-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ขี้แดดนาเกลือ....
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ขี้แดดนาเกลือ....

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 05/04/2011 9:19 pm    ชื่อกระทู้: ขี้แดดนาเกลือ.... ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขี้แดดนาเกลือ

เกิดจากสาหร่าย ตะไคร้น้ำและจุลินทรีย์เล็กๆ ในน้ำฝนและน้ำกร่อยที่อยู่ในนาเกลือ เมื่อน้ำในนาเกลือแห้งลงประมาณช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปีจะเกิดเป็นสีน้ำตาลดำแตกระแหงเต็มในนาเกลือ และถ้าเอาไปแช่น้ำจะมีกลิ่นเหมือนสุนัขตาย ชาวบ้านเรียก "ดินหนังหมา" สำหรับนาเกลือแล้ว ขี้แดดนาเกลือถือเป็นปัญหาของชาวนาเกลือ เพราะนอกจากต้องเสียแรงงานในการขุดขี้แดดนาเกลือแล้ว ยังต้องหาพื้นที่กองขี้แดดซึ่งมีมากขึ้นทุกปีประมาณ 600-1,000 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี

คุณสมบัติของขี้แดดนาเกลือ
1. ทางกายภาพ รูปร่างภายนอกจะเป็นแผ่นบางๆ หนาประมาณ 2-5 มิลลิเมตร กว้าง-ยาว 2-3 นิ้ว มีสีดำอมน้ำตาล เมื่อแห้งสนิท ถ้าใช้มือบีบจะกรอบและหักง่าย เมื่อนำไปแช่น้ำจะอุ้มน้ำได้ดี

2. ทางชีวภาพ ขี้แดดนาเกลือ เกิดจากสาหร่าย ตะไคร่น้ำและจุลินทรีย์เล็กๆ ในน้ำจืดและน้ำกร่อย ในนาเกลือ เมื่อถูกแดดจะแห้งเป็นแผ่นบางๆ ถ้านำไปแช่น้ำจะมีกลิ่นเหม็นคล้ายสุนัขตายเพราะเกิดการเน่า ขี้แดดนาเกลือใหม่ๆ จะมีรสเค็มเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นขี้แดดค้างมีรสเค็มจะน้อยลงหรือหายไป

3. คุณสมบัติทางเคมี จากการวิเคราะห์ของภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ดำเนินการวิเคราะห์ โดย ผศ.ดร.ณรงค์ ฉิมพาลี พบว่า ขี้แดดนาเกลือมีธาตุอาหารฟอสฟอรัส (P2O5) 0.13% และโพแทสเซียม (K2O) 2%


การใช้ประโยชน์จากขี้แดดนาเกลือในทางการเกษตร
เนื่องจากมีธาตุ P2O5 และ K2O และช่วยปรับโครงสร้างของดินให้ร่วนซุย จึงมีประโยชน์ดังนี้

1. ใช้กับไม้ผล
จากการทดสอบกับชมพู่เพชร ส้มโอขาวใหญ่ มะนาว ละมุด พุทรา ฝรั่ง มะละกอ ทับทิม แตงโม แตงไทย ฯลฯ ปรากฏว่ามีการเจริญเติบโตดี เนื้อแน่น สีสด รสชาติหวานขึ้น

2. ใช้กับพืชผัก
จากการทดสอบกับบวบ กวางตุ้ง ผักกาดขาว กะเพรา โหระพา ฯลฯ เจริญเติบโตดี ถ้าเป็นพืชหัว หัวจะแน่น ถ้ามีดอกจะดก


3. ใช้เลี้ยงสัตว์
ใช้ในการเลี้ยงนกและไก่ จะเจริญเติบโตดี ไก่จะไม่จิกกันเอง ขนไม่หลุดง่าย และสามารถใช้เลี้ยงปลาหมอเทศ และปลากระบอกได้


ราคาขี้แดดนาเกลือ
- จากนาเกลือ กิโลกรัมละ 1 บาท
- หลังจากบดแล้วจะขาย กิโลกรัมละ 2-3 บาท


ข้อเสนอแนะในการใช้ขี้แดดนาเกลือ
1. ขี้แดดนาเกลือใหม่ๆ ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้กับต้นไม้ หรือถ้าจะใช้ก็ต้องใช้แต่น้อยและรดน้ำตาม แต่ถ้าเป็นขี้แดดเก่าค้างปี รสเค็มจะน้อยลงหรือหายไป

2. ควรใช้ร่วมกับปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก

3. หลังใช้ สังเกตการเจริญเติบโต ถ้าพืชมีอาการใบไหม้ หรือแคระแกร็น ให้หยุดใช้ และรดน้ำจืดตามมากๆ จะช่วยได้


http://siweb.dss.go.th/qa/search/search_description.asp?QA_ID=857
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 05/04/2011 9:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขี้แดดนาเกลือ ผลพลอยได้กำไรดี มีจำหน่ายที่แม่กลอง”

นายสรณพงษ์ บัวโรย นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร ระดับชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า จากปัญหาของชาวนาเกลือในแถบจังหวัดสมุทรสงคราม และสมุทรสาคร ก่อนฤดูทำนาเกลือของทุกปี ประมาณเดือนพฤศจิกายน ชาวนาเกลือจะต้องขูดขี้แดดในนาเกลือ ในนาอันตากและนาอันเชื้อทิ้งทุกปี และจะได้ขี้แดดนาเกลือเป็นจำนวนมาก โดยไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อะไร เพราะถ้าไม่ขูดขี้แดดนาเกลือออกทิ้งไป จะเป็นปัญหาและอุปสรรคในการทำนาเกลือในครั้งต่อไป คือ ขี้แดดนาเกลือจะคอยบังแสงแดด ทำให้น้ำเค็มเปลี่ยนเป็นเกลือได้ช้ากว่าปกติ และขี้แดดนาเกลือจะไปปนเปื้อนในเกลือได้ ทำให้เกลือไม่สะอาด ชาวนาเกลือจึงต้องขูดขี้แดด

นาเกลือออกทิ้งทุกปี ปีละหลายพันตัน
ตอบคำถามที่ว่า ขี้แดดนาเกลือ คืออะไร ขี้แดดนาเกลือ คือ สาหร่ายตะไคร่น้ำ และแพลงตอนต่างๆ ในนาเกลือที่จับตัวเป็นแผ่นบางๆ แห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลปนดำ ที่แฝงอยู่ในนาเกลือทั้งอันตากหรืออันเชื้อ ชาวนาเกลือเรียกกันว่า “ดินหนังหมา” จะเกิดในช่วงฤดูฝนที่พักการทำนาเกลือ และชาวนาเกลือจะขูดขี้แดดนาเกลือดังกล่าวออกทิ้งช่วงของเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมของทุกปี ก่อนที่จะทำนาเกลือในปีต่อไป

การเกิดขี้แดดนาเกลือในช่วงที่ชาวนาเกลือหยุดพักการทำนาเกลือในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ของทุกปี น้ำฝนที่ขังอยู่ในนาเกลือ จะทำให้เกิดพืชชั้นต่ำที่เรียกว่า “สาหร่าย” และตระไคร่น้ำ เกาะอยู่ในนาเกลือ เมื่อหมดช่วงฤดูฝน ชาวนาเกลือจะปล่อยน้ำในนาเกลือทิ้ง เพื่อเตรียมจะทำนาเกลือในปีต่อไป สาหร่ายและตระไคร่น้ำ รวมทั้งจุลินทรีย์สาร เหล่านั้น จะแห้งจับตัวกันเป็นแผ่นสีน้ำตาลเข้ม ตกสะเก็ดเป็นแผ่นในนาเกลืออันตากและอันเชื้อ ชาวนาเกลือจะเรียกกันว่า “ดินหนังหมา หรือขี้แดดนาเกลือ” ซึ่งเป็นปัญหาของชาวนาเกลือที่ต้องขูดทิ้งทุกปี ก่อนทำนาเกลือ

สำหรับปริมาณขี้แดดในนาเกลือที่เกิดขึ้น ในนาอันตากและนาอันเชื้อ ในแต่ละปีในเนื้อที่ 1 ไร่ จะเกิดขี้แดดปริมาณ 500-1,000 กิโลกรัม จังหวัดสมุทรสงคราม มีการทำนาเกลือในปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณเพียงประมาณ 3,000-4,000 ไร่ ก็จะได้ขี้แดดในนาเกลือประมาณปีละ 1,000-2,000 ตัน เมื่อขี้แดดนาเกลือดังกล่าวมีประโยชน์มากด้วยคุณค่าและมีราคาดี ส่งผลให้ชาวนาเกลือได้เงิน 2 ต่อ คือ ได้จากขายเม็ดเกลือ และยังได้จากการขายขี้แดดนาเกลือ จึงเป็นผลพลอยได้ที่ได้กำไรดี


ส่วนคุณสมบัติของขี้แดดนาเกลือแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ
1. คุณสมบัติทางกายภาพ จากการสังเกตรูปร่างภายนอก ขี้แดดนาเกลือเป็นแผ่นบางๆ หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตรมีสีดำอมน้ำตาล ขนาดแผ่นกว้างยาว 2-3 มิลลิเมตรนี้ เมื่อแห้งสนิท ถ้าใช้มือบีบจะกรอบและหักง่าย เมื่อนำไปแช่น้ำจะอุ้มน้ำได้ดี ถ้าเป็นขี้แดดนาเกลือใหม่ๆ จะมีรสเค็มเล็กน้อย ถ้าเป็นขี้แดดนาเกลือค้างปีรสเค็มจะหายไป เกษตรกรจึงนำไปใส่ต้นไม้ เมื่อนำขี้แดดนาเกลือไปบดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปใส่ต้นไม้ จะช่วยปรับโครงสร้างดินให้ร่วนซุยขึ้น เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชผลทางการเกษตร

2. คุณสมบัติทางชีวภาพ ขี้แดดนาเกลือเกิดจากสาหร่ายและตะไคร่น้ำ และจุลินทรีย์เล็กๆ ในน้ำจืด-กร่อยในนาเกลือ เมื่อถูกแสงแดดจะแห้งเป็นแผ่นบางๆ ถ้านำไปแช่น้ำจะมีกลิ่นเหม็น เพราะเกิดจากการเน่าเสีย จะมีกลิ่นเหม็นคล้ายสุนัขตาย ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า “ดินหนังหมา” ทั้งนี้เกิดจากการหมักตัวของสาหร่ายและตะไคร่น้ำที่ยังมีชีวิตอยู่และความเค็ม จะทำให้เกิดการเน่าเหม็น

ขี้แดดนาเกลือใหม่ๆ จะไม่เหมาะแก่การนำเอาไปทำปุ๋ยหรือดินปลูกต้นไม้ หรือถ้าจะนำไปใช้ ก็ต้องใช้แต่น้อยหรือใช้กับดินจืด การใช้ก็จะใช้ในปริมาณพอสมควร แต่ให้เริ่มจากการใช้น้อยๆ ไปก่อน แล้วใช้สังเกตดูความต้องการของต้นไม้ ถ้าไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ก็เพิ่มตามความเหมาะสมได้

3. สำหรับการค้นหาคุณสมบัติทางเคมี ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยได้นำขี้แดดนาเกลือส่งให้ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ดำเนินการนำไปวิเคราะห์ โดยมี ผศ.ดร.ณรงค์ ฉิมพาลี เป็นผู้วิเคราะห์ ได้ผลวิเคราะห์ออกมาว่า การใช้ประโยชน์จากขี้แดดนาเกลือ

จากการศึกษาและวิจัยของคณะผู้วิจัย พบว่ามีชาวนาเกลือนำเมล็ดแตงโม แตงไทย โยนทิ้งไว้ในกองขี้แดดนาเกลือ ปรากฏว่า เมล็ดแตงโมและแตงไทยแตกยอดออกช่อ เจริญงอกงามเติบโต และติดดอกผลได้ดี ที่สำคัญคุณภาพของผลแตงโมเนื้อจะแน่น สีแดงสด รสชาติหวาน ส่วนผลแตงไทยจะผลใหญ่ เนื้อนุ่ม มีรสหวาน ทานแล้วอร่อยมาก ชาวนาเกลือบางรายนำขี้แดดนาเกลือค้างปีไปใช้ในการปลูกละมุด พุทรา กล้วยน้ำว้า ทับทิม และผักบางชนิด เช่น บวบ มะเขือ พริก ผลไม้ต่างๆ รวมทั้งผักเกือบทุกชนิด เจริญเติบโตดีมาก และผลผลิตออกมามีคุณภาพที่ดี

จากการศึกษาทดลองนำขี้แดดนาเกลือเก่าเกิน 6 เดือน ไปใช้กับผลไม้ใหญ่ ได้แก่ ส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ แก้วมังกร ชมพู่ ขนุน ฝรั่ง ปรากฏว่าทำให้ส้มโอมีรสชาติหวาน
น้ำหนักดี เปลือกบาง เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างมาก และมีเกษตรกรผู้สนใจนำขี้แดดนาเกลือไปใช้พัฒนาคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรอีกหลายชนิด ก็ได้ผลดีเช่นกัน

และจากข้อมูลของกลุ่มเยาวชนเกษตร ซึ่งมีคุณบุญปรอด เจริญฤทธิ์ ไปสอบถามจากกลุ่มสมาชิกปรากฏว่า พบการประโยชน์ได้ดังนี้ ใช้ขี้แดดนาเกลือในการปลูกกะเพรา และใบโหระพา งอกงามดีมาก และยังใช้ขี้แดดนาเกลือในการเลี้ยงนก ให้ไก่ชนและไก่พื้นบ้านกิน ทำให้ไก่ไม่จิกกันเอง และไก่ก็เจริญเติบโตดีมาก และใช้ขี้แดดนาเกลือในการปลูกแตงโม และแตงไทย เนื้อแตงโมจะสีแดงสด และรสชาติหวานจัด แตงไทยจะมีเนื้อดี หอมหวานน่ารับทาน

นอกจากนี้ ขี้แดดนาเกลือ ยังทำปุ๋ยอินทรีย์ ใช้สำหรับบำรุงดิน ทำให้ดินร่วนซุย เหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นพืชอย่างดี


แต่ข้อควรระวัง ในการใช้ปุ๋ยขี้แดดนาเกลือ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร คือ
1. ต้องเป็นขี้แดดนาเกลือที่เป็นสาหร่ายน้ำหนักเบา ไม่ใช่ดินธรรมดาในนาเกลือ

2. ควรใช้ขี้แดดนาเกลือที่เก่า ผ่านการตากแดดตากฝนไว้เกิน 6 เดือนมาแล้ว จึงจะได้ผลดี

3. ปริมาณที่ใช้ขี้แดดนาเกลือที่เกษตรกรนำไปใช้ทำปุ๋ยชีวภาพ เพิ่มความหวานให้กับพืชผักผลไม้นั้น ถ้าใส่ขี้แดดนาเกลือล้วนๆ ให้เริ่มใช้ขี้แดดนาเกลือจากจำนวนน้อยๆ ไปก่อน สังเกตผลผลิตที่ได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณการใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของดิน จะเกิดเป็นผลดี

แหล่งจำหน่ายขี้แดดนาเกลือในจังหวัดสมุทรสงคราม สามารถสอบถามได้ที่ คุณบุญปรอด เจริญฤทธิ์ โทรศัพท์ หมายเลข 08-1856-2673 หรือที่ คุณสรณพงษ์ บัวโรย นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร ระดับชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทรสงคราม โทรศัพท์ 08-1315-3843 ส่วนราคาขี้แดดนาเกลือในปัจจุบัน กิโลกรัมละ 2 บาท มีจำหน่ายที่ตลาดสหกรณ์สมัชชาอาหารปลอดภัยสมุทรสงคราม ถนนพระราม 2 ขาเข้ากรุงเทพฯ เลยทางแยกปากทางเข้าเมืองแม่กลองไปปริมาณ 1.5 กิโลเมตร ติดกับสถานีบริการน้ำมันเชลล์

นอกจากขี้แดดนาเกลือแล้ว ตลาดสมัชชาอาหารปลอดภัยสมุทรสงครามแห่งนี้ ยังจำหน่ายสินค้าทางเกษตรและประมงเกือบทุกชนิดที่ปลอดสารพิษ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านต่างๆ ในเครือข่ายของสมัชชาอาหารปลอดภัยสมุทรสงคราม จึงกล้ารับรองความปลอดภัย



http://www.ryt9.com/s/bmnd/723584
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 05/04/2011 9:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ใช้ขี้แดดนาเกลือใส่สวนส้มโอ


การทำเกษตรในยุคปัจจุบัน ที่ใช้หลัก "วิถีธรรมชาติ" ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นับเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเกษตรกรบ้านเรามาก ซึ่งนอกจากมีความปลอดภัยต่อผู้ผลิต ยังเป็นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการ "เปิบ" อาหารที่ปลอดภัย ยังเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนการจัดการ

ฉะนี้ เพื่อให้เกิดแนวทางการส่งเสริมอย่างมีแบบแผนเป็นรูปธรรม ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงจัดทำ "โครงการอาหารปลอดภัยสมุทรสงคราม" ขึ้น

นายอรุณ เกิดสวัสดิ์ ผู้จัดแผนงานอาหารปลอดภัยฯ บอกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชุมชนทุกอาชีพก็คือ "ความตื่นตัวในเรื่องของอาหารปลอด ภัย" ซึ่งนับว่าเป็นกระแสตอบรับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ มีความสนใจที่จะเข้ามาสัมผัส เรียนรู้ในวิถี แนวทางการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็น "อานิสงส์" ของภาคเกษตรในการผลิตอาหาร

โดยต้องยึดหลักสำคัญคือ "ความปลอดภัย" ออกมาสู่ท้องตลาด เพื่อรองรับกลุ่มคนเหล่านี้ ที่ต้องการเข้ามาสัมผัสเรียนรู้ เก็บประสบการณ์ที่มีอย่างหลาก หลายอาชีพ ทั้งการทำขนมไทยอ่อนหวาน การผลิตน้ำตาลปลอดสาร รวมทั้งการปลูก "ส้มโอขาวอวบ" ของ อาจารย์สมทรง แสงตะวัน ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลบางพรม อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม

อาจารย์สมทรง บอกให้ฟังว่า หลังกลับมารับราชการครูที่บ้านเกิด ช่วงปี 2514 ได้ซื้อที่ดินไว้จำนวนหนึ่ง ภายในพื้นที่ดังกล่าวมีส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่อยู่ 3 ต้น และ มะพร้าวตาล แรกๆนั้นได้เริ่มขยายกิ่งพันธุ์ส้มโอไปเรื่อยๆจนกระทั่งได้ 300 ต้น ในระยะเวลา 7 ปี พอเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตขาย ทำให้มีเงินซื้อที่เพิ่มและปลูกบ้านให้ลูกและภรรยาอยู่

เมื่อเพื่อนบ้านเริ่มสังเกตเห็นว่ามีรายได้ที่ดีขึ้น ต่างเริ่มเข้ามาขอซื้อกิ่งพันธุ์ส้มโอเพื่อไปปลูกบ้าง จึงเข้าทางที่วางไว้นั่นคือ "ความต้องการให้คนในชุมชนมีการรวมกลุ่ม" เพราะจากการสังเกตที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ปรึกษาหารือ คนไหนที่พอมีความรู้บ้างก็จะหวงวิชา อย่างการใช้ปุ๋ยใส่ต้นไม้ ยังเอาฉลากออกไม่ให้เห็นว่าใช้ตราอะไร ดังนั้น หากชาวบ้านได้ทำงานพัฒนาร่วมกัน ช่วยกันคิด ตัดสินใจ มีการรวมกลุ่ม นอกจากทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ยัง แก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางได้

ในช่วงแรกรวบรวมได้ 57 สวน พื้นที่ประมาณ 300 ไร่ ใช้เกณฑ์ปฏิบัติร่วมกันคือ เน้นคุณภาพ ด้วยการเก็บผลผลิตตามกำหนด ถึงแม้ว่าราคาจะสูง คุณ-ธรรม หากผู้บริโภคซื้อไปแล้วกินไม่ได้ จะรับคืนโดยเรามีสติกเกอร์ติดบ่งบอกไว้ว่ามาจากสวนใด และ คุณประโยชน์ เรื่องของอาหารปลอดภัย อย่างการใส่ปุ๋ยเคมี กลุ่มจะใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยชีวภาพที่ได้จากขยะในครัวเรือนมาหมักกับกากน้ำตาล เพื่อให้ได้ ปุ๋ยชีวภาพ มาผสมกับมูลสัตว์หมักไว้ 7 วัน แล้วนำไปใส่ต้นไม้ ทำให้ต้นทุนต่ำ รวมทั้งใช้ ขี้แดดนาเกลือ หรือที่เรียกกันว่า "ดินหนังหมา" ที่เดิมต้องจ้างคนงานขนทิ้ง

อาจารย์สมทรง บอกว่า สมัยเด็ก เคยเห็น พ่อเอาเกลือมาใส่โคนส้มโอ มะพร้าว แล้วเห็นว่าผลผลิตดก จุดนี้เองเลยขอขี้แดดเอามาใส่โคนต้นละ 3 กระสอบ รดน้ำทุกอาทิตย์ ผลผลิตออกมาหลายคนที่กินบอกว่าส้มโอหวานมาก นั่นก็เพราะ ว่า ในขี้แดดนาเกลือประกอบไปด้วย แพลงก์ตอน ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารที่พืชต้องการ ทำหน้าที่ปรับโครงสร้างของดิน เมื่อผลผลิตที่ได้มีคุณภาพ จึง ส่งเข้าประกวดชิงโล่พระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่ศูนย์ ศิลปาชีพบางไทร ซึ่งได้รางวัลยอดเยี่ยม ทำให้สวนส้มโอเราเป็นที่รู้จัก มีสื่อเข้ามาทำข่าว แต่ปีนั้นต้นส้มโอ ตายหมด มารู้สาเหตุทีหลังว่า เพราะใส่มากเกินไป

ปริมาณการใช้คือใส่ขี้แดดเพียงแค่ ต้นละ 2 กก. ก็หวานเพียงพอ โดย ระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการใส่คือก่อนเก็บผลผลิต 50-60 วัน แล้ว รดน้ำทุกอาทิตย์ ซึ่งจะทำให้ส้มโอกรอบหวาน แห้ง ต้นพันธุ์มีอายุนานไม่ต้องเสียเวลายกสวน "โละ" ปลูกใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใส่ในแปลงมะละกอ ชมพู่ แก้วมังกร พุทรา ฝรั่ง ทุกวันนี้นอกจากชาวสวนบางคนทีไม่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี ชาวนาเกลือยังมีรายได้จากการขาย "ขี้แดดหนังหมา" ปีๆหนึ่งโกยเงินเข้ากระเป๋านับล้านบาทกันทีเดียว



ใครที่สนใจแนววิถีธรรมชาติ สามารถกริ๊งกร๊างสอบถามกันได้ที่โทร.08-9829-7100, 0- 3476-1985 ในวันเวลาที่เหมาะสม

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thaihealth.or.th/partner/partner_stor/15929
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 05/04/2011 9:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ลดต้นทุนด้วย ขี้แดดนาเกลือ ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี

จังหวัดสมุทรสงคราม ได้ชื่อว่าเป็นเมือง 3 น้ำ 3 นา ซึ่ง 3 น้ำ หมายถึง น้ำเค็ม น้ำกร่อย และน้ำจืด ส่วน 3 นา คือ นาข้าว นาเกลือ และนากุ้ง อันว่าเกลือนี้ถือเป็นของดีขึ้นชื่อของท้องถิ่น โดยที่สมุทรสงครามมีพื้นที่ทำนาเกลือประมาณ 5,000 ไร่ ใน 2 ตำบล คือ ตำบลบางแก้ว และตำบลลาดใหญ่ ในเขตอำเภอเมืองฯ

หากคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนาเกลือก็คงไม่เคยได้ยินคำว่าขี้แดดนาเกลือ ซึ่งขี้แดดนาเกลือคือ... ในช่วงการหยุดทำนาเกลือหรือการพักนาในช่วงฤดูฝน ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม ซึ่งในช่วงนี้จะมีฝนตกมาขังในอันนาเกลือ ทำให้น้ำกร่อยหรือจืด เกิดสาหร่าย ตะไคร่น้ำ และจุลินทรีย์ต่าง ๆ จับตัวลอยอยู่บนผิวน้ำในอันนาเกลือและจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงประมาณเดือนพฤศจิกายน น้ำในนาเกลือจะแห้งเพราะหมดฤดูฝน ทำให้สาหร่าย ตะไคร่น้ำ และจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในนาเกลือ จะแห้งเป็นแผ่น ตกสะเก็ด มีสีน้ำตาลดำ หนาประมาณ 2-5 มม. สิ่งนี้เองที่เรียกว่า ขี้แดดนาเกลือ

ขี้แดดนาเกลือ หรือที่ชาวนาเกลือเรียกกันว่า ดินหนังหมา ที่เรียกกันว่าดินหนังหมาก็เนื่องมาจาก ถ้าเอาขี้แดดนาเกลือไปรดน้ำให้เปียกชุ่มหรือแช่น้ำแล้ว จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นสุนัขตาย

อนึ่ง คำว่า "อันนา" หมายถึง กระทงนา หรือ พื้นที่สี่เหลี่ยมที่มีคันนาล้อมรอบเรียกว่า อันนา หรือ กระทงนา

เดิมทีขี้แดดนาเกลือ ถือเป็นภาระหนักของชาวนาเกลือในการกำจัดออกไปเมื่อเริ่มต้นฤดูกาลการทำนาเกลือ ชาวนาเกลือจะขูดขี้แดดนาเกลือทิ้งไป เพราะหา ไม่แล้วขี้แดดนาเกลือจะจับตัวเป็นแผ่นเป็นอุปสรรคทำให้แสงแดดส่องไม่ถึงพื้นนาเกลือ ทำให้ได้เกลือน้อย เกลือสกปรก เสียราคา การกำจัดขี้แดดนาเกลือแต่ละครั้งต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานขนขี้แดดออกจากนาเกลือ ภายหลังการศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ของขี้แดด นาเกลือ ทำให้กลายเป็นของดีมีค่า สร้างรายได้อีกทางหนึ่งให้ชาวนาเกลือ ปัจจุบันขี้แดดนาเกลือสามารถขายได้ กก.ละ 1 บาท และหากนำไปบดก่อนจำหน่าย จะตกราคา กก.ละ 2-3 บาท

นายสรณพงษ์ บัว โรย หัวหน้าคณะในการศึกษาวิจัยการใช้ประโยชน์จากขี้แดดนาเกลือ ได้เล่าให้ฟังว่า จากการนำตัวอย่างขี้แดดนาเกลือ บริเวณตำบลบางแก้ว อ.เมืองฯ จ.สมุทรสงครามไปวิเคราะห์หาคุณค่าธาตุอาหารที่ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดย ผศ.ดร.ณรงค์ ฉิมพาลี พบว่าขี้แดดนาเกลือมีธาตุฟอสฟอรัส 0.13% และมีธาตุโพแทสเซียมอยู่ถึง 2% ซึ่งธาตุดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่พืช ผัก ผลไม้ และไม้ดอกเป็นอย่างยิ่ง โดยธาตุฟอสฟอรัสจะช่วยเสริมความแข็งแรงของต้น และกระตุ้นการออกดอกติดผลของพืช ผัก ผลไม้ และดอกไม้ ส่วนธาตุโพแทสเซียมเป็นประโยชน์กับไม้ผล ทำให้ผลไม้มีขนาดใหญ่ขึ้น รสชาติหวานกรอบ ทำให้ผลไม้และดอกไม้มีสีสันสวยงาม นอกจากนี้ขี้แดดนาเกลือยังมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี ทำให้โครงสร้างดินร่วนซุย เหมาะแก่การเจริญเติบโตของรากต้นไม้ทุกชนิด ขณะนี้มีการทดลองใช้ขี้แดดนาเกลือกับพืชผัก ผลไม้แล้วให้ผลเป็นที่น่าพอใจ และเป็นที่คาดว่า ในอนาคตจะส่งเสริมให้ชาวนาเกลือ หมักขี้แดดนาเกลือเพื่อให้ได้ปริมาณมากขึ้นกว่าที่เคยเกิดตามธรรมชาติ เป็นช่องทางสร้างรายได้แก่ ชาวนาเกลือได้อีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการทำนาเกลือในฤดูแล้ง

"...ขี้แดดนาเกลือมีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ กว้างประมาณ 2-3 นิ้ว เมื่อแห้งสนิทจะมีความกรอบและหักง่าย หากนำไปแช่น้ำจะอุ้มน้ำได้ดี ในการใช้ขี้แดดนาเกลือ ควรบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนนำไปใส่ต้นไม้เพื่อกระจายการอุ้มน้ำและช่วยปรับโครงสร้างดินให้ร่วนซุยขึ้น และจัดเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดี ขี้แดดนาเกลือใหม่ ๆ จะมีรสเค็ม ถ้านำไปใส่ต้นไม้ควรใช้ในปริมาณน้อย คอยสังเกตการเจริญเติบโตของพืช ถ้าพบว่ามีลักษณะใบไหม้หรือแคระแกร็นให้หยุดใส่ปุ๋ยและรดน้ำจืดให้มาก ๆ ส่วนขี้แดดนาเกลือเก่าค้างปีรสเค็มจะน้อยลง สามารถใช้ได้ในปริมาณมากตามขนาดของต้นพืชและสภาพดิน หากต้องการเพิ่มความหวานให้ผสมขี้แดดนาเกลือกับปุ๋ยคอก..." หัวหน้าคณะวิจัยกล่าว

นอกจากนำไปใส่ต้นไม้แล้ว ขี้แดดนาเกลือยังสามารถนำไปเลี้ยงปลาหมอเทศ เสริมการให้อาหารรำข้าว ก็เจริญเติบโตได้ดี... นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรที่ปลูกพืชในแถบนาเกลือที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในเรื่องปุ๋ยเคมี ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย.



http://www.talaadthai.com/web/resource/detail.asp?groupid=5&subjectid=373&pageno=
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 06/04/2011 4:24 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ส้มบางมด

ได้ชื่อตามถิ่นที่ปลูก คือ แขวงบางมด เขตราษฎร์บูรณะเป็นส้มรสหวานแหลม อมเปรี้ยวนิด ๆ ซึ่งรสชาตินี้เป็นที่ถูกปากถูกใจของผู้บริโภค ส้ม 'บางมด' จึงกลายเป็นตรามาตรฐานรับรองคุณภาพความอร่อยให้แก่ตัวเอง

ส้มต้นหนึ่ง ๆ จะมีอายุราว ๑๕-๒๐ ปี หากอายุยืนกว่านี้ผลจะเล็กลงและลดจำนวนลง ส้มจะเริ่มออกดอกและติดลูกเมื่อมีอายุได้ ๑ ปี ซึ่งชาวสวนจะปลิดทิ้ง เพราะถ้าปล่อยไว้จะทำให้ต้นโทรม มีอายุสั้นจนเมื่อส้มอายุได้ประมาณ ๓ ปี จึงเริ่มปล่อยให้ติดผล ส้มจะออกดอกประมาณเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ และสุกได้ที่ราวเดือนพฤศจิกายน แม้ว่าส้มจะเป็นไม้ที่สามารถอยู่ติดต้นแม้จะแก่จัด แต่ระยะที่ส้มจะมีรสชาติหวานชื่นใจ ควรเป็นประมาณเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น

ส้มต้นหนึ่ง ๆ ให้ผลประมาณ ๑๕ กิโลกรัมหรือ ๕-๖ กระบุง เวลาเก็บชาวสวนจะจับที่ผลส้มแล้วพลิกมาหาตัว ๑ ที พลิกออกไปอีก ๑ ที ส้มจะหลุดจากขั้วโดยหัวไม่เปิด

เมื่อเก็บจากต้นแล้วหากเก็บทิ้งไว้ ๓-๔ วันส้มจะหวานยิ่งขึ้น ซึ่งภาษาชาวสวนเรียกว่า “ทิ้งให้ลืมต้น” นอกจากนี้ยังสามารถเก็บไว้ในที่ที่ไม่อับอีก ๑ เดือน โดยที่ส้มไม่เน่า แต่เปลือกจะเหี่ยวลง

สำหรับเหตุที่ส้มบางมดมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์นั้นพอจะพิจารณาแยกแยะออกมาได้ดังนี้

๑. ดินเหนียวและมีรสเค็ม เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากทะเล และเหตุผลที่สนับสนุนข้อนี้ คือ ชาวสวนจะกักน้ำเพื่อเพิ่มความเข้มข้นแก่รสส้ม โดย ๑๐-๑๕ วัน จึงจะรดน้ำเสียครั้งหนึ่ง แต่วิธีนี้ปัจจุบันชาวสวนไม่นิยมใช้แล้ว แต่จะใช้ใส่ปุ๋ยแทน

๒. ภูมิอากาศที่ชุ่มชื้น มีน้ำตลอดปี

๓. อาจเป็นเพราะมีมดมากด้วยก็เป็นได้ เหตุผลข้อนี้ออกจะเลื่อนลอย แต่ชาวสวนก็ให้เหตุผลว่า ผลไหนหากมีขี้มดจะมีรสจัดกว่าผลอื่นข้อสังเกตนี้นำมาใช้ในการเลือกผลส้มได้ด้วย กล่าวคือ

หากจะเลือกส้มให้ได้รสชาติดี โดยเฉพาะเมื่ออยากซื้อให้ได้ส้มบางมดแท้ ๆ ท่านให้ดูที่ผิวซึ่งควรคล้ำด้วยขี้มด เปลือกค่อนข้างหนา ตกไม่แตก แต่อย่างไรก็ตาม ส้มบางมดบางสวนผิวอาจเกลี้ยง แต่ทั้งนี้ให้สังเกตที่ขี้มดเกาะเปลือกเป็นสีคล้ำ ๆ เป็นประการสำคัญ แม้เหตุผลทั้งหลายจะไม่ใช่การพิสูจน์ตามหลักวิชาการ ทว่าความเป็นจริงของ สภาพดินฟ้าอากาศสภาพของดิน การดูแลรักษาของชาวสวนที่มีต่อผลผลิตของตน ย่อมส่งผลที่แตกต่างจากถิ่นปลูกและอาศัยอื่น

ดังนั้นส้มบางมดจึงยืนหยัดอยู่ในแถวหน้าของผลไม้ยอดนิยม และเป็นรสชาติ 'หนึ่งเดียว' เท่านั้น คือ ที่...บางมด

“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”


http://www.thailantern.com/main/boards/index.php?showtopic=1120
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 06/04/2011 4:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวนส้มในฝัน บางมดคืนหวาน





ตลาดขายส้มมากมายไปด้วยส้มหลากหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นส้มสายน้ำผึ้ง ส้มโชกุน หรือแม้แต่ส้มสายพันธุ์ต่างประเทศที่เข้ามาตีตลาดบ้านเรา

ย้อนกลับไปในอดีต ชื่อที่อยู่ในใจคนชอบส้มต้องยกให้ส้มเขียวหวานบางมด เพราะมีเปลือกล่อน ปอกง่าย ซังนิ่ม รสหวานแหลมเข้มข้น กว่าส้มที่อื่นๆ

ส้มบางมดลูกเล็กๆ ปลูกมากในสวนย่านธนบุรีริมคลองบางมด เขตราษฎร์บูรณะและบางขุนเทียน ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตทุ่งครุและเขตจอมทอง ส้มจากสวนบางมดเคยสร้างชื่อเสียงมายาวนาน

อดีตคนบางมดทำสวนส้มกัน มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายทุกครัวเรือนปลูกกันแทบทุกบ้าน มีพื้นที่สวนส้มเป็นหมื่นๆ ไร่ ดินบางมดปลูกส้มได้ดี มีรสชาติอร่อย ชาวสวนก็ปลูกมาเรื่อยๆ คลองบางมดจึงกลายเป็นเส้นทางลำเลียงผลผลิตส้มจากสวน ขนใส่ลำเรือ นำไปขายที่ปากคลองตลาด สร้างรายได้เป็นล่ำเป็นสัน แต่แล้วก็ต้องคลายชื่อเสียงลงเมื่อแหล่งปลูกส้มบางมดล่มสลายลง เพราะประสบปัญหารุมเร้าหลายด้าน

ในช่วงเวลาหนึ่งชาวสวนบางมดต้อง ละทิ้งอาชีพทำสวนส้มเพราะปัญหาน้ำเค็มหนุน หน้าแล้งมาถึง ระดับน้ำต่ำลง น้ำเค็มหนุนเข้ามาสู่สวนส้ม น้ำจืดจะน้อยเกินไป ส่งผล กระทบต่อต้นส้ม ทำให้เกษตรกรบางรายขาดทุน อยู่ในภาวะล้มละลายยากที่จะฟื้นตัวกลับมาได้อีก ประกอบกับความเจริญของเมือง เมื่อมีการตัดถนนพระราม 2 ย่านบางมด ทำให้ย่านนี้มีตรอก ซอก ซอย เกิดโครงการบ้านจัดสรร โรงงานอุตสาหกรรม เกิดปัญหาสภาพอากาศและน้ำ พื้นที่ทำสวนลดลง ชาวสวนส้มบางมดจำใจขายสวน บางส่วนออกไปหาพื้นที่ทำมาหากินที่อื่น บางรายเปลี่ยนอาชีพใหม่ พื้นที่และคนปลูกส้มลดลงไป ส้มบางมดก็แทบสิ้นชื่อ

แต่ ในวันนี้น่ายินดีที่ ลุงสุพร วงศ์จินดา และชาวสวนบางมดรายอื่นๆ ที่ยังรักในอาชีพและอยากอนุรักษ์ส้มบางมดให้คงอยู่รวมตัวกันในนาม "กลุ่มเกษตรพัฒนาสวนส้มบางมด" เพื่อฟื้นฟูสวนส้มให้กลับมาอีกครั้ง

ครั้ง นี้พวกเขาปรับเปลี่ยนปรับปรุงวิธีการปลูกส้ม โดยหันมาทำสวนแบบชีวภาพ และสวนแบบผสมผสานดั้งเดิม เพื่อปรับปรุงดินและน้ำให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

"เมื่อก่อน ลุงเคยปลูกส้มแบบใช้สารเคมีมาตลอด ส้มอ่อนแอ คนก็พลอยอ่อนแอตามไปด้วย ช่วงที่ทำให้หยุดทำสวนเพราะส้มเจอ ฝนกรดจากโรงงาน ส้มหล่นเสียหายหมดทั้งสวน ต้องทิ้งสวนไปหนึ่งปี กลับมาปลูกส้มอีกครั้งปี 47" ทีนี้เปลี่ยนวิธีใหม่หันมาทำ สวนแบบผสมผสาน ปลูกส้มแบบชีวภาพ ใช้ปุ๋ยชีวภาพ และสารกำจัดแมลงที่ทำใช้เองจากสมุนไพรพื้นบ้าน ส้มให้ผลผลิตดี ดินร่วนซุย น้ำสะอาด สุขภาพก็ดีตามไปด้วย" ลุงสุพรเล่า

"สวนส้มในฝัน" คือชื่อสวนส้มของคุณลุงสุพร เพราะลุงเคยฝันว่าในหลวงรับสั่งให้ทำสวนต่อ ชื่อนี้จึงมีความหมายเป็นกำลังใจให้ลุงสุพรยังทำสวนต่อด้วยใจรัก สวนส้มแห่งนี้จึงเป็นสวนสะอาดปลอดพิษไม่ไกลเกินฝัน สร้างความภูมิใจให้ครอบครัวชาวสวนของลุงสุพรเป็นหนักหนา





น้องไอซ์ ด.ช.อานนท์ โกมลวิทย์ หลานชาย เมื่อว่างจากไปโรงเรียน เด็กชายชอบเข้าสวนเพราะได้เล่นสนุกตามแบบของเด็กผู้ชาย ได้กินส้ม ผูกพันกับส้ม และรักส้มบางมด

"ส้มบางมดแท้ๆ จะมีลายหรือที่เรียกว่าขี้กลาก เปลือกบาง บางลูกหวานมากๆ ก็จะมีมดมาเจาะกินน้ำส้มหวานๆ ครับ ลุงเขาจะไม่ใช้สารเคมี แต่จะใช้ปุ๋ยชีวภาพ จะทำให้ส้มแข็งแรง ใบก็จะหนาแข็งแรงกว่าส้มที่ปลูกด้วยสารเคมี และส้มของเราจะหวานกว่าส้มตลาด" น้องไอซ์เล่าอย่างภูมิใจ

บางมดเป็น พื้นที่ติดทะเล มีดินตะกอนทับถมกันมานานเป็นปุ๋ยชั้นดี ดินเป็นแบบลักจืดลักเค็ม เหมาะแก่การปลูกส้มให้ได้รสหวานอร่อย ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ส้มบางมดมีรสหวานอร่อยกว่าส้มที่อื่นๆ

ส้มบางมดผลกลมแป้น ผิวสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่จัดชาวสวนจะปล่อยให้ไรแดงลง เกิดลายสีน้ำตาล มีศัพท์เรียกเฉพาะว่า ขี้กลาก เปลือกส้มบางนิ่มไม่แข็ง รสหวาน ซังนิ่ม ทั้งหมดคือความโดดเด่นที่ส้มบางมดมีไม่เหมือนใคร

ผลส้มที่สวนส้มในฝันของลุงสุพรกำลังออกผลให้คนปลูกได้ชื่นใจ ส้มต้นหนึ่งๆ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 3 ปีจึงจะให้ผลคุณภาพดี ชาวสวนส้มต้องรอนานกว่าสิบเดือนนับจากออกดอกบานกว่าผลส้มจะสุกเก็บขายได้

ไอซ์และพี่น้องในวัยเดียวกันช่วยลุงสุพรเก็บส้มในสวนอย่างชำนาญ เด็กๆ ต้องสังเกตขนาดของผลส้ม สีสัน การเก็บต้องใช้วิธีปลิดผลโดยใช้มือจับทางด้านใต้ผลขึ้นไปแล้วหักทับตรง บริเวณขั้วผลไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ผลก็จะหลุดออกมาได้โดยง่าย ส้มหวานแค่ไหนน้องไอซ์ชวนดูมดตะนอยตัวน้อยที่วิ่งวนเจาะกินน้ำส้มรสหวาน ยืนยันได้ดีว่าส้มหวานเสียจนมดยังอดใจไม่ไหว มดกินได้ คนก็กินได้อย่างปลอดภัย

การกลับมาของส้มบางมดไม่เพียงเพื่อการ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชเฉพาะถิ่นเท่านั้น แต่ยังถือเป็นการฟื้นคืนลมหายใจแห่งสวนย่านฝั่งธนบุรีให้กลับคืนมาอีกทาง หนึ่งด้วย

"เราโชคดีที่มีสวน ยามว่างอยากมาพักผ่อนเราก็มาได้ครับ เวลาเบื่อก็มาเที่ยวสวน ส้มบางมดมีค่าต่อคนบางมด ใครที่ยังไม่เคยกินส้มบางมดก็ต้องมากินที่สวนเกษตรอินทรีย์ หรือสวนส้มในฝันของลุงสุพรครับ ผมจะช่วยอนุรักษ์ส้มบางมด เพราะส้มบางมดใกล้สูญพันธุ์หากินยาก และมีน้อยมากครับ"





"ผม จะช่วยรักษาสวนส้มให้อยู่ต่อไป ผมจะช่วยปลูก ศึกษาวิธีปลูก ที่ลุงทำอยู่ดีครับ ส้มบางมดจะได้ไม่สูญหาย เราจะต้องช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ เพราะส้มบางมดมีรสชาติเด่น ส้มบางมดก็ต้องอยู่ที่บางมดถึงจะได้ชื่อว่าเป็นส้มบางมด" เด็กชายกล่าวอย่างภูมิใจ



http://www.food4change.in.th/index.php/%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 06/04/2011 5:11 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


http://my.diarylove.com/minjosin/index.php?datestamp=20080911&thisday=1&dfMonth=9&dfYear=2008




http://www.watchari.com/board/index.php?topic=1691.0
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 06/04/2011 5:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขี้ยอ ธาตุอาหารที่ดีต่อพืช ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น





ปุ๋ยขี้ยอ คือ อินทรีย์ธาตุทางทะเล โดยเฉพาะสาหร่ายทะเลและแพลนตอน อุดมไปด้วยธาตุอาหารที่เหมาะสมกับพืชนานาชนิด

ปุ๋ยขี้ยอ เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชบริเวณป่าชายเลน และซาก พืชซากสัตว์ทะเล เช่น สาหร่าย ปะการังอ่อน ซากกุ้งปูปลา รวมทั้งสัตว์น้ำขนาดเล็กและแพลนตอน มีคลื่นน้ำทะเลเป็นตัวช่วยเร่งให้มีการย่อยสลาย และพัดพาซากพืชซากสัตว์ดังกล่าวรวมทั้งธาตุอาหารหน้าดินทะเล มาทับถมกันที่ชายฝั่งทะเลบริเวณป่าชายเลน


ประโยชน์ : ปุ๋ยขี้ยอพบมาก บริเวณป่าชายเลนจังหวัดจันทบุรีและตราด เป็นผลิตผลทางธรรมชาติอย่างแท้จริงระยะแรกชาวบ้านเรียกว่า “ขี้ยอ”เมื่อชาวประมงนำขี้ยอไปถมที่ปลูกต้นไม้ ปรากฎว่าต้นไม้เจริญ เติบโตให้ผลผลิตดี ต่อมาเมื่อเกษตรกรนำขี้ยอไปใช้แทนปุ๋ยอินทรีย์ ปรากฎว่าผักและผลไม้ ออกดอกออกผลดก รสชาติดี เพิ่มผลผลิตให้ กับเกษตรกรได้ ชาวบ้านจึงเรียก ว่า “ปุ๋ยขี้ยอ” ประโยชน์ ปุ๋ยขี้ยอเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุทางทะเล โดยเฉพาะแคลเซียมซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพืชหลายชนิดสูงมาก ความเค็มมีเพียงเล็กน้อยเมื่อรดน้ำก็เจือจางไม่เป็นอันตรายต่อพืช ขณะนี้ ปุ๋ยขี้ยอ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ของชาวสวนผลไม้และสวนปาล์มจันทบุรีและตราด ใช้แล้วทำให้ดินร่วนซุย ใช้ในแปลงนาข้าวจะทำให้ไถพรวนง่าย หากได้ใช้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้โครงสร้างดินสมบูรณ์ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีจะลดลง สามารถลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้อย่างดี


วิธีใช้ สามารถใช้ปุ๋ยขี้ยอได้เช่นเดียวกับปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยคอกทั่วไป จะนำไปใส่รองก้นหลุม เพื่อเตรียมแปลงเพาะก่อนทำการปลูกหรือนำ ไปคลุกเคล้ากับดินขณะไถพรวนแปลงนาหรือสวน หรือใส่บริเวณรอบโคน ต้นไม้ก็ได้ ปุ๋ยขี้ยอ เหมาะมากสำหรับพืชอายุสั้นและพืชตระกูลผัก แต่ต้องใช้ในระยะเริ่มแรก ปริมาณการใช้ปุ๋ยขี้ยอ ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสภาพดินหรือแปลงนาแต่ละพื้นที่ หากพื้นที่ใดใส่ปุ๋ยเคมีมานาน สภาพดินแข็ง อินทรีย์ธาตุธรรมชาติมีน้อย ควรใส่ปุ๋ยขี้ยอปริมาณมาก เพื่อเพิ่มอินทรีย์ธาตุให้มากขึ้น



http://chanassociation.org/webboard-view.php?id=4
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©