควรยึดถือปฎิบัติดังนี้
1. เมื่อเก็บเกี่ยวผลเสร็จแล้ว ควรจะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตรเสมอกัน และทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยต้องรดน้ำถ้าฝนไม่ตกหรือดินไม่มีความชื้นพอและควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอกับมะม่วงในช่วงต้องการเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบ โดยให้น้ำตั้งแต่เก็บเกี่ยวผลเสร็จไปจนถึงเดือนกันยายน
2. มะม่วงก่อนออกดอก ต้องไม่ให้น้ำเพราะมะม่วงต้องการพักตัวหรือหยุดการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบเพื่อสะสมอาหารเตรียมแทงช่อดอก ดังนั้นช่วงอดน้ำให้กับต้นมะม่วงเป็นเวลา 1 เดือน(ต.ค.- ต้นพ.ย.) และอาจใช้วิธีรมควันโดยสุมไฟให้ควันร้อนไล่ความชื้นในดิน หรือวิธีควั่นตามกิ่งไม่ให้น้ำไปถึงยอด
3. เมื่อมะม่วงเริ่มออกดอกและดอกเริ่มบาน เริ่มให้น้ำโดยให้ทีละน้อยพอหน้าดินเปียก โดยใช้น้ำฉีดล้างช่อดอกก็ได้จนกว่าผสมเกสรติดเป็นผลอ่อนเล็ก ๆ จึงค่อยเพิ่มการให้น้ำขึ้นทีละน้อยแต่ยังไม่ต้องมาก หลังจากนั้น 47 วัน ผลมะม่วงได้วัยขนาดขบเผาะ(นับจากวันที่ดอกบาน) ต้นมะม่วงต้องการน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจนกว่าผลมะม่วงอายุได้ 70 วัน นับแต่ดอกบานให้ลดปริมาณการให้น้ำลงทีละน้อย จนกว่าผลอายุ 90 วัน หลังจากดอกบาน(ระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 100-115 วัน)
การสังเกตว่าน้ำมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ให้สังเกตที่ขั้วดอกและขั้วผล คือ ถ้าขั้วแห้ง แสดงว่าน้ำน้อยแต่ถ้าขั้วเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลสีเขียวออกเหลืองนวล แสดงว่าน้ำมากเกินไป
การให้ปุ๋ย
1. ก่อนเก็บเกี่ยวมะม่วง หรือช่วงเก็บเกี่ยวผลอยู่ให้ลำเลียงปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก ไปกองไว้รอบ ๆ พุ่มต้น(ยังไม่ต้องรดน้ำ)จนกว่าเก็บเกี่ยวหมดจึงเกลี่ยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกกลบดินเล็กน้อยพร้อมให้น้ำไปด้วยมะม่วง 5 ปีขึ้นไปใช้ต้นละ 2-3 ปี๊บ และใช้ปุ๋ยเสมอกัน
เช่น 15-15-15, 17-17-17 ใส่ด้วย โดยดูความสมบูรณ์ของต้นอาจใช้ครึ่งหนึ่งของทรงพุ่ม จากนั้นใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเร่งดอก เช่น 10-20-30, 12-26-32 พ่นมะม่วงในช่วงเดือน ก.ย-ต.ค 1-2 ครั้ง ก่อนฉีดโปแตสเซี่ยมไนเตรท เร่งการออกดอก
2. เมื่อมะม่วงเริ่มติดผลอ่อน เริ่มให้ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ
เช่น 15-15-15, 17-17-17 อีกครั้งหนึ่งเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผลอ่อน
3. เมื่อผลโต ขนาด 2 ใน 3 ของผลโตเต็มที่ ให้ใช้ปุ๋ย ฉีดพ่นทางใบสูตร 10-20-30, 12-22-32 หรือสูตรตัวท้ายสูง เพื่อช่วยให้คุณภาพและรสชาติหวานขึ้น
การออกดอกของมะม่วง
มะม่วงเป็นพืชที่ออกตามฤดูแทบทั้งหมด มีเป็นส่วนน้อยที่ออกทะวาย ฤดูออกดอกดอกถึงฤดูหนาวช่วงที่กำลังจะหมดลมหนาวและเริ่มอุ่นขึ้น หรือต้นฤดูร้อน ระหว่างมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์
มะม่วงที่พร้อมออกดอก มีลักษณะดังนี้
1. ยอดอั้น คือ ยอดที่เจริญสุดช่วงแล้วและหยุดนานประมาณเดือนครึ่งขึ้นไป ตาเริ่มจะโปนออก
2. ใบแก่สมบูรณ์ เขียวเข้ม กร้าน กรอบ มีลักษณะสะสมอาหารเต็มที่
สิ่งที่ทำให้ออกดอก
1. ความหนาวและแห้งของหน้าหนาว ถ้าหนาวมากๆ หนาวนานๆ ทำให้ใบที่มีอายุต่างกันมารอออกดอกเมื่อหายหนาวพร้อมกัน
2. ความสมบูรณ์ของต้นมะม่วง ได้ปุ๋ยมาถูกสัดส่วน มีใบมากพอ สะสมอาหารมาได้มากพอ ได้รับแร่ธาตุปลีกย่อยอย่างเพียงพอ
3. มีการกระตุ้นที่เหมาะสม เช่น การคลายหนาวลงช้า ๆ สม่ำเสมอจนอากาศอุ่นพอ หรือมีการใช้โปแตสเซี่ยมไนเตรท
4. มีสภาพดินแห้งพอดี ฝนไม่ตก ไม่มีการรับน้ำหนักฉับพลัน
5. ได้รับแดดเพียงพอ
สิ่งที่ทำให้มะม่วงออกดอกไม่ดี
1. หนาวไม่พอ
2. ฝนหลงฤดู มีฝนตกมากขณะมะม่วงพักตัวจะทำให้มะม่วงแตกใบอ่อน
3. ดินแฉะรดน้ำมากอยู่เสมอ
4. ดินมีปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป จนมีอาการเผื่อใบ
5. มะม่วงแตกใบอ่อนของปีก่อนช้าเกิน สะสมอาหารไม่พอ
6. มะม่วงทรุดโทรมจากการเลี้ยงลูกมากในฤดูก่อน
7. มะม่วงอ่อนแอเพราะโรคแมลงศัตรูรบกวน
8. มะม่วงได้รับแร่ธาตุปลีกย่อยน้อยเกินไป
9. มะม่วงได้รับแดดไม่พอ ถูกบัง ถูกเบียดจากสิ่งอื่น
10 มะม่วงต้นแก่ ถูกจักจั่นทำลายราก เหลือใบที่ลำต้นน้อยเกินไป
11. ถูกกระทำด้วยสารเคมีมากเกินจนชะงักงัน
วิธีกระตุ้นมะม่วงให้ออกดอก
1. การบำรุงมะม่วงให้สมบูรณ์เต็มที่
2. ให้ใบแก่จัดและยอดอั้นจนตาเกือบปริ
3. อดน้ำ ทำให้เกิดสภาพความแห้งแล้ง
4. ฉีดด้วยสารเร่งการออกดอก ประกอบด้วย
ก. โปแตสเซี่ยมไนเตรท (13-0-46)
- อัตรา 200 กรัม สำหรับมะม่วงบังคับออกง่าย เช่น ฟ้าลั่น น้ำดอกไม้
- อัตรา 300–500 กรัม สำหรับมะม่วงที่บังคับยาก เช่น แรด เขียวเสวย หนังกลางวัน(งา)
ข. สารเอ็น.เอ.เอ. เช่น แพลนโบฟิกซ์ หรือแพนเทอร์ หรือโกลพลัส หรือเอ็นเอเอ 1-2 ซีซี
ค. อีเทรล 2 ซีซี. น้ำ 20 ลิตร(1ปี๊บ)
จ. ยาเปียกใบหรือยาจับใบ เช่น ไตรตัน ซีเอส-7 (1 ช้อนชา) ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นในเวลาที่ลมสงบในตอนเช้าหรือตอนเย็น ในมะม่วงอายุ 5-10 ปีขึ้นไป ใช้ประมาณ 40-50 ลิตร/ต้น อายุน้อยก็ลดลงตามส่วนฉีดแล้วภายใน 20 วัน ยังไม่เห็นวี่แววออกดอกให้ฉีดซ้ำใหม่ในอัตราเดิม และอีก 15 วันต่อมาหากไม่ดอกดอกอีกก็พอแค่นั้น เพราะฉีดไปก็ไม่ได้ผล ปัจจุบันใช้ไทโอยูเรีย 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร แทนโปแตสเซี่ยมไนเตรท
การใช้สารฮอร์โมนในมะม่วง
ก. จิบเบอเรลลิน(จี.เอ)
ปกติพืชสามารถสร้างสารจิบเบอเรลลินขึ้นเองอยู่แล้วซึ่งจะอยู่ในส่วนปลายสุดของพืช ได้แก่ส่วนยอดอ่อน จะทำให้พืชมีการแตกยอดและใบอ่อน และสารนี้ช่วยทำให้ขั้วเหนียวและดึงอาหารมาเลี้ยงทำให้ผลโต พืชสามารถรับเอาจิบเบอเรลลินจากภายนอก(ฉีดพ่นให้)ถ้าได้รับมากก็จะหยุดสร้างใช้เองของต้นพืชระยะหนึ่ง ถ้าได้มากเกินขนาด พืชจะมีขบวนการที่จะกำจัดจิบเบอเรลลินส่วนที่เกินจนเหลือพอดีแล้วสร้างขึ้นใช้เองใหม่ แต่ถ้ามากสุดขีดก็จะเป็นอันตรายคือส่วนอ่อน ๆ ของพืชเกิดบิดเบี้ยว ดอก ผลร่วงหล่นได้
ในที่อากาศร้อนพืชจะตอบสนองต่อการใช้สารจิบเบอเรลลินเป้นอย่างมาก คือ ใช้ในอัตราต่ำ ส่วนใหญ่อากาศหนาวเย็นพืชจะสนองต่อจิบเบอเรลลินได้น้อยหรือต้องใช้ในอัตราที่สูง
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการสร้างจิบเบอเรลลิน
นอกจากความสมบูรณ์ของต้นพืชอันเป็นพื้นฐานทั่วไปแล้ว สิ่งที่เกี่ยวข้องที่มีผลกระทบ คือ
1. ความร้อนหนาว อากาศร้อนสร้างได้มาก หนาวสร้างได้น้อย
2. ปุ๋ยไนโตรเจน ยิ่งได้รับมากก็สร้างมาก
3. น้ำและความชื้น มีมากสร้างมาก
4. แดด ถ้าได้รับน้อยจะสะสมแป้งได้น้อยทำให้สัดส่วนของไนโตรเจนสูง สร้างจิบเบอเรลลินได้มาก
ประโยชน์ของการใช้จิบเบอเรลลิน(จี.เอ)
1. ใช้กระตุ้นการแตกใบอ่อน โดยใช้สารจิบเบอเรลลินร่วมกับปุ๋ยพ่นทางใบพ่นให้ทั่วต้น โดยใช้ยูเรีย , 20-20-20, แร่ธาตุปลีกย่อย, จิบเบอเรลลิน, และยาจับใบผสมกันฉีดพ่น
2. ใช้ชะลอการออกดอก ปกติเมื่อมะม่วงออกดอกยอดมะม่วงจะจิบเบอเรลลินลดลงแต่มีเอฟิลินเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่ต้องการมะม่วงให้ออกในช่วงราคาไม่ดี ก็ฉีดจิบเบอเรลลินหรือใช้วิธีกระตุ้นให้แตกใบอ่อนอีกรุ่น ก็จะเลื่อนเวลาการบังคับการออกดอกไปได้อีกประมาณเดือนครึ่งถึง 2 เดือน
3. ใช้เพิ่มการติดผล ใช้ในระยะดอกเริ่มโรยหรือติดผลเล็กขนาดเมล็ดถั่วเขียวหรือหัวแมลงวัน จะใช้จิบเบอเรลลินกับยาจับใบเท่านั้นหรือรวมกับยาป้องกันรา หรือผสมกับยาป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟด้วยก็ได้ ปกติฉีดครั้งเดียวก็พอ อาจพ่นซ้ำได้อีกครั้งหลังจากพ่นครั้งแรก 7-10 วัน ทำให้ผลติดดีขึ้น
ในเชียงใหม่ใช้อัตราความเข้มข้นของสารประมาณ 20-25 พีพีเอ็ม.(ลิตรต่อลิตร) เพราะเป็นระยะเวลาที่เชียงใหม่ยังหนาวอยู่จึงใช้อัตราสูง
4. การเพิ่มขนาดผล ปกติใช้จิบเบอเรลลินร่วมกับปุ๋ยทางใบและยาป้องกันกำจัดโรคแมลง จะทำให้ผลมีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักดีด้วย
5. การใช้ยืดอายุการแก่ โดยใช้ร่วมกับปุ๋ยยูเรียแก่ มะม่วงก่อนเริ่มเข้าไคล จะทำให้มะม่วงมีสภาพอ่อนหรือไม่แก่ออกไปอีกระยะหนึ่ง สามารถประวิงการเก็บขายออกไปได้ประมาณ 15-20 วัน
จิบเบอเรลลิน ที่ใช้ในปัจจุบันใช้ จี.เอ.3 ในรูปผงละลายน้ำ ชื่อการค้า จิบเบอเรลลิน เกียววา ในรูปสารละลายเข้มข้น ชื่อ โปร-กิ๊บ
ข. เอ็น.เอ.เอ
มะม่วงเมื่อผลโตเท่านิ้วมือขึ้นไป ถ้ามีการใช้สาร เอ็น.เอ.เอ จะมีผลดีต่อมะม่วง คือ
1. ป้องกันดอกร่าง ใช้ 2-3 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร
2. เพิ่มขนาดของผล ใช้ 10 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร
3. ป้องกันผลร่วงหรือทำให้ขั้วผลเหนียว ผลเท่าหัวแม่มือ ใช้ 10 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร(อัตราสูงเมื่ออากาศเย็น) การใช้สาร เอ็น.เอ.เอ ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังหากใช้เกินขนาดอาจะเป็นอันตรายต่อต้นพืช ทำให้เกิดอาการผิดปกติได้สาร เอ็น.เอ.เอ ที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีความเข้มข้น 4.5% ได้แก่ แพลนโนฟิกซ์, โกรพลัส, ฮันนี่, นีต้าเอส, แพนเทอร์, ไพโอโพน
พาโคลบิวทราโซล
เป็นสารชะลอการเจริญเติบโตของพืช คุณสมบัติของสารนี้คือ จะยับยั้งการสร้างจิบเบอเรลลิน บริเวณใต้เยื่อ บริเวณใต้เยื่อเจริญของยอด ทำให้ข้อถี่สั้นลง เพิ่มการออกดอกและติดผล
สารพาโคลบิวทราโซลเข้าสู่ต้นพืชทางราก เนื้อเยื่อของกิ่งแลใบ สารเคลื่อนสู่ท่อน้ำ เพื่อเคลื่อนไปยังส่วนยอดของพืชไปยับยั้งการสร้าง จี.เอ. จึงช่วยไม่ให้กิ่งและใบเจริญเติบโตแต่จะไปช่วยเร่งให้ต้นไม้ออกดอกต่อไป
สารพาโคลบิวทราโซล ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้องอาจไม่ได้ผลและอาจเกิดผลเสียแก่ต้นพืชได้ ข้อแนะนำในการใช้มีดังนี้.-
1. ต้นมะม่วงที่จะใช้สารต้องมีความอุดมสมบูรณ์สูงและควรมีการแตกใบอ่อนมาแล้วอย่างน้อย 2 ชุด ภายหลังจากเก็บผลไปแล้ว
2. ระยะที่เหมาะต่อการใช้สาร คือ ช่วงใบยังอยู่ในระยะใบอ่อนหรือใบพวง
3. วิธีการใช้ที่เหมาะสมที่สุดคือราดลงดิน เนื่องจากสารตัวนี้ดูดซึมได้ดีทางราก
4. ดินควรมีความชื้นพอสมควร และควรรดน้ำตามภายหลังจากการให้สาร เพื่อให้ต้นมะม่วงดูดสารเข้าไปได้มากที่สุด
5. กรณีจะให้สารโดยการฉีดพ่นทางใบและกิ่ง ควรฉีดให้ถูกกิ่งที่มีสีเขียวและใต้ใบ และควรผสมยาจับใบทุกครั้ง
6. มะม่วงพันธุ์ต่าง ๆจะให้สารที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของพันธุ์นั้น ๆ
7. ก่อนใส่สาร 1 เดือน ควรพ่นปุ๋ยสูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ให้เปียกทั้งต้น
8. หลังพ่นปุ๋ย 1 เดือน ใส่สารวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้
ก. ใส่รอบโคนต้น (ทรงพุ่มขนาด 2-3 เมตร)
ข. ใส่รอบพุ่มใบ (ทรงพุ่มขนาดเกิน 4 เมตรขึ้นไป)
ค. ฉีดพ่นทางใบ อัตรา 200-400 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร (ควรใช้กับต้นที่ใส่สารทางดินในปีที่ผ่านมาแล้ว)
ทรงพุ่ม (เมตร) |
อัตราใช้สารพาโคลน/ต้น |
2-3-4-6-8-10 |
20-30 ซีซี. 30-40 ซีซี40-80 ซีซี. 80-100 ซีซี. 100-200 ซีซี. |
9. ภายหลังการใช้สารประมาณ 2 เดือนครึ่ง มะม่วงจะเริ่มออกดอกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธุ์ที่ออกดอกง่าย เช่น น้ำดอกไม้ ฟ้าลั่น เจ้าคุณทิพย์ ศาลายา หนองแซง ในกรณีมีการพักตัวนานเกินไป และไม่ออกดอกภายใน 2 เดือนครึ่ง ก็อาจใช้สารกระตุ้นการแตกตา เช่น โปแตสเซี่ยมไนเตรท 2.5% (ใช้สาร 500 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร)หรือใช้ไธโอยูเรีย 0.5%(สาร 100 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร)พ่นจะทำให้เกิดการออกดอกได้อย่างสม่ำเสมอไทโอยูเรีย ใช้กับมะม่วงพันธุ์ที่ออกดอกยากและไม่ค่อยตอบสนองต่อโปแตสเซี่ยมไนเตรท เช่น เขียวเสวย อกร่อง แรด
การแก้พิษพาโคลบิวทาโซน
หากมีการใช้สารพาโคลบิวทาโซลมากเกินไป จนเกิดอาการแสดงออก แก้โดยใช้สารจิบเบอเรลลิน (จี.เอ)ให้แก่พืชเพื่อเพิ่มจิบเบอเรลลินแก่พืชจะได้เจริญเติบโต แตกกิ่งและใบให้มากขึ้นต่อไป
http://www.it.mju.ac.th/dbresearch/organize/extention/book-fruit/fruit028.htm
แมลงค่อมทองมะม่วง
ชื่อวิทยาศาสตร์
1. Idioscopus clypealis (Lethierry),
2. I. niveosparsus (Lethierry)
รูปร่างลักษณะและชีวประวัติ
เพลี้ยจักจั่นที่พบระบาดอยู่มี 2 ชนิด ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้ มีรูปร่างคล้ายกันมาก ลำตัวมีสีเทาปนดำ หรือน้ำตาลปนเทา ส่วนหัวโตและป้าน ลำตัวเรียวแหลมมาทางด้านหาง ทำให้เห็นส่วนท้องเรียวเล็ก มองดูด้านบนเหมือนรูปลิ่ม ขนาดความยาวลำตัว 5.5-6.5 มม. และที่แผ่นตรงเหนือริมฝีปากบนเป็นสีดำ มักอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม แมลงชนิดนี้ใช้ขาหลังดีดตัวกระโดดไปมา ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจน ตัวอ่อนมีลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยทุกประการ การเคลื่อนไหวว่องไวแต่ไม่เท่าตัวเต็มวัย ตัวอ่อนนี้มักพบอยู่เป็นกลุ่มตามช่อดอกและใบ โดยเฉพาะบริเวณโคนของก้านช่อดอกและก้านใบ เนื่องจากบริเวณโคนจะมีเยื่อบาง ๆ สีน้ำตาลหุ้มไว้ เมื่อแดดร้อนจัดจะหลบซ่อนอยู่ตามหลังใบเพลี้ยจักจั่นช่อมะม่วงเพศเมียจะวางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ รูปร่างยาวรีสีเหลืองอ่อน จะวางไข่ตามแกนกลางใบอ่อนหรือก้านช่อดอก ปรากฏเป็นแผลเล็ก ๆ คล้ายมีดกรีด หลังจากวางไข่แล้วประมาณ 1-2 วัน จะมียางสีขาวของมะม่วงไหลหยดเห็นได้ชัด ระยะฟักไข่ 7-10 วัน เมื่อออกเป็นตัวอ่อนจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากช่อดอกและใบ ตัวอ่อนเจริญเติบโตโดยการลอกคราบ 4 ครั้ง จึงเป็นตัวเต็มวัย ระยะตัวอ่อน 17-19 วัน
ลักษณะการทำลาย
เพลี้ยจักจั่นที่พบระบาดมีอยู่ 2 ชนิด พบแพร่ระบาดทั่วไปในประเทศไทย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย จะทำลายใบอ่อน ช่อดอก ก้านดอก และยอดอ่อน แต่ระยะที่ทำความเสียหายมากที่สุดคือ ระยะที่มะม่วงกำลังออกดอก โดยจะดูดน้ำเลี้ยงจากช่อดอกทำให้แห้งและดอกร่วง ติดผลน้อยหรือไม่ติดเลย ระหว่างที่เพลี้ยจักจั่นดูดกินน้ำเลี้ยง จะถ่ายมูลมีลักษณะเป็นน้ำเหนียว ๆ คล้ายน้ำหวานติดตามใบ ช่อดอก ผล และรอบ ๆ ทรงพุ่ม ทำให้มะม่วงเปียกเยิ้ม ต่อมาตามใบ ช่อดอก จะถูกปกคลุมโดยเชื้อราดำ ถ้าปกคลุมมากก็จะกระทบกระเทือนต่อการสังเคราะห์แสง ใบที่ถูกดูดน้ำเลี้ยงในระยะเพสลาด ใบจะบิดงอโค้งลงด้านใต้ใบ ตามขอบใบจะมีอาการปลายใบแห้ง
การแพร่กระจายและฤดูกาลระบาด
แมลงชนิดนี้พบระบาดทั่วไปทุกแห่งที่ปลูกมะม่วง พบได้ตลอดทั้งปีแต่ปริมาณประชากรของเพลี้ยจักจั่นจะเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงออกดอก คือระหว่างธันวาคม - มกราคม เมื่อมะม่วงเริ่มแทงช่อดอก จำนวนเพลี้ยจักจั่นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนระยะดอกตูม มีปริมาณสูงสุดเมื่อดอกใกล้บาน และจะลดลงเมื่อมะม่วงเริ่มติดผล ซึ่งจะไม่พบบนผลเมื่อมะม่วงมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ (1.5-2 ซม. หรือช่วง 40 วัน)
ศัตรูธรรมชาติ
ผีเสื้อตัวเบียน Epipyropid (Epipyrous fuliginosatams) แมลงวันตาโต Pipunculid แตนเบียน Aphelined
แมลงห้ำ มวนตาโต Geoeori sp. เชื้อรา Beauveria bassiana
การป้องกันกำจัด
1. ถ้าหากเจ้าของสวนมะม่วงไม่ป้องกันกำจัดแล้ว มะม่วงจะไม่ติดผลเลย จึงควรพ่นด้วยสารฆ่าแมลง carbaryl (เซฟวิน 85% WP) อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ในระยะก่อนมะม่วงออกดอก 1 ครั้ง และเมื่อเริ่มแทงช่อดอก 1 ครั้ง เมื่อช่อดอกบานแล้วไม่ควรพ่นสารฆ่าแมลง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสร และหมั่นตรวจดูตามช่อดอกอยู่เรื่อย ๆ ถ้าพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยในจำนวนมากกว่า 5 ตัวต่อช่อ ควรพ่นอีก 1 - 2 ครั้ง ในระยะดอกตูม และก่อนดอกบาน ถ้าหากมะม่วงติดผลขนาดหัวแม่มือ การพ่นสารฆ่าแมลงไม่มีความจำเป็น
2. ในสวนที่มีการระบาดรุนแรงควรเปลี่ยนไปพ่นด้วยสาร monocrotophos (อโซดริน 60% WSC) 25 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไพรีทรอยด์สังเคราะห์ คือ permethrin (แอมบุช 10 % EC) 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร cyhalothrin L (คาราเต้ 2.5 %EC.) 7 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร, cyfluthrin (ไบทรอยด์ 10% EC.) 4 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร, deltamethrin (เดซิส 2.5% EC.) 10 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร cypermethrin (ริพคอร์ด 10% EC.) 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร และ fenvalerate (ซูมิไซดิน 20% EC.) 10 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร (12)
3. ในระยะที่ดอกมะม่วงกำลังบาน การพ่นน้ำเปล่าในตอนเช้าจะช่วยให้การติดมะม่วงดีขึ้น แต่ควรปรับหัวฉีดอย่าให้กระแทกดอกมะม่วงแรงเกินไป
4. การพ่นสารฆ่าแมลงให้มีประสิทธิภาพควรพ่นให้ทั่วถึงทั้งลำต้น มิเช่นนั้นตัวเต็มวัยจะเคลื่อนย้ายหลบซ่อนไปยังบริเวณที่พ่นสารฆ่าแมลงไม่ถึง นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการปรับละอองฝอยหัวฉีด ระยะเวลาการพ่น
5. การตัดแต่งกิ่งภายหลังเก็บผลผลิตเป็นวิธีที่การกระทำอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดที่หลบซ่อนของเพลี้ยจักจั่นลง ทำให้การพ่นสารฆ่าแมลงมีประสิทธิภาพดีขึ้น