kimzagass |
ตอบ: 11/08/2018 6:23 am ชื่อกระทู้: |
|
.
.
การปฏิรูปชาวนาไทย :
กลุ่มงานบริการวิชาการ 2 สำนักวิชาการ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ข้าวนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศ หนึ่งในห้าของพื้นที่ของประเทศไทยหรือประมาณ 70 ล้านไร่เป็นพื้นที่นา โดยพื้นที่นาส่วนใหญ่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และอยู่นอกเขตชลประทาน (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2557, น. 9)
ประเทศไทยมีชาวนาเกือบสี่ล้าน ครัวเรือน ผลิตข้าวเปลือกเฉลี่ยปีละ 30 กว่าล้านตัน สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณ 200,000 ล้านบาท รวมทั้งใช้บริโภคภายในประเทศคิดเป็นมูลค่าปีละ 230,000 ล้านบาท รวมมูลค่าของข้าวเฉลี่ยปีละประมาณ 430,000 ล้านบาท (เร่งปรับปรุง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาข้าวฯ, 2557)
ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวสู่ตลาดโลก มากที่สุด โดยคู่แข่งการส่งออกข้าวที่สำคัญคือ เวียดนาม ที่ผ่านมาชาวนาส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน และมีรายได้น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับอาชีพอื่น ๆ
จากการสำรวจพบว่าขนาดการถือครองที่ดินของชาวนามีแนวโน้มลดลง ต้นทุนการผลิตข้าวแต่ละประเภทมีต้นทุน เพิ่มขึ้น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้รายงานว่า พ.ศ. 2557 มีต้นทุนการผลิตข้าวชนิดต่างๆ ประมาณ 4,323 - 5,968 บาท/ไร่ ซึ่งต้นทุนการผลิตข้าวจะสูงขึ้นทุกปี ในขณะที่ผลตอบแทนสุทธิของชาวนา (บาท/ไร่) มีแนวโน้มลดลง ( สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2557)
รวมทั้งเกษตรกรมีขนาดหนี้สิน (บาท/ครัวเรือน) เพิ่มขึ้น (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2557, น. 4) ในด้านแรงงานพบว่าแรงงานรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคเกษตร น้อยลง ส่งผลให้อายุเฉลี่ยของแรงงานภาคเกษตรสูงขึ้น (กรวิทย์ ตันศรี, ม.ป.ป.)
เนื่องจากอาชีพชาวนาเป็น อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยธรรมชาติ ได้แก่ ฝนแล้ง น้ำท่วม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม นอกจากปัญหาความเสี่ยง ทางด้านภัยธรรมชาติแล้ว ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้ชาวนาไทยไม่สามารถยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้
โดยสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวนาไทย ได้แก่
1. ปัญหาระบบชลประทานในพื้นที่เพาะปลูกข้าวมีจำกัด ประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมด 320 ล้านไร่ มีศักยภาพในระบบชลประทาน 60 ล้านไร่ ซึ่งมีระบบ ชลประทานแล้วเพียง 29.6 ล้านไร่ และมีพื้นที่ที่สามารถพัฒนาระบบชลประทานได้อีก 30.4 ล้านไร่ พื้นที่ เกษตรน้ำฝน 109 ล้านไร่ สามารถพัฒนาระบบชลประทานได้อีก 9.1 ล้านไร่ โดยร้อยละ 70 ของพื้นที่ปลูกข้าวอยู่นอกเขตชลประทาน
ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูก 149 ล้านไร่ มีพื้นที่ปลูกข้าว 70 ล้านไร่ แยกเป็นพื้นที่ปลูกข้าวในเขตเหมาะสมและเหมาะสมปานกลาง ประมาณ 43 ล้านไร่ และมีพื้นที่ปลูกข้าวที่เหมาะสมน้อยและ ไม่เหมาะสมประมาณ 27 ล้านไร่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนไปปลูกพืชเกษตรอื่นที่เหมาะสมและให้ผลตอบแทนสูงกว่า
โดยพื้นที่เพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่ของประเทศประมาณสามในสี่อยู่ในพื้นที่นาน้ำฝน และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวในที่นาชลประทานประมาณหนึ่งในสี่ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี อย่างไรก็ตามในพื้นที่นาน้ำฝนจะมีผลผลิตต่ำ ประมาณครึ่งหนึ่งของผลผลิตข้าวในพื้นที่ชลประทาน (จัดระบบปลูกข้าวขยายสู่ภาคอีสาน, 2557)
2. ปัญหาการระบาดของศัตรูพืช ชาวนาส่วนใหญ่ประมาณ 600,000 ครัวเรือนต้องเช่าที่นาเพื่อให้มีรายได้เพียงพอ และต้องเร่ง เพาะปลูกข้าวให้ได้มากกว่าปีละ 1 ครั้ง ทำให้เกิดการระบาดของศัตรูพืชได้ง่าย ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูง
เมื่อเผชิญกับความผันผวนของราคาข้าวเปลือก ชาวนาจึงต้องเผชิญกับภาวะหนี้สิน ขาดความมั่นคงทางอาชีพ ขาดสวัสดิการที่เหมาะสมในวัยชราภาพ โดยชาวนาส่วนใหญ่มีอายุมากเฉลี่ย 55 ปีและมีอายุเกินกว่า 60 ปี ประมาณร้อยละ 30 ด้วยปัญหาต่างๆ ที่ยังคงรอการแก้ไขเช่นนี้
เยาวชนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากจึงขาดแรงจูงใจ และละทิ้งไร่นาหันไปประกอบอาชีพอื่นแทน (เร่งปรับปรุง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาข้าวฯ, 2557)
3. ปัญหาชาวนาขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ผลิตโดยศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวมีไม่เพียงพอในการจำหน่ายให้กับ เกษตรกร โดยในแต่ละปีชาวนามีความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อการเพาะปลูกประมาณ 1 ล้านตัน ขณะที่กรมการข้าวสามารถผลิตได้ปีละไม่เกิน 1 แสนตัน (หมู่บ้านผลิตภัณฑ์ข้าวต้นแบบ, 2555)
ส่งผลให้เกิด ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าว และไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ชาวนาแก้ปัญหาด้วยการเก็บเมล็ด พันธุ์ไว้ใช้เอง โดยชาวนาบางส่วนไม่มีความรู้ในเรื่องการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ให้ถูกวิธีและมีคุณภาพ ไม่ทราบวิธีการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ทำให้ได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ไม่บริสุทธิ์ พันธุ์ไม่แท้ คุณภาพไม่ดี มีเปอร์เซ็นต์การงอกน้อย ส่งผลให้ได้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ
4. ปัญหาต้นทุนการผลิตต่อไร่สูง การปลูกข้าวของชาวนานั้น ชาวนาต้องอาศัยปัจจัยการผลิตที่สำคัญหลายปัจจัยได้แก่ เครื่องจักรกลทางการเกษตร น้ำมันเชื้อเพลิง ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช เป็นต้น
เพื่อการผลิตและให้ ได้ผลผลิตหรือผลตอบแทนมากขึ้น แต่ปัจจัยการผลิตดังกล่าวมีราคาค่อนข้างแพง เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องนำเข้า จากต่างประเทศ และใช้ในปริมาณที่มาก
นอกจากนี้การใช้ปุ๋ยเคมีเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพของดิน ทำให้ดินเสื่อมสภาพหรือไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้ผลผลิตข้าวแทนที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นกลับมีปริมาณที่ลดลง ทำให้รายได้ที่จะได้รับลดลงตามไปด้วย และไม่เพียงพอกับค่าใช่จ่ายที่ได้ลงทุนไป ชาวนาจึงเกิดภาวะ ขาดทุนและเกิดหนี้สินตามมา
5. ปัญหาราคาข้าว เนื่องจากที่ผ่านมาชาวนาไทยอยู่ในสภาพที่ถูกกำหนดให้เข้าสู่ระบบทุนหรือระบบตลาด โดยที่ชาวนาไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปกำหนดทิศทาง เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา ชาวนาขาดอำนาจในการต่อรอง ถูกกดขี่ ขูดรีดจากพ่อค้าคนกลาง เนื่องจากกลไกการตลาดเป็นของพ่อค้าคนกลาง ซึ่งซับซ้อนมากขึ้นจากพ่อค้าในประเทศ เพิ่มเป็นพ่อค้าต่างประเทศในระบบตลาดโลก ชาวนาเป็นผู้ผลิต แต่ไม่ได้จัดการ ผลผลิตโดยตนเอง แตกต่างจากผลผลิตของบริษัทเอกชนทั่วไปที่สามารถกำหนดราคาขายได้ (ข้าว : นโยบาย การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน, 2552)
6. ปัญหาหนี้สิน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว ชาวนาจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว เพื่อให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอกที่ต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้น และที่สำคัญเนื่องจากราคาข้าวตกต่ำ ชาวนาจึงมีรายได้ที่ไม่พอกับค่าใช้จ่ายจำเป็น ต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว และใช้เป็นค่าลงทุนครั้งต่อไป
จากข้อมูลตัวเลขหนี้สินของเกษตรกร (รวมถึงชาวนา) ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2554/55 พบว่า ครัวเรือนภาคการเกษตรทั้งหมดมีหนี้สิน เพิ่มขึ้นจาก 204,117 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2542 เป็น 456,339 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาของกลุ่ม ปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน (กลุ่มโลโคลแอค) ที่พบว่าชาวนาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีหนี้สินเฉลี่ยถึง 401,679 บาทต่อครอบครัว และชาวนาในจังหวัดเพชรบุรี มีหนี้สินเฉลี่ยถึง 371,091 บาทต่อครอบครัว (ชาวนาอยุธยา อ่วมแบกหนี้, 2557)
7. ปัญหาไร้ที่ดินทำกิน ชาวนาส่วนใหญ่อยู่ในสภาพไร้ที่ดินทำกินเป็นของตนเอง หรือต้องเช่าที่ดินเพื่อปลูกข้าว ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุที่สำคัญ อาทิ
ชาวนาต้องขายที่ดินให้กับนายทุน อันเนื่องมาจากปัญหาหนี้สิน และจากการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. 2554 พบว่ามีเกษตรกรที่เช่าที่ดินผู้อื่นเป็นพื้นที่ร้อยละ 19.6 ของพื้นที่เกษตรทั้งหมด 149.25 ล้านไร่ พบว่าในภาคกลางสูงที่สุดประมาณร้อยละ 36 ถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ โดยพบสูงที่สุดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการเช่าที่ดินมากถึงร้อยละ 72 ของพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน (กลุ่มโลโคลแอค) ที่พบว่าใน พ.ศ. 2555 มีเกษตรกรเช่านาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สูงถึงร้อยละ 85
นอกจากนี้เกษตรกรภาคกลางต้องจ่ายค่าเช่าที่ดิน สูงถึงไร่ละ 1,500-2,500 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20-25 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ในขณะที่ต้นทุนการผลิตรวมทั้งเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 30-45 ของต้นทุนการผลิต (สัมภาษณ์: 1 ปีประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ รับบทกาวใจม็อบชาวนา-รัฐบาล, 2557)
8. ปัญหางบประมาณการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตข้าวน้อยเกินไป ประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควรกับการวิจัยและพัฒนาในเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ข้าว รวมไปถึงเทคโนโลยีในการเพาะปลูก
การพัฒนาความรู้ความสามารถให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว สังเกตได้จาก การกำหนดนโยบายของรัฐบาลซึ่งจะเน้นด้านราคาข้าวมากกว่าที่จะสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา
ในขณะที่ ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งข้าวที่สำคัญ ให้ความสำคัญกับเรื่องการวิจัยและการพัฒนาเป็นอย่างมาก โดยทุ่มงบประมาณหลายพันล้านบาทต่อปี ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เวียดนามสามารถพัฒนาด้านการผลิตข้าวได้อย่างรวดเร็ว
ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยพันธุ์ข้าว กำหนดทิศทางให้ชัดเจนว่าจะพัฒนาไปทางใดบ้าง และจะมีวิธีการเพิ่มคุณภาพของข้าวได้อย่างไร (สารสิน วีรผล, 2554)
ข้อเสนอแนวทางปฏิรูปชาวนา ตามที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้เสนอไว้ ได้แก่
1. การจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชนระดับอำเภอ
2. การประกันรายได้เกษตรกรชาวนาเพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคา
3. การประกันภัยธรรมชาติเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
4. การจัดสวัสดิการชาวนาเพื่อให้มีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ
5. ส่งเสริมการใช้ระบบสหกรณ์อย่างจริงจัง
6. การกำหนดระบบพื้นที่ปลูกข้าว (Zoning)
7. เพิ่มการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนาข้าวไทย
ข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปชาวนา ทางด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชาวนา ตามที่หน่วยงาน ภาครัฐและเอกชนได้เสนอไว้ ได้แก่
1. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสวัสดิการชาวนา เพื่อจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชาวนา ที่เสนอโดยกรมการ ข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และเห็นสมควรให้ ทบทวนในด้านหลักการและเหตุผลความจำเป็นในการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชาวนา การบริหารจัดการ
ภาระงบประมาณของรัฐ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งความซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น ตลอดจน ความยั่งยืนของกองทุน
2. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อการคุ้มครองพื้นที่สำหรับทำการเกษตร ไม่ให้ที่ดินถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น
3. ร่างพระราชบัญญัติโฉนดชุมชน เพื่อการจัดพื้นที่สาธารณะของรัฐที่เหมาะสมต่อการปลูกข้าว ร่างพระราชบัญญัติทั้งสามฉบับ ล้วนเป็นสิ่งที่ภาครัฐและเอกชน ได้ดำเนินการศึกษามาเป็นเบื้องต้นแล้ว หากได้นำมาปรับปรุงพิจารณาแก้ไขให้สอดคล้องเหมาะสม จะเป็นประโยชน์ในการปฏิรูปชาวนา และประเทศชาติ สืบไป
http://library2.parliament.go.th/ebook/content-issue/2557/hi2557-003.pdf
---------------------------------------------------------------------------------
. |
|