-
MySite.com :: ทบทวนกระทู้ - * นศ.สจล.ฝึกงานไร่กล้อมแกล้ม
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
ตอบตอบ: 08/01/2024 7:52 am    ชื่อกระทู้:

....
kimzagass
ตอบตอบ: 28/05/2020 11:45 am    ชื่อกระทู้:

.
.
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=17&page=3
ใคร-ทำอะไร-ที่ไหน-เมื่อไร-อย่างไร-ทำไม................เริ่มบันทึก ม.ค.53




.
kimzagass
ตอบตอบ: 21/06/2011 7:37 am    ชื่อกระทู้:

ข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็ง

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกา ข้าวโพดหวานที่ปรุง
สุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้
หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไปสู้กินดิบ ๆ ไม่ได้





แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียวิตามิน ซี. ไปเขาได้พบในการ
ต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนาน
จะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นตามลำดับนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า
สารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งยัง
มีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ อย่างเช่น ต้อกระจกและโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกาย ยิ่ง
มากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมี ซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก
แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด ผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำ ให้มันปล่อยกรดเฟรุ
ลิกออกมาได้มากขึ้น


อ้างอิง : http://variety.teenee.com/foodforbrain/2456.html

Comments
Powered by Facebook Comments


http://iblog.farmkaset.net
kimzagass
ตอบตอบ: 15/06/2011 8:02 pm    ชื่อกระทู้:

เทคนิคการปลูกข้าวโพดฝักสดที่ให้คุณภาพดี


ปลูกต่างพันธุ์แยกห่างกันอย่างน้อย 500 เมตร หรือปลูกเหลื่อมเวลา โดยปลูกพันธุ์
เบาก่อน 7 ถึง 14 วัน

เก็บเกี่ยวให้ถูกเวลา เก็บฝักสดหลังจากออกไหม (เห็นเส้นไหมโผล่พ้นปลายฝัก)
แล้ว 18 วันในฤดูฝนและฤดูร้อน สำหรับฤดูหนาวจะเก็บช้าไปอีก 3-5 วัน แล้วแต่
ความหนาวเย็น ถ้าหนาวมากก็เก็บช้า

ลดการให้น้ำลงก่อนเก็บเกี่ยว 2-3 วัน จะช่วยเพิ่มความหวานให้ดีขึ้น

ข้าวโพดฝักสดจะมีรสชาติดีที่สุด ควรรับประทานทันทีหลังหักฝัก

เวลาเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุด คือ เก็บตอนเช้าตรู่ก่อนแดดออกเก็บไว้ในที่ร่ม และเย็น
หากต้องขนส่งทางไกลจะต้องตัดลำต้นให้ติดกับฝักยาวประมาณ 10 เซนติเมตร จะ
ช่วยรักษาความหวานไว้ได้ประมาณ 2 วัน


ผลิตผลิตเฉลี่ย : ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดข้าวเหนียว 1,400 กิโลกรัมต่อไร่,
ข้าวโพดเทียน 1,000 กิโลกรัมต่อไร่


เงื่อนไข : การปลูกเป็นพื้นที่ปริมาณมากต้องมีการวางแผนด้านการตลาด เพื่อรอง
รับผลผลิต



ที่มา กรมวิชาการเกษตร

28/04/2554 (update 05/05/2554)


http://agricultural-land.tarad.com/product.detail.php?id=3816471
kimzagass
ตอบตอบ: 15/06/2011 7:20 pm    ชื่อกระทู้:

ข้าวโพดข้าวเหนียวหวาน พันธุ์ Kswsx 2410

สุรณี ทองเหลือง สำราญ ศรีชมพร และธำรงศิลป โพธิสูง
สถานีวิจัยพืชไร่สุวรรณวาจกกสิกิจ และศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ
สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


ข้าวโพดข้าวเหนียวหวานพันธุ์ Kswsx 2410 เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสมเดี่ยวที่ได้จากการผสม
พันธุ์ระหว่างสายพันุ์อินเบรด Kswi #24-4-1 เป็นสายพันธุ์แม่ และ Kwi #10 เป็นสายพันธุ์พ่อ ซึ่ง
พัฒนาโดยโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดเทียนและข้าวโพดข้าวเหนียว ของสถานีวิจัยพืชไร่สุวรรณวา
จกกสิกิจ สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์ เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตร
ศาสตร์

จากแนวคิดที่จะพัฒนาข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายในลักษณะฝัก และรส
ชาติ สู่ผู้บริโภค โดยการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวโพดข้าวเหนียว และ
ข้าวโพดหวาน คือการนำยีนแว๊กซี่ ที่เป็นยีนด้อยจากข้าวเหนียวพันธุ์ composite # 3 มาใช้ประโยยชน์
ร่วมกับยีนด้อยของข้าวโพดหวานคือ ยีน ซูการี่ 1 จากพันธุ์ Jubilee และ Heritage, ชรังเค่น
2 จากพันธุ์ Krispyking, Punchline และ Shaker และ ซูการี่เอนฮานเซอร์ จากพันธุ์ Servo ในสัด
ส่วนที่เหมาะสม

เริ่มพัฒนาพันธุ์โดยการสร้างพันธุ์ผสมรวมในปี พ.ศ. 2538 แล้วสกัดสายพันธุ์อินเบรดมาทดลองผลิต
ข้าวโพดข้าวเหนียวหวานลูกผสม คัดเลือกสายพันธุ์พ่อแม่ที่มีสมรรถนะการรวมตัวดีมาผลิตลูกผสม ทำ
การทดสอบลูกผสมในแปลงทดสอบมาตรฐานหลายแห่งและหลายฤดูปลูก คือ ที่ศูนย์วิจัยข้าวโพด
และข้าวฟ่างแห่งชาติ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และในสถานีวิจัย/ศูนย์วิจัยของกรมวิชาการเกษตร
โดยมีพันธุ์เปรียบเทียบทั้งจากภาครัฐและเอกชน

ในปี พ.ศ. 2545 พบว่าข้าวโพดข้าวเหนียวหวานพันธุ์ Kswsx 2410 เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพ
ในการรับประทานดี ลำต้นและรากแข็งแรง สม่ำเสมอ เจริญเติบโตเร็ว ต้านทานต่อโรคทางใบได้ดี
เมล็ดติดถึงปลายฝัก และมีเปลือกหุ้มฝักมิดชิด จึงได้เสนอมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เพื่อรับรองพันธุ์และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เป็นพันธุ์ปลูก เพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ต่อไป















http://www.rdi.ku.ac.th/kasetfair49/Plant/p_18/p_18.htm
kimzagass
ตอบตอบ: 15/06/2011 7:14 pm    ชื่อกระทู้:

ข้าวโพดสายพันธุ์ใหม่เพื่อการค้า

ผลงาน มทร.ล้านนา

ข้าวโพด เป็นพืชไร่หนึ่งที่ตลาดมีความต้องการมาก แยกออกเป็นประเภทต่างๆ ได้มากมาย เช่น ข้าวโพดฝักสด
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดข้าวเหนียว หรือข้าวโพดลูกผสมต่างๆ ข้าวสองสี ข้าวโพดสามสี

พันธุ์ข้าวโพดบางพันธุ์ได้นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับ
อากาศของบ้านเรา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (มทร.ล้านนา) ได้ให้ความสำคัญของสายพันธุ์
ข้าวโพดที่ปลูกได้ในประเทศไทย จึงได้ศึกษาวิจัยจนประสบผลสำเร็จ มีข้าวโพดสายพันธุ์เชิงการค้า เพื่อ
ให้ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งเกษตรกรมีทางเลือกปลูกข้าวโพหลายชนิดตามแต่สภาพพื้นที่
และความต้องการของตลาด



รศ.ดร.คมสัน อำนวยสิทธิ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน เล่าว่า ไดทำการ
ศึกษาวิจัยสายพันธุ์ข้าวโพดเพื่อผลิตพันธุ์ในเชิงการค้าหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดหวาน
ฝักเล็ก พันธุ์เทียนหวานพิษณุโลก และข้าวโพดไร่สีม่วง



ข้าวโพดคั่ว
ผลิตภัณฑ์จากข้าวโพดคั่ว หลายคนต่างนิยมชื่นชอบรับประทานกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ
ตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก มินิมาร์ท โรงภาพยนตร์ มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่คั่วร้อนๆ ผลิตภัณฑ์ข้าว
โพดคั่วปรุงรสสำเร็จรูป แต่ผลิตภัณฑ์บางอย่างและเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดคั่วนั้นจะต้องสั่งนำเข้ามาจากต่าง
ประเทศ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน
จึงเกิดแนวคิดศึกษาวิจัยพันธุ์ข้าวโพดคั่วสายพันธุ์แท้เพื่อใช้ผลิตเป็นข้าวโพดคั่วสายพันธุ์ลุกผสมเชิงการ
ค้า จนประสบความสำเร็จ การพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดคั่วเพื่อใช้เองภายในประเทศ มีความจะเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อให้ได้สายพันธุ์ข้าวโพดคั่วที่สามารถปรับตัวได้ดี มีผลผลิตสูง คุณภาพดี เป็นที่ต้องการของตลาด
ต้านทานต่อโรคและแมลงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรที่ปลูกข้าวโพไร่หรือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หันมาปลูกข้าว
โพดคั่วกันมากขึ้นอีกทั้งเป็นการลดการนำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูง

จากการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดคั่วเพื่อการค้า ทำให้ได้ต้นข้าวโพดมีลักษณะเด่น คือ อายุการเก็บเกี่ยว
85 วัน ลำต้นตั้งตรงแข็งแรง สูงประมาณ 150-200 เซนติเมตร เกสรตัวผุ้มีช่อดอกขนาดใหญ่
เกสรตัวเมียสีชมพูขาว เมล็ดเป็นแบบหยดน้ำ สีของเมล็ดเหลืองเข้ม ความยาวของฝัก ประมาณ 18-20
เซนติเมตร มีจำนวน 14 แถวเมล็ดต่อฝัก มีจำนวน 30-38 เมล็ด ต่อแถว ให้ผลผลิตเฉลี่ย 450-650
กิโลกรัม ต่อไร่ เมื่อนำไปคั่วเป้นข้าวตอกมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ มีการแตกตัวมากกว่า 95 %



ข้าวโพดหวานฝักเล็ก “เทียนหวานพิษณุโลก”
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เขตพื้นที่พิษณุโลก ได้รวบรวมเมล็ดข้าวโพดเทียนพื้นเมือง
ตั้งแต่ปี 2537 ปลุกคัดเลือกและศึกษาลักษณะทางการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 2540 ได้
คัดเลือกข้าวโพดเทียนพันธุ์พื้นเมือง ได้จำนวน 7 พันธุ์ คือ พันธุ์สุโขทัย 1 สุโขทัย 2 พันธุ์
อยุธยา พันธุ์บางพระ พันธุ์พิษณุโลก พันธุ์ขาวนครศรีธรรมราช และพันธุ์ขาวสุโขทัย ข้าวโพด
เหล่านี้ตั้งชื่อตามแหล่งที่รวบรวมมาปลูก และปลูกเปรียบเทียบทั้ง 7 พันธุ์ ปรับปรุงและพัฒนา
พันธุ์ข้าวโพดเทียนด้วยการเพิ่มจำนวนข้าวโพดข้าวเหนียวหวานของแก่น พันธุ์นพวรรณ 1 และข้าว
โพดเทียนพันธุ์พื้นเมือง 7 พันธุ์ จนได้เป็นข้าวโพดหวานฝักเล็กพันธุ์เทียนหวานพิษณุโลก ที่มี
ลักษณะเด่นคือ อายุการเก็บเกี่ยวสั้น ใช้เวลาปลูกเพียง 55 วัน ลำต้นสูง 176 เซนติเมตร
รสชาติหวาน กรอบมีสีสองสีสลับกันคล้ายกับพันธุ์ที่นิยมบริโภคในต่างประเทศ ฝักเล็กเหมาะแก่
การบริโภค ความยาวของฝัก 11 เซนติเมตร เส้นรอบวงฝัก 10 เซนติเมตร มีน้ำหนักสดทั้ง
เปลือก 165 กรัมต่อฝัก น้ำหนักฝักสดหลังปอกเปลือก 104 กรัม


ข้าวโพดไร่สีม่วง
ข้าวโพดไร่สีม่วงเป็นพืชไร่ที่ใช้ประโยชน์จากเมล็ดเป็นสำคัญ เป็นวัตถุสำหรับอาหาร
สัตว์ชนิดใหม่ แต่ยังไม่มีภาครัฐและเอกชนผสมพันธุ์ออกมาเป็นพันธุ์ลูกผสมสารสีม่วงแดงจะมีสาร
แอนโทไซยานินที่เป็นสารจากธรรมชาติ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค อีกทั้งสารสีม่วงนี้ยังนำไปใช้เป็นสี
ผสมอาหาร หรือใช้ในอุตสาหกรรมสีย้อมผ้าด้วยความสำคัญดังกล่าว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช
มงคลล้านนา จึงได้เริ่มศึกษาและพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดไร่สีม่วง จำนวน 9 ชั่ว พบว่าได้รับผลผลิต
ค่อนข้างสูง 20 อันดับแรกเฉลี่ยประมาณ 787-953 กิโลกรัม ต่อไร่ อายุการออกดอกเร็วกว่า
พันธุ์การค้า ขนาดของฝักสม่ำเสมอ


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน เลขที่ 59
หมู่ที่ 13 ตำบลฝายแก้ว อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน โทรศัพท์ (054) 710259, 710554, (081) 870-8902



http://www.cornthai.com/news-12.html
kimzagass
ตอบตอบ: 14/06/2011 8:43 pm    ชื่อกระทู้:

หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด














ที่มา: เอกสารวิชาการ โรคข้าวโพดและการป้องกันกำจัด
เรียบเรียงโดย ชุติมันต์ พานิชศักดิ์พัฒนา โกมินทร์ วิโรจน์วัฒนกุล และ อดิศักดิ์ คำนวณศิลป์ สถาบันวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตร

http://210.246.186.28/fieldcrops/vcorn/index.htm
http://kasetinfo.arda.or.th/north/plant/corn_insect.html


-------------------------------------------------------------------------------------------------------





โรคใบไหม้แผลเล็ก (Southern or Maydis LeafBlight)











โรคใบจุดจากเชื้อเฮลมินโธสปอเรี่ยม (Northern Leaf Spot หรือ Helminthosporium Leaf Spot)





โรคราสนิม (Southern Rust)











โรคใบจุด (Leaf Spot)




โรคจุดสีน้ำตาล (Brown Spot)





โรคต้นเน่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial stalk rot)





โรคต้นเน่าเกิดจากเชื้อฟิวซาเรี่ยม (Fusarium Stalk Rot)




โรคต้นเน่าเกิดจากเชื้อมาโครโฟมิน่า (Charcoal Rot)








โรคโคนเน่า (Basal Stem Rot Disease)





โรคต้น ฝักและเมล็ดเน่าเกิดจากเชื้อดิโพลเดีย (Diplodia Stalk Kernel and Ear Rot )





โรคสมัทหรือโรคราเขม่าสีดำ (Common Smut)










โรคข้าวโพดจากการขาดความสมดุลย์ของธาตุอาหาร



ที่มา: เอกสารวิชาการ โรคข้าวโพดและการป้องกันกำจัด
เรียบเรียงโดย ชุติมันต์ พานิชศักดิ์พัฒนา โกมินทร์ วิโรจน์วัฒนกุล และ อดิศักดิ์ คำนวณศิลป์ สถาบันวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตร
http://210.246.186.28/fieldcrops/vcorn/index.htm

http://kasetinfo.arda.or.th/north/plant/corn_disease.html
kimzagass
ตอบตอบ: 14/06/2011 8:06 pm    ชื่อกระทู้:


อาการขาดธาตุไนโตรเจนของข้าวโพด





อาการขาดธาตุฟอสฟอรัสของข้าวโพด





อาการขาดธาตุแม็กนีเซียมในข้าวโพด
http://www.napstoller.com/sysptoms.php




คลิกไปดู สาระพัดรูปโรคพืช....
http://www.sskcat.ac.th/elearning/5.htm




.
kimzagass
ตอบตอบ: 14/06/2011 7:52 pm    ชื่อกระทู้:

สารอาหารในข้าวโพด


ข้าวโพดเป็นธัญพืชที่สำคัญมากพืชหนึ่งของโลก ผลผลิตประมาณครึ่งหนึ่งใช้เป็นอาหารมนุษย์ นอกจากนั้น
ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์และอื่น ๆ ข้าวโพดมีถิ่นกำเนิดแถบบริเวณประเทศตะวันตก และเป็นที่นิยมบริโภค
กันแถบประเทศทวีปอเมริกากลาง และใต้ สำหรับประเทศไทย ข้าวโพดเป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคในรูป
อาหารว่างระหว่างมื้ออาหารมาช้านานแล้ว และยังมีการปลูกข้าวโพดเพื่อการเลี้ยงสัตว์กันมาก จนถึง
ปัจจุบันข้าวโพดนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศอีกด้วย

การจำแนกชนิดข้าวโพด
ข้าวโพดไร่หรือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นชนิดที่ปลูกเพื่อการส่งออกเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์

ข้าวโพดรับประทานฝักสด
2.1 ข้าวโพดเทียน มีขนาดต้นเล็ก ฝักเล็กเรียว เมล็ดมนกลม สีเหลืองอ่อน มีรสชาตินุ่มนวล
หวานอร่อย

2.2 ข้าวโพดข้าวเหนียว (Glutinous Corn) จะมีฝักและเมล็ดใหญ่กว่าข้าวโพดเทียน เมล็ดสีขาว
ฝักสดเมื่อต้มรับประทานจะมีลักษณะเหนียวมัน คล้ายข้าวเหนียวเพราะมีอะไมโลเปคตินมาก (อยู่ในรูป
ของแป้ง) เมื่อเมล็ดข้าวโพดแก่และแห้งแล้วนิยมนำไปบริโภคในรูปข้าวโพดคั่ว

2.3 ข้าวโพดหวาน (Sweet Corn) ข้าวโพดชนิดนี้ เมื่อสดจะมีรสหวานอร่อยเนื่องจากมีน้ำตาลกลูโคสมาก
(อยู่ในรูปของแป้ง) เมื่อแก่ฝักจะแห้งและเมล็ดเหี่ยวย่น

2.4 ข้าวโพดฝักอ่อน (Baby Corn) เป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น นับตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวฝักอ่อน
ใช้เวลาเพียง 60-75 วัน เท่านั้น สามารถปลูกได้ตลอดปี นิยมนำมาบรรจุกระป๋องหรือขายเป็นฝักสด


2.5 ปอปคอร์น (Pop Corn) ข้าวโพดชนิดนี้มีคุณสมบัติแตกฟูได้ดี เมื่อถูกความร้อนอาจเป็นเพราะ
เอนโดสเปอร์มหรือส่วนเนื้อในของเมล็ดไม่มีเยื่อหุ้มเมล็ด (seed coat) นิยมบริโภคในรูปข้าวโพดคั่ว
โดยนำเมล็ดที่แก่แห้งแล้วมาคั่วให้แตก ข้าวโพดชนิดนี้ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ


ส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหาร
ข้าวโพดจัดเป็นอาหารจำพวกแป้งเช่นเดียวกับข้าว ประกอบด้วยสารอาหารคาร์โบไฮเดรทและไขมันที่เพียงพอ
แต่มีปริมาณสารอาหารโปรตีนต่ำ ข้าวโพดมีวิตามิน บีต่าง ๆ เช่น วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2 และไนอะซิน
ในปริมาณต่ำ รวมทั้งปริมาณแคลเซียม และเหล็กด้วย และพบว่าวิตามินเอมีเฉพาะในข้าวโพดสีเหลือง


สารอาหาร ประโยชน์
1. คาร์โบไฮเดรท ในส่วนเนื้อในของเมล็ดข้าวโพดที่แก่จัด มีสารอาหารคาร์โบไฮเดรท ประมาณร้อยละ 72 จึง
จัดเป็นอาหารจำพวกแป้งที่ให้พลังงาน คือ 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่

2. ไขมัน เมล็ดข้าวโพดที่แก่จัดมีไขมันอยู่ประมาณร้อยละ 4 สามารถสกัดเป็นน้ำมันใช้ประกอบอาหาร
น้ำมันข้าวโพดมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวโดยเฉพาะ กรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นในปริมาณสูงถึง
ร้อยละ 40 ซึ่งจะมีฤทธิ์ควบคุมโคเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยลดหรือแก้ไข โรคความดันโลหิตสูง
เนื่องจากมีโคเลสเตอรอลสูงได้

3. โปรตีน ข้าวโพดมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบประมาณร้อยละ 4 โปรตีนในข้าวโพดมีประโยชน์ต่อร่างกายน้อย
เพราะขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ ไลซีน และทริบโตแฟน ดังนั้น จึงควรรับประทานข้าวโพดร่วม
กับถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ เพื่อให้ข้าวโพดมีคุณค่าทางอาหารมากขึ้น

4. วิตามิน ข้าวโพดมีวิตามิน บี 1 และวิตามิน บี 2 ในปริมาณ 0.08-0.18 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
มีไนอะซีน ในปริมาณต่ำ 1.1-1.5 มิลลิกรัม ประเทศที่มีการ บริโภคข้าวโพดเป็นอาหารหลักจะเกิดเป็น
โรคเพลลากา Pellagra กันมาก เพราะขาดสารอาหารไนอะซีน สำหรับวิตามินเอ มีเฉพาะในข้าวโพดสีเหลือง

5. เกลือแร่ ข้าวโพดมีส่วนประกอบเกลือแร่ที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น แคลเซียม
และ เหล็กแต่ก็มีในปริมาณน้อยมาก



การใช้ประโยชน์ของข้าวโพดในรูปของอาหาร
ข้าวโพดรับประทานฝักสด คนไทยส่วนใหญ่บริโภคข้าวโพดในรูปอาหารหวาน หรืออาหารว่างระหว่างมื้อ
อาหาร โดยนำข้าวโพดที่เมล็ดยังไม่แก่เต็มที่มาต้ม นึ่ง หรือปิ้งให้สุก ใส่น้ำเกลือบ้าง ใส่เนยบ้าง เพื่อ
เพิ่มรสชาติ สำหรับความนิยมในชนิดหรือพันธุ์อาจมีแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม คุณภาพและรสชาติ
ความหวานของข้าวโพด รับประทานฝักสดจะขึ้นอยู่กับ

- อายุการเก็บเกี่ยว ควรเก็บในช่วงระยะเวลาที่พอเหมาะ เมล็ดโตเต็มที่หรือไหมเริ่มมีสีน้ำตาล เช่น ข้าว
โพดหวานควรเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุประมาณ 65-70 วัน หลังปลูก

- ระยะเวลาการบริโภค ภายหลังการเก็บเกี่ยวหรือเมื่อหักฝักจากต้นแล้วคุณภาพและรสชาติความหวานจะ
เริ่มลดลง ยิ่งเก็บไว้นานก็ยิ่งจืดและเหนียวขึ้นทุกทีเนื่องจากน้ำตาลในเมล็ดข้าวโพดเปลี่ยนเป็นแป้งหมด

- การเก็บรักษา อุณหภูมิหรือแสงแดดจะทำให้ความหวานของเมล็ดข้าวโพดลดลงอย่างรวดเร็ว จึงควร
เก็บในที่เย็น เพื่อช่วยรักษาคุณภาพและรสชาติไว้ได้บ้าง ข้าวโพดฝักอ่อน คน
ไทยนิยมนำมา
ประกอบอาหารบริโภคในรูปฝักสด เช่นเดียวกับหน่อไม้ฝรั่ง ต่างประเทศนิยมในรูปข้าวโพดฝักอ่อน
บรรจุกระป๋อง ซึ่งมีหลายประเทศในยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และฮ่องกง ที่ซื้อข้าวโพดอ่อนบรรจุ
กระป๋องจากประเทศไทย เป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่นำมูลค่าส่งออกสูงให้ประเทศ


คุณภาพและรสชาติของข้าวโพดฝักอ่อนขึ้นอยู่กับ
- อายุการเก็บเกี่ยว ให้สังเกตจากไหมเริ่มโผล่พ้นจากปลายฝักประมาณ 1-2 ซม. ฝักบนสุดเป็นฝักแรก
จะเจริญเติบโตเร็วมากและฝักอื่น ๆ ถัดต่ำลงมา การหักฝักควรให้ติดลำต้นไปด้วย เพราะทำให้มองเห็น
ต้นที่เก็บเกี่ยวแล้วได้ ต้นหนึ่งสามารถเก็บฝักอ่อนได้ 2-3 ฝักเป็นอย่างน้อย อายุการเก็บเกี่ยว 48-50
วัน หลังปลูกและมีช่วงระยะเวลาเก็บเกี่ยว 7-10 วัน

- ระยะเวลาบริโภค เมื่อเก็บแล้วควรประกอบอาหารรับประทานทันทีจะทำให้ได้คุณภาพและรสชาติดี

- การเก็บรักษา ควรเก็บในที่เย็นจะช่วยรักษาคุณภาพและรสชาติได้บ้าง


ข้าวโพดเมล็ดแห้ง
ข้าวโพดจัดเป็นอาหารจำพวกแป้งเช่นเดียวกับข้าว คนในประเทศแถบทวีปแอฟริกา นิยมนำเมล็ดข้าวโพด
มาแช่น้ำ และบดทั้งเมล็ด ด้วยโม่หินหรือเครื่องบด บีบน้ำออกแล้วนำมานึ่งรับประทาน ส่วนประเทศ
แถบทวีปอเมริกากลางและใต้มีผลิตภัณฑ์ข้าวโพดที่นิยมบริโภคเป็นอาหารหลักคือ ทอร์ทิลลา (Tortilla)
โดยใช้เมล็ดข้าวโพดแก่ทั้งเมล็ดแช่ในน้ำด่าง นำมาบดบีบน้ำออก นำมารีดแล้วตัดเป็นแผ่นบาง ๆ ทิ้งให้
หมาด นำมาทอด รับประทานกับถั่วบดผสมเนื้อและใส่เครื่องเทศ


แป้งข้าวโพด
ได้จากการสกัดเอาแป้งจากเมล็ดข้าวโพดที่แก่และแห้งแล้วโดยการโม่แยกส่วนคัพพะและเปลือกออก
เหลือเอนโดสเปอร์ม ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อแป้งไว้ แป้งข้าวโพดที่ได้มี 3 ลักษณะคือ ชนิดหยาบเรียกคอร์น
กริท (corn grit) ค่อนข้างละเอียดเรียกว่า คอร์นมิล (corn meal) และชนิดละเอียดเรียกแป้ง
ข้าวโพด (corn flour) นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์อาหารจากแป้งข้าวโพดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เป็น
อาหารเช้า (breakfast cereal) และขนมปังข้าวโพด ใช้เป็นแป้งชุบทอด ใช้เป็นน้ำซุปข้นราดบน
อาหารหลายชนิด

สำหรับประเทศไทย นิยมใช้แป้งข้าวโพดน้อยมาก เนื่องจากมีราคาค่อนข้างแพง สามารถใช้แป้งมัน
สำปะหลังที่มีราคาถูกกว่า ในการประกอบอาหารที่ต้องการความข้นหนืดและเหนียวแทน ถึงแม้ว่าความ
หนืดจะไม่คงตัวหรือคืนตัวง่ายกว่าที่ใช้แป้งข้าวโพดก็ตาม


น้ำมันข้าวโพด
เป็นน้ำมันที่สกัดจากเมล็ดข้าวโพดที่แก่และแห้งแล้วประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวและมีกรดไขมัน
ที่จำเป็น คือกรดไลโนเลอิกอยู่มาก น้ำมันข้าวโพดจัดเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีประโยชน์เหมาะแก่
การบริโภคมากชนิดหนึ่งใช้ในการประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ทำน้ำมันสลัด ทำขนม ใช้ทอดอาหารต่าง ๆ

น้ำเชื่อมข้าวโพด (corn syrup)
เป็นน้ำเชื่อมที่ได้จากการย่อยสลายแป้งข้าวโพดใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและขนมหวานต่าง ๆ เนื่อง
จากมีคุณสมบัติไม่ตกผลึกและคงรูป


การใช้ประโยชน์อื่น ๆ
นอกจากการใช้ประโยชน์ของข้าวโพดในรูปของอาหารแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมเครื่อง
อุปโภคหลายชนิด เช่น ทำสบู่ น้ำมันใส่ผม น้ำหอม กระดาษ ยา ผ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ฝัก ใบ ลำต้น
ยังอาจนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์ได้อีกหลายอย่างเช่น ปุ๋ย วัตถุฉนวนไฟฟ้า ซังข้าวโพดแห้งใช้เป็นเชื้อเพลิง
ในการหุงต้มได้


http://web.ku.ac.th/agri/cornn/corn_b.htm
kimzagass
ตอบตอบ: 14/06/2011 6:43 pm    ชื่อกระทู้:

ปิดฉากข้าวโพดหวานลาดกระบัง....






























งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา การทำงานทุกอย่างก็ต้องมีวันเสร็จสิ้น เมื่อเสร็จภารกิจที่ได้รับ
มอบหมายนี้แล้ว แปลงข้าวโพดหวานที่เราเฝ้าฟูมฟักมาเป็นเวลากว่าสองเดือนก็ถูกพัง
ทลายให้ราบเป็นหน้ากลอง เหลือไว้เป็นอนุสรณ์ก็แต่ต้นกล้วยเท่านั้น แต่ถึงแม้จะไม่ข้าว
โพดให้เราได้เฝ้าดูพัฒนาการของมันแล้วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหลือและคงไม่มีวันลบ
เลือน นั่นก็คือ ความทรงจำที่่แสนสุข เศร้า เคล้าน้ำตา แถมด้วยความโหด มันส์ ฮา
ตลอดช่วงที่เราฝึกงานอยู๋ที่นี่ มันจะอยู่ในใจของเราตลอดไป ที่พอนึกถึงเมื่อไหร่ก็แอบ
ยิ้มได้ทุกที ช่วงนี้ลูก ๆ งานยุ่งกันทุกคนเลยไม่มีเวลาเข้าเว็บมากนัก งานที่ลุงคิมสั่งเลย
ขาดความต่อเนื่อง ต้องขออภัยคุณลุงมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ



.
kimzagass
ตอบตอบ: 13/06/2011 6:33 pm    ชื่อกระทู้:


ฝักล่าง : เป็นฝักแรกหรือฝักที่ 2 ของต้น

ฝักบน : เป็นฝักที่ 3 ของต้น แม้ขนาดจะตกเกรดแต่ก็ยังมีเมล็ดเต็ม บริโภคได้ รสชาดไม่ได้ต่างไปจากฝักเกรด เอ.
แม้แต่น้อย ข้าวโพดฝักแบบนี้ แนะนำให้เฉือนเมล็ดสดไปทำทอดมันจะดีมากๆ หรือเฉือนเมล็ดสด เข้าไมโครเวฟ
รอบแรกก่อน 2 นาที แล้วเติมเนย เกลือ น้ำตาล เข้าไมโครเวฟรอบ 2 อีก 45 วินาที แค่นี้ก็อร่อยแล้ว สุดท้าย
ถ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็น่าจะพิจารณานมข้าวโพดสดนะ




6.


7.


8.



15.


16.


17. ผลผลิต คัดเฉพาะฝักใหญ่ รวมได้ 12 กส.ปุ๋ย




.
kimzagass
ตอบตอบ: 13/06/2011 6:31 pm    ชื่อกระทู้:



ข้าวโพดหวาน (ที่จริงข้าวโพดทุกชนิด) เมื่อไหมเริ่มเนียวหนึบ (สัมผัสด้วยมือ) นั่นคือ เกสรตัวเมีย
พร้อมรับการผสม

วิธีผสมด้วยมือ..... ตัดดอกยอด (เกสรตัวผู้) มาเคาะใส่ที่ไหม 1-2 ครั้ง เกสรตัวผุ้มีลักษณะเป็น
ผงละเอียดมาก เหมือนแป้งฝุ่นทาตัวเด็ก สีเหลืองอ่อน

วิธีผสมด้วยธรรมชาติ ....โดยแมลง คือ ต้องมีแมลงโดยเฉพาะผึ้งเข้ามาช่วยผสมให้ นั่นหมาย
ความว่า จะต้องไม่มีสารเคมีฆ่าหรือไล่แมลงในแปลงปลูกหรือแปลงใก้ลเคียง ซึ่งผึ้งมักออกหากิน
ช่วง 7-10 โมงเช้า และเกสรข้าวโพดก็พร้อมผสมช่วงเวลานี้เหมือนกัน....สายลมช่วยผสม โดย
จัดระยะปลูกให้มีช่องว่างระหว่างต้นเพื่อลมพัดผ่านสดวกได้

ข้อจำกัดทางธรรมชาติเกี่ยวกับเกสรของข้าวโพดอย่างหนึ่ง คือ ในต้นเดียวกันนั้น เกสรตัวผู้จะ
เกิดและพร้อมผสมก่อนเกสรตัวเมีย นั่นคือ เกสรตัวผู้ต้องไปผสมกับเกสรตัวเมียของต้นอื่น หรือ
เกสรตัวเมียต้นนี้ต้องได้รับเกสรตัวผู้จากต้นอื่น นั่นเอง ลักษณะทางธรรมชาติเช่นนี้ เพื่อป้องกัน
การผสมกันเองในต้นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการด้อยทางพันธุกรรม เปรียบเหมือนสัตว์ที่ผสม
กันเองในหมู่พี่น้องซึ่งเรียกว่า "เลือดชิด" ประมาณนั้น

ข้าวโพดฝักใดที่เกสรตัวเมียไม่ได้รับการผสม หรือระหว่างเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียที่ฝ่ายหนึ่งฝ่าย
ใดไม่แข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อผสมกันแล้วข้าวโพดฝักนั้นจะเป็นข้าวโพดฟันหลอ

ข้าวโพดหวานในภาพที่เห็น ขนาดฝักใหญ่เกินไซส์มาตรฐานสายพันธุ์ 15-20% ฐานเมล็ดสูงทำให้
รับประทานสะดวก เปลือกหุ้มเมล็ดไม่เหนียวทำให้ไม่ติดฟันขณะรับประทาน เมล็ดเต็มตั้งแต่โคนฝักถึง
ปลายฝักถึงขนาดทะลักออกมานอกเปลือก ไม่มีอาการฟันหลอ รสชาดหวานมัน น้ำหนักดี ......คุณ
สมบัติทั้งหมดนี้เกิดจากการบำรุงทางดินด้วย "ระเบิดเถิดเทิง + 13-13-21" เพียง 1 ครั้งหลังเกสรผสม
ติดหรือเริ่มเป็นฝัก ให้ตอนค่ำ (ระเบิดเถิดเทิง 50 ซีซี.+ 13-13-21 ปริมาณ 4 ชต./100 หลุม ๆละ
1-3 ต้น) และบำรุงทางใบด้วย ยูเรก้า + ไบโออิ + แคลเซียม โบรอน ทุก 3 วัน ให้ตอนเช้า .... ฉีด
พ่นสารสมุนไพรทุกวัน ช่วงค่ำ ... ป้องกันหนอนเจาะฝัก (ศัตรูคู่อาฆาต) โดยฉีดสารสมุนไพรสูตรรวม
มิตรฆ่าหนอน (ตัวต่อตัวมีรุม) ที่ไหมโดยตรง โชกๆ เมื่อไหมเริ่มแห้ง





สรุป :
เปอร์เซ็นต์งอกเมล็ด "เกิน 100%" เพราะประมาณ 20% ของเมล็ดทั้งหมด มีอาการ 1 เมล็ดงอกเป็นต้นได้ 2 ต้น
บางเมล็ดงอกได้ 3 ต้น แม้ต้นที่งอกเกินจะไม่สมบูรณ์และไม่ให้ผลผลิต แต่ก็ถือว่างอก.....โดยทั่วๆไปแล้ว เกษตรกรนิยม
หยอดเมล็ดพันธุ์หลุมละ 3-5 เมล็ด แต่ก็งอกเพียง 1-2-3 เมล็ด ๆละ 1 ต้น เท่านั้น ก็มีไม่น้อยที่บางหลุมไม่งอกเลย
แม้แต่เมล็ดเดียว.....เหตุผลที่เปอร์เซ็นต์เมล็ดงอกสูง เนื่องมาจากการเตรียมเมล็ดก่อนหยอดลงหลุมปลูก โดย "ห่ม" เมล็ด
จนกระทั่งรากงอกออกมาแล้ว จากนั้นเลือกเฉพาะเมล็ดที่รากงอกแล้วลงปลูก......อนึ่ง จากการสังเกตุเมล็ดในถาดห่ม
พบว่า เมล็ด 90 (+) % งอกราก นั่นอาจเป็นผลมาจากการแช่เมล็ดใน "ไคโตซาน + โบรอน" นั่นเอง


ได้ปริมาณผลผลิต "เกิน 100%" ทั้งนี้ ธรรมชาติของข้าวโพดหวานจะได้ผลผลิตฝักแรกขนาดเกรด เอ. จัมโบ้. เพียงต้น
ละ 1 ฝัก กับฝักที่ 2 มีขนาดย่อมลงมาเสมอ แต่ข้าวโพดหวานแปลงนี้ได้ฝักแรกเกรดเ เอ. ขนาดจัมโบ้. ทุกต้น กับประมาณ
30% ของจำนวนต้นทั้งแปลงได้ฝักที่ 2 เกรด เอ. ขนาดจัมโบ้. และประมาณ 30% ได้ฝักที่ 3 แต่ตกเกรด
kimzagass
ตอบตอบ: 10/06/2011 7:33 am    ชื่อกระทู้:

kimzagass บันทึก:
จาก :: อ่อมแอ๋ม
ถึง :: ลุงคิม

วันที่ :: 9 มิ.ย.54 - 2300
ชื่อกระทู้ :: โครงการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่แบบครบวงจร

----------------------------------------------------------------------------------------------------------


นี่คือตัวอย่างโครงการที่ร่างไว้สำหรับนำเสนอชมรมพืชสวนประดับ ซึ่งเป็นชมรมประจำภาควิชาผลิตพืชที่พวกเรา
เรียนอยู่ สาเหตุที่เสนอโครงการก็เพื่อต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของชมรมให้มีผลงานเป็นรูปธรรม สามารถสร้าง
ประโยชน์แก่สาธาณะได้ และยังเป็นการได้ฝึกประสบการณ์การทำงาน การแก้ปัญหา และการได้มีโอกาสพบ
เจอกับอุปสรรคการทำงานจริง ซึ่งจะทำให้มีความชำนาญในการทำงานก่อนจะออกสู่สนามจริง จึงใคร่ขอความอนุ
เคราะห์จากคุณลุงคิม ช่วยตรวจทานและเสนอแนะเพิ่มเติมด้วยค่ะ และต้องขอขอบพระคุณคุณลุงมา ณ ที่นี้ด้วย
นะคะ

ตอบ :
เก่งมากๆ เลยลูกอ๋อมแอ๋ม อยากให้ฉายาใหม่ "แอ๋มมี่ คนเก่ง" เอามั้ย....

เหตุผล : หนูเพิ่งเรียนเกษตรปีแรกที่ สจล. ..... เพิ่งสัมผัสอาชีพเกษตรแบบทำกับมือครั้งแรกที่ไร่กล้อมแกล้ม .....
เพิ่งรู้เรื่องราว วิถีชีวิต แนวคิดของเกษตรกรเพียงเริ่มต้น ..... กับอีกหลากหลายที่เพิ่งล้วนแต่เป็นครั้งแรก.....
ชีวิตจริงเพิ่งผ่านพ้นจากวัยรุ่นสู่ความเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หนูเพิ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวยังเล็ก แต่แนวความ
คิดของหนูช่างใหญ่เกินตัว ..... ถูกต้องแล้วอั้ยลูกสาว ก้าวแรก ก้าวเล็กๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยนี้ จะเป็นสิ่งที่ทั้ง
สร้างและสะสมประสบการณ์ชีวิต ให้เกิดแนวคิดใหม่ในอนาคตที่ยิ่งใหญ่และเปี่ยมไปด้วยอุปสรรคสิ่งท้าทาย





โครงการ
ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่แบบครบวงจร

ตอบ :
ขอบข่าย "ครบวงจร" ที่หนูคิดเอาไว้ ขอบข่ายครบอคลุมถึงไหนลูก....หลักนิยมที่นักส่งเสริมมักอ้างเสมอๆ ก็คือ
"ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ" ความหมายเป็นแบบนี้หรือทำนองนี้ไหมลูก หรือหนูจะสร้างทฤษฎีหลักนิยมขึ้นมา
ใหม่ ตามแนวคิดของตัวเอง.....ลุงคิมว่าดีนะ เอาปัญหาจริงๆมาเป็นโจทย์ แล้วตอบโจทย์นั้นจากแนวคิดใหม่ที่
มาจากประสบการณ์ตรงของเราเอง ...... แบบลุงคิมไง "แผลงๆแต่สร้างสรรค์ - คิดนอกกรอบ - คิดใหม่ทำใหม่
- ฯลฯ" ..... สังคมไทย สังคมโลก ทุกวันนั้ต้องการนวตกรรมใหม่ๆ สิ่งนี้อาจเป็น นวตกรรมใหม่ทางความคิดเพื่อ
เกษตรกรไทย ก็ได้....

มาซาโอะ ฟูกูโอกะ ใช้เวลาถึง 20 ปี ด้วยสื่อทุกรูปแบบ เปลี่ยนแนวคิดทางการเกษตรของเกษตรกรญี่ปุ่น
จากแบบเคมีล้วนๆมาเป็นแบบอินทรีย์ล้วนๆ ได้สำเร็จ และจากนวตกรรมทางความคิดของฟูกูโอกะนี้ ได้ก้าว
สำคัญก้าวหนึ่ง ที่นำมาสู่การพัฒนาหลักนิยมทำการเกษตรแบบผสมผสานระหว่าง เคมีกับอินทรีย์ จนถึงปัจจุบันได้




เสนอ
ชมรมพืชสวนประดับ
ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช


ดำเนินการโดย
สมาชิกชมรมพืชสวนประดับ
ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช & #8195 ;
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง


วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของชมรมพืชสวนประดับ ให้มีผลงานออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้น

2. เพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่นักศึกษาภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช โดยมีชมรมเป็นสื่อกลาง

3. เพื่อเป็นการฝึกสมาชิกอันได้แก่ นักศึกษาภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช และผู้สนใจ ให้ได้สัมผัสกับการ
เกษตรแบบจริงจัง ต่อเนื่อง ได้ฝึกปฏิบัติงานภาคปฏิบัติที่นอกเหนือจากบทเรียน เพื่อเป็นการส่งเสริมจินตนาการ
กระบวนการเรียนรู้ และความคิดสร้างสรรค์

4. เพื่อให้มีเวทีในการแสดงออกทางความคิด เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลขึ้น

5. เพื่อให้มีโอกาสได้สัมผัสกับสังคมความเป็นจริง ความเป็นไปทางด้านการเกษตร ทิศทางการตลาด
ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เน้นให้ได้สัมผัสกับของจริง เพื่อเป็นการเรียนรู้ ฝึกฝนก่อนเข้าสู่สถานการณ์จริงใน
อนาคตอันใกล้

ตอบ :
ทุกข้อวัตถุประสงค์ ดีมาก
เพิ่มเติม :
- เพื่อเป็นประสบการณ์กิจกรรม ประกอบใบปริญญาบัตร ในการสมัตรงานหลังจบการศึกษาไปแล้ว (อ้างอิง : อ.วิชัยฯ)
- เพื่อเสริมสร้างเชื่อเสียงและเกียรติภูมิแก่สถาบันศึกษา






เป้าหมายของโครงการ
- เป้าหมายเชิงปริมาณ
นักศึกษาชั้นปีที่ 1-2

ตอบ :
ไม่เข้าใจโจทย์ แต่ขอให้ดำเนินการต่อไปภายใต้ "จงมั่นใจในสิ่งที่ทำ และจงทำในสิ่งที่มั่นใจ" ประมาณนี้





- เป้าหมายเชิงคุณภาพ
นักศึกษาชั้นปีที่ 1–2 เห็นความสำคัญ และคุณค่าของเกษตรทฤษฎีใหม่ มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถ
ปฏิบัติงานได้จริงอย่างเชี่ยวชาญ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด รุ่นพี่และรุ่นน้องทั้งศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่า มี
ความรักใคร่สามัคคีกันอย่างจริงใจ ส่วนผลผลิตที่ได้จากโครงการถือเป็นผลพลอยได้


หมายเหตุ :
เป้าหมายหลักในการพัฒนาคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1–2 ในส่วนของรุ่นพี่ปี 3–4 และศิษย์เก่าคือผู้ให้คำปรึกษา
แนะนำ เสนอแนะ และสอนวิธีการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับงาน รวมไปถึงวิธีการอื่น ๆ ด้วย ให้เสมือนเป็นครอบ
ครัวเดียวกัน


ระยะเวลาดำเนินการ
1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2554 - 18 มิถุนายน 2555 



แผนการพัฒนา
ขั้นที่ 1
ปรับรูปลักษณ์ชมรมให้เข้ากับแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ ดังนี้
1. ปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดภาย
ในชมรม (ในส่วนที่ถูกอนุญาต) เพื่อให้สามารถมองออกว่าควรจัดสรรพื้นที่อย่างไร โดยการถางหญ้า รื้อสิ่ง
ปลูกสร้างที่ชำรุดในส่วนที่ควรรื้อ และซ่อมแซมในส่วนที่ควรซ่อมแซม และกำจัดขยะสิ่งของที่ไม่ได้ใช้แล้ว
ออกจากพื้นที่ใช้สอย

2. ปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ เพื่อความสะดวกในการทำกิจกรรมต่าง ๆ

3. สำรวจพื้นที่เพื่อให้รู้ถึงปัญหาที่เคยเกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพื่อที่จะได้หาทางป้องกันและแก้
ไขต่อไป
- จำนวนคนที่ต้องการสำหรับแผนพัฒนา ขั้นที่ 1 อย่างน้อย 40 คน
- ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 1 วัน หรือมากกว่า



ปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในแผนพัฒนาขั้นที่ 1
1. แรงงานไม่เพียงพอ ขาดความร่วมมือ
2. ขาดแคลนอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน (ใคร่ขอความอนุเคราะห์จากทางชมรมพืชสวนประดับและอื่นๆ)
3. อุบัติเหตุจากการปฏิบัติงานที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา



ขั้นที่ 2
วางผังสิ่งปลูกสร้าง และแปลงปฏิบัติงาน โดยมีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้
1. บ่อน้ำด้านหน้าชมรมปรับปรุงให้กลายเป็นน้ำสะอาดที่สามารถนำมาใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรได้
โดยการเติมออกซิเจนให้น้ำ โดยใช้กังหันน้ำเข้าช่วย เพื่อให้น้ำมีการถ่ายเทอากาศอยู่ตลอดเวลา ซึ่งน้ำในบ่อ
นี้จะถูกสูบมาเติมจากคลองประเวศ และถูกส่งไปสู่พืชโดยระบบน้ำสปริงเกอร์หรืออื่น ๆ ที่ได้ถูกออกแบบไว้

2. โรงเรือนเพาะกล้าไม้

3. โรงเรือนขายไม้ดอกไม้ประดับ

4. โรงเรือนสำหรับขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกิจกรรมของโครงการ

5. โรงเรือนเพาะเห็ด

6. โรงเรือนสำหรับเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้แบบครบวงจร เป็นโรงเรือนที่มีความคงทนถาวรในระดับหนึ่ง
สามารถเก็บอุปกรณ์ สื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ รวมไปถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ไว้ได้อย่างปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการชำรุด

7. โรงเรือนเก็บอุปกรณ์ และทำปุ๋ยหมัก

8. ซุ้มใต้ร่มไม้หรือที่ที่มีความเหมาะสม เพื่อสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจตามอัธยาศัย อ่านหนังสือ
ติวหนังสือ รวมไปถึงการพบปะพูดคุยกันระหว่างสมาชิกในชมรม โดยแบ่งเป็นสัดส่วนที่ชัดเจนและเหมาะสม

9. จัดพื้นที่สำหรับแปลงปฏิบัติงานเกษตรกรรม (เนื่องจากพื้นที่ทางด้านหลังเป็นดินที่ขุดขึ้นมาจากก้นคลอง
ประเวศน์ จึงเป็นดินที่เหนียวจัด แร่ธาตุและอินทรีย์วัตถุน้อย การจะปลูกผัก ณ ที่ส่วนนั้นจึงควรทำเป็นกระบะ
ปลูก เพื่อที่จะสามารถกำหนดวัสดุปลูกและเพิ่มเติมสารอาหารพืชได้สะดวกตามต้องการ)

10. พื้นที่สำหรับจัดสวนหย่อม

11. รอบรั้วด้านข้าง ด้านหลัง ทำเป็นรั้วกินได้ ปลูกพืชประเภทโตง่าย ตายช้า เช่น ชะอม กระถิน เป็นต้น

12. รอบรั้วด้านหน้าเป็นส่วนของไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อรูปลักษณ์ที่สวยงามของชมรม

13. ระบบการให้น้ำจะใช้แบบสปริงเกอร์ น้ำหยด หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสม ถึงแม้จะเป็นการลงทุนที่ใช้
เงินทุนสูงก็ตาม แต่เป็นการลงทุนระยะยาวและเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องของแรงงาน และยังสามารถเป็นต้น
แบบการจัดการระบบน้ำให้แก่ผู้ที่สนใจได้อีกด้วย

14. และอื่น ๆ


หมายเหตุ :
รายการและขั้นตอนต่าง ๆ สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม และสมดุลกับงบประมาณ อาจ
เป็นการทยอยทำทีละส่วนเพื่อหารายได้มาลงทุนในส่วนต่อ ๆ ไป


ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติงานโดยตรงโดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบ (รอประชุมเพื่อลงมติเมื่อขั้นตอนที่ 2 เรียบร้อย)


ตอบ :
อ่านรายละเอียดโครงการแล้ว 4-5-6 รอบ ยอมรับว่าความคิดริเริ่มของหนูกว้างและครอบคลุมดีมาก ก็ให้
น่าเป็นห่วงว่า หนูจะบริหารโครงการได้อย่างไร

ประสบการณ์ตรงที่ลุงคิมมี ลุงคิมเป็นทหาร การทำงานแบบทหาร คือ ออกคำสั่งราชการมอบความรับผิด
ชอบในงานให้ไปปฏิบัติ ผู้ที่ได้รับคำสั่งจะต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติมีโทษ คือ ขังคุก หรือโทษอย่างอื่นก็ว่ากัน
ไปตามระเบียบ แต่ นศ.คงทำไม่ได้ ถ้าไม่ใช่วิชาในหลักสูตรที่มีคะแนนเป็นตัวตัดสินละก็ ลุงคิมเกรงว่าเขาจะ
ไม่สนใจเท่าที่ควรน่ะซี ที่สำคัญก็คือ คะแนนจากการเรียนในห้องเรียน กับคะแนนในแปลง อย่างไหนมีน้ำหนัก
มากกว่ากัน

กรณีของหนูอ๋อมแอ๋ม หนูลูก หนูอย่าลืมว่าหนูก็เป็นเพียง นศ.คนหนึ่งเหมือนกับคนอื่นๆ ที่มีทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง
รุ่นเพื่อน หนูอาจสั่งรุ่นน้องได้ แต่หนูจะสั่งรุ่นพี่ได้เหรอ แล้วโครงการนี้มีรุ่นพี่เข้ามาร่วมด้วยมากน้อยแค่ไหน
พาดพิงไปถึงอาจารย์ท่านสนับสนุนมากน้อยเพียงใด ถ้าอาจารย์เล่นด้วยแล้วท่านช่วยแค่ไหน งานบางอย่าง
แรงงานคนทำไม่ได้ ต้องใช้เครื่องจักรหรือเครื่องทุ่นแรงเท่านั้น เริ่มจากตัวเครื่องทุ่นแรงที่ว่า ทางสถาบันมีสนับ
สนุนหรือไม่ ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าอื่นๆ

ลุงคิมก็ไม่รู้ว่าสังคมนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อมีกิจกรรมแบบนี้เขาบริหารกันอย่างไร และที่สำคัญลุงคิม
ไม่เคยเห็นสภาพของสถานที่หรือแปลงเกษตรของหนูมาก่อน คงเสนอแนะเทคนิคหรือวิธีการอะไรได้ยาก แม้
จะรู้และมั่นใจเต็มร้อยว่า ใจหนูน่ะเอาแน่ แค่ใจอย่างเดียวมันไม่พอนะลูก ต้องมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วยนะ มันถึงจะเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จได้

ขั้นแรก ลองดูซิว่า ลุงคิมมีอะไรที่พอจะสนับสนุนโครงการของหนูได้ หนูคงรู้ อันนี้เอ่ยปากขอลุงคิมมาก็แล้ว
กัน ลุงคิมให้ กับรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์เคยไปฝึกงานที่นั่น ที่นี่มา ย่อมรู้จักกับสวนเกษตรหลายๆสวน ก็อาจจะ
ให้รุ่นพี่คนนั้นขอการสนับสนุนจากสวนที่เขามีเคยความคุ้นเคยก็ได้

ที่พูดถึงปัญหามากมาย นั่นก็ปัญหา นี่ก็ปัญหา ปัญหาปัญหาปัญหา ไม่ใช่ให้ยกเลิก หรือให้ต๊อแต๊นะลูก คำพูด
หนึ่งของคุณวิวัฒน์ ศัลยกำธร ว่า "เดินทีละก้าว กินข้าวที ละคำ ทำทีละอย่าง" เพราะฉนั้น ต้องทำ ต้องทำ
และต้องทำ นะลูก

ลุงคิมอยู่ตรงนี้ ต้องการให้ช่วยอะไร เอ่ยปากออกมาได้เลย บอกเพื่อนหนูอีก 5 คนนั้นด้วย.....ลุงคิม อยู่ที่นี่
อยู่ตรงนี้


ลุงคิมครับผม


kimzagass
ตอบตอบ: 09/06/2011 11:26 pm    ชื่อกระทู้:

จาก :: อ่อมแอ๋ม
ถึง :: ลุงคิม

วันที่ :: 9 มิ.ย.54 - 2300
ชื่อกระทู้ :: โครงการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่แบบครบวงจร

----------------------------------------------------------------------------------------------------------


นี่คือตัวอย่างโครงการที่ร่างไว้สำหรับนำเสนอชมรมพืชสวนประดับ ซึ่งเป็นชมรมประจำภาควิชาผลิตพืชที่พวกเรา
เรียนอยู่ สาเหตุที่เสนอโครงการก็เพื่อต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของชมรมให้มีผลงานเป็นรูปธรรม สามารถสร้าง
ประโยชน์แก่สาธาณะได้ และยังเป็นการได้ฝึกประสบการณ์การทำงาน การแก้ปัญหา และการได้มีโอกาสพบ
เจอกับอุปสรรคการทำงานจริง ซึ่งจะทำให้มีความชำนาญในการทำงานก่อนจะออกสู่สนามจริง จึงใคร่ขอความอนุ
เคราะห์จากคุณลุงคิม ช่วยตรวจทานและเสนอแนะเพิ่มเติมด้วยค่ะ และต้องขอขอบพระคุณคุณลุงมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


โครงการ
ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่แบบครบวงจร


เสนอ
ชมรมพืชสวนประดับ
ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช

ดำเนินการโดย
สมาชิกชมรมพืชสวนประดับ
ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช 

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของชมรมพืชสวนประดับ ให้มีผลงานออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้น

2. เพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่นักศึกษาภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช โดยมีชมรมเป็นสื่อกลาง

3. เพื่อเป็นการฝึกสมาชิกอันได้แก่ นักศึกษาภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช และผู้สนใจ ให้ได้สัมผัสกับการเกษตร
แบบจริงจัง ต่อเนื่อง ได้ฝึกปฏิบัติงานภาคปฏิบัติที่นอกเหนือจากบทเรียน เพื่อเป็นการส่งเสริมจินตนาการ กระบวน
การเรียนรู้ และความคิดสร้างสรรค์

4. เพื่อให้มีเวทีในการแสดงออกทางความคิด เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลขึ้น

5. เพื่อให้มีโอกาสได้สัมผัสกับสังคมความเป็นจริง ความเป็นไปทางด้านการเกษตร ทิศทางการตลาด ที่เป็น
รูปธรรมมากขึ้น เน้นให้ได้สัมผัสกับของจริง เพื่อเป็นการเรียนรู้ ฝึกฝนก่อนเข้าสู่สถานการณ์จริงในอนาคตอันใกล้


เป้าหมายของโครงการ
- เป้าหมายเชิงปริมาณ
นักศึกษาชั้นปีที่ 1 - 2


- เป้าหมายเชิงคุณภาพ
นักศึกษาชั้นปีที่ 1 – 2 เห็นความสำคัญ และคุณค่าของเกษตรทฤษฎีใหม่ มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
สามารถปฏิบัติงานได้จริงอย่างเชี่ยวชาญ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด รุ่นพี่และรุ่นน้องทั้งศิษย์ปัจจุบันและ
ศิษย์เก่า มีความรักใคร่สามัคคีกันอย่างจริงใจ ส่วนผลผลิตที่ได้จากโครงการถือเป็นผลพลอยได้


หมายเหตุ : เป้าหมายหลักในการพัฒนาคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1–2 ในส่วนของรุ่นพี่ปี 3–4 และศิษย์เก่าคือ
ผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ เสนอแนะ และสอนวิธีการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับงาน รวมไปถึงวิธีการอื่น ๆ ด้วย
ให้เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน


ระยะเวลาดำเนินการ
1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2554-18 มิถุนายน 2555 


แผนการพัฒนา

ขั้นที่ 1 ปรับรูปลักษณ์ชมรมให้เข้ากับแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ ดังนี้
1. ปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดภายในชมรม (ในส่วนที่ถูกอนุญาต) เพื่อให้สามารถมองออกว่าควรจัดสรรพื้นที่
อย่างไร โดยการถางหญ้า รื้อสิ่งปลูกสร้างที่ชำรุดในส่วนที่ควรรื้อ และซ่อมแซมในส่วนที่ควรซ่อมแซม และ
กำจัดขยะสิ่งของที่ไม่ได้ใช้แล้วออกจากพื้นที่ใช้สอย

2. ปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ เพื่อความสะดวกในการทำกิจกรรมต่าง ๆ

3. สำรวจพื้นที่เพื่อให้รู้ถึงปัญหาที่เคยเกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพื่อที่จะได้หาทางป้องกันและ
แก้ไขต่อไป


จำนวนคนที่ต้องการสำหรับแผนพัฒนา ขั้นที่ 1 อย่างน้อย 40 คน

ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 1 วัน หรือมากกว่า


ปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในแผนพัฒนาขั้นที่ 1
1. แรงงานไม่เพียงพอ ขาดความร่วมมือ

2. ขาดแคลนอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน (ใคร่ขอความอนุเคราะห์จากทางชมรมพืชสวนประดับและอื่นๆ)

3. อุบัติเหตุจากการปฏิบัติงานที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา



ขั้นที่ 2 วางผังสิ่งปลูกสร้าง และแปลงปฏิบัติงาน โดยมีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้

1. บ่อน้ำด้านหน้าชมรมปรับปรุงให้กลายเป็นน้ำสะอาดที่สามารถนำมาใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรได้
โดยการเติมออกซิเจนให้น้ำ โดยใช้กังหันน้ำเข้าช่วย เพื่อให้น้ำมีการถ่ายเทอากาศอยู่ตลอดเวลา ซึ่งน้ำในบ่อ
นี้จะถูกสูบมาเติมจากคลองประเวศ และถูกส่งไปสู่พืชโดยระบบน้ำสปริงเกอร์หรืออื่น ๆ ที่ได้ถูกออกแบบไว้

2. โรงเรือนเพาะกล้าไม้

3. โรงเรือนขายไม้ดอกไม้ประดับ

4. โรงเรือนสำหรับขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกิจกรรมของโครงการ

5. โรงเรือนเพาะเห็ด

6. โรงเรือนสำหรับเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้แบบครบวงจร เป็นโรงเรือนที่มีความคงทนถาวรในระดับหนึ่ง
สามารถเก็บอุปกรณ์ สื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ รวมไปถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ไว้ได้อย่างปลอดภัย ไม่เสี่ยง
ต่อการชำรุด

7. โรงเรือนเก็บอุปกรณ์ และทำปุ๋ยหมัก

8. ซุ้มใต้ร่มไม้หรือที่ที่มีความเหมาะสม เพื่อสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจตามอัธยาศัย อ่านหนังสือ
ติวหนังสือ รวมไปถึงการพบปะพูดคุยกันระหว่างสมาชิกในชมรม โดยแบ่งเป็นสัดส่วนที่ชัดเจนและเหมาะสม

9. จัดพื้นที่สำหรับแปลงปฏิบัติงานเกษตรกรรม (เนื่องจากพื้นที่ทางด้านหลังเป็นดินที่ขุดขึ้นมาจากก้นคลอง
ประเวศน์ จึงเป็นดินที่เหนียวจัด แร่ธาตุและอินทรีย์วัตถุน้อย การจะปลูกผัก ณ ที่ส่วนนั้นจึงควรทำเป็นกระ
บะปลูก เพื่อที่จะสามารถกำหนดวัสดุปลูกและเพิ่มเติมสารอาหารพืชได้สะดวกตามต้องการ)

10. พื้นที่สำหรับจัดสวนหย่อม

11. รอบรั้วด้านข้าง ด้านหลัง ทำเป็นรั้วกินได้ ปลูกพืชประเภทโตง่าย ตายช้า เช่น ชะอม กระถิน เป็นต้น

12. รอบรั้วด้านหน้าเป็นส่วนของไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อรูปลักษณ์ที่สวยงามของชมรม

13. ระบบการให้น้ำจะใช้แบบสปริงเกอร์ น้ำหยด หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสม ถึงแม้จะเป็นการลงทุนที่
ใช้เงินทุนสูงก็ตาม แต่เป็นการลงทุนระยะยาวและเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องของแรงงาน และยังสามารถเป็น
ต้นแบบการจัดการระบบน้ำให้แก่ผู้ที่สนใจได้อีกด้วย

14. และอื่น ๆ


หมายเหตุ : รายการและขั้นตอนต่าง ๆ สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม และสมดุลกับ
งบประมาณ อาจเป็นการทยอยทำทีละส่วนเพื่อหารายได้มาลงทุนในส่วนต่อ ๆ ไป


ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติงานโดยตรงโดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบ (รอประชุมเพื่อลงมติเมื่อขั้นตอนที่ 2 เรียบร้อย)
kimzagass
ตอบตอบ: 06/06/2011 5:27 am    ชื่อกระทู้:

4 พ.ค. 54 ....



1. เมล็ดข้าวโพดออกที่เกสรตัวผู้ อันนี้คงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน
เท่านั้นเอง อาจเกิดจากความผิดพลาดทางพันธุกรรม อันนี้ก็ไม่ทราบได้ คงต้องรอ
หาข้อมูลและสอบถามจากผู้รู้ก่อน แล้วจะมาอธิบายเพิ่มเติมค่ะ

ข้าวโพดที่ออกเมล็ดที่บริเวณเกสรตัวผู้มีสาเหตุหลัก 2 กรณี คือ

1. เกิดจากความผิดปกติของยีนที่เป็นตัวกำหนดลักษณะดังกล่าว แต่ข้าวโพดที่เราปลูก
เป็นเมล็ดข้าวโพดอย่างดีรุ่น F1 ซึ่งหากเกิดจากสาเหตุนี้ข้าวโพดของเราก็คงจะเเสด
งลักษณะนี้เกือบทุกต้น แต่ในกรณีนี้แสดงออกมาเพียงบางต้นเท่านั้น หากคิดเป็นร้อย
ละก็คงไม่ถึงร้อยละ 5 ซึ่งลักษณะที่ว่านี้จัดเป็นลักษณะด้อย

2. เกิดจากปัจจัยแวดล้อมรอบข้างหรือแมลงศัตรูพืชเป็นพาหะ เช่น ดิน น้ำ อากาศ
แสงแดด อุณหภูม ความวิปริตของภูมิอากาศ รวมไปถึงแมลงศัตรูพืชที่อาจเป็นตัวพาก็
ได้ จึงอาจเกิดความผิดปกติที่ว่าขึ้นได้





2. ดู ๆ ไป ตอนแรกนึกว่าเป็นไข่ของแมลงนะคะเนี่ย ที่ไหนได้เมล็ดข้าวโพดดี ๆ นี่
เอง ลองชิมแล้วรสชาดใช้ได้เชียวล่ะค่ะ แม้จะไม่มีเปลือกห่อหุ้มก็ตาม เมล็ดที่เห็น
จึงไม่สมบูรณ์เนื่องจากการทำลายของสัตว์และแมลงศัตรูพืช เพราะอย่างนี้นี่เอง
ธรรมชาติจึงสร้างให้ข้าวโพดมีเปลือกห่อหุ้มเมล็ด





3. นี่แหละตัวร้ายทำลายผลผลิตของเรา เจ้านอนผีเสื้อตัวน้อยน่ารัก แต่แฝงไว้ด้วย
ความร้ายกาจ เกิดจากการวางไข่ของแม่ผีเสื้อไว้ก่อนหน้านี้ จะว่าไปแล้วแม่ผีเสื้อก็
ฉลาดนะเนี่ย รู้ด้วยว่าข้าวโพดจะออกฝักมีเมล็ด พร้อมให้ลูก ๆ แทะได้เมื่อไหร่ ถึง
เราจะเป็นเพื่อนร่วมโลกกัน แต่เราก็ต้องแข็งใจกำจัดเธอออกไป เพราะเธอคือตัว
สร้างความเสียหายให้ผลผลิตของเรา อโหกรรมด้วยเทอญ.....





4. เมล็ดข้าวโพดหวานคุณภาพแน่นฝัก ขนาดยังไม่แก่เต็มที่ยังขนาดนี้ ใครได้ลิ้ม
ลองเป็นต้องหลงไหลไปกับรสชาดชั้นยอดระดับเเพลตทินัม ข้าวโพดรุ่นนี้พร้อมเก็บ
ได้ วันที่ 12 มิถุนายน 2554 โอกาสดีมีเพียงครั้งเดียว อย่าพลาดหากคุณต้อง
การเป็นผู้โชคดีกับการเป็นนักชิมกิติมศักดิ์ ขอเชิญที่ไร่กล้อมแกล้มนะค๊าาา




งานเข้า :
ตั้งแต่ภาพที่ 5 ถึง 11 ขอให้พวกเธอไปค้นคว้าที่ห้องสมุด ในหนังสือ "โรคและศัตรู
ข้าวโพด" ดูรูปในหนังสือแล้วเปรียบกับรูปของจริงที่ถ่ายภาพมา ว่าเป็นโรคอะไร
หรือเกิดจากสาเหตุใด เมื่อรู้แล้วให้มาเขียนบรรยายใต้ภาพ O.K. ?...... (ลุงคิม)


5.


6.


7.


8.


9.


10.


11.







12. ในส่วนของแปลงในดงชมพู่และกระท้อน จะสังเกตเห็นว่าแทบไม่มีใบเหลือง
เนื่องจากการขาดสารอาหาร หรือ ร่วงโรยให้เห็น จะเป็นไปได้ไหมว่าเกิดจากระบบ
นิเวศน์ที่เกื้อกูลกันของพืชหลายชนิดภายในเเปลงเดียว อันสอดคล้องกับข้อมูลที่
เคยได้ยินได้ฟังมา ว่าการจะทำการเกษตรแบบยั่งยืน ต้องมีการปลูกพืชแบบหมุน
เวียนและผสมผสานกัน





13. ถึงแม้จะได้เปรียบในเรื่องของการมีลำต้นสูง ใบเขียว เป็นมัน ไม่เหลืองก็
ตาม ลำต้นของข้าวโพดกลับเล็กกว่าแปลงฝั่งโน้น อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเป็น
เพราะว่าแปลงนี้มีไม้ประธานคอยบังแดดต้นข้าวโพด ทำให้ต้นข้าวโพดพยายามยืด
ตัวให้สูงข้นหาแสง เกิดการพัฒนาขื้นข้างบน มากกว่าทางด้านข้าง ทำให้ลำต้นข้าว
โพดไม่ใหญ่นั่นเอง





14. นอกจากลำต้นจะไม่ใหญ่แล้ว จำนวนฝักต่อต้นก็ยังน้อยกว่าอีกด้วย เฉลี่ย
เพียงต้นละฝักเท่านั้น อันนี้มันก็น่าคิด ความสมบูรณ์ของต้นพืชนอกจากจะสังเกต
จากใบแล้ว ยังมีจุดไหนที่จะสังเกตได้ถึงความอุดมสมบูรณ์บ้างน้าาาา





15. แปลงนี้ใบล่างเริ่มเหลือง เกิดจากการร่วงโรยตามอายุขัย และขาด N และ
P บ้างเล็กน้อย แต่ผลผลิตที่ได้กลับมากกว่า จำนวนฝักต่อต้นเฉลี่ยต้นละ 3 ฝัก
เลยทีเดียว หรือเป็นเพราะว่าลูกเยอะนี่เอง จึงทำให้ต้นโทรมเพราะดึงสารอาหารไป
เลี้ยงลูกจนหมด




16. ภาพถ่ายจากมุมล่างเห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน




17. อินู๋อ๋อมแอ๋มสู้ตายค่า ต่อให้มีเพิ่มเป็นสองเเปลงก็บ่ยั่น เอามาโลดค่า




18. ฝั่งทางด้านอัลกอร์อิดะก็ไม่น้อยหน้า ส่งสมาชิกผีปากดี เอ้ย.. ฝีมือดีมาร่วม
ปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย อยากบอกว่าทำงานได้ สุโค่ยมั่กมาก ถ้าไม่ติดที่ชอบงีบ
หลับนะ สุดยอดกว่านี้อีกค่ะ





19. อ๋อมแอ๋มขาวขึ้นหรือเปล่าเนี่ย หน้าเล็กลงด้วยสิใช่มั้ย

อ๋อมแอ๋ม : อ๋อ... ก็นิดหน่อยน่ะค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ตาคราวหน้าอ๋อมแอ๋ม
สวยได้กว่านี้อีกแน่นอนค่า





20. เฮ้ย ๆๆๆๆ ทิวตื่น ๆ ทำงานให้เสร็จก่อนค่อยหลับดิ อายกล้อง





21. บ๋อมแบ๋มเจ้าเก่า ขนาดทำงานเธอยังมีความสามารถพิเศษแอ๊บสวยได้ตลอด
ตลอด

บ๋อมแบ๋ม : เปล่านะ เค้าไม่ได้แอ๊บ เค้าสวยแบบธรรมชาติ จะให้อยู่เฉย ๆ หรือ
ทำงาน เค้าก็สวยอย่างนี้แหละ อิอิ

?????





22. คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย คำคลาสสิคคำนี้ยังใช้ได้ทุกกาลเวลา ว่า
แล้วสมาชิกหนุ่มจากอัลกอร์อิดะ ก็แท็กทีมกับสาวน้อย (หรือเปล่า) จากปลายดอย
แห่งดินแดนที่ราบสูง เอ้า....สู้โว้ย




23. ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เนื่องจากความสวยของบ๋อมแบ๋มมีมากเกิน
ไป จึงทำให้ต้นข้าวโพดดูซอล์ฟลงไปเยอะเลย




24. ต้นข้าวโพดล้ม เนื่องมาจากพายุเข้า ฝนตก ลมกรรโชกแรงในบางพื้นที่ แต่
มันก็ยังสามารถพยุงตัวเองขึ้นหาแสงได้โดยสัญชาตญาณ นี่ก็คงใช้เข้าไปเปรียบกับ
ทำพังเพยที่ว่า "ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม"





25. ลักษณะต้นเล็ก เหลืองเช่นนี้ สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ดินเหนียว มีน้ำขัง
มากเกินไป ทำให้รากต้นข้าวโพดไม่สามารถหาอาหารภายในดินได้ จึงทำให้ขาด
สารอาหารบางตัว แก้ไขโดยการให้ปุ๋ยทางใบแทน เพราะต้นพืชกินอาหารได้สอง
ทาง คือ ทางรากและทางปากใบ




26. บ๋อมแบ๋มโชว์ยอดเกสรตัวผู้ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งธรรมชาติเกสรตัวผู้จะบานก่อน
เกสรตัวเมีย เพื่อเตรียมพร้อมในการผสมพันธุ์





27. หลุมนี้สมบูรณ์ประมาณ 80% มีแมลงรบกวนเล็กน้อย ความสมบูรณ์ของต้น
อยู่ในระดับดี การออกฝักสม่ำเสมอ





28. ผลงานหลังจากการถอนหญ้า พรวนดินแล้ว ที่ต้องมีการพรวนดินบ่อย ๆ
เพราะดินที่นี่มีความเหนียวมาก รากพืชไม่สามารถหาอาหารได้ จึงต้องมีการช่วย
เหลือ

นอกจากนี้แล้วยังสะท้อนให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของเรา ที่ไม่ใช่ปลูกทิ้งปลูก
ขว้าง เรียนทิ้งเรียนขว้าง ทุกสิ่งที่ลุงคิมสอนเราทุกคนยังจำได้เสมอ รอเพียง
โอกาสและความพร้อมเท่านั้นค่ะ





29. ยิ่งต้นข้าวโพดสมบูรณ์มากเท่าไหร่ ก็สามารถให้ฝักมากขึ้น อย่างหลุมนี้ต้น
หนึ่งให้ 2 ฝัก อีกต้นหนึ่งให้ 3 ฝัก แต่ละฝักคุณภาพคับแก้ว





30. ข้าวโพดที่ผสมเกสรแล้ว ไหมจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม


เสริม :
ไหมปลายฝักเริ่มแห้ง แสดงว่ากระบวนการผสมเกสรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนการ
บำรุงต่อไป คือ ขยายขนาด หยุดเมล็ด สร้างเนื้อ เหมือนยไม้ผลทั่วๆไป โดย...

ทางใบ : ยูเรก้า + ไบโออิ + แคลเซียม โบยรอน ทุก 3 วัน ช่วงสายๆ
ทางราก : ระเบิดเถิดเทิง + 13-13-21 ให้ 1 ครั้ง ช่วงค่ำ

- ฉีดพ่นสารสมุนไพรสูตรรวมมิตร (ตัวต่อตัวมีรุม) โชกๆ ที่ไหมโดยตรง ป้องกัน
หนอนเจาะฝัก 1-2-3 ครั้ง ติดต่อกัน วันต่อวัน
- ฉีดพ่นสารสมุนไพรสูตรรวมมิตร (รา-แมลง) ทุก 3 วัน

(ลุงคิม)




31. ฝักใหญ่บิ๊กเบิ้มที่ลุงคิมมีจุดประสงค์ว่า ฝักเดียวอิ่มทั้งครอบครัว





32. ไหมข้าวโพด กับหน้าคน อันไหนดำกว่ากันน้าาาา





33. แดดจะร้อน ฝักข้าวโพดจะใหญ่ หรือจะดก ก็ไม่อาจต้านทานความสวยแบบ
ไร้สังกัดของอ๋อมแอ๋มได้หรอกค่ะ (ที่ไร้สังกัดเพราะไม่มีใครยอมให้เข้าสังกัดอ่ะเปล่า)





34. ถึงฝักจะใหญ่ขนาดไหน อ๋อมแอ๋มก็บ่ยั่น ของสองฝักเลยนะค๊าาา






35. ปลูกกล้วยแซมข้าวโพด เพิ่มจุลินทรีย์และความชุมชื่นภายในดิน นอกจากนี้
ยังช่วยเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศด้วย และคงไม่นานเกินรอ กล้วยต้นนี้คงให้
ผลผลิตออกมาแน่นอน ประโยชน์แบบคูณสองไปเลย


36. ใบกล้วยระวังอย่าให้บังแสงข้าวโพดนะคะ ถ้าใบเริ่มเกะกะก็ตัดทิ้งได้เลย
เหลือไว้ซัก 2-3 ใบ สำหรับปรุงอาหารก็พอค่ะ

เสริม :

ปลูกกล้วยเอาราก เป็นพี่เลี้ยงไม้ประธาน


- พื้นที่แปลงข้าวโพดแปลงนี้ เนื้อที่ 15 X 30 ม. (112 ตร.ว.) เดิมเป็นแปลง
มะม่วงระยะชิดพิเศษ (1.75 X 1.75 ม.) ต่อมาล้มมะม่วงทิ้ง ทั้งๆที่มะม่วงอายุต้น
3 ปี ให้ผลผลิตมาแล้วตั้งแต่ปลูกปีแรก เพื่อจะปลูกทุเรียนแบบ "หลุมคู่" คือ หลุม
ละ 2 ต้น แทน

- หลังจากล้มมะม่วงออกหมดแล้ว ปรับปรุงบำรุงดินโดยใส่ "ยิบซั่ม 2 กส. + ขี้วัว
นม 40 กส.ปุ๋ย" รดด้วยปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 5 ล. 2 รอบ ห่างกันรอบละ
1 อาทิตย์

- หมายจุดปลูกทุเรียนแล้ว ปลูกกล้วยระหว่างหลุมปลูกทุเรียน เป็นแถวเดียวกันกับ
ทุเรียน วัตถุประสงค์เพื่อให้ได้รากกล้วยชอนไชอยู่ในเนื้อดิน และเป็นอินทรีย์วัตถุ
บำรุงดินไปในตัว

หมายเหตุ :
กล้วยที่ปลูก คือ กล้วยเล็บมือนาง (เจ้าของชอบ) หากต้องการปลูกกล้วยเพื่อเอา
รากอย่างจริงจังควรเลือกกล้วยน้ำว้า เพราะนอกจากระบบรากจะมากกว่ากล้วยเล็บ
มือนางแล้ว ยังเหมาะสมกับสภาพดินเหนียวในแปลงนี้และให้ผลผลิตได้อีกด้วย หาก
ต้องการรากกล้วยมากกว่ากล้วยน้ำว้าก็ต้องกล้วยตานี แต่กล้วยตานีได้ใบเป็นผล
ผลิตอย่างเดียว

- หลังจากลงกล้วยไปแล้ว จึงลงข้าวโพดหวานดังที่เห็น และหลังจากล้มต้นข้าวโพด
แล้วก็จะได้เศษซากบำรุงดิน

- ระหว่างบำรุงข้าวโพดนั้น สารอาหารต่างๆ จะส่งผลให้หน่อกล้วยเจริญเติบโต บำรุง
ดิน และจุลินทรีย์ในดินด้วย

- หลังจากล้มข้าวโพดรุ่นนี้แล้ว ยังสามารถปลูกข้าวโพดรุ่นต่อไป และต่อไปเรื่อยๆ
ได้ ส่วนต้นกล้วยที่สูงใหญ่จนใบบังแดดต่อข้าวโพดหรือไม้อื่นก็ให้ตัดใบออกหรือตัด
ต้นจนเหลือแต่ตอก็ได้ ...... ระหว่างที่ต้นข้าวโพดกับกล้วยกำลังเจริญเติบโตนั้น
เริ่มลงต้นกล้าทุเรียนได้ ซึ่งระยะแรกต้นกล้าทุเรียนจะได้ข้าวโพดและกล้วยช่วยบัง
แดด ช่วยลดอุณหภูมิที่อาจจะร้อนเกินจนเป็นอันตรายต่อยอดแตกใหม่ได้ .....เมื่อ
ต้นกล้าทุเรียนยืนต้นได้ มีการแตกใบอ่อนอย่างน้อย 2-3 ชุดแล้ว ให้เอาต้นข้าว
โพดรอบๆ ต้นกล้าทุเรียนอย่างน้อย 1-2 ตร.ม.ออก เพื่อให้แสงแดดส่องตรงถึงต้น
กล้าทุเรียนได้ การมีต้นข้าวโพดขนาบข้างแบบนี้จะช่วยให้ต้นกล้าทุเรียนเจริญทาง
สูงเร็วขึ้น เพราะต้องแข่งแย่งแสงแดดกับต้นข้าวโพด.....สุดท้าย เมื่อต้นกล้าทุเรียน
ยืนต้นได้ 100% แล้ว จึงยกเลิกการปลูกข้าวโพด แต่ยังคงให้มีต้นกล้วยอยู่ จาก
นั้นจึงควบคุมแต่ต้นกล้วยในอันที่จะรบกวนต้นทุเรียนเท่านั้น......(ลุงคิม)






37. หนอนผีเสื้อและหนอนเส้นใยตัวร้าย ทำลายผลผลิต เราจำเป็นต้องกำจัด





38. ขนาดตัวเมื่อเทียบกับไม้จิ้มฟัน ไม่น่าเชื่อว่าตัวจิ๋วอย่างนี้ จะสามารถทำลาย
ผลผลิตอย่่างมหาศาลเพียงชั่วข้ามคืน





39. สังเกตเห็นก้อนเล็ก ๆ นั่นไหมคะ เจ้าหนอนผีเสื้อ กลัวซะจนขี้เเตกเลยล่ะค่ะ


เสริม :

สัจจธรรม ไม่มีพืชใดในโลกที่ไม่มีศัตรูพืช :

หนอนคือหนอน หนอนเจาะฝักข้าวโพดคือหนอนเจาะฝักข้าวโพด เพราะมันเจาะฝัก
ข้าวโพด ถ้าหนอนตัวนี้ไปเจาะมะเขือก็คือ หนอนเจาะมะเขือ ถ้าไปเจาะกุหลาบก็
คือ หนอนเจาะกุหลาบ สรุปก็คือ เจาะอะไรก็เรียกหนอนเจาะตัวนั้น นั่นแล...

แล้วมันคือ หนอนอะไรกันแน่ละ ? มีชื่อเฉพาะไหม ?
คำตอบคือ...... หนอนคืบ. หนอนใย. หนอนหนังเนียว. นั่นเอง

ในฝักข้าวโพด หนอนพวกนี้จะเข้าไปแฝงอยู่ตามซอกไหม คงเนื่องมาจากแม่ผีเสื้อ
วางไข่ไว้ตรงนั้น เมื่อไข่ฟักออกมาเป็นตัวหนอนแล้ว ตัวหนอนจึงอยู่ตรงนั้น นี่คือ
สัญชาติญานปกติของสัตว์โลกที่มนุษย์มักมองข้าม

ตอนกลางวันหนอนพวกนี้จะซุกตัวหลบแดดอยู่ในไหม ครั้นตกกลางคืนจึงจะออกมา
แล้วชอนไชเข้าไปในฝักข้าวโพดเพื่อกินเมล็ดข้าวโพด นี่คือที่มาของชื่อ "หนอนเจาะ
ฝักข้าวโพด" อย่างแท้จริง

การกำจัดหนอนเจาะฝักข้าวโพดที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติ คือ ใช้ "ฟูราดาน" ละลาย
น้ำรดที่ปลายฝัก (ไหม) จนโชก บางรายใช้ไซลิงค์ฉีดยา ดูดฟูราดานใส่ไซลิงค์
แล้ว ฉีดอัดเข้าที่ปลายฝักเข้าไปถึงภายในฝักข้าวโพดโดยตรงเลย เมื่อใดที่
หนอนพวกนี้สัมผัสกับฟูราดานก็ต้องตาย......ฟูราดาน.เป็นสารเคมีที่มีอายุตกค้าง
นาน 6 เดือน - 1 ปี ในเมื่อฝักข้าวโพดตั้งแต่ผสมติด (ไหมแห้ง) ถึงเก็บเกี่ยว ใช้
เวลาเพียง 1 เดือน แล้วคนก็เอาไปกิน

แนวทางปฏิบัติของไร่กล้อมแกล้ม คือ ใช้สารสกัดสมุนไพรสูตรรวมมิตรกำจัดหนอน
โดยเฉพาะ หรือสูตรตัวต่อตัวมีรุม อัตราเข้มข้น 20-30 ซีซี./น้ำ 1 ล. ใส่กระบอก
ฉีดแบบมือถือ ฉีดอัดเข้าที่ไหมโดยตรง ฉีดโชกๆจนเปียทั่วทั้งฝัก ตั้งแต่เริ่มเกิดไหม
จนถึงไหมแห้ง ฉีดทุกวันเว้นวัน ช่วงหลังค่ำ

มาตรการนี้น่าจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะข้าวโพดทั้งแปลง แรงงาน 6 คน ช่วย
กันออกค้นหา แหวกไหมข้าวโพดขึ้นดูทุกฝัก ปรากฏว่า พบหนอนเจาะฝักอย่างละ
1 ตัว รวม 4 ตัวเท่านั้น................(ลุงคิม)





40. วิธีการทำสมุนไพรกำจัดศัตรูพืช สูตรรวมมิตรฆ่าหนอน (ตัวต่อตัว มีรุม)

ส่วนผสม :
1. เปลือกซาก
2. เมล็ดน้อยหน่า
3. เมล็ดมันเเกว
4. กลอย (# 1-4 รวมกันสารออกฤทธิ์แรงเทียบเท่า ยาน็อก)

5. เมล็ดสะเดา
6. หนอนตายหยาก
7. ฟ้าทลายโจร
8. ยาสูบ
9. หางไหลขาว
10. หางไหลแดง
11. บอระเพ็ด (ทั้งหมดนี้ใช้ชนิดผง ซึ่งมีขายทั่วไปตามท้องตลาด)

วิธีการทำ :
1. เติมส่วนผสมทุกอย่างลงในโหลแก้ว อย่างละ 100 กรัม
2. แช่แอลกอฮอล์พอท่วม 6-12 ชั่วโมง
3. เติมน้ำ
4. เติมน้ำส้มสายชู 99.9 %

หมายเหตุ :
- เติมเเอลกอฮอล์ 10% ของน้ำ
- เติมน้ำส้มสายชู 10% ของเเอลกอฮอล์

อัตราการใช้ และวิธีใช้ :
- ใช้ 20-50 cc./น้ำ 20 L ทุก 3-5 วัน
- ฉีดพ่นช่วงหัวค่ำ หรือไม่มีแสง
- ใช้ร่วม (ผสม) กับปุ๋ย/ฮอร์โมนทางใบได้ทุกชนิด
- ใช้เพื่อ "ป้องกัน" จะได้ผลดีกว่าเพื่อ "กำจัด"




41. ขั้นตอนขณะเติมสารสมุนไพรผง อาศัยการทำงานกันเป็นทีม งานจึงคล่องตัว




42. เติมแอลกอฮอล์ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน แล้วพักไว้




43. ขณะทำงานก็ยังแอ๊บได้อีก อันนี้ไม่ใช่แอ๊บสวยซะแล้วสิ แต่เป็นแอ๊บขี้เหร่เร๊ะ





44. สำเร็จแล้วสำหรับสมุนไพรสูตรรวมมิตรฆ่าหนอนของเรา พร้อมใช้งาน ระวังตัว
ให้ดี ๆ นะจ๊ะหนอนน้อย




45. คน ๆๆๆๆ แล้วก็คน ๆๆๆๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว




46. พิสูจน์กลิ่น ดูจากหน้าตาคนสูดดมแล้วก็คงจะพอเดาออกนะคะ




47. สมบูรณ์แบบ จะสังเกตเห็นว่ามีตะกอนตกอยู่ก้นโหลจำนวนมาก นั่นก็เกิดจาก
ผงสมุนไพรของเรานั่นเอง แต่ไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ ยิ่งเข้มข้นยิ่งดี ไม่เข้มข้นเรา
ไม่นอน




48.

เปลือกมังคุดสด 1 กก. กินเนื้อหมดแล้ว ได้เปลือกประมาณนี้ แช่ในแอลกอฮอร์
เดี่ยวๆ 1 ล. ก่อน ทิ้งไว้ 6-12 ชม. เพื่อให้แอลกอฮอร์สกัดเอาสารออกฤทธิ์ใน
เปลือกมังคุดออกมาก่อน จากนั้นเติมน้ำเปล่าลงไป 10 ล. พร้อมกับเติมน้ำส้ม
สายชู 99.9% อีก 10 ซีซี. คนให้เข้ากันดี แช่ทิ้งไว้ 12-24 ชม. ได้ "หัวเชื้อ"
พร้อมใช้งาน เก็บในอุณหภูมิห้องได้นานนับปี

อัตราใช้ : หัวเชื้อ 20-50 ซีซี./น้ำ 20 ล.

ศัตรูพืชเป้าหมาย : เชื้อรา แบคทีเรีย

(ลุงคิม)



49.





50. กิ่งมะละกอที่เราเคยตอนไว้เมื่อประมาณ 1 เดือนที่แล้ว เริ่มออกรากแล้วล่ะค่ะ
รออีกสักระยะหนึ่งให้รากออกอย่างเต็มที่ก่อน ก็ได้เวลาย้ายลงปลูกได้แล้วล่ะค่ะ




51. เห็นไหมล่ะคะว่า การตอนมะละกอเห็นผลแล้ว นอกจากนี้การตอนยังไม่
ทำลายความสมบูรณ์ของกิ่ง สามารถเลี้ยงลูกได้ตามปกติเลย




52. ภาพมุมต่ำเน้นให้เห็นองค์ประกอบอย่างชัดเจน




53. กิ่งนี้รากยังออกไม่มากนัก รออีกสักพักมาเต็มแน่นอน




54. เจ้าของผลงานโชว์กันหน่อยเร็ว เอ๊ะ... หน้าคนกับถุง อันไหนดำกว่ากันเนี่ย




55. ของอ๋อมแอ๋มถึงกิ่งจะเล็ก แต่คุณภาพคับแก้วนะนะ




56. นึกว่าลิงจะชอบปีนแต่ต้นมะพร้าว ไม่ยักกะรู้ว่าชอบปีต้นมะละกอด้วย อิอิ




57. ของบ๋อมแบ๋มรากออกเยอะสุดเลยค่ะ นี่แหละที่เขาเรียกว่า ฝีมือมันคนละชั้น
กัน ฮ่าๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ เอิ๊กกก (หัวเราะแบบนางร้าย)




58. ภาพก่อนไม่สะใจ อ๋อมแอ๋มขออีกทีค่าาา




59. เอ้า คราวนี้ของสอง จะอะไรกันนักกันหนาเนี่ย พอแล้วแม่คุ๊ณ......




60. ผลงานการเสียลยอด เสียบข้าง ที่เคยเรียนไว้ ผลปรากฏว่าเสียบไปสิบกว่า
ยอด ติด 3 ยอด คำนวณออกมาแล้วถึง 20% มั้ยเนี่ย




61. พริ้ตตี้เสียบยอดค่า บ๋อมแบ๋มเจ้าเก่า เฮ้อ... แม้แต่เสียบยอดก็ต้องมีพริ้ตตี้
ด้วยน้อ




62. ชิชะ นางวันทอง เอ้ย..นางแมลงวันทอง เสร็จฉันละ




63. ของอ๋อมแอ๋มก็ใช่ย่อยนะเนี่ย สุดยอด สูญพันธุ์แน่




64. มาอีกแล้ว คิงคองเจ้าเก่า ว่าแต่...ตื่นยังอ่ะ




65. เอ้า ๆๆๆ เช้าฉีด เย็นฉีด แม้แต่เดินผ่านก็ฉีด ให้มันรู้ไป ต้นองุ่นลุงข้า ใคร
อย่าแตะ เจอยาสมุนไพรเข้าละก็รอดยาก




66. มุมตะกี้ไม่สวย บ๋อมแบ๋มขอย้ายมุม อวดอณูผิวขาว กระจ่างใสอย่างเต็มที่ค่ะ




67. ข้างล่างบ๋อมแบ๋มฉีดหมดแล้ว งั้นอ๋อมแอ๋มขอข้างบนแล้วกันนะจ๊ะ




68. คนนี้เน้นเท่ เนี้ยบไว้ก่อนเจ้าค่ะ




69. ถ้าไม่ติดที่ดำ เตี้ยด้วย คงหล่อไปแล้วนะเนี่ย




70. โผล่มาแต่ละที ขวัญผวาเลยนะตัวเอง อัลกอร์อิดะขอแจมด้วยคนครับ แมลง
ร้าย ตายเรียบ บรื๋ออออ



เสริม :

องุ่นในกระถางใหญ่ ขนาดจุดินปลูก 5 ปี๊บ ต้นนี้อายุ 3 เดือน ตั้งใจจะบำรุงแล้วตัด
แต่งทรงพุ่มสไตล์องุ่นในไร่ออสเตรเลีย ต้นสูงแค่ 1.50 ม. เส้นผ่าศูนย์กลางทรง
พุ่มกว้าง 2 ม. พรุ่นนิ่งแล้วก็บำรุงตามปกติ ก็น่าจะออกดอกติดผลได้ รอให้ขนาดลำ
ต้นโตกว่านี้ แล้วก็ขนาดกิ่งใหญ่กว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยว่ากัน

ตอนนี้ส่วนลำต้นประธานสูงได้ 1 ม.จากดินปากกระถางแล้ว เลยจัดการตัดยอด
ประธานซะเลยเพื่อควบคุมความสูง แล้วเลี้ยงกิ่งข้างเพื่อสร้างขนาดทรงพุ่มต่อไป

ที่แน่ๆ องุ่นเป็นอาหารอันโอชะของแมลงประเเภทปากกัด มาตอนกลางคืน แมลง

นิรนาม ชื่ออะไรไม่รู้เพราะไม่เคยอยู่พิสูจน์ ถ้าอยากรู้หรืออยากเห็นตัวมันจริงๆ ใช้
กับดักแสงไฟ + กาวเหนียว ดักก็ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นเท่านั้นแหละได้ยลโฉมแน่

ก่อนหน้านี้ ประมาณ 2 อาทิตย์ ใบทุกใบ ทั้งใบอ่อนใบแก่ จะถูกแมลงนิรนามกัดจน
พรุน ดูเผินๆยังกะใบโปร่งฟ้าก็ไม่ปาน ตัดสินใจตัดใบทิ้งจนเกลี้ยง แล้วเตรียมการ
เรียกใบใหม่ดีกว่า

สั่งการผสมสารสกัดสมุนไพรสูตรรวมมิตร โรค-แมลง-หนอน ใส่กระบอกฉีดวาง
ประจำไว้ที่กระถางนั้นเลย เช้า 1 รอบ กับค่ำอีก 1 รอบ ทุกวัน เอาแบบไม่เลี้ยงกัน
ละงานนี้

งานนี้ได้ผล ไม่มีร่องรอยกัดกินจากแมลงนิรนามนั้นอีกเลย ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้อง เช้า
รอบค่ำรอบ-ค่ำรอบเช้ารอบ แบบนี้ไปอีกนานซักเท่าไหร่ เอาเถอะ นานแค่ไหน
ทรมาณเพียงใด ก็จะลอง ต้องการเพียงคำตอบสุดท้าย เท่านั้นแหละ......(ลุงคิม)





71. กับดักอันบน....ของต้นของใหม่ครับ แต่ไม่เกิน 2 วัน รับรองแมลงวันทองเต็มแผ่นแน่นอน

กับดักอันล่าง....หลังทำเสร็จ เวลาผ่านไปเพียง 2-3 ชม. แมลงวันทองมาแย้วววว
ยั่วเยี้ย เยยยย....ไวจริงนะตัวแค่เนี้ยยยย

72.


เสริม :

แมลงวันทอง กามิกาเช่ ! !....


จากการสังเกตุนิสัยของแมลงวันทองขณะบินเข้ากลิ่นล่อแล้วพบว่า แมลงวันทองไม่
ได้บินตรงเข้าไปที่สำลีชุบกลิ่นล่อก่อน จากนั้นจึงจะเดินหรือไต่ไปไหนต่อไหนต่อ
ไป แต่ในความเป็นจริง แมลงวันทองจะบินตรงดิ่งเข้าหาแผ่นกับดัก แบบบินเข้าชน
เหมือนฝูงบินกามิกาเช่ ประมาณนั้นเลย เมื่อบินไปชนแผ่นกับดักตรงไหนก็จะติด
กาวเหนียวอยู่ตรงนั้น ดังนั้น จึงพบเห็นซากแมลงวันทองติดตามแผ่นกับดักจนเต็มไป
ทั่วทั้งแผ่น

แนวทางแก้ไข คือ สร้างแผ่นกับดักขนาดใหญ่ขึ้น กับดักที่เห็นในภาพขนาด 40 x
50 ซม. (เทียบขนาดตัวคน) แผนการข้างหน้า จะสร้างแผ่นกับดักให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้
อีก เพื่อพิสูจน์นิสัยที่แท้จริงของแมลงวันทองต่อไป

อีกสังเกตุการณ์หนึ่งที่พบเห็น คือ ช่วงเวลา 07.00-09.00 และ 16.00-18.00
วันละ 2 เวลา ไม่เว้นวันหยุดนขตฤกษ์ แมลงวันทองจะชุกชุมมากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ
ทั้งนี้สังเกตุจากจำนวนแมลงวันทองที่มาติดกับดักนั่นเอง

กับดักอันนี้ ทำเสร็จแล้วติดตั้ง เวลา 07.00-09.00 เพียง 2 ชม.เท่านั้น แมลงวัน
ทองเข้ามาเกาะกระจายทั่วทั้งแผ่นกับดัก ไม่ได้เข้ามาเกาะเฉพาะบริเวณที่มีสำลี
ชุบกลิ่นล่อหรือข้างเคียงเท่านั้น ชัดเจนว่า กับดักขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า
กับดักขนาดเล็ก..................(ลุงคิม)





73. ค้างถั่งฝักยาวที่เราทำไว้ ตอนนี้ถั่วฝักยาวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วนะ สวยงามมาก




74. ความภูมิใจที่เกิดจากการได้ลงมือทำ แล้วเห็นผลจริง ถึงแม้จะเป็นแค่สิ่งเล็ก
ๆ น้อย ๆ แต่มันจะเป็นบันไดเพื่อให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่.......สู้ต่อไปพวกเรา



เสริม :

ถั่วฝักยาวพันธุ์ "ถั่วเนื้อ" เป็นพันธุ์ที่มีเมล็ดน้อย เนื้อมาก ฝักยาวประมาณ 30-45
ซม. ต่างจากฝักยาวพันธุ์ "ถั่วหลา" ที่ฝักยาว 80-100 ซม. .... พันธุ์เนื้อรสชาติ
อร่อยกว่าถั่วหลา....ข้อเสียของถั่วเนื้อ คือ มักเป็นหางหนู หรือปลายฝักเรียวยาว
เล็กเหมือนหางหนู แต่เมื่อบำรุงทางรากด้วย "ระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 ทุก 15 วัน
และบำรุงทางใบด้วย "BIOI + TAIPE + UREGA" ทุก 5-7 วัน เป็นประจำ
อาการหางหนูจะหายไป ทุกฝักสมบูรณ์ดี

บำรุงด้วย bioi + taipe ทุก 5 วัน ช่วยให้ ดอกดก ฝักใหญ่ยาวเหยียดตรง ไม่
เป็นหางหนู ใบใหญ่ แตกยอดใหม่ตลอดเวลา

คนงานเล่นเอา "TAIPE + ไธโอยูเรีย" ผลรับคือ ใบล่างเหลืองร่วง จากนั้นไม่นาน
ก็แตกยอดใหม้ออกดอกติดฝักดกกว่าเดิม

Mg + Zn ใน BIOI จะบำรุงต้นไม่ให้โทรมเร็ว ส่งผลให้จำนวนรอบในการเก็บมากขึ้น.............(ลุงคิม)






75. ดอกแก้วมังกร จำได้ว่าตอนที่เรากลับลาดกระบังไป ดอกเท่าไข่ไก่เอง นี่ผ่าน
ไปแค่ 2 สัปดาห์ โตได้ขนาดนี้เชียว คราวหน้ามาอีกคงได้กินแน่ ๆ (หนูจองไว้
แล้วนะคะคุณลุง)




76. ดอกแก้วมังกรที่สมบูรณ์เกิดจากการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง ไม่ใช่ปลูกทิ้ง
ปลูกขว้างนะคะ



เสริม :

แก้วมังกรในฤดูจะออกดอกติดผลเมื่อเริ่มเข้าสู่หน้าฝน อายุผลตั้งแต่ผสมติดถึงเก็บ
เกี่ยวราว 5 อาทิตย์ นั่นคือ นอกจากต้องบำรุงด้วยสูตรขยายขนาดผล หยุดเมล็ด
สร้างเนื้อแล้ว ยังต้องบำรุงด้วยสูตรป้องกันผลแตกเนื่องน้ำมากและบำรุงให้ได้
คุณภาพดีอีกด้วย

ผลแก้วมังกรช่วงหน้าฝนมักมีรสเปรี้ยว หรือไม่ก็รสจืดชืด กินไม่อร่อย ไม่ประทับใจ
ในขณะที่คนกินบางคนชอบรสออกเปรี้ยว แต่บางคนต้องการรสออกหวาน เทคนิค
บำรุงให้รสชาติดี รสออกหวาน เนื้อแน่น กรอบ แกะออกมาแล้วลักษณะเนื้อเหมือน
วุ้นจะต้องบำรุงให้ถึง (เน้นย้ำ....ถึง) ธาตุรอง ธาตุเสริม และแคลเซียม โบรอน.
อย่างแท้จริง ..... นอกจากนี้ ธรรมชาติของแก้วมังกรจะออกดอกติดผลปีละหลาย
ชุด ว่ากันตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง ต.ค. เรื่อยไป บ่อยครั้งที่ในต้นเดียวกันมีทั้งดอก ผล
เล็ก ผลกลาง และผลแก่ใกล้เก็บ กรณีนี้ต้องบำรุงทางใบด้วยสูตร "สหประชา
ชาติ" (ยูเรก้า + ไบโออิ + ไทเป) เพื่ออาศัยยูเรก้าขยายขนาดผล, ไบโออิบำรุง
ต้นไม่ให้โทรม และไทเปเปิดตาดอก ทุก 5 วัน แล้วสลับด้วยแคลเซียม โบรอน
บ่อยๆ เพื่อป้องกันผลแตก ส่วนทางรากบำรุงด้วย "ระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24"
เดือนละ 1 ครั้ง เพียงเท่านี้จะได้ผลเพียงระดับหนึ่ง (ไม่ใช่สูงสุด) เท่านั้น ต้องบำรุง
ต่อ.....

ช่วงผลแก่ใกล้เก็บ (สัปดาห์สุดท้าย) ปกติผลแก้วมังกรจะโชว์สีแดงชัดเจน เรียกว่า
แดง-1 หรือแดงครั้งที่ 1 ช่วงนี้ถ้าไม่มีฝนก็เก็บเกี่ยวได้ แต่ถ้ามีฝนชุกจงอย่ารีบเก็บ
เกี่ยว แต่ให้บำรุงด้วยสูตรเดิมต่อไป โดยระยะเวลาให้อาจจะถี่ขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ช่วง
อาทิตย์นี้สีแดงที่ผลจะลดลงมีอาการอมเขียวเล็กน้อย หลังจากบำรุงด้วยสูตรเดิมต่อ
อีก 1 อาทิตย์ สีผลจะกลับมาแดงจัดอีกครั้งเรียกว่า แดง-2 หรือแดงครั้งที่ 2 คราว
นี้ให้ลงมือเก็บเกี่ยวได้ แล้วจะได้ผลที่มีคุณภาพดี

เทคนิคบำรุงทางใบด้วยสูตรเร่งหวาน (0-21-74) แม้จะช่วยให้ลผลแก่ใกล้เก็บมี
รสหวาน และคุณภาพดีขึ้น แต่มีข้อเสียที่ทำให้ผลรุ่นน้องหยุดขยายขนาด หรืออาจ
จะกลายเป็นยผลแก่ทั้งๆที่ขนาดยังเล็กได้ ดังนั้นการเร่งหวานผลแก่ต้องพิจารณาให้
เหมาะสม...................(ลุงคิม)








77. อาหารมื้อเที่ยงอันแสนสุข ประกอบไปด้วยอาหารโปรดของพวกเรา อัน
ได้แก่ ส้มตำปลาร้า ต้มตำปู แล้วก็ไก่ย่างวิเชียรบุรี 2 ตัว (สงสัยคุณลุงกลัวเราไม่
อิ่ม เลยสั่งมาเต็มที่) ต้องขอขอบคุณ คุณลุงมากนะคะที่ใส่ใจในรายละเอียดของ
เราเป็นอย่างดี พอรู้ว่าชอบ คุณลุงก็จัดให้เลย ไม่เคยเสียดายเงินทอง ซึ่งคุณลุง
คิมเคยบอกเสมอว่า "เงินทองของนอกกาย มันหาใหม่ได้ แต่ใจคน ซื้อด้วยเงิน
ทองไม่ได้ ต้องซื้อด้วยความรัก ลุงจึงรักพวกเธอแบบไม่มีเหตุผล"

เสริม :
จะว่ารักแบบไม่มีเหตุผลก็ใช่ ลึกๆ ลุงคิมเป็นคนใจง่าย รักคนทั้งๆที่ไม่ได้ถามชื่อ...
รักเดียว ใจเดียว เดี๋ยวเดียว โรเนียวหลายแผ่น..หัวใจมีห้องเดียว แต่ห้องประชุม...

ไม่ใช่รักอย่างเดียว แต่เป็นการรักษากติกาประจำไร่อกล้อมแกล้มด้วย...จำได้ไหม ?
1. น้ำหนักไม่ขึ้น ............................ ตัดคะแนน
2. อยากกินอะไรแล้วไม่บอก ............... ตัดคะแนน
3. อยากกินอะไร บอกแล้วไม่ได้กิน ........ ตัดคะแนน

(ลุงคิมครับผม)





78. บ๋อมแบ๋ม.... อย่า..... นั่นมันชิ้นสุดท้ายแล้วนะ เอาคืนมา......




79. ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก เอ้ย..ที่ระลึกพร้อมหน้า พร้อมผลไม้คู่ใจ เหตุผลการ
เลือกพอเดาได้ ดังนี้

บ๋อมแบ๋ม : ทุกคนเชอบเรียกเค้าว่า...มะนาว...ใช่ซะที่ไหนล่ะที่จริงแล้วเค้า
มะพร้าวต่างหาก แต่ที่เห็น ๆ อย่างนั้น เพราะซ่อนรูปต่างหากล่ะ

อ๋อมแอ๋ม : ของอ๋อมแอ๋มชมพู่ ชมพู๊ ชมพู เหมาะกับสาวน้อย หว๊าน หวาน เป็น
ที่สุดเลยล่ะค่ะ

ต้นกล้า : ของต้นมะม่วงนี่แหละครับ สะดวก ใกล้มือ เหมาะสมที่สุดแล้วครับ
(ที่จริงไม่รู้จะถ่ายคู่กับอะไรต่างหากล่ะ ใช่ป่ะ)

ทิวลี่ : ของผมน้อยหน่า ไม่น้อยหน้าใครอยู่แล้วครับ ฮ่าๆๆๆๆ

นี่มาฝึกงานหรือมากินกันแน่เนี่ย มีครบทุกอย่างเลย มะพร้าว มะเฟือง กระท้อน
ตะขบป่า ฝรั่ง ทับทิม น้อยหน่า มะม่วง มะกอกฝรั่ง มะละกอ ส้มโอ ชมพู่ กล้วย

ผลไม้ที่ขาดไปก็มี มะไฟ ทุเรียน มังคุด เงาะ ส้มเขียวหวาน มะเหมี่ยว ละมุด
มะยงชิด พุทรา ขนุน ส้มเช้ง ท้อ ลำไย ลองกอง มะพูด แก้วมังกร เชอรี่ เพราะยัง
ไม่ให้ผลผลิตหรือไม่ก็หมดฤดูกาลไปแล้ว

ในอนาคตจะมี สะตอ กาแฟ โกโก้ มะกอกน้ำ องุ่น มะขามเปรี้ยว มะขามหวาน
มะขามป้อม

ส่วนผักสวนครัวอย่างพวก พริก มะเขือ ถั่วฝักยาว ถั่วพู ขจร ตำลึง ชะอม ผักบุ้ง
กระถิน กะทกรก มะนาว มะกรูด มะรุม แคแดง สะเดาดำ ฟักทอง ฟักเขียว
น้ำเต้า หน่อไม้หวาน ยอ กระเพา โหระพา แมงลัก ข่า ตะไคร้ กวางตุ้งต้นอ่อน
อันนี้หม่ำประจำทุกวัน ทุกมื้อ อยู่แล้ว นี่ไม่รวมปลากับเต่าในบ่อ แล้วก็หนูพุก
ในสวนนะ ...... ภาพฟ้องหมดแล้ว



เสริม :
รุ่นหน้า จะเก็บกลีบดอกไม้ชุบแป้งโกกิทอดให้กิน ในสีของดอกไม้มีสารเบต้า แคโร
ทีน.สูง สารตัวนี้ช่วยบำรุงสมองดี คิดในใจเร็ว คิดนอกใจช้า ดีนะลูก .....

รู้มั้ย เปลือกผลแก้วมังกรสดๆ หั่นเป็นชิ้นให้ดูสวยๆ ยำสดๆแบบถั่วพู อร่อยเหาะเลย
เชียวแหละ ............. (ลุงคิม)





80. เอ้าซี๊ดดด ถ่ายภาพให้ออกมาซี๊ดกันหน่อยเร็ว




81. น่ากินมั้ยล่ะคะ ผลไม้สด ๆ จากสวน มีหลากหลายให้เลือกชิม อยู่ที่นี่รับรอง
ไม่เป็นโรคขาดวิตามินแน่นอนค่ะ



เสริม :

สายพันธุ์ไม้ผล (ให้ผลผลิตแล้ว/ยังไม่ให้ผลผิต/ยังไม่ได้ปลูก) ....
มะม่วง (ขาวนิยม, เขียวใหญ่, งามเมืองย่า, เขียวสุพรรณ, น้ำดอกไม้, น้ำดอกไม้
เบอร์ 4/19, แม่ลูกดก, เขียวเสวย, เขียวเสวยรจนา, แก้วลืมคอน, มันขุนศรี, มัน
ศาลายา, อกร่อง, อกร่องไทรโยค, อกร่องพิกุลทอง, หยาดพิรุณ, จอมพล,
โชคไพบูลย์, จินหวง, อาร์ทูอีทู ออสเตรเลีย, อาร์ทูอีทู แม็กซิโก, อาร์ทูอีทู
บราซิล, เออร์วิน, .....)

มะนาว (น้ำหอมทูนเกล้า-แม่ไก่ไข่ดก-แป้นรำไพ), แก้วมังกร (เวียดนาม), น้อย
หน่า (เพชรปากช่อง-หนัง-ครั่ง), ทับทิม (แดงมารวย), ลำไย (สีชมพู), ส้มโอ
(ขาวใหญ่), ส้มเช้ง (-), มะพร้าว (พวงร้อย-แกง-กะทิ), มะเฟือง (บี-1),
มะพูด (-), ท้อ (ปราจีน), ตะขบป่า (-), มะขามป้อม (อินเดีย)

ชมพู่ (เพชรบุรี), ฝรั่ง (แป้นสีทาอง-สาลี่ทอง) พุทรา (จัมโบ้), มะยงชิด (ไข่
ทอง), มะกอกฝรั่ง (-), เชอรี่ (-), กระท้อน (อีล่า-กำมะหยี่), มะละกอ (ปักไม้
ลาย), กล้วย (หอมทอง-น้ำว้า-เล็บมือนาง), มะไฟ (ข้าวเหนียวดำ-เหรียญทอง),
ลิ้นจี่ (ค่อม), เงาะ (โรงเรียน), มังคุด (-), ทุเรียน (ชะนี), มะกอกน้ำ (เกษตร),

ลองกอง (-), ส้มเขียวหวาน (บางมด), มะเหมี่ยว (-), ละมุด (มะกอก), องุ่น
(คาร์ดินัล), มะขามเปรี้ยว (ฝักยักษ์), มะขามหวาน (สีทอง), กาแฟ (อาราบิก้า),
โกโก้ (-), สะตอ (ข้าว) .................................. (ลุงคิม)






82. เอ้า...หนุ่ม ๆ อร่อยกันมั้ย... ซี๊ดดดด




83. ดื่มด่ำกับความอร่อยจนลืมนึกไปว่า กำลังถ่ายรูปอยู่นะเนี่ย




84. นั่นแปลว่าต้นอร่อย หรืออย่างไรกันนะ ทิ้งไว้ให้คิดเล่น ๆ ดีกว่า




85. สาวน้อยเทพีกล้อมแกล้ม ด้วยความที่รักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ เธอจึงไม่
พลาดที่จะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ให้ลุงคิมคิดถึง เธอละ เจ้าของคำพูดที่ว่า "ถ้า
พวกหนูกลับ ลุงต้องคิดถึงพวกหนูแน่ๆ"

กลับไปแล้ว แค่ 3 วันเอง ความจริงก็ปรากฏ ลุงคิมบอก "เหงาว่ะ..."




86. UREGA......ออกซิเจนที่นี่สดชื่นที่ซู๊ดดดด ขอตุนกลับไปลาดกระบังหน่อย
นะคะ บ๊าย....บาย.....ไร่กล้อมแกล้ม แล้วจะกลับมาถ่ายรูปใหม่น้าาาาาาา
kimzagass
ตอบตอบ: 31/05/2011 7:37 am    ชื่อกระทู้:

แปลงของ ลูกๆ นศ. .....




1. ผลของ 1 เมล็ดได้ 2 ต้น ต้นเล็กกับต้นใหญ่ ธรรมชาติของข้าวโพด (พืชอายุ
สั้นฤดูกาลเดียว) เมื่อครบอายุก็จะออกดอกเอง เพียงแต่ต้นสมบูรณ์ (ต้นโต) จะให้
ดอกและผสมสมบูรณ์กว่าต้นไม่สมบูรณ์ (ต้นเล็ก) เท่านั้น




2. ดอกยอดของต้นเล็ก สามารถไปช่วยผสมให้ไหม (ดอกตัวเมีย) ของฝัก 2-3
ของต้นโตได้ กรณี่นี้ ถ้าคนช่วยผสมด้วยมือ ก็จะช่วยให้ผสมเกสรดียิ่งขึ้น


เสริม :
เกสรตัวผู้หรือดอกยอดมีลักษณะเป็นผงละเอียดมากเหมือนแป้งฝุ่นทาตัวด็ก สี
เหลืองอ่อนๆ เมื่อเคาะจะร่วงแล้วปลิวไปตามสายลม หรือเกาะไป ขา/ปีก/ตัว แมลง
ได้ดีมาก เกสรตัวผู้ที่ปลิวตามลมได้เช่นนี้ คือ เกสรที่พร้อมผสมแล้ว

เกสรตัวเมียที่ปลายฝักหรือไหม ลักษณะพร้อมผสม เส้นไหมจะเขียวอมเหลืองสด
ใส สัมผัสด้วยมือจะรู้สึกถึงความเหนียวชัดเจน นั่นคือเกสรตัวเมียที่พร้อมรับการ
ผสม...............(ลุงคิม)




3. ข้าวโพดฝักใดที่ไหม (เกสรตัวยเมีย) ไม่ได้รับการผสมจากดอกยอด (เกสรตัว
ผู้) ข้าวโพดฝักนั้นมักเป็น "ฟันหลอ" ฝักเล็กและคุณภาพไม่ดี




4. ข้าวโพดใคร (วะ...) แบบนี้ถ้าไม่ ถอนหญ้า-พรวนดิน ละก็ ไม่ได้กินแน่ๆ คนปลูกไม่ได้กินยังพอทำเนา
ถ้าเอาไปเป็นของฝากละก็ รับรองเขาสรรเสริญตามหลังแน่.....แค่นี้เหรอ (วะ....)

ไม่ได้กินเสียแล้วเด้งแรก ไม่ได้คะแนเสียเด้งที่สอง อ.วิชัยฯ สรรเสริญอีกเป็นเด้งที่สาม....งานนี้ 3 เด้งแน่




5. เฝ้าสังเกตุ เมื่อไหม (เกสรตัวเมีย) เริ่มเหี่ยวหรือแห้ง แสดงว่ากระบวนการผสม
เกสรเสร็จสมบูรณ์แบบแล้ว จากนั้นเริ่มบำรุงด้วยสูตร "ขยายขนาด" ทั้งทางรากและ
ทางใบ ควบไปกับให้สารสมุนไพร ทุก 3 วัน ได้เลย




6. ซอกกาบใบเดียว ออกมา 3 ฝัก แบบนี้เขาเรียกว่า "ทะลัก" บ่งบอกถึงความ
สมบูรณ์ตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด ตุ่มต่านี้มีความสมบูรณ์สูงมาก เอาเถอะ อั้ยเจ้าฝักแทรก
ที่แถมมาเนี่ย ไม่เป็นฝักหรอก






9. ใบล่างสุด มีอาการเหลืองแล้วร่วงน้อยที่สุด หรือไม่มีเลยละก็ ประกันได้เลยว่า
ผลผลิตที่ได้ดีแน่ ทั้งนี้เพราะความสบูรณ์ของต้นเป็นพื้นฐานที่ดีนั่นเอง





ลุงคิม (บรรยาย) ครับผม
kimzagass
ตอบตอบ: 28/05/2011 7:20 am    ชื่อกระทู้:

ข้าวโพดหวาน ATS 27 พ.ค. 54 .....



ใบใหญ่ หนา เขียวเข้ม ไม่ทิ้งใบล่างไม้แต่ใบเดียว ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่ปุ๋ย "รองพื้น - แต่งหน้า - กระตุ้น" ใดๆทั้งสิ้น
ได้แต่ปุ๋ยที่ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ในน้ำหมักระเบิดเถิงเท่านั้น แสดงว่าข้าวโพดต้องการปุ๋ยเคมีเพียงเท่านี้ แล้วก็
ต้องตัวนี้ สูตรนี้ด้วย เท่านั้น






เปรียบเทียบความสมบูรณ์ต้นระหว่าง 1 เมล็ดงอกเป็นต้นได้ 1 ต้น กับ 1 เมล็ดงอกเป็นต้นได้ 2 ต้น
ทั้ง 1 ต้น และ 2 ต้น สมบูรณ์โตพอๆกัน คาดว่าผลผลิตที่ได้ก็คงไม่ต่างกันนัก






แปลงนี้เป็นของ "คนงาน" ที่ไร่กล้อมแกล้ม
แก้ปัญหาดินเหนียวแน่นโดย พรวนดิน-ถอนหญ้า ทุก 3 วัน
ให้ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10+ยูเรีย ทางราก ทุก 3 วัน
ช่วงออกดอกยอด ถึง ออกไหม ให้ไทเป ทางราก ทุก 3 วัน
ฉีดพ่นสารสมุนไพร ทางใบช่วงค่ำ ทุก 3 วัน


เหตุผลที่ให้ ฮม.ไข่ไทเป.ทางราก :
- ธรรมชาติของข้าวโพดทุกนิด จะออกดอกยอด (เกสรตัวผู้) ก่อน จากนั้น 5-7 วัน ฝักแรกจะออกตามมาพร้อม
กับไหมปลายฝัก (เกสรตัวเมีย) ในต้นที่สมบูรณ์ ข้าวโพดจะมีฝักที่ 2-3 ตามมาอีก

- ระหว่างเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียในต้นเดียวกันจะพร้อมรับการผสมไม่พร้อมกัน เป็นลักษณะของธรรมชาติที่จะ
หลีกเลี่ยงการผสมกันเองในต้นเดียวกัน เพื่อป้องกันอาการ "ด้อยทางพันธุกรรม" เหมือนลักษณะเลือดชิดในสัตว์
หรือเหมือนไม้ผลที่ได้รับการผสมพันธุ์ข้ามต้นหรือข้ามสายพันธุ์ มักให้ผลผลิตดีกว่าผสมกันเองในต้นเดียวกัน ในข้าว
โพดก็เช่นกันที่เกสรตัวผู้ต้นนี้จะต้องไปผสมกับเกสรตัวเมียของต้นอื่น

- ขณะที่เกสรดอกยอดพร้อมผสมแล้วนั้น ถ้าเกสรสัมผัสกับปุ๋ยทางใบหรือน้ำ เกสรจะเปียกทำให้ผสมไม่ได้

- ต้นพืชรับสารอาหารได้ 2 ทาง คือ ทางใบกับทางราก ช่วงกลางคืนรากจะดูดสารอาหารจากดินขึ้นสู่ลำต้น (ล่างขึ้น
บน) แต่ช่วงกลางวัน ใบจะส่งสารอาหารที่สังเคราะห์แล้วลงสู่ลำต้น (บนลงล่าง) ในขณะเดียวกัน สารอาหารทางใบ
เมื่อตกลงดินแล้วรากสามารถดูดซับไปใช้ได้ (สารอาหารทางใบ เข้าสู่ต้นได้ทั้งทางใบและทางราก แต่สารอาหาร
ทางราก เข้าสู่ต้นได้โดยทางรากทางเดียวเท่านั้น จะเข้าสู่ต้นทางใบไม่ได้) ดังนั้น เมื่อนำสารอาหารทางใบมาให้
ทางรากแทน นอกต้นสามารถนำไปใช้ได้ตามปกติแล้ว ยังไม่เป็นการรบกวนเกสรตัวผู้ที่กำลังพร้อมผสมอีกด้วย



-------------------------------------------------------------------------------------------------------



http://www.coop-mcr.com/ans.php?op=ans&id=141


---------------------------------------------------------------------------------------------------------




http://www.weloveshopping.com/shop/show_article.php?shopid=142053&qid=43989
kimzagass
ตอบตอบ: 22/05/2011 10:45 am    ชื่อกระทู้:



ซ้อมๆไว้ก่อนค่ะ....ถึงคราวจริง ขอ 2 คนนะคะ
kimzagass
ตอบตอบ: 22/05/2011 10:42 am    ชื่อกระทู้:


1. FREE OPEN AIR HOME STAY KLOMKLAEM STYLE ที่นี่ ทุกคืนมีเสียงดนตรีไต้น้ำคอยกล่อม
ตุ๊กตุ๊ก ตึ้กตึ้ก ครื้ดดด ครื้ดดด หลับแล้วยุงไม่กัด ...... เจ้าค่ะ




2. ข้าวโพดหวาน ATS-5 โดย ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ....พันธะผูกพัน หมากที่ลุงคิมวางไว้หรือเปล่า (สงสัย....สงสัย)
กลับไปต้องกลับมา ถึงฝึกงานจบไปแล้วจะต้องย้อนมาที่ไร่กล้อมแกล้ม (มาให้ลุง ด่ะ .... ซะดีๆ) อีกครั้ง หลายๆครั้ง
ต้องมาดูแลต่อ จนกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิต ..... ลุงให้ข้าวโพด เอาไปขาย เอาไปกิน เอาไปแจก เอาไปเลย แต่
อาจารย์วิชัย ให้คะแนน ..... ข้าวโพดก็อยากกิน คะแนนก็อยากได้ เอ้ ! เอาไงดีล่ะ




3. ลุงมีลูกสาว 2 คน คนหนึ่งเป็นแบบ อีกคนเป็นตากล้อง ในภาพเลยเห็นแค่คนเดียว.....ลุงบอกว่า 100 คน
ที่มองไม่เห็น หรือจะสวยเท่า 1 คนที่มองเห็น ใช่ไหมเคอะ.....





4. "นายต้น" ผช.อ.วิชัยฯ กำลังโหลดข้อมูลจากเครื่องคอมอาจารย์ ลงเครื่องคอมลุง ..... ลุงบอกว่า จะเอาไปลง
ในเน็ต เว้บลุงคิม ด็อท คอม. เนื้อหาขนาดหนังสือทั้งเล่ม กะให้อ่านกันตาแฉะไปเลย จะคอยอ่านเค่อะ
iieszz
ตอบตอบ: 21/05/2011 9:29 pm    ชื่อกระทู้: 21-05-54


1. ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะ present งาน ให้อาจารย์วิชัย และลุง ป้า ฟังว่ามาฝึกงานที่ไร่กล้อมแกล้มได้รับ
ความรู้อะไรกลับไปบ้าง และในแต่ละวันพวกเราทำอะไรกันบ้าง

งานรับผิดชอบเฉพาะบุคคล ได้แก่ :

อ๋อมแอ๋ม PRESENT เรื่อง แคลเซียม โบรอน
บ๋อมแบ๋ม PRESENT เรื่อง ฮอร์โมนไข่
โบ๊ต PRESENT เรื่อง น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง
ทิว PRESENT เรื่อง ไบโออิ
ต้น PRESENT เรื่อง จุลินทรีย์หน่อกล้วย
กันดั้ม PRESENT เรื่อง ยูเรก้า

งานที่ทุกคนช่วยกัน PRESENT ได้แก่ : เรื่องสปริงเกอร์, แปลงทดลองข้าวโพดหวาน-ถั่วฝักยาว, การขยาย
พันธุ์ไม้, การเตรียมต้นลองกอง, การเตรียมต้นฝรั่ง, การห่อผลฝรั่ง-มะม่วง-กระท้อน, การป้องกันแมลง
วันทอง, ต้อนรับกลุ่มเกษตรกรที่มาดูงาน, ร่วมรายการ ทีวี.ศึกษาทัศน์ ร.ร.วังไกลกังวล, งานมวลชนร่วมกับ
หน่วยทหารที่ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ และอื่นๆ


เสริม :
- ตามที่บอกแล้วในกระทู้ "ส่วนลึกของใจ" ที่ว่า ภารกิจครั้งนี้ ลุงคิมทำงานด้วยความสบายใจเป็นอย่างมาก
เนื่องจากมีเวลา เพราะรุ่นนี้เวลาถึง 2 เดือน ในขณะที่รุ่นก่อนๆ (ทุกรุ่น) มีเวลาเพียง 20 วัน หรือ 200 ชม.เท่านั้น





2. อาจารย์วิชัย ติ-ชม การ present งานของพวกเรา แต่อาจารย์ก็ให้พวกเราผ่านการ present เพราะ
อาจารย์บอกว่าปี 1 ประสบการณ์ การ present ไม่มี




3. อ.วิชัย ลิ้มกาญจนพงษ์ ตำแหน่งอาจารย์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กทม.





เสริม :

สรุปข้อเสนอแนะจาก อ.วิชัยฯ :

- ภาพประกอบใน POWER POINT ไม่ควรเป็นภาพแบบเปลี่ยนภาพโดยอัตโนมัติ เพราะอาจจะบรรยาย
รายละเอียดไม่ทันตามภาพ ควรเปลี่ยนภาพทีละภาพด้วยผู้ PRESENT จะดีกว่า

- อักษรบรรยายภาพไม่ควรมากเกิน 7 บันทัด เพราะถ้าตัวอักษรมากๆ จะทำให้ผู้ดูภาพเกิดอาการเบื่อ

- บุคคลิคท่าทางของผู้ PRESENT ควรจับสายตาที่ผู้ฟังตลอดเวลา

- น้ำเสียงของผู้ PRESENT ควรเสียงดังฟังชัด เร้าใจ อย่าประหม่า





สรุปข้อเสนอแนะจากลุงคิม :

- การใช้ชื่อผลิตภัณท์ (ปุ๋ย/ฮอร์โมน/จุลินทรีย์/สารสมุนไพร) ที่ตั้งขึ้นโดยไร่กล้อมแกล้มเอง เป็น
เสมือนชื่อทางการค้าหรือยี่ห้อ เช่น ไบโออิ, ยูเรก้า, ไทเป, โอไฮโอ, ระเบิดเถิดเทิง, สหประชาชาติ.
เพราะฉนั้นผู้ PRESENT ควรบอกที่มาของชื่อเหล่านี้ด้วย

- ในการทำปุ๋ยแต่ละสูตร ควรบอกรายละเอียดหรือประสิทธิภาพของส่วนผสมแต่ละตัวด้วยว่ามีผลต่อพืชอย่างไร
บ้าง โดยการอ้างถึงงานวิจัย หรือข้อมูลทางวิชาการเป็นหลัก

- วิธีทำปุ๋ยแต่ละสูตรของไร่กล้อมแกล้ม ยึดหลักการ "แบบภูมิปัญญาพื้นบ้าน-มาตรฐานโรงงาน-มีหลัก
วิชาการรองรับ" เวลา PRESENT ควรอธิบายด้วยว่า หลักการเหล่านี้แต่ละข้อหมายความว่าอย่างไร ?
รวมทั้งความหมายของนิยาม "อินทรีย์นำ - เคมีเสริม - ตามความเหมาะสม" ว่าเป็นอย่างไร ?

- ข้อมูลทางวิชาการของบางเรื่อง แม้ลุงคิมจะไม่ได้บอกด้วยวาจา ก็ขอบอกว่า รายละเอียดข้อมูลทางวิชา
การและประสบการณ์ตรงต่างๆ แทบทุกเรื่อง มีแจ้งไว้แล้วที่ "เมนูหลัก" ของเว้บเรานี่แหละ ขอให้ทุกคนเข้า
ไปอ่าน ทำความเข้าใจแล้วนำมาใช้ประกอบใน POWER POINT นี้ได้เลย

- ก่อนการ PRESENT จริงต่อที่ประชุมใหญ่ ต่อหน้าอาจารย์หลายๆท่าน พวกเธอยังมีเวลาและโอกาสใน
การ "ปรับ/เพิ่ม/เติม/เสริม" เนื้อหาได้อีก ข้อมูลใดที่ไม่เข้าใจหรือไม่รู้ แล้วลุงคิมไม่ได้สอน หรือไม่มีใน
เว้บ ก็ให้โทร.ถามได้ทุกเวลา


- ขอชมว่า เทคนิคการทำ POWER POINT ครั้งนี้ดีมากๆ ทั้งสาระเนื้อหา ความเหมาะสม ลำดับก่อน-หลัง
และอีกหลายๆอย่างดีมากๆ แบบนี้เขาเรียกว่า "มืออาชีพ" แล้ว ไม่ใช่แค่ นศ.ปี 1 หรอกนะ......ข้อมูลเนื้อหา
ไม่คลาดเคลื่อนเลย แสดงว่าการจดบันทึกดี อันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจ แต่รายละเอียดอาจจะน้อยไป
หน่อย อันนี้ต้องแก้ไขด้วยเวลา นั่นคือ พวกเธอต้องมีประสบการณ์ตรง สัมผัสด้วยมือมากกว่านี้ กว่าจะจบปี 4
หรือไปฝึกงานอีกซัก 2-3-4 ที่ เดี๋ยวก็มีประสบการณ์เอง ถึงเวลานั้น ลุงคิมว่า เขียนหนังสือเป็นเล่มๆก็ไม่จบนะ

- เนื้อหาบางเรื่องหรือบางตอนที่พวกเธอนำมา PRESENT ลุงคิมจำได้ว่า เคยพูดเรื่องนี้ในวงข้าว หรือตอน
เดิมคุยกันธรรมดาๆ ไม่ได้นั่งสอนกันอย่างเป็นกิจลักษณะ แต่พวกเธอก็ยังจำได้แล้วเอามาเรียงร้อยต่อกัน
จนเป็นข้อความที่สมบูรณ์แบบได้ อันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของพวกเธออย่างชัดเจนที่สุด

- การถ่ายทอดรูปแบบการจัดสวนของไร่กล้อมแกล้ม เช่น ระยะชิดปกติ, ระยะชิดพิเศษ, แม้แต่มะม่วงคอนโด,
โซนตามใจนายอำเภอ, โตเลี้ยงตายตัด. ยังไม่ชัดเจน ด้วยความที่ไร่กล้อมแกล้มแปลกไปจากสวนทั่วๆไป
คนที่ชมการ PRESENT จะมองภาพไม่ออกหรือไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน รายละเอียด
เรื่องนี้ต้องใช้ "ภาพประกอบคำอธิบาย" มากๆเท่านั้น

- พยายามใช้ภาพถ่ายมากๆ เพราะภาพ 1 ภาพแทนคำพูด 1,000 คำ บ่อยครั้งที่ภาพเป็นตัวดึงดูดความ
สนใจของผู้ชม พอผู้ชมเห็นภาพแล้วถาม อันนี้เราก็ตอบไปตามรายละเอียดในภาพนั้น วิธีนี้ช่วยผู้บรรยาย
ให้รอดจาก "ตกม้าตาย" เพราะนึกอะไรไม่ออกมานักต่อนักแล้ว

- รู้ไหมว่า พวกเธอ นศ.ฝึกงานรุ่นนี้สร้างแรงกดดันให้กับลุงคิมเป็นอย่างมาก เหตุผลก็คือ

กดดันที่ 1..... นศ.ฝึกงานรุ่นหน้า เน้นย้ำ รุ่นหน้า ถ้ามีนะ ลุงคิมจะต้องปรับปรุง พัฒนา รูปแบบการฝึกสอน
ให้ดีเหนือขึ้นไปอีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย อย่างไรก็ตาม คงต้องปรึกษาและก็ประสานอย่างใกล้ชิดกับ
อ.วิชัย.เข้าไว้นั่นแหละ

กดดันที่ 2..... อ.วิชัย เคยเล่าให้ฟังว่า นศ.ฝึกงานบางรุ่นไม่มี POWER POINT ในการ PRESENT หรือ
บางรุ่นอาจจะมี แต่รูปร่างหน้าตาใน POWER POINT ไม่ค่อยสวย เลยแนะนำให้ไปขอยืม นศ.ฝึกงานอยู่
รุ่นหนึ่ง ซึ่งเขามี POWER POINT แล้วก็มีรายละเอียดดีมาก มาใช้ประกอบการ PRESENT ประเด็นก็คือ
POWER POINT ของ นศ.ฝึกงานที่ อ.วิชัยแนะนำนั้น จะดีแค่ไหน ลุงคิมไม่รู้เพราะไม่เห็น แต่ที่แน่ๆ ลุง
คิมรู้ว่า ลุงคิมได้สอนเรื่องอะไรไปบ้าง เรื่องที่สอนนั่นแหละ คือ รายละเอียดใน POWER POINT นั้น ใน
เมื่อ นศ.ฝึกงานรุ่นนี้ เป็นรุ่นมีหัวข้อการสอน ชิ้นงานในการฝึกมากที่สุด เพราะมีเวลามาก นั่นก็คือ POWER
POINT ของ นศ.ฝึกงานรุ่นนี้น่าจะ เน้นย้ำ....น่าจะ ดีกว่าหรือเหนือกว่าของรุ่นที่ อ.วิชัย แนะนำ ที่สำคัญ
ก็คือ POWER POINT ของรุ่นนี้ ลุงคิมได้เห็นกับตา แล้วก็ยอมรับว่า ดีมาก สวยมาก รายละเอียดเยอะ
มาก.....ที่ว่าเป็นแรงกดดัน ก็คือ นศ.ฝึกงานรุ่นหน้า เน้นย้ำ...ถ้ามี POWER POINT ของเขาจะต้อง
เหนือกว่าของรุ่นนี้ แล้วลุงคิมจะทำยังไง

- งาน PRESENT นี้สำคัญมาก คิดดู พวกเธอฝึกงาน ทั้งเหนื่อย-ทั้งร้อน-โดนดุ-ถูกด่า แทบเป็นแทบตาย แต่ถึงคราว
PRESENT แล้ว PRESENT ไม่ดี ผู้ที่ฟังหรือดูเธอ PRESENT เขาไม่ได้มาฝึกงานกับเธอด้วย เขาไม่รู้หรอกว่าพวกเธอ
ฝึกงานอะไรกันบ้าง ลงท้ายเขาก็จะคิดว่า พวกเธอไม่ได้ฝึกงานอะไรกันเลย ประมาณนี้ เพราะฉนั้น พวกเธอต้อง
วางแผนแล้วก็ดำเนินการ PRESENT ให้ดีที่สุด มีรายละเอียดให้มากที่สุด

- อย่าลืมนะ "วิชาการ + ประสบการณ์ + จินตนาการ + แรงบันดาลใจ + แรงจูงใจ = ความสำเร็จ" เรื่อง
เกษตร COPY ไม่ได้ แต่ APPLY ได้ ...... เริ่มก่อนสำเร็จก่อน.... และ ความล้มเหลว คือ ความสำเร็จ

- ท้ายนี้ขอบอกว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นที่พวกเธอได้ไปจากไร่กล้อมแกล้มนี้ เป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ เสี้ยวหนึ่งของ
บทเรียนด้านการเกษตรเท่านั้น ในความเป็นจริงนั้น บทเรียนด้านการเกษตรมีนับร้อยนับพันบท ที่พวกเธอต้อง
เรียนให้จบให้ได้ และทั้งหมดทั้งสิ้นที่พวกเธอได้ไปจากไร่กล้อมแกล้มนี้ เป็นเพียง 1 เดียวของประสบการณ์
ตรงเท่านั้น นั่นหมายความว่า พวกเธอควรต้องไปฝึกงานเพื่อเรียนรู้ถึงประสบการณ์ตรงจากสวนอื่น หรือแหล่ง
เรียนรู้อื่นๆ อีกหลายๆแหล่ง จากนั้นจึงเลือกเฉพะข้อดีที่เหมาะสมกับตัวเองมาเป็นสูตรของตัวเอง.....กลับไปแล้ว
บอก สจล.ทุกคนนะว่า ไร่กล้อมแกล้มยินดีต้อนรับ มาฝึกงานที่นี่ น้ำหนักไม่ขึ้น ตัดคะแนน.......O.K. นะลูก






4. อาหารมื้อใหญ่ ที่สะพานแม่น้ำแคว งานนี้คุณลุงคิมจ่าย เพราะคุณลุงคิมบอกว่า
งานนี้ ถ้าพวกเรา present งานแล้วอาจารย์วิชัยพอใจให้ผ่าน คุณลุงจะจ่าย แต่
ถ้าไม่ผ่านพวกเราจ่ายเองเป็นกฏ ที่ทำให้พวกเราต้องเตรียมงานกัน 3-4 วันเพื่อให้
ผลงานออกมาดีที่สุด

เสริม :
ค่าอาหารพร้อมเครื่องดื่มมื้อนั้นไม่แพงเลย เบ็ดเสร็จแค่ 3,200 เอง เฉลี่ยหัวละไม่
ถึง 200 ด้วยซ้ำ.....งานนี้เอาจริงเข้า ลุงคิมไม่ได้จ่ายหรอก บรรดาลุงๆ ป้าๆ เค้า
เฉลี่ยกันจ่าย บอกว่าลุงคิมจ่ายมามากแล้ว คราวนี้ขอจ่ายบ้าง.....สรุป งบนั้นยังอยู่
เพราะยังไม่ได้ใช้ หาโอกาสมาใช้งบนี้อีกนะลูก....................(ลุงคิม)





5. งานนี้ เรา present ผ่านคุณลุงเลยเลี้ยง เป็นการส่งท้ายที่เราฝึกงานที่ไร่กล้อมแกล้มเสร็จแล้ว แต่
พวกเราจะไม่ลืมคุณลุงคิม ถ้ามีเวลาว่างจากการเรียนเราจะกลับไปที่ไร่กล้อมแกล้มอีก

เสริม :
จะมาที่ไร่กล้อมแกล้มอีกเมื่อไหร่ บอกล่วงหน้าด้วยนะ จะได้ไม่อยู่ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ....
จะไปคอยที่หาดเจ้าสำราญ ชะอำ (โว้ย) ........................... (ลุงคิม)





6.คุณลุง-คุณป้า ชมรมสีสันชีวิตไทย ได้แก่ คุณลุงเดชา (ลูกสาวเรียนคณะประมง สจล), คุณลุงนันท์สุรัตน์
ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี, คุณลุงวินัย-คุณป้าแก่น สามพราน นครปฐม (ลูกสาวเรียน ม.ธรรมศาสตร์), คุณลุง
ชาตรี-คุณป้าสาว สวนผึ้ง ราชบุรี (ลูกชายเรียน ม.เกษตร ลูกสาวเรียน ม.ศิลปากร), ร่วมรับประทานอาหารกัน
ตอนกลับ "คุณป้าพนิดา" อาสาขับรถมาส่งพวกเราถึงลาดกระบังเลย.............ดีใจจัง ขอบคุณค่ะ/ครับ
kimzagass
ตอบตอบ: 21/05/2011 3:03 pm    ชื่อกระทู้:

แม่น้ำฮัน ใจกลางกรุงโซล เกาหลี....




















http://www.google.co.th







เพียงเสี้ยวตัวอย่างแม่น้ำฮัน ช่วงที่ผ่านใจกลางกรุงโซล....

- กรุงโซล มีประชากร (10 ล้าน) มากกว่า กรุงเทพฯ (6 ล้าน)
- ในแม่น้ำไม่มีเรือนแพ (คนในเรือนแพในแม่น้ำ ขับถ่าย ทิ้งของเสียที่ไหน...)
- ข้อเสียอื่นๆ ฯลฯ อีกเท่าไหร่.....


ราวปี 1967 ลุงคิมอยู่ที่เกาหลี (ไปรบ....ภารกิจ : เมียเช่า-เข้าบาร์-ค้าตลาดมืด) บ้านเมืองเกาหลีสมัยนั้น
เหมือนบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะเพิ่งหมดสงครามใหม่ๆ ผู้คนอดหยาก ไม่มีอะไรจะกิน แผ่นดินก็เพาะปลูกไม่ได้เพราะเป็น
เมืองหนาว ใน 1 ปี ปลูกพืชได้แค่ 4 เดือน อีก 8 เดือนหิมะลง

หลังหมดฤดูหิมะตก ทหารไทยกับทหารเกาหลีไปฝึกกระโดดร่ม (กวงซู่) ร่วมกัน โดยการกระโดดลงในแม่น้ำ ซึ่งตัวแม่น้ำจริงๆ
กว้างจากตลิ่งถึงตลิ่งเท่าแม่น้ำเจ้าพระยา แต่มีน้ำแค่กลางร่องน้ำเล็กๆ กว้างซัก 5-10 ม.เท่านั้น ที่เหลือเป็นพื้นทรายล้วนๆ ความ
กว้างความยาวขนาดใช้เป็นสนามฝึกกระโดดร่มจากเครื่องบินได้ แล้วเรียกว่า "แม่น้ำ" ได้ยังไง ...... นั่นคือ สภาพที่แท้จริง
ของแม่น้ำฮันเมื่อ ค.ศ.นั้น

ค.ศ.ไหนล่ะ (จำไม่ได้) ที่เกาหลีเป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่นจัดแข่งขันฟุตบอลโลก ในพิธีเปิด เกาหลีใช้เรือสำเภาขนาดใหญ่ แล่นเป็น
กองเรือมหึมาหลายสิบลำ ราวกับกองทัพเรือ แห่ถ้วยรางวัลล่องมาตามลำน้ำฮัน

แม่น้ำฮัน....แม่น้ำฮัน....แม่น้ำฮัน เกาหลีเอาน้ำมาจากไหน เกาหลีทำน้ำเต็มสองฝั่งได้ยังไง...

ภายหลังรู้มาว่า เกาหลีปิดปากน้ำแม่น้ำฮัน ไม่ให้น้ำทั้งสายไหลลงทะเล กักน้ำไว้เป็นปี กระทั่งน้ำเต็มปริ่มสองตลิ่งได้นั่นเอง....ได้น้ำ
มาแล้ว ได้ภูมิทัศน์อีกมากมาย ทั้งเป็นแหล่งอยู่อาศัยของประชาชน เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นที่เชิดหน้าชูตาต่อชาวโลก

เมื่อน้ำในแม่น้ำฮันถูกปิดไม่ให้ไหลลงทะเล แล้วเกาหลีเอาน้ำดีที่ไหนไล่น้ำเสียจากชุมชนเมือง คำตอบก็คือ เมื่อครั้งที่ในแม่น้ำยัง
ไม่มีน้ำนั้น ชุมชนเมืองก็ไม่ได้ทิ้งน้ำเสียลงแม่น้ำ เพราะเขามีระบบกำจัดน้ำเสียประจำชุมชนนั่นเอง ถึงวันนี้ แม้ในแม่น้ำมีน้ำเต็ม
แล้วก็ไม่มีการปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำอยู่ดี

ค.ศ.นั้น เกาหลีล้าหลังไทยอยู่ 50 ปี ถึง ค.ศ.นี้ ไทยกลับล้าหลังเกาหลี 50 ปี...จากเกาหลี ให้แลต่อที่สิงค์โปร์, ไต้หวัน ล้วนแต่
เคยตามหลังไทยทั้งนั้น แต่วันนี้นำหน้าไทยไปถึงไหนแล้ว...........................เพราะอะไร ? (ถาม)





บริษัทในเกาหลี ตอบสนองสังคม ด้วยวิธีแบบใหม่

รายงานโดยกลุ่มข่าวกรุงโซล (ต้นฉบับเป็นภาษาเกาหลี)

จนถึงปี 2533 ประเทศเกาหลียังรับความช่วยเหลือจากองค์กรช่วยเหลือนานาชาติ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนจากสงครามเกาหลี
แต่ว่า จากความเจริญและฐานะดีขึ้นของประเทศ จากการเรียงลำดับฐานเศรษฐกิจของโลกได้ที่ 11 ผู้คนมากมายต่างมีคำเสนอว่า
เวลานี้เป็นเวลาที่ทางประเทศเกาหลีควรสนองตอบต่อสังคมนานาชาติแล้ว ดังนั้น มีบริษัทมากมายเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือสังคม
ช่วยเหลือคนยากจน การช่วยเหลือคลอบคลุมไปทั่วเกาหลี ภายในแล้ว ยังขยายออกไปทั่วทุกมุมโลกด้วย :

http://magazine.godsdirectcontact.net/thai/177/ow_90.htm






พวกเธอใช่ไหม ที่จะต้องเป็น "ผู้บริหารน้ำดี" รุ่นใหม่ ไล่ "ผู้บริหารน้ำเน่า"
ยุคปัจจุบัน จะเป็นได้ไหมลูกกกกก.....
iieszz
ตอบตอบ: 17/05/2011 11:05 pm    ชื่อกระทู้: 17-05-54


1. เห็นภูมิทัศน์ภาพนี้แล้ว อยากมีบ้านซักหลัง แล้วทำทางเข้าบ้านสไตล์นี้ คงดีนะ

เคยวาดฝัน (เน้นย้ำ....ฝัน) ไว้ว่า ที่ไร่กล้อมแกล้มปลูกกระท่อมขนาด 2 คนนอน
ซัก 5 หลัง แทรกในดงไม้บนเนิน หรือไม่ก็ปลูกแทรกในดง ระหว่างแถวไม้ผล หรือ
ไม่ก็ทำเรือนแพ ขนาด 10 คนนอน ขึ้นมาอีกหลัง ต่อจากแพศาลาในน้ำ แล้วมี
สะพานแขวนถึงกัน .................................. (ลุงคิม ถาม ดีไหมลูก)





2. สังเกตุ 1 คนหายไปไหน ไปเป็นตากล้องยังไงล่ะ แล้วคนนั้นเป็นใคร ทำไมไม่
ใช่อั้ย 2 สาวด้วยล่ะ .............. (ลุงคิม ไม่ได้จับผิด แต่เป็นความผิดซึ่งหน้า)




3. เพิ่งนึกขึ้นมาได้ เฮ่ออออ.... บ่อยครั้งที่ส่งกล้องให้สองลูกสาว มันยิ้มร่า รับกล้องไปแล้วส่งให้คนอื่นต่อ ....
อ้ออออ คนที่รับกล้องต่อ จะได้เป็นตากล้องถ่ายรูปมันยังไงล่ะ......(ลุงคิม หัวดีแต่ขี้ลืม)




4. THE RIVER BRIGDE อันนี้ไม่ใช่ของจริงนะ เป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่ แทน
อันเก่าที่ถูกอเมริกาทิ้งบอมบ์.....ของจริงอยู่ห่างไปทางท้ายน้ำราว 200-300 ม.
วันนี้เห็นแต่ตอหม้อ ปริ่มน้ำอยู่เท่านั้น

ต้องขอบคุณสงครามไหม แค่สะพานข้ามแม่น้ำธรรมดาๆ สะพานหนึ่งเท่านั้น ทำให้มี
คนทั้งโลกมาดู ปีละกว่า 5,000,000 คน ถ้าคนที่มาจ่ายเงินคนละ 10 บาท ก็เท่า
กับ 50 ล้านบาทแล้ว งั้นมีสงครามอีกดีมั้ย ?....(ลุงคิม กำลังทำสงครามกับลาดกระบัง)




5. แม่น้ำแคว - แม่น้ำนครชัยศรี - แม่น้ำแม่กลอง - แม่น้ำบางปะกง คือชื่อของแม่น้ำสายนี้ ผ่านไหนชื่อนั้น
เพราะฉนั้น อย่าเถียงกันว่า แม่น้ำสายนี้ชื่ออะไร

ช่วงที่เป็นแม่น้ำแคว มีปลายี่สกขนาดใหญ่ม่าก นน.ถึง 120 กก. แต่เดี๋ยวนี้แค่ตัวละ 10 กก.ก็หากินไม่ได้แล้ว

ช่วงที่เป็นแม่น้ำบางปะกง มีปลากะเบนน้ำจืดขนาด 120 กก. เมื่อเร็วๆนี้รายการสารคดีดิสคัพเวอรี่ จับได้ บอกว่า
ใหญ่ที่สุดในโลก บันทึกแล้วปล่อยไป ..... ถ้าเป็นพี่ไทยรึ ฮึ่ม กะเบนใหญ่ที่สุดในโลก ลงหม้อใหญ่ที่สุดในโลก
ไปแล้ว ว่ามั้ย

แม่น้ำทุกสาย (เหนือ จรด ใต้ - ตะวันออก จรด ตะวันตก) ของประเทศไทยเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ น้ำในแม่น้ำ
ใช้เพื่อบริโภค อุปโภค เพียง 10% ที่เหลือ 90% ใช้เป็นน้ำดีไล่น้ำเสียในเขตเมือง กับไหลลงทะเล ต่าง
จากแม่น้ำฮัน (ผ่านกลางกรุงโซล) ใช้เป็นน้ำดีไล่น้ำเสียเพียง 10% ที่เหลือ 90% เขาเอามาใช้ประโยชน์ ทำให้
สงสัย สังสัย นักวิชาการ นักบริหาร เมืองไทยเยอะแยะ แทบเดินชนกันตาย ไม่เคยเห็น ไม่เคยคิดเลยรึไง แม้แต่
คนไปเรียนที่เกาหลี หรือเรียนที่ประเทศอื่น เขาไปเรียนอะไรกันน่ะ.................. (ลุงคิม เห็นกับตา)




6. เทพีกล้อมแกล้ม ....มิชิโกะ แบมบิ (ซ้าย) กับ โนริตะ แอมมิ (ขวา) วันนี้ยังหา
หนุ่มดวงตกมาเป็นแฟนไม่ได้เลย.................(ลุงคิม โจ๊ะโจ๊ะซัง คิมิ)




7. แอบได้ยินมันพูดกันว่า "จะเกาะกลุ่มกันตั้งแต่ยังเรียนอยู่ กระทั่งจบไปแล้ว.." เพราะลุงสอนว่า "รวยด้วยกัน
จะรวยทั้งคู่ ถ้ากะรวยกว่าเพื่อ จะจนกว่าเพิ่อน - สังคมโลกทุกวันนี้เป็น UNITY"..... (ลุงคิม 100 ปีก็จะคอยดู)




8. นี่ก็พยัคฆ์ร้ายไทยถีบ เพราะ 2 เดือนที่ไร่กล้อมแกล้ม เห็นมัน "ถีบ" กันอยู่
ประจำ ลูกชายถีบลูกสาว ลูกสาวถีบลูกชาย ......... (ลุงคิม พยัคฆ์ร้ายไทยดุ)




9. อนุสาวรีย์ปริศนา.... ทิ้งไว้ให้อั้ยลูกทั้ง 6 คน เข้ามาบรรยายว่าเป็นอนุสาวรีย์ ของใคร เกี่ยวข้องกับสะพานนี้
อย่างไร ............................................... (ลุงคิม ไม่ส่งคำตอบ ตัดคะแนน !)



ตอบลุงคิมค่ะ

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นของเอกชน ที่มีจิตศรัทธาสร้างขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยว และอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรื่องราวในอดีตผ่าน
วัตถุโบราณต่าง ๆ เหล่านี้ โดยจะเก็บค่าเข้าชมในราคา 20 บาท สำหรับชาวไทย 40 บาท สำหรับชาวต่างชาติ (ถ้า
ใครหน้าตาต่างด้าวหน่อยก็อย่าลืมแสดงบัตรด้วยนะคะ) ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนแรก.....จะเป็นส่วนของประวัติศาสตร์ไทย มีการจัดแสดงศาสตราวุธซึ่งอดีตเคยเป็นอาวุธคู่กายของวีรชนคนกล้า ใช้ปกป้อง
บ้านเมืองจากอริราชศัตรู ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเป็นต้นมา ที่สำคัญเห็นจะเป็นสงครามทัพของสมเด็จพระนเรศวร
มหาราชกับพระมหาอุปราช (อาวุธที่จัดแสดงไม่แน่ใจว่าเป็นของจริงหรือไม่ แต่เท่าที่รู้การเก็บรักษายังไม่ดีพอ) นอกจากนี้
แล้วก็ยังมีประวัติของพระมหากษัตริย์ไทย ราชวงศ์จักรีทั้ง 9 พระองค์ (มีการวาดรูปรัชกาลที่ 10 ไว้รอแล้ว แต่ยังไม่
มีประวัติ) รวมไปถึงประวัติของนายกไทยทั้งหมดที่เคยมีมา (คนสุดท้ายในรูปคืออดีตนายกทักษิณ)

ส่วนที่สอง.....จะเป็นเรื่องราวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ศึกระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐาน
ทัพสร้างสะพานที่ จ.กาญจนบุรี โดยใช้แรงงานเชลย อันได้แก่ ชาวออสเตรเลีย แคนาดา เป็นต้น (คนเขียน
ลืมค่ะ) โดยมีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่เคยใช้จริงในสมัยนั้น ได้แก่ รถม้า อุปกรณ์ของทันตแพทย์ เสื้อเกราะกันกระสุน
เสื้อผ้าเครื่องใช้สอยอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งของบางชิ้นก็ได้รับการบริจาคมาจากผู้ใจบุญที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมา เพื่อให้อนุชน
ได้ศึกษา

นอกจากจะมีของเก่าจัดแสดงแล้ว ยังมีการสร้างรูปปั้นจำลองเหตุการณ์ตอนทหารอเมริกันทิ้งระเบิดลงค่ายญี่ปุ่น บริเวณ
สร้างสะพาน ทำให้มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก (สะพานข้ามแม่น้ำแควที่เห็นปัจจุบันไม่ใช่ของเดิมจากในภาพ แต่สร้างขึ้น
ใหม่ภายหลัง อันเก่าห่างออกไปทางท้ายน้ำประมาณ 300 เมตร)

นอกจากจะมีวัตถุโบราณสมัยสงครามจัดแสดงแล้ว ก็ยังมีพระธาตุแควใหญ่ให้กราบไหว้ มีระฆังใหญ่ให้ตีบูชาพระธาตุ อาคาร
ใกล้ ๆ กันนั้นยังมีเซียมซีให้เสี่ยงทาย อ๋อมแอ๋มกับบ๋อมแบ๋ม ก็เลยลองเสี่ยงดู ของบ๋อมแบ๋มไม่ค่อยดีให้บริจาคบูชาพระพรหม
20 บาท ของอ๋อมแอ๋มดีทุกอย่างให้บริจาคบูชาพระพรหม 200 บาท อ๋อมแอ๋มเห็นแล้วตกใจเลยบริจาคไป 20 บาท
เท่านั้น การบริจาคก็ไม่ยุ่งยาก มีพระพุทธรูปพระพรหมท่านให้บูชาข้าง ๆ ที่เสี่ยงเซียมซีนั่นแหละค่ะ เป็นการอำนวยความ
สะดวกอย่างดีที่สุด

ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวแถวสะพานแม่น้ำแคว อย่าลืมแวะไปดูพิพิธภัณฑ์สงครามนะคะ มีอะไร ๆ ให้ดูอีกเยอะ แต่ถ้าจะเสี่ยง
เซียมซีก็อย่าลืมเตรียมเงินไว้บริจาคด้วยนะคะ (ด้วยความปรารถนาดี)


เก่งนี่ เก็บรายละเอียดได้ดี นี่ขนาดแค่จำนะ ไม่ได้จดบันทึก ยังบรรยายเรื่องได้จนมองเห็นภาพเลย สุดยอดลูกสาวลุงคิม
ขาดไปอย่าง ทำไมไม่ใส่ชื่อคนบันทึก แบบนี้ไม่ใช่ลูกลุงคิม แล้วลูกใคร (หว่า)..........(ลุงคิม)






10. ตู้นี้เก็บรวบรวมศาสตราวุธของเหล่าวีรชนคนกล้าสมัยสงครามต่าง ๆ ของสยามประเทศเอาไว้ ตังแต่สมัยอยุธยา
มาจนถึงธนบุรี


สงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไปนานแล้ว พ.ศ.นั้นญี่ปุ่นสร้างอาวุธ เรือดำน้ำ เครื่องบินได้แล้ว แต่ไทยยัง
ขี่เกวียนอยู่เลย แล้วก็ไม่สนใจที่จะสร้างคนให้สร้างสิ่งเหล่านี้บ้างเลย

สงครามแม่น้ำแคว มีคนไทยกลุ่มหนึ่ง ตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อว่า "พยัคฆ์ร้ายไทยถีบ" คนไทยกลุ่มนี้มักแอบเกาะรถไฟ
ญึ่ปุ่นที่วิ่งช้าๆ ผ่านภูเขาแล้วใช้เท้าถีบลังสัมภาระบนขบวนรถลง สร้างความสูญเสียแก่กองทัพญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
มิใยว่า ทหารญี่ปุ่นจะจัดกำลังทหารถือปืนคุมมากับขบวนรถสินค้า ทหารที่คุมมาก็ไม่พ้นฝีมือพยัคฆ์ร้ายด้วยอาวุธ
แบบไทยๆของไทยถีบได้ ถูกสังหารไม่ใช่น้อย

เชยศึกซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารอังกฤษ ออสเตรเลีย เชลยศึกพวกนี้อดอยากมากๆ ก็ได้พยัคฆ์ร้ายไทยถีบนี่แหละ
คอยลักลอบให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะเรื่องอาหาร กระทั่งสงครามโลกสงบ ทหารออสเตรเลีย อังกฤษ ต่างก็
ซาบซึ้งในบุญคุญ กลายเป็นพลังในการเจรจา ทำให้ประเทศไทยรอดจากการเป็นผู้แพ้สงครามไปได้...(ลุงคิม)




11. + 12. สพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่มาตรฐานโลกที่มีรถไฟข้ามจำนวนครั้ง/วัน มากที่สุดในโลก สถิตินี้
กินเนสส์บุ๊คไม่กล้าบันทึก....แค่ชั่วโมงเดียวมีรถไฟข้ามกว่า 20 เที่ยวแน่ะ.........(ลุงคิม กล้าบันทึก)

12.




13.+ 14. รถไฟโดยสารสาย กรุงเทพฯ - น้ำตก ต้นทางที่ชุมทางบางกอกน้อย ปลายทางที่น้ำตกไทรโยค
วิ่งวันละ 1 เที่ยว (ไป) กับ 1 เที่ยว (กลับ) แม้จะขาดทุน แต่ รฟท.ก็ยังให้วิ่งเพื่องานอนุรักษ์......(ลุงคิม)

14.
kimzagass
ตอบตอบ: 17/05/2011 8:33 pm    ชื่อกระทู้: มุมมองนักศึกษาต่อภาคเกษตรกรรมไทย

มุมมองนักศึกษาต่อภาคเกษตรกรรมไทย


ประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศที่สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ของพืชมากที่สุดของโลก
เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งเรื่องดิน น้ำ แสงแดด สภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิ ฤดูกาล ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญ
มากของพืช ถ้าปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งขาดหายไป หรือได้รับไม่สมบูรณ์ จะทำให้พืชไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ผลผลิตที่ได้คุณภาพ
ก็ถือว่าอยู่ในเกรดต่ำ ทำให้ไม่สามารถจำหน่ายได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกประเทศกำลังประสบพบเจออยู่ ทำให้ประเทศ
เหล่านั้น มีการเข้ามาในประเทศไทย เข้ามาเพื่อลงทุนในภาคเกษตรกรรม การผลิตตัวยาทางการแพทย์ และตัวยาสมุนไพร

การเข้ามาของชาวต่างชาติแบบนี้ ก็นับว่าเป็นข้อดีอยู่บ้าง คือ ชาวต่างชาติจะนำเทคโนโลยีหรือวิทยาการใหม่ๆเข้ามาด้วย
ข้อนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญเพราะเทคโนโลยีจะช่วยประหยัดเรื่องต้นทุน ค่าแรงงาน ระยะเวลาในการทำงาน

แต่ก็นับเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงสำหรับประเทศเหมือนกัน เพราะชาวต่างชาติจะเข้ามาติดต่อซื้อที่ดินเพื่อปลูกพืช ผลผลิตที่ได้
ก็ส่งไปขายที่ประเทศของตน การกระทำที่ว่านี้กล่าวได้ว่าเป็นการขายชาติก็ว่าได้ เราควรจะเป็นผู้ผลิต ไม่ใช่เป็นผู้ซื้อ สิ่งที่ทำ
คือ คนเห็นแก่ตัว เราต้องเห็นแก่ประเทศชาติ เราควรจะรักและหวงแหน แผ่นดินถิ่นเกิด เราควรภาคภูมิใจที่บรรพบุรุษของ
เรารักษาเอกราชของชาติไว้ได้จนปัจจุบันนี้

ภาคเกษตรกรรมไทย เป็นระบบที่ไม่ได้มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น เป็นระบบที่ผมคิดว่าเป็นความ ล้มเหลวของภาคเกษตรกรรม
ที่ไม่มีหลักการในการทำงานที่แน่นอนและเด่นชัด เรียกได้ว่าเป็นระบบ ที่ไม่ได้มาตรฐานในการดำเนินงาน มันจึงก่อให้เกิด
ปัญหาตามมาไม่รู้จบอย่างทุกวันนี้ เช่น สหภาพยุโรป หรือ อียู ระงับการนำเข้าพืชผัก เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ และอื่นๆทั้งหมดรวม
ประมาณ 15 ชนิด เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือนขึ้นไป รวมมูลค่าความเสียหายในครั้งนี้ มากกว่า 300 ล้านบาท ความเสียหาย
ยังไม่จบอยู่แค่นี้ เพราะผักที่ส่งไปจะส่งไปตามร้านอาหารไทยที่อยู่ในต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศ
ขาดวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารไทย เกิดความเดือดร้อนมาก ทำให้สหภาพยุโรปต้องนำเข้าวัตถุดิบ จากประเทศอื่นที่ เป็นคู่แข่ง
ของไทย คือ เวียดนาม ประเทศไทยจึงสูญเสียตลาดที่ใหญ่และสำคัญไป เป็นเวลานานหลายเดือน หรือกล่าวได้ว่าไทยสูญ
เสียตลาดที่สำคัญไปแล้ว สาเหตุเนื่องจาก สหภาพยุโรป ตรวจพบสารเคมีที่เป็นอันตรายเกินค่ามาตรฐานมากกว่า 10 เท่า
เป็นอันตรายต่อคนอย่างมาก

สารเคมีที่ว่านี้ ตัวอย่างเช่น สารฆ่าแมลงศัตรูพืช สารกำจัดวัชพืช เป็นต้น ที่เกษตรกรไทยใส่เข้าไปอย่างมาก จนสาร
เหล่านี้เข้าไปสะสมอยู่ในพืชมากเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ จนก่อให้เกิดภาพลักษณ์ ที่ไม่ดีต่อประเทศคู่ค้า ส่งผลต่อ
ความน่าเชื่อถือของประเทศ ที่ผมว่ามีการหยุดการนำเข้า 6 เดือนนั้น ทางสหภาพยุโรปจะทำการตรวจสอบพืชผักที่จะนำเข้า
และขั้นตอนการตรวจสอบ มีหลายขั้นตอน ที่สลับสับซ้อน ซึ่งเราก็ต้องยอมรับหลักการนั้น นี่แหละที่เขาว่า เรื่องง่ายก็ทำเป็น
เรื่องยุ่งยาก เฮ้อ…..!

ต้นตอของปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่สหภาพยุโรปที่ระงับการนำเข้า แต่อยู่ที่เกษตรกรไทยที่ไม่รู้จักการ ทำเกษตรอย่างถ่องแท้ ประณีต
และใส่สารเคมีอย่างตามพอใจ มีเท่าไหร่ใส่ไปอย่างไม่อั้น คงจะเป็นเพราะเกษตรกรไทยยึดติดกับหลักการเดิมๆที่เคยทำกันมา
บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น คือ เกษตรกรไทยไม่ยอมรับหลักวิชาการ ไม่ยอมรับแนวคิดใหม่ กลัวคนนั้น คนนี้เก่ง
กว่า ถือเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ชอบความสบาย แต่อยากรวย ถ้าทำแบบนี้ทั้งปีทั้งชาติก็ไม่รวย

เกษตรกรไทยทำแบบนี้ทำให้เกิดผลเสีย ตามมาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทั้งที่ประเทศไทยเคยทำเกษตรกรรมยุคแรกเริ่มเป็นระยะ
เวลาไม่น้อยกว่า 4000 ปีมาแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่า ประเทศไทยจะเป็นอย่างทุกวันนี้ ?

ปัญหาทุกปัญหาก็ต้องมีทางแก้ไข อยู่ที่ว่ามาตรการในการแก้ไข จะแก้ไขไปในทิศทางไหน ถูกกับปัญหาที่เกิดหรือไม่ ถ้ามีมาตร
การที่ดี แต่แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปัญหานี้ก็จะเป็นแผลเรื้อรังไม่มีวันหาย

หนทางแก้ปัญหาที่ว่านี้ ผมขอออกความคิดเห็นว่า ปัญหาอยู่ที่เกษตรกร เราต้องเริ่มต้นที่เกษตรกร คือ เราต้องรวบรวมเกษตรกร
สมมติว่าได้สัก 10 คน ที่จะปลูกพืชผักแล้วนำส่งออก นำเกษตรกรมาให้ความรู้การทำเกษตรแบบปลอดสารเคมี โดยต้องตั้ง
เกรดไว้เพื่อทำการส่งออก และให้เกษตรกรทำให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยเกษตรกรทั้ง 10 คน มาปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ตรงกัน
เปลี่ยนแนวคิด มุมมอง หรืออาจจะกล่าวว่า ล้างสมองก็ว่าได้ เพราะปัญหาที่ใหญ่ที่แก้ไม่ได้สักที คือการปรับเปลี่ยนแนวคิดของ
เกษตรกรไทย แผนที่จะทำต้องมีหลักการที่ชัดเจน มีการบริหารที่ ครบวงจรการผลิต คือ ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่ใช้
สมุนไพรแทน ไม่ใช้สารกำจัดวัชพืช แต่ใช้การถอนหรือใช้ฟางคุมโคนต้นแทน เป็นต้น


ภาคเกษตรกรรม เป็นรายได้หลักของประเทศไทย พืชบางชนิด อย่างเช่น ข้าว ถึงแม้ประเทศไทยจะผลิตข้าวเป็นอันดับ 6 ของ
โลก แต่ควรภูมิใจเถอะว่า ไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รายได้ที่ได้จากภาคเกษตรกรรม เป็นรายได้ที่เข้าประเทศ
มาอย่างยาวนานตั้งแต่โบราณ หากไม่มีการจัดการ หรือการวางแผนที่ดี ประเทศไทยก็จะล้มเหลวในการทำเกษตรกรรมไปตลอด
อยู่ที่เกษตรกรไทยแล้วละครับ ว่าจะช่วยพัฒนาการเกษตรของไทยให้เจริญทัดเทียมอาณาอารยประเทศ ที่เขาทำ ยิ่งทำยิ่ง
เจริญขึ้นไปทุกทีๆ



นายธีระวัฒน์ สุขรี สาขาพืชไร่
ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
kimzagass
ตอบตอบ: 16/05/2011 6:13 pm    ชื่อกระทู้:

ฮอร์โมนไข่เร่งดอก

ชมรม มสธ.ระยอง
สังคมแห่งการแบ่งปันเพื่อชาว มสธ.ระยอง


มีองค์ประกอบต่อไปนี้
1. ไข่ไก่สดทั้งเปลือก (ไข่เป็ดไข่นกกระทาหรือไข่หอยเชอรี่ก็ได้) 5 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล หรือน้ำตาลทรายแดง 5 กิโลกรัม
3. ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ก้อน
4. ยาคูลท์หรือนมเปรี้ยวก็ได้ 1 ขวด/กล่อง
(ถ้าใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ผลิตด้วยเปลือกสับปะรด 200 ซีซี. ก็ได้)

วิธีทำ
นำไข่ไก่ทั้งฟองปั่นให้ละเอียด ด้วยเครื่องปั่น ถ้าไม่มีเครื่องปั่นให้ตอกไข่ขาวไข่แดงออกจากเปลือกใส่ภาชนะแล้ว ใช้ไม้หรือ
เครื่องมือตีไข่ขาวไข่แดงให้เข้ากัน เปลือกไข่ใส่ครกตำให้ละเอียดตักใส่ลงไปในภาชนะไข่ขาวปนไข่แดงแล้วเพื่อต้องการธาตุ
Ca จากเปลือกไข่แล้วนำกากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดงมาผสม นำลูกแป้งข้าวหมากมาบี้โปรยลงไป แล้วใช้ยาคูลท์ หรือน้ำ
เปรี้ยวหรือหัวเชื้อจุลินทรีย์หรือกระเพาะหมูก็ได้ ซึ่งมีจุลินทรีย์ที่ชื่อว่าแลกโตบาซิลลัล (Lactobacillus sp.) ผสมใส่ลงไป
แล้วคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำไปบรรจุในภาชนะที่มีฝาปิด เช่น ถังพลาสติกให้มีช่วงว่างอากาศประมาณ 10% ของภาชนะ เพื่อ
ให้จุลินทรีย์ที่ต้องการออกซิเจนเจริญเติบได้ด้วย ประมาณ 7 วัน ทิ้งไว้ในที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีอย่าให้ถูกแสงแดดจึงนำไปใช้ได้


ข้อควรระวังในการใช้มี 2 ข้อสำคัญๆ คือ
1. อัตราการใช้ 2-3 ช้อนกาแฟ (5-10 ซีซี.)/น้ำ 20 ลิตร (1 บีบ) ฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ประมาณ 7-10 วัน/ครั้ง

2. เริ่มฉีดพ่นตั้งแต่ใบอ่อนออกมารุ่นที่ 3 เป็นใบ “เพสลาด” จนกระทั้งพืชออกดอก ประมาณ 50-80 % จึงหยุดพ่นด้วย
ฮอร์โมนไข่ทันที (ถ้าพ่นต่อไปดอกจะร่วงล่น เนื่องจากสูตรนี้มีความเข้มข้นและมีความเค็มสูง) หลังจากนั้นพ่นด้วยน้ำหมัก
ชีวภาพสูตรฮอร์โมนผลไม้ต่อ ประมาณ 7-10 วัน/ครั้ง

ราดฮอร์โมนไข่ โดยใช้ฮอร์โมนไข่ 200 ซีซี.ผสมน้ำ 20 ลิตร พ่นหรือราดให้ทั่วทรงพุ่ม ทุก ๆ 5-7 วัน

การฉีดพ่นด้วยฮอร์โมนไข่เป็นการเพิ่มคาร์โบไฮเดรต หรือธาตุคาร์บอน(C)ให้กับต้นไม้ทำให้ค่าของ ซีเอ็น เรโช (C/N Ratio)
กว้างหรือสูงขึ้นมีผลทำให้ไปกระตุ้นตาดอกสามารถเปิดตาดอกได้ ไม่เป็นการทรมานต้นไม้อีกด้วย แต่ต้องจำไว้เสมอว่า การ
ทำให้ต้นไม้ออกดอกหรือออกดอกนอกฤดูต้องเน้นการบำรุงต้นให้สมบูรณ์ที่สุดและพืชมีใบอ่อนรุ่นที่สามที่มีใบ “เพสลาด” จึงทำ
การฉีดพ่นฮอร์โมนไข่ จากนั้นไม่เกิน 30 วันพืชจะแตกดอกเต็มต้น (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)


stou-rayong.thai-forum.net/forum-f13/topic-t285.htm -
kimzagass
ตอบตอบ: 16/05/2011 6:06 pm    ชื่อกระทู้:

ซี/เอ็น เรโช....นอกกรอบ–นอกฤดู

นับจนถึงวันนี้เกือบจะเต็มเดือนแล้วครับ ที่ถูกเพรสซิ่งจากดีเปรสชั่นไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก จนโงหัวแทบไม่ขึ้น ลำไยของผมซดไนโตรเจน
จากฝนซะจนพุงกาง เลยทะลึ่งแตกใบออกมาเขียวไปทั้งสวน แปลงที่กะจะทำนอกฤดูต้องกลับมาเริ่มสะสมอาหารกันใหม่อีกรอบ

‘สภาพดินฟ้าอากาศ’ นับเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของเกษตรกร นอกเหนือไปจากความเสี่ยงทางการตลาดจากราคาผล
ผลิตที่ขึ้นลงไม่แน่นอน

พูดถึงการบังคับให้ไม้ผลออกนอกฤดู เกษตรกรส่วนใหญ่จะใช้วิธีทรมานต้นไม้ อาทิ การควั่นกิ่งเพื่อตัดท่อลำเลียงน้ำและอาหาร การรัดกิ่ง.
การรมควัน. การงดน้ำ. การสับราก. ไปจนถึงการใช้สารเคมีราด-รดเพื่อทำลายราก. หรือฉีดพ่นทำให้ใบร่วง. ต่างๆ เหล่านี้ทำให้ต้น
ไม้รู้สึกว่ากำลังจะตาย ต้องรีบออกดอกเตรียมสร้างผลเพื่อขยายพันธุ์

ลองมองในมุมกลับ ถ้าเราบำรุงให้ต้นไม้สมบูรณ์มากๆ ล่ะ ให้ต้นไม้รู้สึกอัดอั้น จนทนไม่ไหวต้องผลิดอกออกมา ไม้ผลบางชนิดถ้าบำรุงดินดี
ต้นสมบูรณ์ จะให้ผลตลอดปี เช่น ส้ม ทุเรียน จะมีผลเล็กๆ ผลโต ผลแก่ คละกันในต้นเดียว เก็บเกี่ยวได้ตลอดปี ไม่มีฤดูกาล

ผมกำลังลองทำลำไยนอกฤดูแบบธรรมชาติอยู่ครับ ใช้การบำรุงต้นให้สมบูรณ์แทนการราดสารโปแตสเซียมคลอเรต แต่เจอฝนชุดนี้ไป
ทำเอาจุกเลยทีเดียว ไม่ทันได้กระตุ้นตาดอกเจอฝนเข้าไปกลายเป็นใบหมด ไม่เป็นไรเดี๋ยวเอาใหม่ เสียแค่เวลาเท่านั้น โดยทั่วไป
ไม้ผลจะออกดอกได้จะต้องสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคแมลงรบกวน ได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอต่อเนื่อง มีอัตราส่วนระหว่างคาร์บอน
(หรือคาร์โบไฮเดรต) ต่อไนโตรเจนที่ห่างมากๆ ที่เรียกว่า ซี-เอ็น เรโช (C/N Ratio) และมีสภาพอากาศที่เหมาะสม


ลำไยเป็นไม้ผลที่ผลิดอกเมื่อช่อแก่ อาศัยหลักการนี้ ที่ผ่านมาผมเน้น สะสมธาตุอาหารในกลุ่มที่สร้างตาดอกมากกว่าตาใบ
ลดไนโตรเจนลงให้มากที่สุด เพื่อถ่าง ซี-เอ็น เรโชให้กว้างมากขึ้น แต่ปัญหา คือ ความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ โดยเฉพาะฝนและ
ความชื้นที่ทำให้ ปริมาณ N หรือไนโตรเจนเพิ่มขึ้น จนเท่ากันหรือมากกว่า C หรือคาร์บอน เมื่อ C/N Ratio แคบลง เปอร์เซ็นการออก
ดอกก็ลดลงด้วย


นอกจากความสมบูรณ์ของต้นจากการสะสมอาหารมาอย่างเต็มที่แล้ว ลำไยต้องกระทบหนาวครับ ถึงจะออกดอก นี่เป็นเหตุผลว่า
ทำไมการทำลำไยนอกฤดูจึงต้องราดสาร ในช่วงฤดูฝนอย่างนี้ ต้นไม้เกือบทุกชนิดจะเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ เป็นไปตาม
ธรรมชาติ ในลำไย การราดสารจะเป็นการทำลายราก (เหมือนโดนน้ำร้อนลวกหรือน้ำกรดสาด) ความสามารถในการดูดซึมอาหารและ
น้ำก็ลดลง ซึ่งจะส่งผลในการควบคุมการเจริญเติบโตของต้นลำไย จนติดดอกได้ในที่สุด ไม่จำเป็นต้องผ่านหนาว

ส่วนตัวแล้วเห็นว่า การทรมานต้นไม้อาจจะมีผลดีในวันนี้ แต่ในระยะยาวไม่น่าจะดีนัก เหมือนอาการดื้อยา ต้องเพิ่มปริมาณยา เปลี่ยน
ชนิดยาที่แรงขึ้น แม้อาการจะทุเลา แต่สุขภาพก็ทรุดโทรมลงเช่นกัน

ลองมาดูกันครับว่า การบังคับด้วยการบำรุงแทนการทรมาน ผลลัพภ์จะเป็นอย่างไร สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าลองแล้วไม่สำเร็จ
ไม่ติดดอก ไม่ออกผล ผมก็ยังจะได้ต้นลำไยที่ผ่านการบำรุงจนสมบูรณ์พร้อมสำหรับการออกดอกตามธรรมชาติในหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง
แม้จะเป็นลำไยในฤดู แต่ถ้าทำคุณภาพได้ ลูกใหญ่ ไซซ์จัมโบ้ เกรด AA ก็อยู่ได้สบายๆ เป็นอีกโจทย์นึงที่ต้องแก้ให้ตกต่อไป

ปัญหาของชาวสวนลำไยทุกวันนี้อยู่ที่ ‘การทำคุณภาพ’ ครับ เรื่องการทำนอกฤดู จะให้ออกช่วงไหน เวลาใด ออกมาก ออกน้อย ทำได้
กำหนดได้ ไม่เป็นปัญหา แต่ออกมาแล้วทำอย่างไรให้ได้ขนาดที่ต้องการ นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา ทำนอกฤดูแล้วยังขาดทุน ก็มาจากเหตุ
นี้เป็นสำคัญ

ที่ลองทำเพราะอยากรู้และอยากแสดงให้เห็นว่า เกษตรธรรมชาติจะสามารถบังคับให้ต้นไม้ออกดอกผลนอกฤดู รวมไปถึงช่วยทำคุณภาพ
ให้กับผลผลิต ได้หรือไม่ … อย่างไร

‘วิทยาศาสตร์’ แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถสร้างคุณภาพไปพร้อมๆ กับการลดต้นทุนการผลิตได้ แต่กับ ‘ธรรมชาติ’ จะตอบโจทย์นี้ได้
หรือไม่ ยังเป็นเรื่องให้ต้องค้นคว้า เสาะหา และพิสูจน์กันต่อไป



Baansuan in the mist เกือบเดือนเต็มๆ จะกดใบอ่อนก็ไม่ได้เพราะฝนโปรยตลอด เลยเขียวอย่างที่เห็น แตกกันให้เขียวพรึบ
ยิ่งกว่ารบพิเศษยึดกรุงซะอีก


ปล.๑
ผมไม่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์ครับในบางกรณี คนเราขึ้นทางด่วนเพื่อย่นระยะเวลา ลำไยของผมก็น่าจะเหมือนกัน ต้นไม้ต้องสังเคราะห์แสง
เพื่อปรุงอาหาร แต่ในภาวะที่มีแดดน้อยอย่างนี้ ผมต้องย่นเวลาในการสะสมอาหารด้วยการเพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้เร็วที่สุด ต้น
ไม้ก็เหมือนคนที่ต้องเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล จึงจะได้ประโยชน์จากสารอาหารได้เต็มที่ วิธีที่ง่ายและเร็วที่นิยมทำกัน คือ พ่นน้ำตาลให้
พืชโดยตรง ผมใช้ ‘กลูโคส’ ครับ เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือโมโนแซคคาไรด์ (Monosaccharides) พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที


ปล.๒
อยากจะเปรียบเทียบให้เห็นครับ เดิมผมเคยใช้ปุ๋ยเคมีทางดิน เสียค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย ๑๕ บาท/ต้น/ครั้ง ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ย
อินทรีย์ชีวภาพ ค่าใช้จ่ายลดลงเหลือ ๘ บาท/ต้น/ครั้ง

ในส่วนปุ๋ยทางใบ ฮอร์โมน และยาฆ่าแมลงต่างๆ ตามท้องตลาดโดยเฉลี่ยราคาจะตกอยู่ประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ บาท/ลิตร ที่สวนบาง
ตัวเราหมักใช้เอง บางตัวจ้างเค้าหมักให้ หลักๆ ที่ใช้อยู่ก็มี ปุ๋ยปลาหมัก ฮอร์โมนผลไม้สุก น้ำหมักสมุนไพร ทั้งหมดนี้ต้นทุนเฉลี่ย
๑๕-๒๐ บาท/ลิตร

สวนผมอยู่ได้เพราะต้นทุนที่ต่ำนี่ล่ะครับ

baansuan.wordpress.com/2007/05/23/นอกกรอบ-นอกฤดู/ -