-
MySite.com :: ทบทวนกระทู้ - เกษตรสัญจร 4-ผักไฮโซ VS ริมฟุตบาท ตอน มก.ใช้เคมี-มธ.ใช้อินทรีย์
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
ตอบตอบ: 22/06/2017 7:57 pm    ชื่อกระทู้:

....
DangSalaya
ตอบตอบ: 27/01/2017 11:18 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 4 ผักไฮโซ VS ผักริมฟุตบาท ตอน มก.ใช้เคมี แต่ มธ.

.
.

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน


เกษตรสัญจร 4 ผักไฮโซ VS ผักริมฟุตบาท ตอน มก.ใช้เคมี แต่ มธ. ใช้อินทรีย์


ตอนที่ 16 ม.เกษตร ใช้เคมี แต่ ม.ธรรมศาสตร์ใช้อินทรีย์






(1) ในขณะที่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ย่านบางเขน ปล่อยให้บางคณะของมหาวิทยาลัยร่วมมือกับพ่อค้าปุ๋ยเคมีจัดพิมพ์และแจกจ่ายหนังสือโจมตีเกษตรอินทรีย์ด้วยอคติและผลประโยชน์




(2)


(3)


(4)


(5)


(6)

(2 – 6) แต่ มหาวิทยาลัยเก่าแก่ย่านท่าพระจันทร์ กลับเปลี่ยน แปลงปลูกไม้ประดับเป็นแปลงผักเกษตรอินทรีย์เติบโตงอกงาม ตามภาพที่ปรากฎ





(7) ถ้ามีผักบุ้งจีน ติดป้ายว่าเป็นผัก Organic วางขายในตลาด คู่กับผักบุ้งจีนธรรมดาที่ใช้สารเคมี + ฉีดยาฆ่าแมลง คุณจะเลือกซื้อผักแบบไหน


ที่มา.-

1) อ่านการเปลี่ยนแปลงสวนกอเข็มเป็นสวนผักออร์แกนิคหน้าตึกโดมที่ลิงค์

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1288556194521649&set=pcb.1288560357854566&type=3&theater

2) ข้อเท็จ-จริง กรณีหนังสือ “ปลูกพืชอินทรีย์ไม่ดีอย่างที่คิด ปลูกพืชปลอดภัยจากสารพิษดีกว่าไหม” ที่เผยแพร่โดยภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน

http://www.greennet.or.th/blog/1788

3) ศ.ระพี สาคริก ขอให้ลบชื่อตัวเองออกจากมหาวิทยาลัย

http://www.posttoday.com/analysis/interview/353593

4) ศิษย์เก่าชี้ธุรกิจผูกขาด สารเคมีเข้าครอบงำมก. ศิษย์เก่าชี้ธุรกิจผูกขาด-สารเคมีเข้าครอบงำมก..... อ่านต่อได้ที่ :

http://www.posttoday.com/social/edu/351255

หมายเหตุ : เพิ่มเติมลิงค์ประกอบโพสต์ กรณีมหาวิทยาลัยปล่อยให้มีการจัดพิมพ์เอกสารโจมตีเกษตรอินทรีย์ด้วยอคติและผลประโยชน์

ข้อมูลจาก BIOTHAI






(8 ) 'ธรรมศาสตร์ทำนา' …..เพื่อเอาข้าวที่ปลูกได้ไปเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ ปีนี้ทำมาครบ 10 ปีแล้วครับ





(9) 18 กพ. วันนี้วันเกี่ยวข้าว มีนักศึกษามาร่วมกันมาก นักศึกษาต่างชาติก็เยอะ แต่ละคนไม่เคยมีใครเกี่ยวข้าวมาก่อนทั้งสิ้น บรรยากาศสนุกสนานมาก ขอบคุณทุกๆ คนมากครับ

กินข้าวครั้งต่อไป อย่าเห็นแค่ข้าวบนจาน แต่ต้องเห็นคนปลูกข้าวด้วยนะครับ





(10) วันนี้ 15 พฤษภาคม เป็น วั น เ กี่ ย ว ข้ า ว ของชาวธรรมศาสตร์ครับ ข้าวที่เราปักดำไว้เมื่อ 3 เดือนก่อนบัดนี้ออกรวงเหลืองอร่ามพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว
ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันเกี่ยวข้าว เพื่อนำข้าวมา เ ลี้ ย ง ต้ อ น รั บ นั ก ศึ ก ษ า ใ ห ม่ ในวันปฐมนิเทศ พบกันเวลาบ่ายสามโมงที่แปลงนาธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แล้วเจอกันครับ ...


.
orchid
ตอบตอบ: 07/12/2016 3:53 am    ชื่อกระทู้:

สวัสดีครับลุง พี่ทิดแดง คุณแคท


ป่านนี้ ผักมิเน่าหมดแล้วหรือ ถ้าไม่เน่าก็อาจจะแห้ง เพราะแล้งน้ำ


.
DangSalaya
ตอบตอบ: 17/09/2016 1:18 am    ชื่อกระทู้:

สวัสดีครับลุงคิม


ขออนุญาต โพสต์รูปที่ขาดหายไปครับ



.
DangSalaya
ตอบตอบ: 17/07/2015 8:16 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 4 ผักไฮโซ - ผักริมฟุตบาท

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน
เกษตรสัญจร 4 ผักไฮโซ VS ผักริมฟุตบาท

ตอนที่ 15 ผักแบกะดิน แต่อินทรีย์ 100 % ....คนไม่บ้าไม่กล้าทำ
กระทู้นี้ หยุดหายไปนาน 6 เดือนกว่า บอกแล้วว่า ผมไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่อง การปลูกผักไร้ดิน หรือผักไฮโดรโปนิคส์ แล้วระยะหลัง เพื่อนลูกสาวที่เค้าทำผักพวกนี้ส่งออกอยู่ ก็ไม่ค่อยจะส่งรูปสวย ๆ มาให้ด้วย ก็เลยไม่มีรูปจะลง ....

ก็ตามที่บอกไว้อีกนั่นแหละว่า เพื่อน ๆ ที่อยากลองปลูกผักไร้ดิน...ดูแล้วเกิด กิเลส ถ้าอยากจะทำบ้าง กรุณา.ศึกษาให้ดีซะก่อนนะครับ.....เพราะเจ้าของสวนผักไร้ดินแต่ละคน กว่าจะมาถึงจุดนี้ ผ่านวิกฤต อาการปางตายมาแทบจะทุกคนเพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คุณ ฝัน..ไร้ดินก็จริง แต่ มันไร้เทียมทานสุดๆ

ขอถามเพื่อน ๆ ว่า ผักไฮโดรที่ว่าปลอดสารพิษนั่นน่ะ กินแล้วไม่มีอันตราย จริงหรือ.

.ผักพวกนี้ พวกไฮโซ คนมีเงิน ชอบซื้อกิน เพราะคิดว่ามันปลอดภัย.จากสารเคมียาฆ่าแมลง แต่ในเมื่อ มันไม่ได้ปลูกด้วยดิน แต่ปลูกด้วยน้ำ ซึ่งมีแต่อาหารที่เป็นสารเคมี ที่เรียกว่า สาร A กับสาร B ซึ่งมันเป็นเคมีเกินกว่า 100% มันไม่มีจุลินทรีย์ย่อยสลายไอ้เจ้าสารเคมีพวกนี้เหมือนพืชที่ปลูกในดิน กินแล้วจะอันตรายกว่าผักที่ปลูกในดินซักแค่ไหน คิดดูเอาเองนะครับท่าน

ลองซื้อผักตามตลาด กับผักไฮโดร สมมุติว่า ผักสลัด ลองเอามาทำสลัดกินดู ลองดูครับว่า ผักอย่างไหน มันกินดี กินอร่อยกว่ากัน ไม่ลองก็ไม่รู้ ลองดูแล้วจะรู้.....

ราคาผักไฮโซ ต่อ 1 กก. ณ วันนี้ 17 กค.58
กรีนคอส – 60 บาท, เรดโอ๊ค, สลัดคอส, สลัดใบแดง – 150 บาท, อิจาเลี่ยน พาร์สเลย์ – 300 บาท

ผักทั้งหมดที่บอกราคาข้างต้น ปลูกแบกะดิน ขายตามตลาดแบกะดิน กก.ละ 25 – 80 บาท.....

วันนี้ ผมขอนำเสนอ ผักแบกะดิน แต่อินทรีย์ 100 % ตามไปดูกันเลยครับ ....

คุณทำได้ ยัยเฉิ่มทำได้ แต่ไม่ทำ เพราะคนไม่บ้าไม่กล้าทำ



(1) ชุดโชว์ผัก


(2) ชุดรดน้ำผัก


(3) ชุดโชว์ผลงานปลูกผัก


(4)

(5)

(6)

(7)

(8 )

(9)

(10)
(1 – 10) เจ๊น้อย...มีที่น้อย น้ำมีน้อย ....ปลูกผักอินทรีย์ล้วน ๆ ....ปลูกในกระถาง ใช้น้ำน้อย ๆ ครับ


(11) กล่ำหัว ปลูกในอ่างปูน(ถังส้วม)ขนาด 80 ซม. หัวเดียวเต็มอ่าง มีต้นหอมแซมนิดหน่อย


(12) ผักกาดขาวอินทรีย์ 2 ต้น แกงส้มได้ 1 หม้อ ....ผัดกินได้ทั้งหมู่บ้าน(ซอยนี้มีบ้าน 2 หลังอ่ะ)


(13)

(14)
(13 - 14) ผักผู้ดีแดก....ใครบอกผักแบบนี้ต้องปลูกในโรงเรือน ต้องกางมุ้ง ต้องอากาศเย็น แบบ ไฮโดรฯ ถึงจะได้กิน... ก็นี่เค้าปลูกลงดิน แต่เป็นอินทรีย์ล้วน ๆ กลางแดดเปรี้ยง มันไม่งามหรือกะไร เค้าทำมานาน แล้วก็ส่งออกมานานแล้วละ คู๊....ณณณณณ ไปอยู่หลังเขาลูกไหนมาล่ะจ๊ะ มีเท่าไหร่ไม่พอขายจี


(15) อยากเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ + ชีวภาพ ติดต่อไปที่เขตห้วยขวาง กทม. (ผมอ่านว่า กะทม) เข้ามรเปิดออยรมบ่อย ๆ ครับ ...มันมีกรมทหารแถวเกียกกายอีกแห่งนะ ผมจำไม่ได้ว่า กรมไหน ลุงคิมน่าจะทราบ...(ขออนุญาต ประชาสัมพันธ์งานของหน่วยราชการนะครับลุง)

ทำตอนแรก มีแต่คนโห่ ไม่มีใครให้ความร่วมมือ ไม่บ้าก็บ๊อง...หน้าด้านทนทำ... ทำไปทำมา ปลูกแล้วแจกๆๆๆๆ มันมีเหลือ ขายๆๆๆๆ ขายถูก ๆ ตอนนี้ ตั้งแต่ผู้อำนวยการถึงภารโรง ปลูกขายรวยกันเป็นตับ....คนบ้ากล้าทำทั้งนั้น

กระทู้นี้ เป็นเรื่องของผักไฮโซ ผักผู้ดีแดก....อยากตายเร็วก็กินกันไปเถอะ ผักไฮโดร....สารเคมีทั้งนั้น

อยากรู้เรื่องผักแบกะดิน ตามไปอ่านใน เกษตรสัญจร 9 ปลูกผักริมถนน ตามลิงค์นี้นะครับ



http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=3800


.
DangSalaya
ตอบตอบ: 24/11/2014 12:14 am    ชื่อกระทู้: เกษตร 4 ผักส่งออก ขึ้นห้าง ริมฟุตบาท ตอน ไม่แน่ใจอย่าเสี่ยง

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน


เกษตรสัญจร 4 ผักส่งออก ส่งขึ้นห้าง หรือขายริมฟุตบาท


ตอนที่ 14 ไม่แน่จริง อย่าเสี่ยง...ดูเล่นเพลิน ๆ ครับ

กระทู้นี้ หยุดหายไปนานเป็นปี......อีกประการหนึ่ง ผมไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่อง การปลูกผักไร้ดิน หรือผักไฮโดรโปนิคส์ แล้วก็ไม่ค่อยจะมีใครส่งรูปสวย ๆ มาให้ด้วย ก็เลยไม่มีรูปจะลง ....


เพื่อนที่อยากลองปลูกผักไร้ดิน...ดูแล้วเกิด กิเลส ถ้าอยากจะทำบ้าง กรุณา.ศึกษาให้ดีซะก่อนนะครับ.....เพราะเจ้าของสวนผักไร้ดินแต่ละคน กว่าจะมาถึงจุดนี้ ผ่านวิกฤต อาการปางตายมาแทบจะทุกคน....เพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คุณ ฝัน.....ไร้ดินก็จริง แต่ มันไร้เทียมทานสุด ๆ.....




(1)



(2)



(3)



(4)

(1 – 4) เป็นโซนผักสีเขียว..กรีนโอ๊ค...งามจริง ๆ




(5)



(6)



(7)

(5 – 7) เป็นโซนผักสีแดง...เรดโอ๊ค...ก็งามอีกนั่นแหละ

โปรดสังเกตว่า สมัยก่อน ๆ ปลูกในโรงเรือน มีซาแลนคลุม...แต่มารุ่นใหม่ ๆ บางส่วนมีซาแลนคลุม บางส่วนก็เปิดโล่ง ให้ผักอยู่กลางแจ้ง โดนแดดเต็ม ๆ .ผักแตกกิ่งก้าน งามระเบิด ระเบ้อ..เนื่องจากมีการปรับ สูตรปุ๋ยและปริมาณสารอาหาร ....สูตรใครก็สูตรใครละครับท่าน....





(8 ) เก็บมาเตรียม แพค เพื่อส่งขาย....จะส่งออก หรือส่งขึ้นห้าง หรือส่งตลาดสี่มุมเมือง หรือส่งขายตลาดนัด.....ก็ว่ากันไป....



.
DangSalaya
ตอบตอบ: 20/09/2013 10:59 pm    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร ภาค 4 ตอน การเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่นแบบง่าย ๆ

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4

ตอนที่ 13 การเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่นแบบง่าย ๆ


ผมได้รับข้อมูลนี้จาก คุณ พิชิต มงคลภัทรศักดิ์ เพื่อนของลูกสาว ที่เค้าทำผักปลอดสารพิษส่งออกอยู่

เค้าส่งมาให้ผมตั้งแต่ประมาณ ปลายเดือน ตุลาคม 2554 ซึ่งตอนนั้น น้ำกำลังท่วมบ้าน ก็เลยเก็บข้อมูลนี้เอาไว้จนลืมไปเลย พอดีระยะนี้ฝนตกแบบไม่หยุดไม่หย่อน คือ ตก ๆ หยุด ๆ แต่จะตกมากกว่าหยุด ไม่ได้เข้าสวน เลยมานั่งเปิดดูในคอมว่ามีอะไรตกค้างอยู่บ้าง จะได้ล้างทิ้งสิ่งที่เป็นขยะออกจากเครื่องเสียบ้าง ก็มาเจอข้อมูลอันนี้ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังคิดอยากจะเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่นเล่น หรือทำขายก็ได้




การเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่น – ยานางิ แบบ ง่าย ๆ

เห็ดโคนญี่ปุ่น Agrocybe cylindracea (Dc. Ex. Fr.) Maire

เห็ดโคนญี่ปุ่น เป็นเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่สามารถเพาะในถุงพลาสติกซึ่งมีวิธีการดูแลรักษาและ การเพาะเลี้ยงคล้ายกับเห็ดนางฟ้าภูฏาน เพียงแต่ความชื้นที่ใช้ในการกระตุ้นให้เกิดดอกจะมีสูงกว่า และจะต้องมีการพักตัวเพื่อสะสมอาหารของก้อนเห็ดก่อนจะนำไปเปิดดอกเหมือนเห็ด หอม

ในปัจจุบัน เห็ดโคนญี่ปุ่นกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในลักษณะของการจำหน่ายดอกเห็ดสด หรือเห็ดโคนญี่ปุ่นแปรรูปมีราคาที่ค่อนข้างสูงทีเดียวในบรรดาเห็ดที่สามารถ เพาะได้ในถุงพลาสติกเรียกได้ว่า ไม่ถูกไปกว่าราคาของเห็ดหอมเลยทีเดียว ซึ่งรสชาดของเห็ดโคนญี่ปุ่นจะเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัวคือจะมีหมวกดอกที่เหนียว นุ่มเหมือนเห็ดหอมแต่บริเวณขาของเห็ด โคนญี่ปุ่นจะกรอบอร่อย

เห็ดโคนญี่ปุ่นได้ผ่านการพัฒนาสายพันธุ์มายาวนานจนกระทั่งสายพันธุ์ที่ส่งเสริม หรือ แนะนำให้เพาะจึงง่ายต่อการดูแลรักษาแต่ให้ผลผลิตสูงเห็ดโคนญี่ปุ่นเป็นเห็ดที่ใช้ประกอบอาหารได้ดีโดยเฉพาะก้านดอกซึ่งมีเนื้อเยื่อยาวและแน่นเวลาเคี้ยวจะได้รสชาติดีทำอาหาร ได้ทั้งผัดและต้มแกง ให้คุณค่าทางอาหารสูงเช่นเดียวกับเห็ดชนิดอื่นๆปัจจุบันเริ่ม มีการเพาะเห็ดนี้กันมากขึ้น แต่ผลผลิตยังน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด


.... วิธีการเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่น ....

สูตรอาหารสำหรับเห็ดโคนญี่ปุ่น
1. ขี้เลื่อย 100 กิโลกรัม
2. รำอ่อน 100 กิโลกรัม
3. ปูนขาว 2 กิโลกรัม
4. ดีเกลือ 3 ขีด
5. พูไมท์ 2 กิโลกรัม
6. แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
7. น้ำ 60-70%

อีกสูตรหนึ่ง :
1. ขี้เลื่อย 100 กิโลกรัม
2. รำละเอียด 10 กิโลกรัม
3. ข้าวโพดป่น หรือแป้ง 1 กิโลกรัม
4. ส่าเหล้า 1 กิโลกรัม
5. หินฟอสเฟต 1 กิโลกรัม *
6. ปูนขาว 1 กิโลกรัม *

หมายเหตุ รายการ 5, 6 ใช้ยิบซั่มแทนจะได้มั๊ยครับ

ใครชอบสูตรไหนก็ลองทำทดลองดู


- วิธีคลุกส่วนผสมและการนึ่งฆ่าเชื้อ :
นำวัสดุส่วนผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ในขั้นสุดท้ายนำน้ำมาผสมลงไปให้พอเหมาะ อย่าให้แฉะเกินไป บรรจุลงถุงอัดให้แน่น ใส่คอขวดพลาสติครัดด้วยยางรัด แล้วนำไปนึ่ง ในอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง การจับเวลาในการนึ่งควรจับหลังจากที่มีไอน้ำพุ่งขึ้นมาเป็นเส้นตรง หลังจากนึ่งเสร็จแล้วปล่อยให้เย็น แล้วนาออกจากหม้อนึ่ง นาเข้าห้องเขี่ยเชื้อ


- วิธีการเขี่ยเชื้อเห็ดโคนญี่ปุ่นลงถุงพลาสติค :
วัสดุในการเขี่ยเชื้อ
1. ขวดหัวเชื้อเห็ด
2. ตะเกียงแอลกอฮอล์
3. สาลี
4. ไม้ขีดไฟ
5. กระดาษหนังสือพิมพ์ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาด 2.5×4 นิ้ว
6. ยางรัด


- ขั้นตอนการเขี่ยเชื้อเห็ดโคนญี่ปุ่น :
1. จุดตะเกียงแอลกอฮอล์
2. นำขวดเชื้อมาลนไฟที่ตะเกียง
3. เช็ดมือให้สะอาดด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ 70%
4. นำขวดเชื้อที่ลนไฟแล้วมาแคะหรือย่อยให้หัวเชื้อละเอียด
5. หลังจากเขี่ยเชื้อลงถุงเรียบร้อยแล้ว ปิดกระดาษ แล้วรัดด้วยยางรัดทันที
6. นำก้อนที่เขี่ยแล้วขึ้นตั้งเรียงไวเพื่อบ่มเชื้อในโรงเรือนบ่ม ใช้ระยะเวลาในการ
บ่มประมาณ 45-60 วัน สามารถนำไปเปิดเอาดอกในโรงเรือนได้
7. เชื้อ 1 ขวด ควรเขี่ยลงถุงได้ 32-35 ถุง


ลักษณะโรงเรือนเห็ดโคนญี่ปุ่น :
ลักษณะโรงเรือนเหมือนกับการเพาะเห็ดนางฟ้านางรมทั่วๆ ไปคือขนาด 4.5×10 เมตร ด้านข้างสูงประมาณ 1.4 เมตร บรรจุก้อนเชื้อได้ 6,000 ก่อน หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบจาก ด้านข้างกั้นด้วยซาแรน 60% โครงสร้างภายในทำเป็นแผง เอียงทำมุม 75 องศา การสร้างโรงเรือนควรสร้างในแนวทิศตะวันออก-ตก เพื่อการถ่ายเทอากาศได้ดี

การดูแลรักษา :
หลังจากบ่มเชื้อครบ 45-60 วัน แล้วนาก้อนเชื้อเข้าสู่โรงเปิดดอก โดยแกะกระดาษ เขี่ยข้าวฟ่างและสาลีออกให้หมด ทาความสะอาดพื้นโรงเรือน รดน้ำให้ชุ่ม วันละ 3 เวลา คือเช้า เที่ยง เย็น ควบคุมอุณหภูมิ 25 – 30 องศาเซลเซียสเห็ดจะออกดอกได้ดี

วิธีการเก็บดอกเห็ดโคนญี่ปุ่น :
ใช้มือกดปากถุงเห็ดไว้ อีกมือหนึ่งค่อยๆ ดึงดอกเห็ดออกจากถุงอย่าให้หน้าก้อนเห็ดแตก และอย่าพยายามให้มีเศษขาของดอกเห็ดปิดรูถุง เพราะจะทำให้เกิดเชื้อรา ปิดปากถุงเห็ดกันเห็ดรุ่นต่อไปไม่ให้ออกดอกมาได้


ขอบคุณข้อมูลจากคุณ พิชิต มงคลภัทรศักดิ์ พืชผักปลอดสารพิษ ส่งออก....








(1 - 3) โรงเรือนเพาะเห็ดโคนญี่ปุ่น



(4)



(5)



(6)



(7)



(8 )



(9)



(10)



(11)



(12)



(13)



(14)
(4 - 14) ระยะบ่มเชื้อ



(15)



(16)



(17)



(1Cool



(19)



(20)



(21)



(22)



(23)



(24)



(25)
(15 - 25) เป็นระยะที่เห็ดกำลังเจริญพันธุ์ -ออกดอกเต็มทุกถุง....




(26) ดอกเห็ดที่เก็บออกจากถุง


....
DangSalaya
ตอบตอบ: 19/09/2013 12:15 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร ภาค 4

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4

ตอนที่ 12 พืชผักเมืองหนาว ที่ปลูกได้ในเมืองไทย

กรุทู้นี้ ทิ้งค้างไว้นาน ...ไม่ลืมครับ แต่หาข้อมูลดี ๆ ไม่ได้

คราวที่ผมเดินทางสัญจรขึ้นดอย ครั้งหลังสุด (18 – 24 กค.56) ได้พบเจอพืชผักต่าง ๆ ที่เคยคิดว่าปลูกได้แต่เมืองหนาว แต่ที่ไปเห็นมา สามารถพัฒนาให้ปลูกได้ในเมืองไทย ขายแพงซะด้วย ใครไม่รู้คิดว่าส่งมาจากเมืองนอก ที่แท้ส่งมาจากนอกเมือง บนดอยในเมืองไทย นี่เอง....มิน่า คนชาวเขาชาวดอย อยู่บ้านแบบแบกะดิน แต่มีรถปิ๊คอัพป้ายแดงขี่กันเป็นว่าเล่น....




(1) หม่อนฝรั่งเศส




(2) หม่อนพื้นเมือง




(3) หม่อนอินทนนท์




(4) หม่อนม่วงกัลยา




(5) หส่อมหิมาลายัน




(6) ลูกพลัม หรือลูกพรุน




(7) ลูก แอบปริคอท




(8 ) ลูกโทงเทงฝรั่ง




(9) ลูก Crimson Seedless




(10) ลูกราสเบอร์รี่




(11) ลูกชมพู่น้ำดอกไม้




(12) ลูกน้อยโหน่ง กินคล้ายน้อยหน่า




(13) มะเขือเทศ สตรอเบอร์รี่ (แพงชิบโหงเลย)




(14) Straw Berry




(15) ผักโขมราชินี (ผักโขมแดง) ผัดแบบผักบุ้งไฟแดงนะ อร่อยอย่าบอกใครเลย




(16)หัวไชเท้าหลากหลายสายพันธุ์


(17)



(18 )

(17 – 18 ) หัวไชเท้าพื้นบ้าน




(19) ใบบัวบก เดี๋ยวนี้เค้าส่งออกแล้วนะจ๊ะ




(20) อาโวคาโด (ลูกละ 60 )




(21) วิธีเพาะเมล็ด อาโวคาโด




(22) เห็นที่แรก นึกว่าลูกเงาะเยอรมัน ....ที่แท้ ลูกเกาลัด แถวบ้านทิดบัติ บ้านไอ้เจ้าหนูหริ่ง ปลูกกันเป็นดง




(23) ลูก มะคาเดเมีย แถวเชียงรายปลูกเป็นพันไร่มั๊ง




(24) เห็ดหูหนูฝรั่ง มันต่างจากเห็ดหูหนูไทยตรงไหนรู้มั๊ยครับ หนูฝรั่ง หูมันใหญ่ ส่วนหนูไทย หูมันเล็ก ......




(25) ข้าวโพดสีม่วง ดำ ...เดี๋ยวนี้นิยมพืชผักสีม่วงออกไปทางจะดำ แบบข้าวหอมนิล ข้าวลืมผัว ....




(26) นี่ก็ผักกาดสีม่วงออกไปทางดำ




(27) นี่ก็ใช่ พริกสีดำ




(27) ผักนี่ไม่ดำแท้ เลยกลายเป็นผักแฟนซี แบบข้าวไรซ์เบอร์รี่รุ่น F3 F4 ที่กลายเป็นข้าวไรซ์เบอร์รี่แฟนซี ใครซื้อพันธุ์มาปลูกระวังให้ดี ๆ ก็แล้วกัน




(28 ) อันนี้น่าจะเป็น กล่ำปม แม่นบ่




(29) ผัก มิซูน่า



(30)



(31)

(30 – 31) ชื่อว่าลูกท้อ...แต่ไม่ท้อแท้ ...บนดอยที่บ้านกะเหรี่ยง มีปลูกกันแยะมาก มีเกษตรอำเภอเค้าไปส่งเสริมให้ปลูก ชาวกะเหรี่ยงและไม่กะเหรี่ยงปลูกกันเป็นร้อย ๆ ไร่ พอออกลูกมาก็ไปถามเกษตรอำเภอว่า จะไปขายใครที่ไหน เกษตรอำเภอตอบอย่างไม่ต้องคิด .....ไม่รู้เหมือนกัน เค้าให้มาส่งเสริม ก็ทำตามคำสั่ง .....เยี่ยม ตอนนี้ถ้าขึ้นไปบ้านกะเหรี่ยงจะเจอต้นท้อ ที่ยังมีเหลืออยู่บ้าง ลูกกินอร่อยดีเหมือนกัน




(33) มะเดื่อฝรั่ง




(34) มะเดื่อ ญี่ปุ่น




(35) จำปาดะ




(36) ถั่วฝักยาวฝีกสีแดง - ม่วง




(37) นี่ก็ชมพู่น้ำดอกไม้ ลูกสวย กลิ่นหอม เมล็ดใหญ่ เนื้อบาง แต่เค้าเอาเนื้อไปทำน้ำปั่น กลิ่นหอมน่ากินมาก แต่แก้วละ 80 เลยคิดหนักหน่อย




(3Cool ชมพู่พวงมั๊ง ...เห็นรูปมันสวยดีก็เอามาลงให้ดูกันน่ะครับ


ดูแล้วใครคิดอยากจะปลูกไว้ดูเล่น หรือจะปลูกขายแบบชนเผ่าบนดอยบ้างก็ดีไม่น้อย เผื่อจะเป็นหนี้ผ่อนรถป้ายแดงอีกซักคัน (ชนเผ่าบนดอยเค้าซื้อรถเงินสดครับ เพราะเค้าผ่อนไม่ได้)


.
DangSalaya
ตอบตอบ: 24/06/2013 8:02 pm    ชื่อกระทู้: Re: ทุเรียน หลินลับแล - หลงลับแล

[quote="kimzagass"]
DangSalaya บันทึก:





รูปที่ 11 ลูกมะเดื่อฝรั่ง

ที่ไร่กล้อมแกล้มเคยมี 10 ต้น ตัดทิ้งเหลือต้นเดียวไว้ดูเล่น เป็นพันธุ์ญี่ป่น ปลูกง่าย
แค่ตัดกิ่งปักลงดินก็งอก โต แล้วออกลูกได้...คนญี่ปุ่นทานแล้วบอกว่า อร่อยกว่าที่
ญี่ปุ่น รสชาดหวานเย็น ดีกว่ากินเสาไฟยันฮีหน่อยนึง


โห ลุงครับ ผลไม้ที่ไร่กล้อมแกล้มแต่ละอย่างนี่ กินเหมือนเสาไฟฟาดปากก็มี กินดีกว่าเสาไฟฟ้ายันฮีก็มี....จะกินเหมือนอะไรก็ตามแต่ ...เสร็จโก๋แน่ครับลุง ...จะตัด จะตอนให้โกร๋นต้นเลย ลุงว่ามั๊ยครับ....




รูปที่ 12 ดูคล้าย ๆ องุ่น แต่ตูดมีจุก...ลูกอะไรครับลุง

เรียกว่า "ลูกจุกตูด" ไง....

Oh ! I see Loog Joog Tood ..thanks หลาย ๆ เด๊อ....คงกินดีกว่า ลูกหางจุกตูดหน่อยนึง ...เนอะ....ก็ว่ากันไป...


ความจริง Shot นี้ผมอยากทราบเรื่องทุเรียน หลินลับแล กับหลงลับแล...นะครับ เอางี้มั๊ยครับ ไปเที่ยวเมืองลับแลกันเลยดีมั๊ยครับ จะหลิน หรือจะหลงอยู่ในนั้นหาทางออกไม่เจอก็ยิ่งดี จัดรายการวิทยุในเมืองลับแล สบายแฮเลยแหละ ...


.
kimzagass
ตอบตอบ: 24/06/2013 5:42 pm    ชื่อกระทู้: Re: ทุเรียน หลินลับแล - หลงลับแล

DangSalaya บันทึก:





รูปที่ 11 ลูกมะเดื่อฝรั่ง

ที่ไร่กล้อมแกล้มเคยมี 10 ต้น ตัดทิ้งเหลือต้นเดียวไว้ดูเล่น เป็นพันธุ์ญี่ป่น ปลูกง่าย
แค่ตัดกิ่งปักลงดินก็งอก โต แล้วออกลูกได้...คนญี่ปุ่นทานแล้วบอกว่า อร่อยกว่าที่
ญี่ปุ่น รสชาดหวานเย็น ดีกว่ากินเสาไฟยันฮีหน่อยนึง





รูปที่ 12 ดูคล้าย ๆ องุ่น แต่ตูดมีจุก...ลูกอะไรครับลุง

เรียกว่า "ลูกจุกตูด" ไง....



.
DangSalaya
ตอบตอบ: 24/06/2013 9:50 am    ชื่อกระทู้: ทุเรียน หลินลับแล - หลงลับแล

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4 ตอนที่ 11 ทุเรียน หลินลับแล - หลงลับแล


ฟังลุงคิมพูดถึงทุเรียนพื้นพันธุ์พื้นเมืองของอุตรดิตถ์ สองสายพันธุ์
(1) หลินลับแล
(2) หลงลับแล



รูปที่ 1 หลินลับแล กับ หลงลับแล ลูกไหนคือหลิน- ลูกไหนคือหลง- ไม่ทราบครับ มันมีก้นแหลน กับก้นป้าน ถ้าพูดฟังง่าย ๆ แบบชาวบ้าน ๆ ก็ ตูดแหลม กับตูดป้าน





รูปที่ 2 อันนี้คือ หลินลับแล เปลือกบาง เนื้อแน่ พูใหญ่ นักชิมทุเรียนบอกว่า หลินลับแล เนื้อละเอียดกว่า หลงลับแล และราคาแพงกว่าหลงลับแลด้วย





รูปที่ 3 นี้คือหมอนทองครับ





รูปที่ 4 ลูกกีวี่ครับ พันธุ์ลูกใหญ่





รูปที่ 5 กีวี่พันธุ์ลูกเล็ก





รูปที่ 6 การเพาะเมล็ดกีวี่





รูปที่ 7 กล่ำปลอดสารพิษ





รูปที่ 8 ปลูกผักในโรงเรือน





รูปที่ 9 มะเดื่อฝรั่ง กำลังออกลูก





รูปที่ 10 ลูกมะเดื่อฝรั่ง....รสชาดเป็นยังไงเอ่ย....เหมือนเอาเสาไฟฟาดปากมั๊ยครับลุง





รูปที่ 11 ลูกมะเดื่อฝรั่ง





รูปที่ 12 ดูคล้าย ๆ องุ่น แต่ตูดมีจุก...ลูกอะไรครับลุง





รูปที่ 13 ผู้รักษาสมดุลย์ธรรมชาติ ที่มักจะถูกทำลายไปด้วยกัน





.
DangSalaya
ตอบตอบ: 03/05/2013 9:17 pm    ชื่อกระทู้: ขอต่อยอด มะเขือเทศรูปหัวใจของเจียไต๋ครับ

DangSalaya บันทึก:
สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4
ตอนที่ 8 มะเขือเทศรูปหัวใจ” พืชผัก เพื่อสุขภาพ ของ เจียไต๋




ทุกวันนี้ กระแสการดูแลสุขภาพกำลังมาแรงทีเดียว การรับประทานผักก็เป็นอีกทางเลือกของการดูแลสุขภาพที่ได้รับความนิยมจากคนไทยจำนวนมาก เพราะได้รับสารอาหารมากมาย รับประทานแล้วไม่อ้วนอีกต่างหาก

แต่คนบางกลุ่มยังไม่นิยมรับประทานผัก เพราะมีรสชาติไม่ถูกปาก ไม่โดนใจ บริษัท เจียไต๋ จำกัด จึงได้พัฒนามะเขือเทศพันธุ์ใหม่ “มะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ (Tomatoberry)” ที่มีสีแดงสะดุดตา ดึงดูดให้ผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพ หันมารับประทานผักกันมากขึ้น


พันธุ์ทนร้อน และการจัดการที่ดีคือกุญแจสำคัญ :
คุณสุรนาท องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจครบวงจร บริษัท เจียไต๋ จำกัด เล่าว่า มะเขือเทศรูปหัวใจ (Tomatoberry) พัฒนาพันธุ์โดยบริษัทเมล็ดพันธุ์ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นคู่ค้าของเจียไต๋ ที่ตั้งใจพัฒนามะเขือเทศสายพันธุ์นี้ให้มีรูปลักษณ์แปลกใหม่ ลักษณะคล้ายรูปหัวใจหรือลูกสตรอเบอรี่ สีแดงสด เพิ่มความหวาน และลดความเปรี้ยวลง (Acid) เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มผู้ใหญ่ วัยทำงาน เยาวชน วัยรุ่น ให้หันมารับประทานมะเขือเทศสดกันมากขึ้น

แนวคิดดังกล่าว ตรงกับความต้องการของเจียไต๋ที่ต้องการเห็นคนไทยมีโอกาสบริโภคผักที่มีรสชาติอร่อยคุณภาพดี เจียไต๋จึงร่วมมือกับพันธมิตรชาวญี่ปุ่น พัฒนามะเขือเทศรูปหัวใจ ซึ่งเติบโตดีในอุณหภูมิหนาวเย็น กลายเป็น “สายพันธุ์ทนร้อน” ผนวกกับ “การจัดการที่ดี” จนสามารถปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจได้ในสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศของไทยได้สำเร็จตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน และเริ่มผลิตสินค้าออกวางจำหน่ายตั้งแต่ช่วงปลายปี 2553 ปรากฏว่า กลายเป็นสินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะสินค้าโดนใจกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย



โรงเรือนระบบปิด การจัดการง่าย ปลูกได้ตลอดปี :
คุณพิพัฒน์พงษ์ ยงขามป้อม ผู้จัดการฟาร์มปากช่อง ของ เจียไต๋ โทร. (085) 305-7041 พาไปชมแปลงปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจ ภายในโรงเรือนระบบปิด เรียกว่า โรงเรือนหลังคาฟันเลื่อย (Saw Tooth Greenhouse) เพราะมีลักษณะหลังคาโค้งคล้ายฟันเลื่อย หน้ากว้างช่วงละ 6.4 เมตร แต่ละหลังเชื่อมต่อด้วยรางน้ำเหล็ก โรงเรือนนี้สามารถระบายอากาศได้สูงทั้งด้านข้างและด้านบน เพราะมีหน้าต่างกว้าง 1.5 เมตร บริเวณหลังคา ส่วนด้านข้างติดมุงตาข่ายกันแมลง ช่วยเพิ่มพื้นที่ระบายอากาศร้อน และถ่ายเทอากาศเย็นหมุนเวียนเข้าสู่โรงเรือนได้ง่าย เหมาะสำหรับปลูกพืชผัก ที่ต้องใช้พื้นที่ในการผลิตครั้งละมากๆ โดยเฉพาะพืชเถาเลื้อยที่ต้องการขึ้นค้าง เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่ พริกหวาน แตงโม เมล่อน แคนตาลูป ฯลฯ

คุณพิพัฒน์พงษ์ เล่าว่า มะเขือเทศรูปหัวใจ อยู่ในกลุ่มมะเขือเทศเชอร์รี่ (Cherry Tomato) มีลักษณะเติบโตแบบเลื้อย มะเขือเทศประเภทนี้ ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะสามารถเจริญเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด มีกิ่งแขนงขนาดใกล้เคียงกับลำต้น 2-3 แขนง และมีแขนงย่อยได้อีกไม่จำกัด ช่อดอกแรกเกิดระหว่าง ข้อที่ 8 และ 9 ช่อดอกต่อมาจะเกิดขึ้นทุกๆ 3 ข้อ ลำต้นอาจจะสูงหรือยาวกว่า 10 เมตร

มะเขือเทศ สามารถเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ใบ และออกดอกได้ดีตลอดทั้งปี แต่การติดผลของมะเขือเทศต้องการสภาพอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิกลางวันที่เหมาะสม อยู่ที่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางคืน ประมาณ 16-20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้มะเขือเทศไม่ติดผลหรือติดผลได้น้อยมาก ฝนและความชื้นสูงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคทางใบและทางรากระบาดรุนแรง

ดังนั้น ฤดูปลูกที่เหมาะสมที่สุดจึงอยู่ในช่วงฤดูหนาว โดยมีช่วงหยอดเมล็ดเพาะกล้า อยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ซึ่งนอกจากสภาพอากาศจะเหมาะสมต่อการติดผล ทำให้ได้ผลผลิตสูงแล้ว ยังมีศัตรูพืชรบกวนน้อย ต้นทุนการผลิตจึงต่ำกว่าการปลูกในฤดูอื่นด้วย

แปลงปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจอาศัยดูแลจัดการเช่นเดียวกับมะเขือเทศทั่วไป จะใช้ระยะเวลาเพาะกล้า 25-30 วัน ปลูกอีก 50-60 วัน เริ่มออกดอก ประมาณ 30 วัน ต้นมะเขือเทศเชอร์รี่จะมีอายุการปลูก ประมาณ 7-8 เดือน อายุเก็บเกี่ยวนาน 3-4 เดือน

ทุกวันนี้ เจียไต๋ ใส่ใจดูแลการผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจ บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ด้วยความพิถีพิถันทุกขั้นตอน เริ่มจากคัดเมล็ดพันธุ์อย่างดี มาปลูกในโรงเรือนและปลูกแบบไม่ใช้ดิน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมี

แต่ละวัน คนงานจะเก็บบันทึกข้อมูลภายในฟาร์มอย่างละเอียด เช่น อุณหภูมิสูงสุด ต่ำสุดแต่ละวัน ความเข้มแสง ความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ ค่าความชื้นภายในวัสดุปลูก วัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ของน้ำ (pH) และค่าการนำไฟฟ้าของสารละลาย (EC) บันทึกการพบโรคและแมลงภายในแปลงปลูก บันทึกการใช้ปุ๋ย ยา และสารกำจัดศัตรูพืช บันทึกการเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อต้น รวมทั้งตรวจเช็กคุณภาพผลผลิตก่อนเก็บเกี่ยว คือวัดค่าความหวาน (เปอร์เซ็นต์บริกซ์) และชั่งน้ำหนักผล

สำหรับแปลงปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจที่เข้าเยี่ยมชมในครั้งนี้ คุณพิพัฒน์พงษ์ เล่าว่า เริ่มเพาะกล้า วันที่ 5 กรกฎาคม 2555 ย้ายปลูก วันที่ 1 สิงหาคม 2555 โดยปลูกในระยะ 50x50 เซนติเมตร โดยใช้ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุปลูก ใช้ระบบน้ำแบบขาปักน้ำหยด อัตราการไหล 3 ลิตร ต่อชั่วโมง ให้น้ำ 1.4 ลิตร ต่อต้น ต่อวัน แบ่งให้น้ำ วันละ 7 รอบ เริ่มตั้งแต่ 08.00-14.00 น. ปริมาณที่ให้ต่อรอบ 200 มิลลิลิตร ต่อรอบ ต่อต้น และให้ปุ๋ยไปพร้อมระบบน้ำ 5 รอบ ต่อวัน จาก 7 รอบ ค่า ec = 1.6 ms/cm, ค่า pH ของน้ำ = 6.5 และเริ่มเก็บผลผลิต ตุลาคม 2555 จนถึงเดือนมกราคม 2556 ให้ผลผลิตโดยเฉลี่ย ต้นละ 3 กิโลกรัม

คุณพิพัฒน์พงษ์ เล่าว่า ขณะนี้ ต้นมะเขือเทศยาว 10 กว่าเมตร สามารถเติบโตได้ 15-20 เมตร เพราะโรงเรือนแห่งนี้ติดตั้งอุปกรณ์เชือกสลิงสำหรับดึงให้ต้นมะเขือเทศเอนไปตามความยาวของเชือก ทำให้ดูแลจัดการได้สะดวก แม้จะเป็นพันธุ์ทนร้อน แต่หากอุณหภูมิกลางวันสูงเกินกว่า 35 องศาเซลเซียส ก็ทำให้มะเขือเทศพันธุ์นี้ติดผลได้ยาก จึงต้องใส่ใจดูแลโดยเฉพาะการให้น้ำ และฉีดพ่นฮอร์โมนเพื่อช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์การติดผลของมะเขือเทศให้มากขึ้น

คนงานจะคอยดูแลตัดแต่งกิ่ง เพื่อเลี้ยงต้นให้สมบูรณ์ที่สุด โดยเลี้ยงผลมะเขือเทศเฉลี่ย ช่อละ 12-15 ลูก โดยธรรมชาติ มะเขือเทศจะคลายน้ำบริเวณขั้ว ดังนั้น เวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต จะเด็ดให้มีส่วนขั้วติดกับผลมะเขือเทศเพื่อช่วยยืดอายุความสดไว้ได้นานๆ ช่วงเช้าคนงานจะเลือกเก็บผลสีแดงสด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร และนำเข้าห้องเย็นทันทีเพื่อเก็บรักษาความสดก่อนจำหน่าย



เจียไต๋ เดินหน้า ขยายกำลังผลิตเอาใจตลาด :
มะเขือเทศรูปหัวใจ เปี่ยมด้วยสารสีแดงไลโคปีน (Lycopene) ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งมากกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่า สารไลโคปีนช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ มะเขือเทศรูปหัวใจยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามิน เอ และวิตามิน ซี มีในปริมาณสูง แถมมีรสชาติที่อร่อยกว่ามะเขือเทศธรรมดา เพราะมีกลิ่นหอม รสหวาน เนื้อหนา เปลือกบาง เนื้อแน่น ไร้เมล็ด รับประทานแทนผลไม้ได้

เจียไต๋ มีเป้าหมายผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจเพื่อทดแทนการนำเข้ามะเขือเทศเชอร์รี่จากเมืองนอก ที่จำหน่ายในราคาสูงถึงแพ็กละ 70-100 บาท และมีความหวาน ประมาณ 8 บริกซ์ แต่เจียไต๋สามารถผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจออกขายในราคาเพียงแพ็กละ 39 บาท แถมมีความหวานมากกว่า 10 บริกซ์ จึงถือเป็นสินค้าทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคที่นิยมรับประทานผักเพื่อสุขภาพ

คุณสุรนาท เล่าเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน เจียไต๋ ปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจภายในฟาร์มแห่งนี้ จำนวน 3,944 ต้น ปีนี้บริษัทมั่นใจศักยภาพการผลิต โดยวางแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 10,000 ต้น เพื่อรองรับการผลิตให้ครอบคลุมผู้บริโภคมากขึ้น

นอกจากนี้ เจียไต๋ ตั้งใจพัฒนาวิธีการปลูกให้ทันสมัย มีรูปแบบที่ชัดเจน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับความต้องการในอนาคตที่เราเชื่อว่าต้องมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเจียไต๋จะถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรได้นำเมล็ดพันธุ์ไปปลูกในลักษณะคอนแทร็กฟาร์มมิ่งได้ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างรายได้สำหรับเกษตรกร สำหรับผู้ที่สนใจมะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ สามารถเลือกซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าดิเอ็มโพเรี่ยม ห้างสรรพสินค้าพารากอน ฟู้ดแลนด์ และ ซีพี เฟรชมาร์ท ทุกสาขาทั่วประเทศ


http://www.matichon.co.th/

.


สวัสดีครับลุงคิม.... และสมาชิกสีสันชีวิตไทยทุกท่าน

พอดีผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะเขือเทศรูปหัวใจ ของ บริษัท เจียไต๋ มา
ก็เลยขอนำเสนอให้เพื่อน ๆ ที่ชอบปลูกมะเขือเทศได้ดูกันครับ ...ที่บ้านผมอยากปลูก แต่ทำได้ยากเพราะหลังเกี่ยวข้าว คนทำนาก็จะเผาฟาง ยอดมะเขือเทศ พอโดนควันไฟ ยอดมันจะหงิก ทำยังไงก็ไม่หาย ตัดยอดทิ้ง ออกยอดใหม่มันก็ แอ๊บแบ๊ว ซังกะตายอยู่อย่างนั้น ไม่โต ไม่ตาย จ๋องกรอดอยู่อย่างนั้น ถอนทิ้งลูกเดียว




รูปที่ 1 ...ผมเป็นสมาชิกนิตยสาร " ผลิใบ " ของกรมวิชาการเกษตร เป็นนิตยสารรายเดือน ออกเดือนละคร้ง ก่อนน้ำท่วมก็ออกตรงเดือนดีอยู่ แต่หลังน้ำลด ออกไม่ตรงเดือน....การเป็นสมาชิก ฟรีครับ

ฉบับที่เห็นอยู่นี้เป็น ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนกุมภาพันธุ์ 2556 ผมได้รับเมื่อ 27 เมย.56





รูปที่ 2 เป็นรูปหลังปก มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ มะเขือเทศ รูปหัวใจ ของ บ.เจียไต๋ ซึ่งให้ชื่อว่า " โทเมโทเบอร์รี่ " ครับ เมื่อมีข้อมูลมาแบบนี้ ผมก็ต้องนำเสนอให้เพื่อนที่ชอบมะเขือเทศได้รู้กันเอาไว้

ข้อมูลคร่าว ๆ บอกว่า

" ..........เกษตรกรที่สนใจจะปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจนี้ สามารถติดต่อกับบริษัท เจียไต๋ จำกัด ได้โดยตรง ทางบริษัทยินดีที่จะถ่ายทอดความรู้ให้ แต่ต้องทำในลักษณะ คอนแท็กฟาร์มมิ่ง เพื่อควบคุมคุณภาพและปริมาณป้องกันผลผลิตล้นตลาดทำให้ราคาตก...."





รูปที่ 3 สวย น่ารัก วันวาเลนไทน์ จะขายดี

ไหน ๆ ก็เข้ามาเรื่องมะเขือเทศแล้ว ขอนำเสนอมะเขือเทศแปลก ๆ ต่อไปเ้ลยนะครับ





รูปที่ 4 สายพันธุ์อะไรไม่ได้บอกเอาไว้





รูปที่ 5 มะเขือเทศพันธุ์ลูกยาว





รูปที่ 6 มะเขือเทศพันธุ์เลื้อย




7.-


8.-


9.-

รูปที่ 7 - 9 มะเขือเทศพันธุ์ เหลือง หลายรูปแบบครับ





รูปที่ 10 มะเขือเทศพันธุ์ สีม่วง





รูปที่ 11 มะเขือเทศพันธุ์เขียว





รูปที่ 12 มะเขือเทศพันธุ์ แขวนเป็นไม้ประดับ





รูปที่ 13 มะเขือเทศพันธุ์ ....ไม่ทราบครับ



.
DangSalaya
ตอบตอบ: 02/05/2013 7:21 pm    ชื่อกระทู้:

[quote="kimzagass"]
DangSalaya บันทึก:




12. รู้หรือยังว่าทำไม เมล่อน ญี่ปุ่นจึงแพงนักแพงหนา ลูกละ 30,000 บาท

ปลูกในโรงเรือน หน้าหนาวอุณหภูมิต่ำกว่าติดลบ ต้องใช้ HEATER ให้ความร้อน เป็นเหตุให้ต้นทุนสูง

การจับลูกมาห้อยเรียงเป็นแถว ทำได้ไม่ยาก ผมพยายามมองที่ดิน ดูความสมบูรณ์ของลำต้นและใบ ... สารอาหารในดินต้องมีมากตามที่เมลล่อนต้องการ คงจะยุ่งยากเอาการ




(1Cool

16 – 18 ทุเรียนเทศครับ

ทำสารสมุนไพรกำจัดหนอน ดีมากๆ

จะหาเมล็ดพันธุ์ได้จากที่ไหนล่ะครับลุง เพราะคงมีคนปลูกน้อย





27 – มะระขี้นก

ใบมีสารกำจัดหนอน

ลูกที่ยังไม่แก่เกินไป ผ่าครึ่งดิบ ๆ จิัมน้ำพริก อร่อยอย่าบอกใคร ไม่ขม แก้ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ ที่สำคัญ กินเป็นยาอายุวัฒนะ




33 – ผักกาดน้ำ หรือ หญ้าเอ็นยึด

มีสารกำจัดวัชพืช (ยาฆ่าหญ้า)

บ้านยัยถนอมคนทำนาใกล้กัน มีขึ้นเป็นดงเลยครับลุง หมดดงแน่ ๆ คราวนี้ ยัยหนอมเอ๊ย...





อาบู อือ ย่า ...ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับลุง

.
kimzagass
ตอบตอบ: 01/05/2013 9:00 pm    ชื่อกระทู้:

DangSalaya บันทึก:




12. รู้หรือยังว่าทำไม เมล่อน ญี่ปุ่นจึงแพงนักแพงหนา ลูกละ 30,000 บาท

ปลูกในโรงเรือน หน้าหนาวอุณหภูมิต่ำกว่าติดลบ ต้องใช้ HEATER ให้ความร้อน เป็นเหตุให้ต้นทุนสูง





(1Cool

16 – 18 ทุเรียนเทศครับ

ทำสารสมุนไพรกำจัดหนอน ดีมากๆ






27 – มะระขี้นก

ใบมีสารกำจัดหนอน






33 – ผักกาดน้ำ หรือ หญ้าเอ็นยึด

มีสารกำจัดวัชพืช (ยาฆ่าหญ้า)





.
DangSalaya
ตอบตอบ: 01/05/2013 8:11 pm    ชื่อกระทู้:

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4 ตอนที่ 10 พืชผักแปลก ๆ

ดูเล่น ๆ ครับ หรือใครคิดจะเอาไปทำเองก็ไม่มีใครว่า อาจจะเกิดประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย




1. ผักไฮโซ





2. ผักคอนโด





3. ผัก High Grow




(4)


(5)

4. – 5 ลูกผักหวานบ้านครับ




(6)


(7)

6 – 7 ลูกหม่อนต่างสายพันธุ์





8- ต้นอะไรไม่ทราบครับ เห็นลูกมันแปลกดี





9- ชมพู่ม่าเหมี่ยวครับ





10. – ไม่รู้จักจ๊ะ ละมุดจากป่าหิมพานต์มั๊ง





11 – ลูกตะลิงปริงครับ จิ้มกะปิหวานนะ อร่อยอย่าบอกใครเลย น้ำลายไหลว่ะ





12. รู้หรือยังว่าทำไม เมล่อน ญี่ปุ่นจึงแพงนักแพงหนา ลูกละ 30,000 บาท




(13)


(14)


(15)

13 – 15 ข้าวโพดหลากสีสัน




(16)


(17)


(1Cool

16 – 18 ทุเรียนเทศครับ




(19)


(20)


(21)


(22)

19 – 22 คุณทำเองได้นะ





23 .- ใครไม่รู้จักดอกนี้ก็แย่แล้ว





24 – ดอกครามจ้า




(25)


(26)

25 – 26 ดอกผกากรอง ความสวยที่มาพร้อมกับความเหม็นเขียว





27 – มะระขี้นก





28 – มะงั่วหาว มะนาวโห่





29 – ส้มแขก




(30)


(31)



(32)

30 – 32 บัวหิมะครับ





33 – ผักกาดน้ำ หรือ หญ้าเอ็นยึด





34 – ดอกไม้ชนิดนี้สีสวยมาก เป็นกำมะหยี่ แต่กลิ่น อย่าบอกใครเลย ดอกอุตพิษครับ





35 – เห็นเค้าขียนไว้ดีเลย ก๊อปเอามาวาง....


ยังมีต่อนะ
DangSalaya
ตอบตอบ: 22/04/2013 11:48 pm    ชื่อกระทู้:

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4 ตอนที่ 9 โฮลฟู้ด อาหารธรรมชาติ

“โฮลฟู้ด” คืออะไร ?



ผัก ผลไม้ ที่ปลูกแบบธรรมชาติ โดย ไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ หรือเมล็ดธัญพืช ถั่วต่าง ๆ ที่ไม่ผ่านการขัดสี คือตัวอย่างที่ดีของ “โฮลฟู้ด”

โฮลฟู้ด คืออาหารที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมีและไม่ผ่านกระบวนการหรือแม้จะผ่านกระบวนการก็น้อยที่สุด เพื่อให้คงคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากที่สุด โฮลฟู้ด จะปราศจากการปรุงแต่งรสชาติ กลิ่นและสี เช่น เติมเกลือ ไขมัน หรือสารกันบูดลงไป ดังนั้นการรับประทาน โฮลฟู้ด เท่ากับรับประทานอาหารธรรมชาติซึ่งจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่อยู่ในอาหารนั้น ๆ ไปเต็ม ๆ

ในแต่ละวัน ร่างกายของเราต้องการสารอาหารจำเป็นทั้งวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด ซึ่งโฮลฟู้ดอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญเหล่านี้ อีกทั้งยังมีเส้นใยอาหารสูงและมีสารพฤกษเคมีหรือไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) อันเป็นสารที่พบเฉพาะในพืชผักผลไม้ที่ทำให้มีสี กลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว มีประโยชน์โดดเด่น ซึ่งไฟโตนิวเทรียนส์มีนับพันๆ ชนิด ในปัจจุบันก็ยังมีการค้นพบชนิดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น



ทำไมจึงควรรับประทาน “โฮลฟู้ด” เป็นประจำ ...
อย่างไรก็ตาม การได้รับสารอาหารเพียงบางชนิด อาจจะไม่ได้ประโยชน์มากนักเมื่อเทียบกับการได้รับสารอาหารหลายชนิดพร้อม ๆ กัน เหตุผลก็เพราะสารอาหารต่าง ๆ จะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็มักจะต้องพึ่งพาและทำงานเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน (Synergy) ราวกับทำงานเป็นทีม จึงจะเกิดประโยชน์ในการนำไปใช้ในร่างกาย เช่น วิตามินอี วิตามินซี ต้องทำงานร่วมกับซีลีเนียม เพราะซีลีเนียมเป็นโคเอนไซม์ของสารต้านอนุมูลอิสระ จะทำงานเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน จึงช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารโฮลฟู้ดให้หลากหลายในหนึ่งวันนั่นเอง

แต่ทุกวันนี้เรากลับรับประทานอาหารสำเร็จรูปมากขึ้นเพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบ จึงได้รับสารอาหารไม่เพียงพอโดยเฉพาะจากผัก ผลไม้และอาหารที่ปรุงสดใหม่ ซึ่งอาหารสำเร็จรูปมักจะผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน จึงทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการและถูกเติมสารปรุงแต่งต่างๆ มากมาย จึงเป็นที่มาของปัญหาสุขภาพในยุคปัจจุบัน ได้แก่ ภาวะการขาดโภชนาการที่เหมาะสม โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิต เป็นต้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากอาหารนั่นเอง ดังนั้นการหันมาหาโฮลฟู้ดที่มีคุณค่าโภชนาการสูงจึงเป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม


ตัวอย่างของ โฮลฟู้ด ที่ดีหาได้ง่าย เช่น ...
ผัก ผลไม้สด ที่มีไฟโตนิวเทรียนท์ พร้อมวิตามินและแร่ธาตุ
ธัญพืชไม่ขัดสี ให้วิตามินและแร่ธาตุ พร้อมเส้นใยอาหารสูง



อาหารบางชนิดที่ไม่ควรมองข้ามที่ให้คุณค่า โฮลฟู้ด และมีไฟโตนิวเทรียนท์ เช่น ...
สาหร่ายสไปรูไลนา ที่ให้ทั้งวิตามินบี แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี โปรตีน และไฟโตนิวเทรียนท์กลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของเซลล์
ชาขาว แหล่งของไฟโตนิวเทรียนท์กลุ่มโพลีฟีนอลที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
เห็ดหลินจือ ที่มีโพลีแซคคาไรด์ บำรุงร่างกาย ลดความอ่อนล้า
วีทกราสหรือต้นอ่อนข้าวสาลี ที่มีคลอโรฟิลล์ วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และเอนไซม์บางชนิดที่ช่วยขจัดสารพิษและบำรุงร่างกาย


สารอาหารจาก “โฮลฟู้ด” ดีอย่างไร ?
หากเรารับประทาน โฮลฟู้ด หลากหลายชนิดในหนึ่งวัน เราจะได้สารอาหารจำเป็นมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยให้เอนไซม์ในร่างกายทำงานดีขึ้น คุณสมบัติโดดเด่นคือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ Anti-Aging ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ต้านการอักเสบ เสริมภูมิต้านทาน ปกป้องเราจากโรคเรื้อรังต่างๆ นอกจากนี้เส้นใยอาหารใน โฮลฟู้ด ยังช่วยดักการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากในหนึ่งวันเราได้รับทั้งวิตามิน แร่ธาตุ โฮลฟู้ดที่ให้ไฟโตนิวเทรียนส์ พร้อมด้วยเส้นใยอาหารอย่างครบถ้วนจากสารอาหารธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ ก็มั่นใจได้ว่าสุขภาพเราจะได้รับการดูแลอย่างดีด้วยเกราะอันแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน



http://www.vcharkarn.com/

DangSalaya
ตอบตอบ: 21/04/2013 1:58 am    ชื่อกระทู้:

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4
ตอนที่ 8 มะเขือเทศรูปหัวใจ” พืชผัก เพื่อสุขภาพ ของ เจียไต๋




ทุกวันนี้ กระแสการดูแลสุขภาพกำลังมาแรงทีเดียว การรับประทานผักก็เป็นอีกทางเลือกของการดูแลสุขภาพที่ได้รับความนิยมจากคนไทยจำนวนมาก เพราะได้รับสารอาหารมากมาย รับประทานแล้วไม่อ้วนอีกต่างหาก

แต่คนบางกลุ่มยังไม่นิยมรับประทานผัก เพราะมีรสชาติไม่ถูกปาก ไม่โดนใจ บริษัท เจียไต๋ จำกัด จึงได้พัฒนามะเขือเทศพันธุ์ใหม่ “มะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ (Tomatoberry)” ที่มีสีแดงสะดุดตา ดึงดูดให้ผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพ หันมารับประทานผักกันมากขึ้น


พันธุ์ทนร้อน และการจัดการที่ดีคือกุญแจสำคัญ :
คุณสุรนาท องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจครบวงจร บริษัท เจียไต๋ จำกัด เล่าว่า มะเขือเทศรูปหัวใจ (Tomatoberry) พัฒนาพันธุ์โดยบริษัทเมล็ดพันธุ์ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นคู่ค้าของเจียไต๋ ที่ตั้งใจพัฒนามะเขือเทศสายพันธุ์นี้ให้มีรูปลักษณ์แปลกใหม่ ลักษณะคล้ายรูปหัวใจหรือลูกสตรอเบอรี่ สีแดงสด เพิ่มความหวาน และลดความเปรี้ยวลง (Acid) เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มผู้ใหญ่ วัยทำงาน เยาวชน วัยรุ่น ให้หันมารับประทานมะเขือเทศสดกันมากขึ้น

แนวคิดดังกล่าว ตรงกับความต้องการของเจียไต๋ที่ต้องการเห็นคนไทยมีโอกาสบริโภคผักที่มีรสชาติอร่อยคุณภาพดี เจียไต๋จึงร่วมมือกับพันธมิตรชาวญี่ปุ่น พัฒนามะเขือเทศรูปหัวใจ ซึ่งเติบโตดีในอุณหภูมิหนาวเย็น กลายเป็น “สายพันธุ์ทนร้อน” ผนวกกับ “การจัดการที่ดี” จนสามารถปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจได้ในสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศของไทยได้สำเร็จตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน และเริ่มผลิตสินค้าออกวางจำหน่ายตั้งแต่ช่วงปลายปี 2553 ปรากฏว่า กลายเป็นสินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะสินค้าโดนใจกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย



โรงเรือนระบบปิด การจัดการง่าย ปลูกได้ตลอดปี :
คุณพิพัฒน์พงษ์ ยงขามป้อม ผู้จัดการฟาร์มปากช่อง ของ เจียไต๋ โทร. (085) 305-7041 พาไปชมแปลงปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจ ภายในโรงเรือนระบบปิด เรียกว่า โรงเรือนหลังคาฟันเลื่อย (Saw Tooth Greenhouse) เพราะมีลักษณะหลังคาโค้งคล้ายฟันเลื่อย หน้ากว้างช่วงละ 6.4 เมตร แต่ละหลังเชื่อมต่อด้วยรางน้ำเหล็ก โรงเรือนนี้สามารถระบายอากาศได้สูงทั้งด้านข้างและด้านบน เพราะมีหน้าต่างกว้าง 1.5 เมตร บริเวณหลังคา ส่วนด้านข้างติดมุงตาข่ายกันแมลง ช่วยเพิ่มพื้นที่ระบายอากาศร้อน และถ่ายเทอากาศเย็นหมุนเวียนเข้าสู่โรงเรือนได้ง่าย เหมาะสำหรับปลูกพืชผัก ที่ต้องใช้พื้นที่ในการผลิตครั้งละมากๆ โดยเฉพาะพืชเถาเลื้อยที่ต้องการขึ้นค้าง เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่ พริกหวาน แตงโม เมล่อน แคนตาลูป ฯลฯ

คุณพิพัฒน์พงษ์ เล่าว่า มะเขือเทศรูปหัวใจ อยู่ในกลุ่มมะเขือเทศเชอร์รี่ (Cherry Tomato) มีลักษณะเติบโตแบบเลื้อย มะเขือเทศประเภทนี้ ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะสามารถเจริญเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด มีกิ่งแขนงขนาดใกล้เคียงกับลำต้น 2-3 แขนง และมีแขนงย่อยได้อีกไม่จำกัด ช่อดอกแรกเกิดระหว่าง ข้อที่ 8 และ 9 ช่อดอกต่อมาจะเกิดขึ้นทุกๆ 3 ข้อ ลำต้นอาจจะสูงหรือยาวกว่า 10 เมตร

มะเขือเทศ สามารถเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ใบ และออกดอกได้ดีตลอดทั้งปี แต่การติดผลของมะเขือเทศต้องการสภาพอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิกลางวันที่เหมาะสม อยู่ที่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางคืน ประมาณ 16-20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้มะเขือเทศไม่ติดผลหรือติดผลได้น้อยมาก ฝนและความชื้นสูงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคทางใบและทางรากระบาดรุนแรง

ดังนั้น ฤดูปลูกที่เหมาะสมที่สุดจึงอยู่ในช่วงฤดูหนาว โดยมีช่วงหยอดเมล็ดเพาะกล้า อยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ซึ่งนอกจากสภาพอากาศจะเหมาะสมต่อการติดผล ทำให้ได้ผลผลิตสูงแล้ว ยังมีศัตรูพืชรบกวนน้อย ต้นทุนการผลิตจึงต่ำกว่าการปลูกในฤดูอื่นด้วย

แปลงปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจอาศัยดูแลจัดการเช่นเดียวกับมะเขือเทศทั่วไป จะใช้ระยะเวลาเพาะกล้า 25-30 วัน ปลูกอีก 50-60 วัน เริ่มออกดอก ประมาณ 30 วัน ต้นมะเขือเทศเชอร์รี่จะมีอายุการปลูก ประมาณ 7-8 เดือน อายุเก็บเกี่ยวนาน 3-4 เดือน

ทุกวันนี้ เจียไต๋ ใส่ใจดูแลการผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจ บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ด้วยความพิถีพิถันทุกขั้นตอน เริ่มจากคัดเมล็ดพันธุ์อย่างดี มาปลูกในโรงเรือนและปลูกแบบไม่ใช้ดิน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมี

แต่ละวัน คนงานจะเก็บบันทึกข้อมูลภายในฟาร์มอย่างละเอียด เช่น อุณหภูมิสูงสุด ต่ำสุดแต่ละวัน ความเข้มแสง ความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ ค่าความชื้นภายในวัสดุปลูก วัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ของน้ำ (pH) และค่าการนำไฟฟ้าของสารละลาย (EC) บันทึกการพบโรคและแมลงภายในแปลงปลูก บันทึกการใช้ปุ๋ย ยา และสารกำจัดศัตรูพืช บันทึกการเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อต้น รวมทั้งตรวจเช็กคุณภาพผลผลิตก่อนเก็บเกี่ยว คือวัดค่าความหวาน (เปอร์เซ็นต์บริกซ์) และชั่งน้ำหนักผล

สำหรับแปลงปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจที่เข้าเยี่ยมชมในครั้งนี้ คุณพิพัฒน์พงษ์ เล่าว่า เริ่มเพาะกล้า วันที่ 5 กรกฎาคม 2555 ย้ายปลูก วันที่ 1 สิงหาคม 2555 โดยปลูกในระยะ 50x50 เซนติเมตร โดยใช้ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุปลูก ใช้ระบบน้ำแบบขาปักน้ำหยด อัตราการไหล 3 ลิตร ต่อชั่วโมง ให้น้ำ 1.4 ลิตร ต่อต้น ต่อวัน แบ่งให้น้ำ วันละ 7 รอบ เริ่มตั้งแต่ 08.00-14.00 น. ปริมาณที่ให้ต่อรอบ 200 มิลลิลิตร ต่อรอบ ต่อต้น และให้ปุ๋ยไปพร้อมระบบน้ำ 5 รอบ ต่อวัน จาก 7 รอบ ค่า ec = 1.6 ms/cm, ค่า pH ของน้ำ = 6.5 และเริ่มเก็บผลผลิต ตุลาคม 2555 จนถึงเดือนมกราคม 2556 ให้ผลผลิตโดยเฉลี่ย ต้นละ 3 กิโลกรัม

คุณพิพัฒน์พงษ์ เล่าว่า ขณะนี้ ต้นมะเขือเทศยาว 10 กว่าเมตร สามารถเติบโตได้ 15-20 เมตร เพราะโรงเรือนแห่งนี้ติดตั้งอุปกรณ์เชือกสลิงสำหรับดึงให้ต้นมะเขือเทศเอนไปตามความยาวของเชือก ทำให้ดูแลจัดการได้สะดวก แม้จะเป็นพันธุ์ทนร้อน แต่หากอุณหภูมิกลางวันสูงเกินกว่า 35 องศาเซลเซียส ก็ทำให้มะเขือเทศพันธุ์นี้ติดผลได้ยาก จึงต้องใส่ใจดูแลโดยเฉพาะการให้น้ำ และฉีดพ่นฮอร์โมนเพื่อช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์การติดผลของมะเขือเทศให้มากขึ้น

คนงานจะคอยดูแลตัดแต่งกิ่ง เพื่อเลี้ยงต้นให้สมบูรณ์ที่สุด โดยเลี้ยงผลมะเขือเทศเฉลี่ย ช่อละ 12-15 ลูก โดยธรรมชาติ มะเขือเทศจะคลายน้ำบริเวณขั้ว ดังนั้น เวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต จะเด็ดให้มีส่วนขั้วติดกับผลมะเขือเทศเพื่อช่วยยืดอายุความสดไว้ได้นานๆ ช่วงเช้าคนงานจะเลือกเก็บผลสีแดงสด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร และนำเข้าห้องเย็นทันทีเพื่อเก็บรักษาความสดก่อนจำหน่าย



เจียไต๋ เดินหน้า ขยายกำลังผลิตเอาใจตลาด :
มะเขือเทศรูปหัวใจ เปี่ยมด้วยสารสีแดงไลโคปีน (Lycopene) ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งมากกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่า สารไลโคปีนช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ มะเขือเทศรูปหัวใจยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามิน เอ และวิตามิน ซี มีในปริมาณสูง แถมมีรสชาติที่อร่อยกว่ามะเขือเทศธรรมดา เพราะมีกลิ่นหอม รสหวาน เนื้อหนา เปลือกบาง เนื้อแน่น ไร้เมล็ด รับประทานแทนผลไม้ได้

เจียไต๋ มีเป้าหมายผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจเพื่อทดแทนการนำเข้ามะเขือเทศเชอร์รี่จากเมืองนอก ที่จำหน่ายในราคาสูงถึงแพ็กละ 70-100 บาท และมีความหวาน ประมาณ 8 บริกซ์ แต่เจียไต๋สามารถผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจออกขายในราคาเพียงแพ็กละ 39 บาท แถมมีความหวานมากกว่า 10 บริกซ์ จึงถือเป็นสินค้าทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคที่นิยมรับประทานผักเพื่อสุขภาพ

คุณสุรนาท เล่าเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน เจียไต๋ ปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจภายในฟาร์มแห่งนี้ จำนวน 3,944 ต้น ปีนี้บริษัทมั่นใจศักยภาพการผลิต โดยวางแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 10,000 ต้น เพื่อรองรับการผลิตให้ครอบคลุมผู้บริโภคมากขึ้น

นอกจากนี้ เจียไต๋ ตั้งใจพัฒนาวิธีการปลูกให้ทันสมัย มีรูปแบบที่ชัดเจน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับความต้องการในอนาคตที่เราเชื่อว่าต้องมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเจียไต๋จะถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรได้นำเมล็ดพันธุ์ไปปลูกในลักษณะคอนแทร็กฟาร์มมิ่งได้ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างรายได้สำหรับเกษตรกร สำหรับผู้ที่สนใจมะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ สามารถเลือกซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าดิเอ็มโพเรี่ยม ห้างสรรพสินค้าพารากอน ฟู้ดแลนด์ และ ซีพี เฟรชมาร์ท ทุกสาขาทั่วประเทศ



http://www.matichon.co.th/


.
kimzagass
ตอบตอบ: 16/04/2013 8:57 pm    ชื่อกระทู้:

DangSalaya บันทึก:





1) ไม่ทราบว่ามะเขืออะไร คล้ายมะเขือเปราะ ลูกใหญ่ แต่กินไม่อร่อยเลย เป็น
ไม้ประดับซะมากกว่า
ตอบ :
มะเขือพม่า พม่าชอบกิน ที่ไร่กล้อมแกล้มเคยปลูก ลูกโตน้องๆมะพร้าว แต่โทษ
ที แหล็ก-ม่าย-ร่าย เนื้อเหนียว เปลือกเหนียว ชี้บบบบบ








5– 6 มะขามยักษ์ ผมเห็นนิยมปลูกกันจังเลย....ฝักใหญ่มาก กินอร่อยมั๊ยครับลุง
ตอบ :
มะขามหวานฝักยักษ์ กินสด ใช้ทำมะขามแช่อิ่ม ดีมากๆ เพราะเนื้อเยอะ ถ้ารอให้
สุกจะทำมะขามเปียก ไม่ดี เพราะเนื้อน้อยมากๆ ฝักแก่แล้วเนื้อเหี่ยว






.
DangSalaya
ตอบตอบ: 16/04/2013 10:17 am    ชื่อกระทู้:

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4 ตอนที่ 7 พืชผักหลากหลายสายพันธุ์

ผมว่างเว้น ห่างหายไปจากกระทู้นี้ซะนาน ...ไม่ทราบว่า ดูรูปผักและผลไม้จากกระทู้นี้แล้ว มีใครเอาไปต่อยอดเป็นแนวคิดปลูกขาย หรือปลูกไว้กินเองบ้างหรือไม่.....

แต่เท่าที่รู้ก็น่าจะมี สมาชิกหลายท่าน ที่อยากทำผักส่งออก สอบถามรายละเอียด PM มาที่ผม ๆ ก็ให้ข้อมูล บอกให้โทรไปติดต่อกับเพื่อนของลูกสาวที่เค้าทำผักส่งออกเอาเอง จะสำเร็จ ประการใดหรือไม่ ผมก็ไม่ได้ติดตาม

คุยต่อเลยนะครับ



1) ไม่ทราบว่ามะเขืออะไร คล้ายมะเขือเปราะ ลูกใหญ่ แต่กินไม่อร่อยเลย
เป็นไม้ประดับซะมากกว่า





2) คนปลูกแตงโม น่าจะคิดทำนะ...ไอ้ที่ปลูกให้เลื้อยบนดินให้ผลผลิตต่อไร่จำนวนมาก
แต่คุณภาพต่ำน่ะ เลิกได้แล้ว เค้าทำกันแบบนี้ครับ ถึงจะขายได้ราคา





3) มะม่วงอะไรครับลุง อร่อยหรือเปล่าครับ แล้วเค้าเอาอะไรพันโคนต้น...เพื่ออะไรครับ ...





4) ปุ๋ยปลาหมัก ต้องสูตรนี้ครับ รับรองได้เลยว่า ออกลูกเป็นลิง เอ๊ย ออกลูกไม่หยุด







5– 6 มะขามยักษ์ ผมเห็นนิยมปลูกกันจังเลย....ฝักใหญ่มาก กินอร่อยมั๊ยครับลุง





7 ..มะเดื่อตุรกี ใช้ทำอะไรได้ครับ





8 โห...อะไรกันนี่ เห็นแล้วทึ่ง ทำได้ยังไง มีอะไรต่อมิอะไรมั่งครับเนี่ย







9 – 10 ฟักทองยักษ์





11 ลูกเก๋ากี๊ สมุนไพรเครื่องตุ๋นยาจีนครับ







12 – 13 ไร่ปอเทืองหรือเปล่า ไม่แน่ใจครับ





14 – ไม่ใช่บ้านเราแน่ ๆ





15 – เอาดอกมาสกัดยากันยุง





16 – เข้าใจทำ





17 – เลี้ยงผึ้ง





18 – ตัวช่วยผสมเกสร





19 – เข้าใจทำจริง ๆ





20 – แอปเปิลสีแดง






21 – ลูกอะไรเอ่ย ไม่รู้จักครับ





22 – แบลคเบอรี่





23 – ลูกไหน รสเปรี้ยว ๆ ฝาด ๆ





24 – ลูกหม่อนครับ

ยังมีต่อครับ

.
kimzagass
ตอบตอบ: 14/01/2013 8:53 pm    ชื่อกระทู้: Re: เกษตรสัญจร ภาค 4 พืชผักผลไม้ขึ้นห้าง,ส่งออก และเกรดฟุตบา

DangSalaya บันทึก:




รูปที่ 15 เน้นที่ฝักข้าวโพด อันนี้ข้อมูลบอกว่า เป็นต้นตระกูลของข้าวโพด
รบกวนลุงคิมกรุณาหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะครับ

ตอบ :


.




ไทยพัฒนาข้าวโพดสีม่วง ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่









สำเร็จ! ไทยพัฒนาข้าวโพดสีม่วง ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่ (กรมประชาสัมพันธ์)

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตรัง ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและปลูกข้าวโพดเหนียวพันธุ์แฟนซีสีม่วง 111 และพันธุ์สีขาวม่วง 212 พบคุณสมบัติเยี่ยมด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง เตรียมเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตได้รุ่นแรก เพื่อแจกจ่ายแก่เกษตรกรที่สนใจ

ทางศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตรัง ประสบความสำเร็จ ในการปลูกข้าวโพดเหนียว พันธุ์แฟนซีสีม่วง 111 และพันธุ์แฟนซีสีขาวม่วง 212 จากการพัฒนาสายพันธุ์มาจาก ข้าวโพดสีม่วงผสมกับข้าวโพดเหนียว ทำให้ได้ข้าวโพดเหนียวสีม่วง ที่มีฝักใหญ่ รสชาตินุ่มลิ้น หวานและเหนียว

โดย สีม่วงเข้มในเมล็ดนั้น เป็นสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก เสริมให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคและสมานแผล เสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง ชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและชะลอความแก่

นอกจากนี้ ข้าวโพดพันธุ์ดังกล่าว ยังให้ผลผลิตสูงถึง 2,500-3,000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใช้ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 60-70 วัน โดยขณะนี้ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง จะทำการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตได้รุ่นแรก เพื่อนำไปทำการขยายพันธุ์เพิ่ม ให้ได้ในปริมาณที่มากขึ้น ก่อนนำไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรผู้สนใจ ทั้งในจังหวัดตรังและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อเผยแพร่การปลูกข้าวโพดพันธุ์ดังกล่าว สร้างรายได้เสริม โดยเฉพาะตลาดคนรักสุขภาพให้การตอบรับอย่างมาก ซึ่งหลังทดลองจำหน่ายฝักสดแก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชม ภายในศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง ปรากฏว่าปริมาณสินค้า มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ข้าวโพดแฟนซีสีม่วง กำลังได้ความสนใจจากเกษตรกร ซึ่งทางศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง จะส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปปลูกในไม่ช้านี้ ซึ่ง เชื่อว่าข้าวโพดเหนียวสีม่วงนี้ จะเป็นที่นิยมรับประทานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีรสชาติดี คุณค่าทางอาหารสูง และเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ



http://board.postjung.com/594553.html[/quote]
kimzagass
ตอบตอบ: 14/01/2013 7:51 pm    ชื่อกระทู้: Re: เกษตรสัญจร ภาค 4 พืชผักผลไม้ขึ้นห้าง,ส่งออก และเกรดฟุตบา

DangSalaya บันทึก:




รูปที่ 10 ปลูกหัวไชเท้าต้องให้ได้แบบนี้
COMMENT :
เตรียมดิน (สำคัญที่สุด) ..... ขี้ไก่ แกลบดิบ กระดูกป่น ยิบซั่ม....บ่มดินด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24

บำรุงระยะลงหัวแล้ว :
ทางใบ......ไบโออิ + 5-10-40 + สารสมุนไพร ทุก 10 วัน
ทางราก.....ระเบิดเถิดเทิง 5-10-40 ทุก 20 วัน

หมายเหตุ :
แปลงไชเท้าที่บ่อพลอย ใช้สูตรนี้ได้หัวใหญ่กว่าน่อง ส่งโรงงานทำไขเท้าแบบหั่นเป็นเส้น ดีมาก




รูปที่ 18 น่าจะเป็น "เพลี้ยอ่อน" นะครับ....ขอทราบวิธีป้องกัน และการกำจัดด้วย
ตอบ :
เหล้าขาว 1 ล. + น้ำส้มสายชู 150 ซีซี. ผสมกันได้ "หัวเชื้อ" เข้มข้นพร้อมใช้
ใช้ "น้ำ 20 ล. + หัวเชื้อ 15-20 ซีซี." ฉีดตอนค่ำ วันเว้นวัน

หมายขเหตุ :
ทดสอบความช้มข้นของหัวเชื้อ โดยทดลองฉีดที่ยอด 1 ยอดก่อน เช้ารุ่งขึ้น ถ้าใบไม่ไหม้ถือว่า O.K. ใช้ต่อไปได้.....
แต่ถ้าเช้ารุ่งขึ้นใบไหม้ แสดงว่าหัวเชื้อเข้มข้นมาก ให้ลดอัตราใช้ลงมา

เพลี้ยอ่อนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ไต้ใบพืช ให้ฉีดเน้นที่ใต้ใบ
เพลี้ยอ่อนโดนสารตัวนี้ ตัวดำปี๋ ตายสนิท



.
[/quote][/quote]
DangSalaya
ตอบตอบ: 13/01/2013 11:25 pm    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร ภาค 4 พืชผักผลไม้ขึ้นห้าง,ส่งออก และเกรดฟุตบาท

สวัสดีปีใหม่(อีกครั้ง)ครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน

เกษตรสัญจร ภาค 4 ว่าด้วยพืชผัก ผลไม้ เกรดขึ้นห้าง, ส่งออก และ เกรดฟุตบาท

ตอนที่ 6 ผักส่งออกจากปากช่อง – เมื่อ 4 มกราคม 2556



ขอฝากรูปนี้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลุงคิม และเพื่อนสมาชิกที่ปลูกผัก ทั้งขึ้นห้าง ส่งออก และแบกะดินริมฟุตบาท

รูปนี้ เข้าใจทำ เข้าใจจัด โทนสี จริง ๆ ส้ม แดง เหลือง เขียว ถึงม่วง .....อย่าคิดว่าผักเกรดแบกะดินริมฟุตบาทจะส่งออกไม่ได้
ส่งได้ครับ เพียงแต่ว่าคุณไม่เปลี่ยนวิธีทำจากผักแบกะดินให้กลายเป็นผักส่งออกเอง

ก่อนปีใหม่ เน๊ตมันรวน ใช้งานไม่ได้ พอช่างมาแก้ไขให้เรียบร้อย(กล่องรับสัญญาณโดนฟ้าผ่า ถอดออกมาข้างในดำปี๋ ช่างเลย
เปลี่ยนกล่องให้ใหม่ บอกช่างช่วย Tune ให้รับสัญญาณได้ซัก 10 Mb ช่างบอก OK ได้เลยน้า ....ก็เลยตอบแทนน้ำใจ ให้
ไปกลมนึง ช่างยิ้มแป้นเลย)

พอเน๊ตดี คอมฯ มันรวนใช้งานไม่ได้ขึ้นมาอีก (ความจริงมันก็เก่า งั่ก เกือบจะ 10 ปีแล้วมั๊ง) ข้อมูลทั้งหลายแหล่อยู่ในเครื่อง ยัง
ไม่ได้ส่งซ่อม... ผมเก็บข้อมูลบางส่วนไว้ใน Thumb Drive โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับรายการลุงคิม ก็บังเอิญว่า ลูกเค้าเปลี่ยน
เครื่องคอมใหม่ ผมก็เลยขอเอามาใช้ ...เอา Thumb Drive มาเสียบเข้า ก็พอ กล้อมแกล้ม ๆ ทำได้เท่าที่ทำ........

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา คุยให้ฟังต่อเลยนะครับ

ผมนำเสนอเรื่องผักขึ้นห้าง ส่งออก ริมฟุตบาท มาหลายตอนเพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เพื่อนสมาชิกเกิดแรงจูงใจ เกิดแรงบันดาลใจ
ที่คิดจะทำ และก็มีหลายท่านติดต่อมาทาง PM ขอให้ผมติดต่อกับเพื่อนลูกสาวที่เค้าทำผักขึ้นห้างและผักส่งออก ผมก็ให้ข้อมูล
ว่า ไปติดต่อคุยกันเอง ...จะมีใครไปถึงดวงดาว หรือมีใครยังเดินดินอยู่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน



รูป 1 คนเสื้อเหลืองผมยาว เพื่อนลูกสาว คนยืนมือไพล่หลังสามีเค้า สองคนนี่คือคนที่ทำผักขึ้นห้าง ส่งออก ที่เห็นหน้านี่ลูกชาย
...ไปรับซื้อผักที่ปากช่อง เมื่อวันที่ 4 มค.56 ที่ผ่านมานี่เอง





รูปที่ 2 ความสมบูรณ์ของผักขึ้นห้าง – ส่งออก ปลอดสารพิษนะครับ




รูป 3


รูป 4

รูปที่ 3 - 4 ผักหลากหลายสายพันธุ์




รูป 5


รูป 6

รูปที่ 5 - 6 การแพ็คใส่ถุงเพื่อขนส่งไปคัดแยกอีกครั้งก่อนส่งออก





รูปที่ 7 เมล็ดพันธุ์ผักบรรจุในซองสูญญากาศ ของ บริษัท เฟรนชิป ซีด จำกัด
หน้าซองเขียนว่า มะเขือเทศท้อ BIG MAMA





รูปที่ 8 นี่เป็นดอกของมะเขือเทศท้อ Big Mama ครับ





รูปที่ 9 แตง ซูกีนี





รูปที่ 10 ปลูกหัวไชเท้าต้องให้ได้แบบนี้





รูปที่ 11 การบรรจุมะเขือยาวสีม่วงเพื่อการส่งออก...คุณเชื่อหรือเปล่าว่า มะเขือพันธุ์นี้ปลูกที่เมืองไทย ส่งไปญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นก็
ส่งออกกลับมาขายไทยและไปทั่วโลก น่าคิดมั๊ยครับ





รูปที่ 12 นี่เป็นมะเขือม่วงกลมแบบมะเขือเปราะ





รูปที่ 13 บวบงูที่เหมือนงู ตามข้อมูลบอกว่า เป็นบวบที่วิจัยแล้วว่า มีสารอาหารมากกว่าบวบธรรมดา





รูปที่ 14 ไม่แน่ใจว่า ทดสอบความงอก หรือว่าจงใจทำให้งอกทั้งฝัก





รูปที่ 15 เน้นที่ฝักข้าวโพด อันนี้ข้อมูลบอกว่า เป็นต้นตระกูลของข้าวโพด รบกวนลุงคิมกรุณาหา
ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะครับ






รูปที่ 16 ลูกอะไรครับลุง หรือจะเป็น "มักกะลีผล" ตอนยังเล็กอยู่





รูปที่ 17 ลูกกีวี่ครับ





รูปที่ 18 น่าจะเป็น "เพลี้ยอ่อน" นะครับ....ขอทราบวิธีป้องกัน และการกำจัดด้วย





รูปที่ 19 ตัวนี้คือ "มวนเพชฌฆาต" ถ้าเจออย่าทำลายนะครับ เป็นตัวช่วยทำลายศัตรูพืชได้อย่างยอดเยี่ยม





รูปที่ 20 หาซื้อได้ที่ปากคลองตลาดครับ





รูปที่ 21 เครื่องปลูกข้าวแบบนาดำครับ





รูปที่ 22 บ้านไหน เมืองไหน เค้าก็ปลูกข้าวแบบนาดำกันทั้งนั้น มีแต่พี่ไทย ทำนาหว่าน




ยังมีต่อ....อีก ยาวครับ...

.
kimzagass
ตอบตอบ: 23/12/2012 5:26 pm    ชื่อกระทู้:

.




รูปที่ 29 ทุเรียนฟิลิปปินส์ครับ ...ลุงครับ เอาเมล็ดมันมาปลูกทำต้นตอจะได้มั๊ยครับ ...

-----------------------------------------------------------------------------




ทุเรียนเนื้อสีแดง มาเลเซีย อินโดเนเซีย บอร์เนียว ก็มีนะ คนที่นั่นชอบกินทุเรียน
พันธุ์นี้ เพราะเขาไม่มีก้านหยาว หมอนทอง หลงลับแล หลินลับแล แม้แต่นกหยิบ
ก็ไม่มีกิน

ทุเรียนไทยเพาะเมล็ดแล้วกลายพันธุ์ ไม่รู้เหมือนกันว่า ทุเรียนประเทศอื่นจะกลาย
พันธุ์ไหม ?

เมล็ดทุเรียนไทยไม่มีระยะพักต้น แกะจากเนื้อปุ๊บต้องลงเพาะปั๊บ ขืนเก็บไว้นานจะ
เสื่อมความงอก ไม่รู้เหมือนกันว่า เมล็ดทุเรียนประเทศอื่นเป็นแบบนี้ไหม ?

พยายามหาข้อมูลตามเน็ต หาเท่าไหร่ๆ ๆๆ ๆๆ ก็ไม่เจอ....


อยากรู้ เอาเมล็ดมาซี่ จะเพาะให้ดู เพาะแล้วงอกคืองอก ไม่งอกคือเน่า
หรือจะเอาต้นมาก็ได้ แล้วเอายอดเขามาใส่ยอดเรา เอ้....แบบนี้น่าจะชัวร์กว่าน


.
DangSalaya
ตอบตอบ: 22/12/2012 12:13 am    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 4 ผักไฮโซ VS ผักริมฟุตบาท ตอน ไอเดียบรรเจิด

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน


เกษตรสัญจร 4 ผักไฮโซ VS ผักริมฟุตบาท ตอน ไอเดียบรรเจิด


ตอนที่ 5 ความคิดสร้างสรรค์แบบแปลก ๆ



เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา คุยให้ฟังต่อเลยนะครับ





รูปที่ 1 ซุ้มบวบหอม



รูปที่ 2 ซุ้มมะระจีน



รูปที่ 3 มะระพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ เจไดท์ ครับ

รูปที่ 1 – 3 เป็นภาพบางส่วนจาก กรมวิชาการเกษตรจัดงาน "งานวิจัยใช้ได้จริง" เมื่อไม่นานมานี้(นานแค่ไหนไม่ได้บอกเอาไว้)






รูปที่ 4 มะระพันธุ์ เจไดท์ 1807






5- น้ำเต้า






6- คุณรู้จักสายพันธุ์น้ำเต้ามากน้อยแค่ไหน





7- กำแพงต้นไม้





8- อาหารโปรดของพวก ฮอบบิท





9- คอนเซพท์ของลุงคิม





10- ไอดียเจ๋งมาก





11- ชุดปลูกผักไฮโดรฯ ขายในญี่ปุ่น





รูปที่ 12 ปลูกผักในกล่องโฟม

ทำได้ง่ายๆโดยเอาฝากล่องมาเจารูตามจำนวนพืชที่ต้องการปลูก เจาะรูสำหรับเทน้ำด้วยนะ ส่วนด้านในกล่องเอาฟองน้ำมาใส่ ก้นกระถางเอาเศษผ้ามาตัดให้เป็นเส้นเพื่อให้พืชดูดน้ำจากเศษผ้าขึ้นไปหาราก ระบบแบบที่เห็นในภาพเป็นแบบไร้ดินจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยไฮโดรโพนิกส์รดให้แก่ต้นพืชแต่ใครจะนำไปใช้กับน้ำหมักก็คงได้ต้องลองดู


อีกวิธีหนึ่ง

หากะละมังกลมทึบแสงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางปากประมาณ 30 - 60 cm ความลึกไม่น้อยกว่า 10 cm สามารถใช้เป็นเครื่องปลูกได้ดี

อุปกรณ์อื่นๆ ใช้เช่นเดียวกับชุดปลูกขนาดเล็กจากถังอเนกประสงค์ เครื่องพ่นอากาศใช้ขนาดประมาณ 1.5 - 2.5 วัตต์ หรือพ่นอากาศได้ประมาณ 1.5 - 2.5 ลิตร/นาที

เจาะรูแผ่นโฟมตรงกลางหรือขอบ 1 รู เพื่อสอดท่อลมลงไป และเพื่อไว้ตรวจสอบระดับสารละลาย เจาะรูสำหรับปลูกผักให้แต่ละรูห่างกัน 10 - 25 cm แล้วแต่ชนิดของผักที่ต้องการปลูก ปลูกโดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

1) เพาะกล้าให้มีอายุ 7 - 14 วัน แล้วแต่ชนิดของผัก หรือเมื่อกล้าเริ่มแตกใบแท้

2) เติมสารละลายพร้อมปลูกลงในกะละมังให้ถึงแผ่นโฟมพอดี หากใช้น้ำประปาเตรียมสารละลาย ควรเปิดน้ำประปาใส่ภาชนะ ทิ้งให้แก๊สคลอรีนระเหยให้หมดก่อนนำมาใช้

3) ย้ายต้นกล้าลงปลูกบนแผ่นโฟม ระวังอย่าให้รากพืชขาดและต้นกล้าบอบช้ำมากเกินไป และวางแผ่นโฟมลงในกะละมัง ให้รากพืชจุ่มถึงสารละลาย

4) สอดหัวทรายลงในกะละมังและเปิดเครื่องพ่นอากาศให้ทำงาน ควรวางเครื่องพ่นอากาศให้สูงกว่าระดับสารละลาย เพื่อป้องกันสารละลายไหลเข้าเครื่องในกรณีกระแสไฟฟ้าขัดข้อง หรือติดตั้งวาล์วป้องกัน

5) นำกะละมังไปวางในที่ร่มรำไร หรือพรางแสงด้วยซาเรน 3 - 5 วัน จากนั้นจึงนำไปวางในที่ซึ่งพืชสามารถรับแสงได้เต็มที่

6) ปล่อยให้ระดับสารละลายลดลง 2 - 5 cm เมื่อพืชโตขึ้น หากระดับสารละลายลดลงมากกว่านี้ ให้เติมสารละลายพร้อมปลูกเพิ่มลงไป

7) ผักโดยทั่วไปสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 30 - 45 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของผักนั้นๆ ผักบุ้งสามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่านี้





13- ปลูกผักแบบขั้นบันได





14 ปลูกมันเทศไว้ดูเล่น





15 วิธีการปลูกมันเทศ




16 หม้อข้าวหม้อแกงลิง ปลูกเอาไว้ดักแมลง





17 ไฮโดร บนหลังคา





18 แปลงผักหน้าบ้าน ใคร ๆ ก็ทำได้ ยกเว้นคุณ





19- ฝันที่เป็นจริง และฝันที่ไม่เป็นจริง





20- โหรพาหลากหลายสายพันธุ์





21- พริกบุตโจโลเกีย เผ็ดที่สุดในโลก





22- มีหวังออกลูกในถ้วย





23 ปลูกทิวลิปในหลอดแก้ว





24- ปลูกไว้กินเอง...ปลูกไว้แจก เหลือ เอาไปขาย





25- เมล็ดพันธุ์เมล็ดละ 5 บาท....ปลูกได้ครั้งเดียว





26- ผักสวนใครวะเนี่ย ...ดินต้องมาก่อน ดินต้องมาก่อน และดินต้องมาก่อน





27 เมืองไทย ปลูกได้แล้วนะครับ





28 แมลงอะไรครับลุง





29 ถ้าคุณเป็นคนชอบอ่าน เล่มนี้เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าอ่านครับ





ยังมีต่อครับ
.
DangSalaya
ตอบตอบ: 16/12/2012 8:41 pm    ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 4 ตอนที่ 4 ปลูกข้าวใครว่ายาก

สวัสดีครับลุงคิม …..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน


เกษตรสัญจร ภาค 4..ว่าด้วยพืชผักผลไม้ เกรดขึ้นห้าง, ส่งออก และเกรดฟุตบาท


ตอนที่ 4 ปลูกข้าวใครว่ายาก




ก่อนเข้าเรื่อง....

ขอ @ คุณ ตีน2005 ก่อน

ขอบคุณที่แนะนำ หนังสือต่าง ๆ ให้ Load คุณชอบเปิด Link ผมก็มีให้คุณเหมือน กัลล์ ลอง Load ไปอ่านดู แล้วลงมือทำ

ขอแนะนำ สุดยอดคัมภีร์การปลูกข้าว !!! เนื้อหามีรูปประกอบ + คำอธิบายสั้น ๆ อ่านเข้าใจง่าย

หนังสือ "A farmer's primer on growing rice" ... IRRI (ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกข้าว - IRRI ) - ดาวน์โหลดได้ฟรี ได้ตามลิงค์นี้ครับ

http://books.irri.org/9712200299_content.pdf

http://books.google.co.th/books?id=tDexNoyZ7AAC&printsec=frontcover&source=gbs_ge_summary_r&cad=0#v=onepage&q&f=false

http://www.facebook.com/media/set/?set=a.247997571913843.61560.143471139033154&type=3&l=57a39ddeba

พิมพ์ก่อนปี พ.ศ. 2524 เพราะมีการนำตำราของ IRRI ,แปลและพิมพ์เล่มภาษาไทยครับ นานหลายปีแล้ว คงต้องหาตามร้านหนังสือว่ายังมีหลงเหลือบ้างหรือเปล่า

ชื่อหนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกข้าว (พิมพ์ครั้งที่ 4)
ISBN 9740849431
แปลโดย อภิชาติ เถาว์โถ ฯ : เบนิโต เอส เวอการา
พิมพ์ที่ ไทยวัฒนาพานิช
พิมพ์ปี 2524
221 หน้า น้ำหนัก 300 กรัม
ราคาเดิม 150 บาท พิเศษ 135 บาท (คุณมงคลบอกมาว่า ไม่มีขายแล้ว)

หนังสือชุดนี้เก่ากว่าของคุณ ตีน 2005 อีกนะ น่าจะก่อนคุณเกิดซะด้วยซ้ำ แต่ ลุงคิม หรือนักวิชาการก็ยังนำมาใช้อ้างอิง ลอง LOAD ไปอ่านดู เผื่อจะทำข้าวหอมมะลิ105ในฝันได้ 100 ถังต่อไร่ แล้วอย่าลืมเอารูปของจริงที่คุณทำมาลงเว็ปให้สมาชิกได้ดู ได้ศึกษากันบ้าง ว่าคุณทำได้ยังไง แต่ต้องหอมตั้งแต่ตอนหุงจนกระทั่งถึงตอนตักมากินนะครับ ไม่ใช่ แบบหอมปทุม 1 หรือหอมสุพรรณ 1
ตอนหุงหอม แต่ตอนตักมากิน ไม่หอม แถมกระด้างดังศิลาประหลาดใจนะครับ ...

หรือทำนาครั้งใหม่ เกี่ยวแล้วสีเป็นข้าวสาร หรือข้าวกล้องก็ได้ เอามาฝากให้ลุงคิมพิสูจน์กลิ่นหอมซักหน่อยปะไร ...คุณว่ามั๊ย

ส่วนของผม ข้าวกล้อง กข15 จากเชียงราย ข้าวหอมนิลจาก กุดชุม จากปาย จากกะเหรี่ยงบนยอดดอย ผ่านการพิสูจน์จาก คิมซากัสส์มาแล้ว ชัวร์ครับ



มาเข้าเรื่อง ผักเกรดขึ้นห้าง ส่งออก เกรดฟุตบาทต่อดีกว่าครับ ตอนนี้นำเสนอ -ปลูกข้าวใครว่ายาก

ผมบอกแล้วว่า ใครอยากทำผักขึ้นห้าง ผักส่งออก หรือผักเกรดฟุตบาท อยากรู้เรื่องว่าเค้าทำกันยังไง ติดต่อมา เพื่อนของลูกสาวเค้าทำผักประเภทขึ้นห้างและส่งออกอยู่ครับ จะได้คุยติดต่อกันโดยตรง แล้วตอนนี้ เค้าต้องการ เห็ดโคนญี่ปุ่น ...

ถ้าหากว่าแค่ 10 -20 โลไม่ต้องคุยนะครับ ต้อง 50 – 100 โลขึ้นถึงจะคุ้มค่าน้ำมันรถและค่าเสียเวลา ....ผมก็ลืมถามระยะทางไกล จากกรุงเทพฯ เอาไกลสุดระยะทางกี่กิโลเมตร ได้ข้อมูลแล้วจะมาบอกอีกครั้ง





1. ปลูกข้าวไว้กินเอง ใครว่ายาก





2. ปลูกในกะละมังก็ยังได้





3. ปลูกในขวดน้ำ 5 ลิตรก็ได้เหมือนกัน





4. ปลูกในถังก็ได้อีกนั่นแหละ





5. ปลูกในบ่อซีเมนต์ ได้ผลผลิต 1.8 กก. แต่ไม่ได้บอกว่าใช้ข้าวปลูกกี่เมล็ด





6. ปลูกในบ่อซีเมนต์





7. ปลูกบนดาดฟ้าก็ยังได้





8. ปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ในกระถาง


ลองปลูกกันดูครับ รับรองว่าต้องได้กินข้าวแน่ ๆ จะมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตอนที่ข้าวออกรวงระยะตากเกสร มันเป็นภาพที่สวยงามจริง ๆ สมกับที่ข้าว เป็นพืชชนิดเดียวในโลกที่มีเทพนารีประจำ ไม่ใช่ของไทยประเทศเดียวนะครับ กรีก อียิปต์ แม้กระะทั่งเผ่ามายา มีหมดแหละครับ



ยังมีผักแปลก ๆ ที่น่าสนใจ อีกยาวครับ ...ช่วยกันปลูกส่งญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นก็แพ็คติดตราภาษาญี่ปุ่นส่งกลับมาขึ้นห้างขายในเมืองไทย



ขอบคุณครับลุง


.