-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-อยากปลูกพริกในถุง
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - อยากปลูกพริกในถุง
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

อยากปลูกพริกในถุง

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
jinsolfa
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 21/09/2010
ตอบ: 3

ตอบตอบ: 21/09/2010 8:25 am    ชื่อกระทู้: อยากปลูกพริกในถุง ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อยากปลูกพริก 5,000 ถุง.....ขอความรู้ด้วยครับ

ขอบคุณครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
meninblack
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 15/02/2010
ตอบ: 81

ตอบตอบ: 21/09/2010 11:22 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำไมถึงอยากปลูกในถุงครับ ปลูกลงที่ดินไม่ดีกว่าหรือครับ เพราะตั้ง 5,000 ถุงๆ
ละ 1 ต้นก็ 5,000 ต้น ไม่มีที่ปลูก หรือดินไม่ดีครับ ถ้าปลูกน้อยๆ ก็ว่าไปอย่างหนึ่ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/09/2010 6:48 pm    ชื่อกระทู้: Re: อยากปลูกพริกในถุง ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

jinsolfa บันทึก:
อยากปลูกพริก 5,000 ถุง.....ขอความรู้ด้วยครับ

ขอบคุณครับ




ไปกันใหญ่ กู่ไม่กลับ....ถาม พริกในถุง" ตอบ "พริกไทยในถุง"

ขอโทษ.....เอาใหม่
ลุงคิมครับผม


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/09/2010 6:21 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/09/2010 7:06 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)






















http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2009/05/J7871066/J7871066.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
jinsolfa
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 21/09/2010
ตอบ: 3

ตอบตอบ: 22/09/2010 6:26 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เป็นพริกแม็กซิกันครับ เมล็ดละ 4 บาท
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 22/09/2010 5:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)







พริกแม็กซิกัน / Jalapeño

จริง ๆ แล้ว Jalapeno (คิดว่าอ่านแบบนี้ “ฮาลาเปญโญ่”) เป็นพริกชนิดหนึ่งใน
กลุ่มพริกเม็กซิกันซึ่งมีเพื่อนในกลุ่มที่มีชื่อออกเสียงทำนองเดียวกัน เช่น
Habanero

Jalapeno เป็นพริกเผ็ด เนื้อหนา กรอบ ใช้ทำอาหารเม็กซิกัน เช่น Nacho ส่วนคน
ไทยที่ชอบทานอาหารรสเผ็ด แทบไม่ต้องบอกว่าทำอะไรได้บ้าง ทำได้ทุกอย่างที่
พริกอ่อน พริกหนุ่ม พริกมัน พริกชี้ฟ้า ทำได้

Jalapeno พันธุ์ที่โครงการหลวงปลูก ทรงรีเหมือนลูกกระสุน ขนาดใหญ่ ผิวสีเขียว
เข้ม เป็นมัน ถ้าแก่จัดจะเห็นรอยแตกลายงา ไม่ใช่ตำหนิ แต่บ่งบอกว่าแก่จัด เหมือน
มะม่วงแก่จัด ประมาณนั้น ถ้าสุกจะเป็นสีส้มแดง เนื้อเริ่มนิ่ม จึงมักไม่เห็นขายแบบ
สุก ๆ

มีขายเกือบตลอดปี แต่ปริมาณไม่มากนัก ทำเพื่อทดแทนการนำเข้าเท่านั้น ดังนั้น
ถ้าสนใจควรโทรศัพท์สอบถามที่โครงการหลวงก่อน

Jalapeno can produce all year round but production’s not too
much. Customers can contact royal project for more
information in each period before order.

www.d-aroi.com/hygienic-vegetable/jalapeno/ -
http://www.d-aroi.com/hygienic-vegetable/jalapeno/


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/09/2010 5:56 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 22/09/2010 5:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พริก ของประเทศไหนเผ็ดสุด

ระดับความเผ็ดครับ(รูปภาพ)




อยู่ในแค้วนอัสสัม อินเดียครับ(รูปภาพ)
www.angryblacklady.com




*** พริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ตอนนี้ถูกบันทึกไว้ในกินเนส บุ๊ค แล้ว ก็คือพริก "ฮาบา
เนโร เรด ซาวีนา" ปลูกอยู่แถวๆ คอสตาริกา ประเทศเม็กซิโก ครับ



*** พริกที่เผ็ดที่สุดในโลก มีนามว่า Bhut Jolokia สายพันธุ์หนึ่งของพริกไทย
ถูกพบในรัฐอัสสัมของอินเดีย ขณะนี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน Guiness World
Records' recognition แล้วครับว่า เป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกเอาชนะแชมเปียน
เก่าอย่าง Red Savina ขาดลอยครับจากการทดสอบความเผ็ดร้อนในหน่วย
Scoville heat units (SHUs) สองครั้ง

Bhut Jolokia เผ็ดถึง 1 ล้าน SHUs เกือบจะเป็นสองเท่าของ Red Savina ซึ่ง
วัดได้แค่ 577,000 SHUs เท่านั้นครับ



*** คำถามน่าจะเปลี่ยนเป็นว่า "พริกพันธุ์ไหน" เผ็ดสุด ไม่ใช่ของประเทศไหน
เพราะถ้าเจอพริกที่เผ็ดที่สุดในประเทศไหนสักประเทศหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าพริก
นั้นเป็นพืชท้องถิ่นของประเทศนั้น ไม่งั้นเค้าคงเรียกชื่อเป็น พริกอินเดีย, พริกไทย,
พริกเม็กซิกัน, พริกลาว, พริก ฯลฯ ชื่อประเทศซิ ?

ที่พบออนไลน์ที่บอกว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือนี่.. มีปลูกในอินเดียและศรีลังกา ชื่อ
พันธุ์ Bhut Jolokia ซึ่งส่วนตัวแล้วยังไม่เคยลิ้มรสพริกพันธุ์ที่เค้าบอกว่าเผ็ดที่สุด
ในโลก

แต่ถ้านับตามที่มีการบันทึกไว้ก็อย่างที่ Rhapsody in Blue บอกมาน่ะแหละคือ
The hottest chilli pepper in The Guinness Book of Records is a
Red Savina habanero with a rating of 570,000 Scoville Heat
Units (SHU). ซึ่งถ้าพันธุ์ Bhut Jolokia เผ็ดกว่าจริง ก็แสดงว่าที่บันทึกไว้ใน
กินเนสบุ๊คไม่อัพเดทแล้วกระมัง ?

แต่เคยทานพริกที่เผ็ดที่สุด (สำหรับตัวเอง) คือ พันธุ์ที่มาจากแคริบเบี้ยน ตามภาพที่
แนบมานี้ เผ็ดสุดฤทธิ์สุดเดช ที่บ้านก็มีปลูก เพื่อนเอาเมล็ดมาฝาก


พริกแม็กซิโก



http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=5b3d84ef1e9254de
guru.google.co.th/guru/thread?tid=5b3d84ef1e9254de -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Yuth-Jasmine
สาวดี่
สาวดี่


เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010
ตอบ: 384

ตอบตอบ: 22/09/2010 5:46 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/112806



เม็กซิโก เป็นประเทศหนึ่งที่มีพริกแปลกๆมากมาย
บางสายพันธุ์มีรสเผ็ดจัดติดอันดับโลกเป็นที่ชื่นชอบของผู้รับประทานอย่างกว้างขวาง
ซึ่ง "พริกเม็กซิโกผลกลม" เป็นอีกชนิดหนึ่งเพิ่งพบมีต้นวางขายเมื่อไม่นานมานี้
แต่ละต้นปลูกในกระถางขนาดย่อมไม่ใหญ่โตนัก ต้นสูงไม่ถึง 1 เมตร ติดผลดกเต็มต้น
มีทั้งผลดิบและผลสุกเป็นสีเขียวและสีแดงสดใสสวยงามน่าชมมาก
ดูแล้วคิดว่าเป็นต้นพริกประดับ ใช้ปลูกเพื่อชมความสวยงามเท่านั้น แต่ผู้ขายบอกว่า
"พริกเม็กซิโกผลกลม" สามารถรับประทานมีรสเผ็ดเหมือนกับพริกขี้หนูทั่วไป
แต่รสเผ็ดอ่อนกว่าเล็กน้อยปรุงเป็นอาหารได้ทุกอย่าง
เพียงแต่รูปทรงของผลดูสวยงามน่ารักทำให้ผู้ปลูกหรือผู้พบเห็นไม่อยากจะกินเท่านั้นเอง

พริกเม็กซิโกผลกลม มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเม็กซิโก
ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า 2-3 ปีแล้ว
สามารถเจริญเติบโตได้ดีและมีผลดกไม่แพ้การปลูกในเม็กซิโก มีลักษณะเด่นคือ
ผลเป็นรูปทรงกลมคล้ายผลเชอร์รี่
แต่เป็นคนละสายพันธุ์กับพริกฟักทองที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว
และผลจะมีขนาดเล็กกว่า ผลโตเต็มที่เท่ากับผลเชอร์รี่ เวลาติดผลดก ผลห้อยลงจำนวนมาก
เมื่อผลสุกจะเป็นสีแดงใสดูสวยงามมาก
จึงสามารถปลูกเป็นพริกประดับได้ในเวลาเดียวกันด้วย

พริกเม็กซิโกผลกลม อยู่ในวงศ์ SOLANACEAE เป็นไม้ล้มลุก ต้นสูงไม่เกิน 1 เมตร
แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงกลมกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปรีกว้าง
ปลายใบแหลม โคนมนเป็นรูปหัวใจ แตกต่างจากใบของพริกขี้หนูทั่วไปที่จะเป็นรูปรีแคบ
ใบเป็นสีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ออกเป็นดอกเดี่ยวๆและเป็นช่อ 3-5 ดอก
มีกลีบเลี้ยงเชื่อมกัน ปลายตัดหรือเป็นหยัก 5 หยัก
และกลีบเลี้ยงดังกล่าวจะคงอยู่จนเป็นผล ดอกโคน เชื่อมกัน ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ
กลีบดอกเป็นสีขาว มีเกสรตัวผู้ 5 อัน "ผล" รูปทรงกลม หรือกลมแป้นเล็กน้อย
รอบผลมีร่อง 4 ร่องตามยาวของผล ทำให้ดูเหมือนกับผลเชอร์รี่มาก ผิวผลเรียบเป็นมัน
ผลดิบสีเขียว พอเริ่มจะแก่เป็นสีเขียวอ่อนอมส้ม และเมื่อสุกเป็นสีแดง
เวลาติดผลดกและผลห้อยลงมีทั้งผลดิบและผลสุกจะดูสวยงามมาก ภายในมีเมล็ด รสชาติเผ็ด
รับประทานและปรุงเป็นอาหารได้ โดยเฉพาะเปลือกผลจะมีรสหวานนิดๆด้วย
ช่วยเพิ่มรสชาติดียิ่งขึ้น ติดผลตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีต้นขาย
ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 23 แผง "คุณกฤฎา" ครับ.

"นายเกษตร"
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 22/09/2010 5:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)




รายละเอียด
ราคาซองละ 50 บ
1 ซอง มี 10 เม็ด (เฉพาะสีแดง)

เผ็ดจัดจ้านถึงใจ
พริก ที่เผ็ดที่สุดในโลกนั้นคือพริก “ฮาบาเนโร” เป็น
พริกที่มีถิ่นกำเนิดในแถบภูมิภาคเมโส อเมริกา ซึ่งอยู่บริเวณคาบสมุทรยูคาตันใน
ทวีปอเมริกากลางที่ยื่นเข้าไปในอ่าวเม็กซิโก ถูกค้นพบโดยชาวยุโรปและกระจาย
ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยพริกฮาบาเนโรที่มีเครื่องหมายการค้าจากเร้ด ซาบีนาได้
รับการรับรองว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกและได้รับการบันทึกลงใน กินเนสต์บุ๊ค
ด้วย

พริกฮาบาเนโรนั้นมีขนาดประมาณ 2-6 เซนติเมตรตามความยาว มีลักษณะเหมือน
ผลไม้ และมีรสเปรี้ยวเหมือนส้ม เมื่อยังดิบจะมีสีเขียว พอสุกได้ที่จะมีสีที่หลาก
หลายซึ่งโดยทั่วไปก็จะเป็นสีส้มและสีแดงเหมือนพริก ขี้หนูหรือพริกชี้ฟ้าบ้านเรานี่
เอง ทั้งนี้ยังพบฮาบาเนโรที่สุกแล้วเป็นสีน้ำตาล สีขาว และสีชมพูได้อีกด้วย

และ ด้วยความเผ็ดร้อน บวกกับรสชาติเปรี้ยวนิดๆ และกลิ่นหอมของฮาบาเนโร จึงมี
คนนิยมนำพริกชนิดนี้ไปเป็นส่วนประกอบของอาหารที่ต้องการความเผ็ด โดยเฉพาะ
ซอสพริก เช่นบริษัทที่ผลิตซอสพริกทาบาสโกซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกก็นำฮาบาเนโร
มา ทำซอสพริกเวอร์ชั่นใหม่ที่ร้อนแรงกว่าทาบาสโกตามปกติ

กินเนสส์บุ๊คได้ทดสอบความเผ็ดร้อนของพริกฮาบาเนโร เมื่อเทียบกับพริกทุกสาย
พันธุ์ทั่วโลกแล้ว พบว่าพริกสายพันธุ์เผ็ดดุจากเม็กซิโกเป็นพริกที่มีอานุภาพความ
เผ็ดร้อนรุนแรง

หากวัดค่าปริมาณความเผ็ด ฮาบาเนโรเม็ดสีส้มสามารถได้ค่าความเผ็ดออกมาได้ใน
ระดับ 200,000 สโกวิล (ค่าระดับความเผ็ด) ส่วนเม็ดสีแดงได้ค่า 577,000 สโก
วิล ซึ่งเมื่อเทียบกับพริกขี้หนูสวนของไทยเรา วัดค่าได้ 50,000-100,000 หน่วย
สโกวิลเท่านั้น


http://www.nanagarden.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B9%88-habanero-pepper-seed-111922-4.html
www.nanagarden.com/พริกฮาบาเนโร่-habanero-pepper-seed-111922-4.html -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 22/09/2010 5:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)









พริกเผ็ดที่สุดในโลก
กินเนสส์บุ๊คได้ทดสอบความเผ็ดร้อน ของพริกฮาบาเนโร เมื่อเทียบกับพริกทุกสาย
พันธุ์ทั่วโลกแล้ว พบว่าพริกสายพันธุ์เผ็ดดุจากเม็กซิโกเป็นพริกที่มีอานุภาพความ
เผ็ดร้อน รุนแรงหากวัดค่าปริมาณความเผ็ด ฮาบาเนโรเม็ดสีส้มสามารถได้ค่าความ
เผ็ดออกมาได้ในระดับ 200,000 สโกวิล (ค่าระดับ ความเผ็ด) ส่วนเม็ดสีแดงได้
ค่า 577,000 สโกวิลซึ่งเมื่อเทียบกับพริกขี้หนูสวนของไทยเรา วัดค่าได้ 50,000-
100,000 หน่วยสโกวิลเท่านั้น

หรือเทียบกันง่ายๆ ว่า พริกฮาบาเนโร 1 เม็ด อาจเทียบได้กับพริกขี้หนูหยิบกำมือ
ใครที่ขึ้นชื่อว่ากินเผ็ดเก่งลองฮานาเบโรดูหน่อยเป็นไร

http://www.bannangio.com/index.php?mo=5&qid=511724
www.bannangio.com/index.php?mo=5&qid=511724 -



มหัศจรรย์แห่ง 'พริก' เผ็ดที่สุดในโลก
เพิ่งจะมารู้ไม่นานมานี่เองว่า แม้อาหารไทยจะอาศัยพริกชูรสชาติอันจัดจ้านมา
นานนมชนิดที่แยกกันไม่ขาด แต่เอาเข้าจริงๆ พริกกลับไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในบ้านเรา
สักนิด แต่พริกถูกนำเข้ามาปลูกในบ้านเราเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 21 หรือ
ตอนกลางๆ สมัยอยุธยานี่เอง

ถิ่นกำเนิดของพริกจริงๆ อยู่ที่ทวีปอเมริกากลางและใต้ อัลวาเรซ ชันกา ชาวสเปน
เป็นบุคคลแรกที่นำพริกออกไปปลูกนอกทวีปอเมริกาเมื่อปี 2036 โดยเป็นชาติแรก
อีกเช่นกันที่เรียกพริกว่า Chili ซึ่งแปลงมาจากคำ Chile อันเป็นชื่อของประเทศที่ให้
กำเนิดพริกนั่นเอง อีก 55 ปีต่อมา ชาวอังกฤษจึงเริ่มรู้จักพริก และเมื่อถึงปี 2098
บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปกลางก็เริ่มรู้จักปลูกพริกกินเองกันแล้ว

พริกเดินทางมายังอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับพ่อค้าชาวโปรตุเกส
อีกทั้งชาวสเปนเองก็หอบพริกเม็กซิกันข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาที่ฟิลิปปินส์ และต่อมา
ได้แพร่ไปสู่หมู่เกาะอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามเส้นทางการค้าเครื่องเทศ
รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย

การเดินทางของพริกอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำว่าประเทศแถบเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ของเรานั้นเป็นดินแดนเปิดเพียงใด จึงไม่รู้สึกแปลกใจว่าทำไมคนในภูมิภาค
นี้จึงมีโอกาสและมีความสามารถในการปรับรับวัฒนธรรมต่างแดนมากเป็นพิเศษ
แถมยังมีการนำมาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด ดูอย่างพริกนี่สิครับ แม้ว่าเราจะไม่ใช่
ชนชาติเดียวที่กินอาหารรสเผ็ดที่ปรุงจากพริก แต่คนรุ่นหลังยังพลอยเข้าใจผิดว่า
พริกน่าจะเกิดควบคู่กับคนไทยมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์กันเลยทีเดียว

เรื่องของพริก เครื่องปรุงรสแสนมหัศจรรย์ยิ่งได้รับความสนใจกันเข้าไปใหญ่ เมื่อมี
การจัดลำดับความเผ็ดร้อนจากนักวิจัยกันขึ้นมา ซึ่งผู้ครองตำแหน่งพริกที่เผ็ดที่สุดใน
โลกมาอย่างยาวนาน หาใช่เจ้าเล็กพริกขี้หนู หรือพริกชี้ฟ้าของบ้านเราไม่ แต่มันมี
นามว่า ฮาบาเนโร เรด ซาวีนา ที่มีความเผ็ดถึง 350.00-577.000 สโกบิลล์
(Scoville-หน่วยวัดความเผ็ด) ซึ่งมีความจัดจ้านกว่าพริกชี้ฟ้าของเราถึง 1 หมื่น
เท่าเชียวนะครับ พริกชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบภูมิภาคเมโสของอเมริกา ซึ่งอยู่
บริเวณคาบสมุทรยูคาตันในทวีปอเมริกากลางที่ยื่นเข้าไปในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งได้ถูก
บันทึกเอาไว้ในกินเนสบุ๊กว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกเป็นที่เรียบร้อย

ทว่าเมื่อประมาณกลางเดือน ก.พ. ของปีที่ผ่านมานี้เอง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย
แห่งรัฐนิวเม็กซิโก ได้ค้นพบพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกชนิดใหม่ในรัฐอัสสัมของอินเดีย
มีนามว่า บุต โจโลเกีย ซึ่งเป็นสายพันธุ์หนึ่งของพริกไทยขึ้นมา จากผลการทดสอบ
ความเผ็ดร้อน 2 ครั้ง ผลปรากฏว่าพริก บุต โจโลเกีย มีความเผ็ดถึง 1 ล้านสโก
บิลล์ ล้มแชมป์เก่าอย่าง ฮาบาเนโร เรด ชาวีนา ไปอย่างขาดลอยเกือบ 1 เท่าตัว
เชียวนะ

ดร.พอล บอสแลนด์ หัวหน้าสถาบันพริก จากภาควิชาพฤกษศาสตร์และวิทยาศาสตร์
สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวเม็กซิโก ได้เก็บเมล็ดพันธุ์พริก บุต โจโลเกีย
ขณะไปเยือนอินเดียเมื่อปี 2001 ติดไม้ติดมือมา และเขาได้ปลูกพริกชนิดนี้ภายใน
ห้องไร้แมลงเป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์จำนวนมากพอที่จะทดลอง จนได้ข้อ
พิสูจน์ว่าพริกชนิดนี้เผ็ดที่สุดในโลกจริงๆ

ก่อนหน้านี้ เจ้าพริกบุต โจโลเกีย เป็นพืชพื้นเมืองอัสสัมที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ
เท่าไหร่นัก มาโด่งดังชั่วข้ามคืนเมื่อล้มแชมป์เก่าและได้ถูกบันทึกลงในกินเนสบุ๊กล่า
สุด ในฐานะพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ทำให้กลายเป็นสินค้าส่งออกที่น่าจับตามอง

บุต โจโลเกีย ตามภาษาอินเดียแปลว่า พริกผี ชาวอินเดียมีความเชื่อว่าเป็นพริก
มงคล ด้วยความจัดจ้านด้านรสชาติของพริกชนิดนี้ เมื่อกินเข้าไปจะช่วยขับเหงื่อ ซึ่ง
เสมือนกับเป็นการขับวิญญาณร้ายออกจากร่างกายของเรานั่นเอง

เสน่ห์ของพริกชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่ความเผ็ดร้อนเหมือนพริกขี้หนูบ้านเรา ที่กินเมื่อใด
ต้องรีบหาน้ำดับร้อนกันจ้าละหวั่น แต่พริกบุต โจโลเกีย จะมีเอกลักษณ์อันโดด
เด่นอยู่ที่ความหอมยวนเย้า ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยขึ้น และความเผ็ด
ร้อนจะค่อยผ่านลงลำคอ ไม่ได้สำแดงเดชอยู่ที่ปลายลิ้น ริมฝีปาก หรือมีอาการฉุน
กึกเหมือนที่เราคุ้นเคย และด้วยปริมาณความเผ็ดที่มีมากเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้อง
ใช้ปรุงอาหารในปริมาณที่มากเหมือนพริกทั่วไป

เกริ่นเรื่องราวของ บุต โจโลเกีย ที่เผ็ดที่สุดในโลกมาเสียยืดยาว สาวกคนรักพริกคง
ถึงขั้นน้ำลายสอ จะทำอย่างไรหนอถึงจะได้ลิ้มรสชาติของพริกที่ว่านี้โดยไม่ต้องเดิน
ทางไปถึงอัสสัม ประเทศอินเดีย กับเขาบ้าง ไม่ยากครับที่ เรด ร้านอาหารอินเดีย
แบบฟิวชันย่านทองหล่อ เขาบินตรงไปขนพริกชนิดนี้มาปรุงเป็นเมนูรสเลิศ โดย เชฟ
กาแกน อนันด์ ผู้เชี่ยวชาญอาหารอินเดีย ลงมือรังสรรค์เป็นเมนูพิเศษให้ได้ลิ้มลอง
ในบ้านเรากันแล้ว

เริ่มจากเมนูออร์เดิฟร์ Tomato and Chili Consomme ซุปพริกชามโต เสิร์ฟ
พร้อมกับผลไม้ เช่น องุ่น มะเขือเทศ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ให้กลิ่นหอมจางๆ ของ
บุต โจโลเกีย กระตุ้นต่อมหิวดีชะมัด

ตามต่อกันด้วย Haldi Chili Prawns Served with Chili Jam กุ้งหมักสมุนไพร
อินเดีย แกล้มกับซอสพริกบุต โจโลเกีย จัดจ้านในลำคอ กลิ่นหอมของเครื่องเทศ
อินเดียกับกลิ่นหอมของพริกผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร
จานนี้โดดเด่นและอร่อยล้ำมากยิ่งขึ้น

Lobster Moilee แกงกะหรี่อินเดียกับกุ้งล็อบสเตอร์ตัวโต ที่ได้กลิ่นหอมและความ
ร้อนเผ่าเบา จากนั้นค่อยๆ ซาบซ่านยามผ่านลำคอจนสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจาก
รสชาติของพริกทั่วไป

บุต โจโลเกีย ไม่ได้มีดีแค่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารเท่านั้น เชฟกาแกน อนันด์ ยัง
นำมาเพิ่มดีกรีให้กับเครื่องดื่มประเภทค็อกเทลอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Rikshow
Martini Backyard Belhai และที่รสชาติจัดจ้านจากฤทธิ์ของพริกชนิดนี้มากที่
สุด Killer Bee รวมถึงอีกหลายเมนูทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมและดีกรี
จากพริกบุต โจโลเกีย มากน้อยต่างกันไปให้เลือกลิ้มลองกันได้ตามใจชนิดไม่อั้นที
เดียว

สาวกคนรักพริกที่อยากพิสูจน์พริกผีที่เผ็ดที่สุดในโลกว่าเด็ดดวงขนาดไหน จะสู้เจ้า
เล็กพริกขี้หนูของบ้านเราได้ไหมไม่ควรพลาด... รับรองว่าไม่ผิดหวัง... โดยทาง
ร้าน เรด จะเริ่มเสิร์ฟความเผ็ดร้อนจากเมนูพริกชนิดนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. ซึ่งเป็นวัน
ครบรอบ 1 ปี ของทางร้านเป็นต้นไป

ช่วงนั้นย่านทองหล่อจะมีเสียงซี้ดซ้าดดังกว่าปกติก็อย่าสงสัยนะครับพี่น้อง...


http://variety.thaiza.com/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87+%E2%80%98%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E2%80%99+%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-91235.html
variety.thaiza.com/


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/09/2010 6:33 pm, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 22/09/2010 6:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

พริก ยาฆ่าแมลงธรรมชาติ

ถิ่นเดิมของพริกขึ้นอยู่แถบทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ เม็กซิโก เปรู เป็นต้น ชาวอินเดียน
แดง เป็นชนเผ่าแรกที่ปลูกและกินพริก ใช้พริกปรุงอาหาร ในราวคริสต์ศตวรรษที่
16 ได้มีผู้นำพริกเข้าไปในยุโรป และราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้แพร่เข้าไปยัง
ประเทศจีนและประเทศอื่นๆในเอเชีย

⇒ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens. L. (C. minimum Roxb)
วงศ์ Solanaceae

ในพริกมีแคปซายซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นอย่างแรง หลังจาก
กินพริกจะรู้สึกมีอาการแสบร้อนบริเวณปากและท้อง ถ้ากินมากเวลาถ่ายอุจจาระจะ
รู้สึกแสบร้อนทวารหนัก นอกจากนี้แคปซายซินยังมีฤทธิ์กระตุ้นเยื่อในรูจมูกและตา
ดังนั้นเมื่อสูดเอากลิ่นพริกเข้าไปจะทำให้ตามหรือน้ำตาไหล ดังนั้นผู้ที่มีอาการ
อักเสบ เช่น กระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผล ทางเดินอาหารอักเสบหรือเป็นฝี
วัณโรคปอด ปวดฟัน เจ็บคอ ตาแดง เป็นริดสีดวงทวาร หรือความดันโลหิตสูงไม่ควร
กินพริกเหตุที่พริกมีสีแดง เพราะมีแคปซายซิน แคปซายซินไม่เพียงแต่ทำให้พริกมี
สีแดง ยังสามารถทำให้ขนสัตว์ปีกมีสีแดงสดสวยอีกด้วย สวนสัตว์ในฮังการี นกฟลา
มิงโก (flamingo) ซึ่งนำมาเลี้ยงในสวนสัตว์ใหม่ๆ ขนที่เคยสวยงามเริ่มมีสีซีดลง
เพื่อที่จะให้นกกลับมีขนสวยขึ้น คนงานเลี้ยงนกได้พยายามค้นหาวิธีต่างๆ ในที่สุดก็
ค้นพบ โดยหั่นผลพริกสดให้นกกิน ในเวลา 1 ปี นกทั้ง 20 กว่าตัวกินพริกไป
ประมาณ 100 กก. ขนที่เคยซีดก็มีสีสวยงามขึ้น

⇒ สรรพคุณ
พริกมีคุณสมบัติร้อน รสเผ็ด ผลใช้ปรุงอาหาร ช่วยให้เจริญอาหาร แก้อาเจียน บิด
หิด กลาก ปวดบวม

⇒ ตำรับยา
1. บิด ใช้พริก 1 เม็ดหรือกว่านั้นกิน
2. ปวดบวม ใช้ผงพริกแห้งทำเป็นขี้ผึ้งหรือละลายแอลกอฮอล์ทา
3. ฆ่าแมลง ใช้ผงพริกแห้งผสมน้ำ พ่นที่ๆมีแมลงอยู่
4. ฆ่าลูกน้ำ เทผงพริกลงในน้ำที่มีลูกน้ำขัง
5. ไล่ยุง เผาพริกแล้วอบควัน

⇒ ผลทางเภสัชวิทยา
1. ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร แคปซายซินมีฤทธิ์ทำให้เจริญอาหาร กินอาหารได้
มากขึ้น

2. ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและฆ่าแมลง แคปซายซินมีผลยับยั้งเชื้อ Bacillus
cereus และเชื้อ Bacillus subtitis แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ Bacillus aureus และ
เชื้อ Bacillus coli

3. สารสกัดจากพริก เมื่อทาลงบนผิวหนังจะทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นขยาย และ
การไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้น เชื่อว่าสารนี้สามารถกระตุ้นปลายประสาททำให้รู้สึก
อุ่น มักนิยมผสมในยาหม่องและน้ำมันมวย ถ้าใช้จำนวนมากเกินไปอาจจะระคาย
เคืองได้

⇒ สารเคมีที่พบ
ผล มีแคปซายซิน (Capsaicin ; decanoic acid vanillylamide) ไดไฮโดร
แคปซายซิน (dihydrocapsaicin) นอร์ไดไฮโดรแคปซายซิน
(dihydrocapsaicin) โฮโมแคปซายซิน (homocapsaicin) โฮโมไดไฮโดรแค
ปซายซิน (homodihydrocapsaicin) โนนอย์ล วานิลลีลาไมด์ (nonoyl
vanillylamide) เดคคอย์ล วานิลลีลาไมด์ (decoyl vanillylamide) คริพโต
ซานทิน (cryptoxanthin) แคปซานทิน (capsanthin) แคปโซซูบิน
(capsosubin) แคโรทีน (carotene) วิตามินบี 1 วิตามินซี ซิตริก แอซิด
(citric acid) ทาร์ทาริก แอซิด (tartaric acid) มาลิก แอซิด (malic acid)
เมล็ด มีโซลานีน (Solanine) โซลานิดีน (Solanidine) อาจพบโซลามาร์จิน
(Solamargine) โซลาโซดีน (solasodine) และโซลาโซนีน (solasonine)

เนื่องจากพริกมีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิต ทำให้หน้าแดง รู้สึก
ร้อนทั้งตัวและเหงื่อออก ดังนั้นถ้าอยู่ในที่ชื้นหรือหนาวเย็น กินพริกสักเล็กน้อยจะทำ
ให้อบอุ่นขึ้น

⇒ ข้อควรระวัง
ห้ามใช้ในคนที่มีอาการเจ็บคอ คอแห้ง ไอ ร้อนอุ้งมืออุ้งเท้า หรือคนที่เป็นโรคตา
เช่น ตาแดง เป็นต้น


http://www.doctor.or.th/node/5540
www.doctor.or.th
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 22/09/2010 6:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ฮาบาเนโร ? ... พริกที่เผ็ดที่สุดในโลก














http://news.clipmass.com/story/%E0%B8%AE%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81---14730
news.clipmass.com/.../


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 26/09/2010 6:39 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
jinsolfa
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 21/09/2010
ตอบ: 3

ตอบตอบ: 25/09/2010 5:17 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ขอบคุณ ทุกคำตอบ ครับ
ขอสูตร วัสดุปลก เเละ สูตรปุ๋ย ด้วยครับ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 25/09/2010 6:24 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

http://www.kmitl.ac.th/hydro/Substratdoc.htm
www.kmitl.ac.th/hydro/Substratdoc.htm




www.kmitl.ac.th/~knitthis
www.agric-prod.mju.ac.th/web-veg/hydroponic/hydroponic001.doc


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 25/09/2010 7:45 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Yuth-Jasmine
สาวดี่
สาวดี่


เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010
ตอบ: 384

ตอบตอบ: 25/09/2010 11:57 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

jinsolfa บันทึก:
ขอบคุณ ทุกคำตอบ ครับ
ขอสูตร วัสดุปลก เเละ สูตรปุ๋ย ด้วยครับ


น้ำใจคุณมีแค่ พอถึงเวลาก็เข้ามาขอบคุณ แล้ว ก็ขออีกอย่างงั้นหรือครับ
ทำไมคุณไม่ขอ วิธีการปลูก วิธีการให้น้ำ หรือ ขอให้ไปช่วยปลูกด้วย
เสียเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องขอ บ่อย ๆ

ดูแล้วผมก็ว่า คุณก็น่าจะใช้ อินเตอร์เน็ต เป็นน่ะ แต่ทำไม ผมไม่เข้าใจว่า
คุณไม่ได้ลองพยายามค้นหาเอาเองบ้างเลยหรือ จึงได้ตั้งคำถาม
แบบเปิดกว้างขนาดนี้ ขี้เกียจหรือไม่ต้องการให้ใครรู้รายละเอียด
ในการปลูกพริกของคุณ แล้วคุณรู้ไหม คนที่เขาค้นหาข้อมูลมาให้คุณน่ะ

"คนรุ่นพ่อคุณน่ะ" ใจคอจะให้ท่านนั่งหลังขดหลังแข็ง หาคำตอบมาประเคนให้คุณ
แทบทุกอย่างเลยหรือไง คุณได้ลองพยายามบ้างไหมครับ หรือคิดว่าพอใจจะถาม
จะขอก็ทำ เออถ้าคุณค้นหาแล้วติดปัญหาในแง่โน้นแง่นี้แล้วมาปรึกษา
ขอความช่วยเหลือก็ว่าไปอย่างน่ะ ตัวอย่างน่ะ คุณตั้งคำถาม "อยากปลูกพริกในถุง"
ผมถามว่า ถ้าคนที่เขาหวังดี หาข้อมูลเรื่อง "พริกขี้หนูสวน" มาให้เพียบเลย

แล้วคุณบอกง่าย ๆ ว่า ผมไม่ต้องการ ผมต้องการ "พริกเม็กซิกัน" คุณจะคิดไหมว่า
คนที่เขาตั้งใจหาข้อมูลมาให้จะรู้สึกอย่างไร นี่แค่ตัวอย่างน่ะ เพราะความเป็นจริง
คุณไม่ให้แม้กระทั่งรายละเอียดใด ๆ เลย รู้แค่ว่า พริกเม็กซิกัน จะปลูก ๕,๐๐๐ ต้น
เม็ดละ ๔ บาท เท่านี้หรือคือข้อมูลที่คุณต้องการคำตอบชนิดที่เรียกว่า ป้อนใส่ปาก

ผมสงสารคุณน่ะ แต่ผมสงสารลุงของผมมากกว่าที่จะต้องมาเจออะไรแบบนี้จากคุณ
แกก็ยังอุตส่าห์ไปหาข้อมูลมาให้คุณอยู่ดี

พิจารณาใหม่ก็ยังไม่สายน่ะครับ
ยุทธ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
nokkhuntong
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 26/02/2010
ตอบ: 256

ตอบตอบ: 25/09/2010 5:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เห็นด้วย ๆ ๆ กับคุณยุทธ
ถามครั้งหน้าแบบนี้ไม่เอาน่ะค่ะ

นกขุนทอง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 25/09/2010 7:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

copy มาให้ดูเป็น GUIDE LINE......










http://www.photoontour9.com/outbound/malay/malay03/farm.htm
www.photoontour9.com/outbound/malay/.../farm.htm -





http://www.bansuanporpeang.com/files/images/user1707/PIC_0040.JPG
www.bansuanporpeang.com/node/4217 -









ปลูกผักในกระสอบ และที่มาของกระสอบ

เขียนโดย sothorn
ในเวบนี้ผมได้พูดถึงผักกระสอบไปหลายบันทึกคงผ่านตาผู้อ่านไปแล้วบ้างนะครับ กระสอบใส่ดินปลูกผักเป็นการลงทุนที่ต่ำมากเพราะกระสอบส่วนใหญ่ก็ขอเขามา ผมมีกระสอบลูกใหญ่เป็นหลักร้อยกระสอบ ก็เอามาปลูกผักไปแล้วหลายกระสอบ กระสอบลูกใหญ่ที่ผมมีอยู่ข้อเสียคือบาง และต้องใช้ดินจำนวนมาก กระสอบเล็กมันใช้ดินน้อยดูดีสวยกว่า

ด้วยเหตุนี้ก็มีคนหากระสอบเล็กมาให้ คนที่กล่าวถึงก็เป็นสมาชิกในเวบนี้เช่นกัน ผมรู้จักกับท่านตอนที่ไปอบรมศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ ทุ่งสง ตั้งแต่กลางปี 50 เพราะท่านเป็นวิทยากรที่นั่น หลังจากอบรมเสร็จท่านก็มาเยี่ยมผมที่บ้านหลายครั้ง และติดต่อกันเรื่อยมา ท่านเป็นข้าราชการเกษียณ แต่ไม่หยุดหาความรู้ใส่ตัวไม่ว่าจะเป็นทางด้านคอมพิวเตอร์ หรือทางด้านเกษตรอินทรีย์ จะบอกว่าทางด้านคอมพิวเตอร์อาจารย์ท่านสนใจเล่นลีนุกซ์ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าด้านคอมพิวเตอร์หรือด้านเกษตรก็คุยกันรู้เรื่อง บุคคลที่กล่าวถึงเป็นสมาชิกที่ใช้นามในเวบนี้ว่า ลุงพูน

เมื่อวันเสาร์ก็เช่นกันครับอาจารย์มาเยี่ยมผมพร้อมด้วยของฝาก กระสอบแป้งสาลี ประมาณ 30 กระสอบ เพราะอาจารย์รู้อยู่แล้วว่าผมชอบปลูกผักในกระสอบ ที่มาของกระสอบก็ร้านที่ทำขนมเค้กอาจารย์ขอเขามา ถ้าเราไม่เอาเขาก็ทิ้ง

ผมไม่รอช้าเช้าวันอาทิตย์เสร็จภารกิจจากสวนยางผมลงมือผสมดินเพื่อใส่กระสอบ หาอะไรได้ผมก็ใส่ๆ ไป ส่วนผสมมั่วๆ ดังนี้

1.ดินในบริเวณบ้าน
2.แกลบในหลุมหมูหลุม
3.ขี้ไก่แกลบ
4.ทราย
5.โดโลไมท์
ผสมเข้ากันแล้วก็เอาดินใส่กระสอบกระสอบละ 2 กระถางใบดำในรูป

อันนี้เป็นกระสอบใบใหญ่ที่ได้พูดถึง ปลูกผักรอบสองแล้วมีร่องรอยของการขาด
ปลูกถั่วครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าถั่วอะไร ต้องถามคนเอามาให้อีกที
ถ้ารักที่จะกินผักปลอดสารพิษ อย่าอ้างว่าไม่มีที่ดินนะครับ
เจอกระสอบที่ไหนขอเขาเลยครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก บ้านสวนพอเพียงดอทคอมค่ะ http://www.bansuanporpeang.com/node/276#comment-643


http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=8147.0
www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=8147.0 -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 25/09/2010 10:27 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ในถุง - ในกระป๋อง ไม่ต่างกัน เพราะต่างก็ปลูกใน "ภาชนะปลูก" เหมือนๆกัน
ที่เอามาให้ดูวันนี้ ไม่ใช่จะให้เปลี่ยนใจจากปลูกในถุง มาปลูกในกระป๋องหรอกนะ

ลึกๆ อยากให้เปรียบเทียบระหว่างของจริงๆ ที่เราปลูก หรือใครปลูกก็สุดแท้
ว่ามั้ย....."ของจริง" เห็นกับตา สัมผัสได้ ไม่สวยเท่าที่เห็น "ในรูป"

ถาม : ทำไมในรูปจึงสวยกว่าของจริง ?

ลุงคิมครับผม















ต้นไม้กระป๋อง ลดโลกร้อน

ต้นไม้กระป๋อง และ ต้นไม้ถุง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนในสังคมเมืองที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ที่ไม่มีพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่หรือทำสวนใหญ่ๆ หรือไม่มีเวลาดูแล


สมัยเด็กๆ เห็นปลากระป๋องให้นึกแปลกใจว่า เขาเอาปลามาใส่กระป๋องได้อย่างไร แถมเรียงกันไม่มีหักไม่มีงอสักนิด กลายเป็นปริศนาคาใจมาหลายปี เพิ่งมาถึงบางอ้อ เมื่อไม่นาน เริ่มโตขึ้นเรียนรู้มากขึ้น

โลกทุกวันนี้ อาหารกระป๋องยังได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ และสินค้าอาหารบรรจุกระป๋องก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนอีกต่อไป เดี๋ยวนี้มีทั้งเครื่องดื่มกระป๋อง เบียร์กระป๋อง ขนมหวานเมืองเพชร อัดกระป๋อง ข้าวกระป๋อง ส่งไปขายให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศเกือบทั่วโลก

แต่ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เห็นเรื่องราวในทีวีแว้บหนึ่ง พิธีกรสาวกำลังสัมภาษณ์เด็กหนุ่มคนหนึ่ง บอกว่า ต้นไม้กระป๋อง ดอกไม้กระป๋อง กำลังขายดิบขายดี จนทำให้เจ้าของที่เคยคิดทำสนุกๆ แค่เป็นงานอดิเรก ต้องหันมาจับเป็นอาชีพอย่างจริงจัง กำลังไปได้สวยเลยทีเดียว

พอเริ่มสนใจแต่ยังจับใจความไม่ได้ รายการช่วงนั้น ก็จบเสียก่อน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ น่าสนใจ ถือว่าเป็นความสำเร็จด้วย คลิกนอกกรอบ แต่คิดว่าเรื่องราวดีๆ อย่างนี้ นิตยสารเส้นทางเศรษฐี ไม่น่าพลาด น่าจะเคยรายงานมาแล้ว พอมาสอบถามน้องๆ ทีมงาน ก็ได้รับคำตอบแบบไม่ต้องคิดว่า เคยลงเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมมานี้เอง

ครับปรากฏว่า เคยลงใน คอลัมน์ไอเดียแปลก ในเส้นทางเศรษฐีแล้วจริงๆ

เจ้า ของไอเดียแปลก ต้นไม้กระป๋อง ชื่อ คุณปณิธิ ปิยสถิตธรรม หรือ คุณอ๋า เดิมมีอาชีพทำงานในห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทำงานนี้อยู่ได้ 2 ปี แต่เนื่องจากไม่ชอบทำงานอยู่กับที่ ก็เปลี่ยนอาชีพเรื่อยมา จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณอ๋าก็ไปเปิดอินเตอร์เน็ต เห็นในต่างประเทศเขาขายต้นไม้ ดอกไม้ในกระป๋อง จึงอยากลองทำดู เนื่องจากพื้นความรู้ที่จบทางเทคนิคการแพทย์ สามารถนำมาพัฒนาทำปุ๋ยชีวภาพเพื่อนำไปผสมดินให้มีคุณภาพแล้วนำเมล็ดพืชไป ปลูกในกระป๋องก็จะมีต้นไม้งอกและเติบโตในกระป๋องอย่างไม่น่าเชื่อ


นอกจากนี้ เขายัง คิดค้นหาสูตรสารอาหารที่จะเป็นปุ๋ยชีวภาพบำรุงต้นไม้ โดยไม่ใช้สารเคมี และนำเอา กากมะพร้าวไปผสมเสริมในสารอาหาร ให้ได้ผลในการเพาะพันธุ์ต้นไม้ หลังจากได้สารอาหารที่สมบูรณ์แล้วนำไป อบในอุณหภูมิ 60-80 องศาเซลเซียส สำหรับวัตถุดิบบางส่วน อย่างกระป๋องและ ส่วนประกอบของสารอาหาร คุณอ๋าต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่ก็ดัดแปลงจากวัตถุดิบที่หาได้ในบ้านเรา เพื่อประหยัดต้นทุน สินค้าจะได้ไม่แพงเกินไป

หลังจากนั้น คุณอ๋า ก็จะนำไปบรรจุลงกระป๋องโดยส่งไปให้โรงงานผลิตกระป๋องเครื่องดื่มทั่วไป พร้อมทั้งจัดทำเมล็ดของต้นไม้ ใส่ถุงเล็กๆ บรรจุกระป๋องไว้ หากซื้อไปปลูกในสำนักงาน ห้องนอน ริมหน้าต่างคอนโดมิเนียม เขาจะมีฉลากแนะนำวิธีการปลูกอย่างถูกขั้นตอน ให้เรียบร้อย ทำได้ง่ายๆ ไม่ว่ามือร้อน มือเย็นปลูกได้ทั้งนั้น

ตอนนี้ กิจการของคุณอ๋าเจริญรุดหน้าถึงขั้นตั้งเป็นบริษัทในนาม บริษัท อัลฟ่า ทรีออน จำกัด ใครสนใจรายละเอียดมากกว่านี้ หรืออยากจะติดต่อสอบถามเพื่อจะนำไปขาย ลองไปหาอ่านในนิตยสารเส้นทางเศรษฐีฉบับเดือนพฤษภาคม ได้

คุณอ๋า ยอมรับว่า ได้ไอเดียเก๋ๆ นี้จากอินเตอร์เน็ต เพราะต่างประเทศเขาทำขายกันและกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก แต่ต้องชื่นชมว่า นี่แหละ เสือปืนไว อย่างแท้จริง เห็นช่องเห็นโอกาสไม่มัวรีรอ เมื่อเห็นแล้วลงมือทำทันที ไม่มีโอ้เอ้ลังเลใจ ซึ่งเป็นสัญชาติญาณนักธุรกิจ

แต่ที่สำคัญยิ่ง กว่า นั่นคือ เขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ มองเห็น ในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น เหมือนที่มีคำคมบอกว่า สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคมเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย

ในต่างประเทศมีอีกธุรกิจ หนึ่งคล้ายๆ กัน ที่กำลังมาแรง คล้ายๆ กับ ต้นไม้กระป๋อง แต่คราวนี้ ปลูกต้นไม้ในถุง หรือ Garden-in-a-Bag ก็เหมือนที่ปลูกในกระป๋อง คือ เมล็ดพันธุ์ ส่วนใหญ่เมล็ดพันธุ์ที่นำมาใช้จะอยู่ในประเภท ออร์แกนิก หรือ เกษตรอินทรีย์ ถุงที่ใช้ปลูกเป็นถุงสีน้ำตาล เข้าใจว่าอาจจะให้กลมกลืนกับต้นไม้ ข้างๆ ถุงจะติดสติ๊กเกอร์ดอกไม้สวยๆ พร้อมพิมพ์ข้อความที่มีความหมายดีๆ ที่ใครๆ อ่านแล้วมีความสุข


ต้นไม้ ในถุงเหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญ วันปีใหม่ วันเกิด หรือในวาระอื่นๆ ตามแต่วาระ ตามแต่โอกาส ข้อความเก๋ๆ ก็จะเปลี่ยนไปตามวาระโอกาสนั้นด้วย เช่น สุขสันต์วันเกิด ขอให้อายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง ขอแสดงความดีใจที่เรียนจบ ขอให้มีความสุขมากๆ หรือ ด้วยรัก และอื่นๆ ที่คิดว่าเก๋ไก๋

ทั้ง ต้นไม้กระป๋อง และ ต้นไม้ถุง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนในสังคมเมืองที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ที่ไม่มีพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่หรือทำสวนใหญ่ๆ หรือไม่มีเวลาดูแล ลำพังแค่ตื่นขึ้นมารีบไปทำงานกลับมาถึงที่พักก็เหนื่อยแล้ว แต่รักจะปลูกต้นไม้ เชื่อว่า ต้นไม้กระป๋อง ต้นไม้ถุง จะแบ่งเบาภาระ และตอบสนองความต้องการได้

ที่สำคัญ หากทุกๆ คนช่วยกันปลูก ก็น่าจะมีส่วนช่วยลดโลกร้อนได้บ้าง อาจจะไม่มากนัก แต่ถ้าทุกๆ คนมีคนละ 10 กระป๋อง หรือ 10 ถุง คน 1 ล้านคน ก็มีต้นไม้ 10 ล้านกระป๋อง หรือ 10 ล้านถุง เลยทีเดียว

ส่วนใครสนใจจะไปลองทำเป็นธุรกิจ นอกจากจะมีความสุขแล้วอาจจะมีรายได้ดีกว่ารายได้งานประจำที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ได้


ที่มา : มติชน
จากหนังสือเส้นทางเศรษฐี วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 16 ฉบับที่ 254 หน้า 72
ที่มาภาพ : www.thaismefranchise.com

http://www.xn--b3c4bjh8ap9auf5i.th/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B5/

www.อาชีพเสริม.th/ต้นไม้กระป๋อง-รายได้ดี/ -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 26/09/2010 6:55 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การผสมวัสดุปลูกพืช

การผสมวัสดุปลูก
การผสมวัสดุปลูกใช้เองเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ขึ้นอยู่กับลักษณะของวัสดุปลูกที่ต้องการใช้และวัสดุที่จะนำมาใช้นั้นหาได้ง่ายในท้องถิ่น ส่วนประกอบที่นำมาใช้ให้พิจารณาจากส่วนประกอบของอนินทรีย์วัตถุ เช่น ทรายหยาบที่หาได้ง่ายในบ้านเรา เพื่อช่วยให้วัสดุคงตัวไม่สลายง่าย ระบายน้ำได้ดีเป็นที่ยึดเกาะของรากพืชได้ นำมาผสมกับอินทรีย์วัตถุที่มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น แกลบดิบ ถ่านแกลบ ขุยมะพร้าวและอื่นๆ การเลือกใช้อินทรีย์วัตถุควรใช้มากกว่าหนึ่งชนิดและมีความสามารถผุเปื่อยได้แตกต่างกัน

นอกนั้นให้พิจารณาเลือกใช้แหล่งของธาตุอาหารพืช เช่น ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักและปุ๋ยวิทยาศาสตร์ในอัตราที่เหมาะสมและเพียงพอกับ ความต้องการของพืชแล้วปรับค่าความเป็นกรดด่างให้เหมาะสมด้วยปูนขาว การใช้ดินร่วนเป็นส่วนผสมในวัสดุปลูกบ้างจะช่วยให้พืชไ ด้รับธาตุอาหารรองอย่างครบถ้วนและสะดวกในการเตรียม สำหรับอัตราส่วนของวัสดุแต่ละชนิดนั้นสามารถปรับ ให้เหมาะสมได้ตามความต้องการของผู้ปลูก

การรักษาความสะอาดของวัสดุปลูกนั้น เป็นวิธีการหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดกับต้นพืชได้ โดยเฉพาะต้นที่อ่อนแอหรือต้นที่อยู่ระหว่างการปรับตัว สามารถใช้วิธีการต่างๆ ได้หลายวิธี เช่น การใช้ความร้อน อบดินด้วยไอน้ำที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 30 นาที หรืออาจลดอุณหภูมิได้ไม่ควรต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส ก็ได้ จะช่วยให้ไม่ทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์กับพืช การใช้ความร้อนแบบนี้อาจเรียกว่า soil pasteurization

การใช้สารเคมีเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้สะดวกโดยไม่ทำลายคุณสมบัติทางฟิสิกส์และเคมีของดิน แต่อาจเป็นพิษกับเนื้อเยื่อพืชและผู้ใช้งาน สารเคมีที่ใช้กันอยู่ได้แก่ Chloropicrin, Methyl bromide, Vapam และยากันราที่ใช้ราดกับดิน เช่น Benlate, Terraclor, Captan

http://web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359301/pprop/2.greenhouse/mix.html
web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359301/pprop/2.../mix.html -




วัสดุที่ใช้ในการปลูกไม้ประดับ

2. วัสดุปลูก โดยทั่วไปวัสดุปลูกจะประกอบจากวัสดุหลายๆชนิดผสมกัน เนื่องมาจากเหตุผลที่ว่าวัสดุปลูกเพียงแบบใดแบบหนึ่งเพียงชนิดเดียว มักจะมีคุณสมบัติข้อดีเพียงด้านเดียว กล่าวคือวัสดุที่มีคุณสมบัติดีมาก มักมีราคาแพง วัสดุประเภทที่ดูดซับและรักษาความชื้นได้ดีมักจะระบายอากาศได้ไม่ดี ส่วนวัสดุที่ระบายอากาศได้ดีก็มักจะดูดซับและรักษาความชื้นได้ไม่ดีนัก บางชนิดมีธาตุอาหาร ในขณะที่บางวัสดุปลูกก็ไม่มีธาตุอาหารเลย วัสดุปลูกที่เหลือใช้และหาได้ง่ายในบ้านเรามีอยู่มากมาย
อาทิเช่น เปลือกมะพร้าว ทรายหยาบ แกลบดิบ ขี้เถ้าแกลบ เปลือกไม้แห้ง ใบไม้ผุ ขี้วัวแห้ง ถ่านไม้ หินชนิดต่างๆ โฟมหักเป็นชิ้นขนาดต่างๆ ...ฯลฯ

เคล็ดลับของวัสดุปลูกคือหลีกเลี่ยงการใช้ดินเปล่าๆโดยไม่ผสมอะไรเลย เนื่องจากดินเปล่าๆเมื่อผ่านการรดน้ำระยะหนึ่งจะมีความแน่นตัวสูง แต่ถ้ามีการเพิ่มความโปร่งร่วนซุย จะช่วยให้มีการหมุนเวียนของอากาศและน้ำ ทำให้เกิดการถ่ายเทที่สมดุลและควบคุมเชื้อก่อโรคได้

ดังนั้นการเตรียมผสมวัสดุปลูกจึงควรให้ความสำคัญกับความโปร่งและระบายอากาศดี แต่ก็ไม่สูญเสียความชื้นง่ายจนเกินไป ส่วนเรื่องธาตุอาหารผู้ที่ยังไม่ชำนาญในการผสมดินปลูก ขอแนะนำให้ไปปรับที่ปุ๋ย ถ้าธาตุอาหารในตัววัสดุปลูกเยอะก็ไม่ต้องให้ปุ๋ยมากถ้าธาตุอาหารในตัวน้อยก็ให้ปุ๋ยเสริมเข้าไป

ปัจจุบันปุ๋ยละลายช้าเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ประหยัดและลดความยุ่งยากได้ ต้นไม้บางชนิดสามารถปลูกให้งอกงามได้ดีเมื่อใช้ปุ๋ยละลายช้านี้ แม้จะใช้วัสดุปลูกที่ไม่มีธาตุอาหารใดๆเลย


http://www.tonmai2u.com/plant%20material.html
www.tonmai2u.com/plant%20material.html -



ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน |

คุณสมบัติของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน
ลักษณะโครงสร้างทางกายภาพของปุ๋ยหมักไส้เดือนดินมีลักษณะเป็นเม็ดร่วนละเอียด มีสีดำออกน้ำตาล โปร่งเบา มีความพรุนระบายน้ำและอากาศได้ดีมาก มีความจุความชื้นสูงและมีประมาณอินทรียวัตถุสูงมาก ซึ่งผลจากการย่อยสลายขยะอินทรีย์ที่ไส้เดือนดินดูดกินเข้าไปภายในลำไส้ และด้วยกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้และน้ำย่อยของไส้เดือนดินจะช่วย ให้ธาตุอาหารหลายๆ ชนิดที่อยู่ในเศษอินทรียวัตถุเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถ นำไปใช้ได้ เช่น เปลี่ยนไนโตรเจน ให้อยู่ในรูป ไนเตรท หรือ แอมโมเนีย ฟอสฟอรัสในรูปที่เป็นประโยชน์ โพแทสเซียมในรูปที่แลกเปลี่ยนได้ และนอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของธาตุอาหารพืชชนิดอื่นและจุลินทรีย์หลายชนิด ที่เป็นประโยชน์ต่อดิน รวมทั้งสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหลายชนิดที่เกิดจากกิจกรรมของ จุลินทรีย์ในลำไส้ของไส้เดือนดินอีกด้วย

การใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินและน้ำหมักมูลไส้เดือนดินในการปลูกพืชจะส่งผลให้ ดินมีโครงสร้างดีขึ้น คือทำให้ดินกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น มีความโปร่งร่วนซุย รากพืชสามารถชอนไชและแพร่กระจายได้กว้าง ดินมีการระบายน้ำและอากาศได้ดี ทำให้จุลินทรีย์ดินที่เป็นประโยชน์บริเวณรากพืชสามารถสร้างเอนโซม์ที่เป็นประโยชน์ ต่อพืชได้เพิ่มชึ้น นอกจากนี้จุลินทรีย์ดินที่ปนออกมากับมูลของไส้เดือนดินยังสามารถสร้างเอ็น ไซม์ฟอสฟาเตสได้อีกด้วย ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มประมาณฟอสฟอรัสในดินให้สูงขึ้นได้

ประโยชน์และความสำคัญของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน
ส่งเสริมการเกิดเม็ดดิน
เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุแก่ดิน
เพิ่มช่องว่างในดินให้การระบายน้ำและอากาศดียิ่งขึ้น
ส่งเสริมความพรุนของผิวหน้าดิน ลดการจับตัวเป็นแผ่นแข็งของหน้าดิน
ช่วยให้ระบบรากพืชสามารถแดร่กระจายตัวในดินได้กว้าง
เพิ่มขีดความสามารถในการดูดซับน้ำในดิน ทำให้ดินชุ่มขึ้น
เพิ่มธาตุอาหารพืชให้แก่ดินโดยตรงและเป็นแหล่งอาหารของสัตว์และจุลินทรีย์ดิน
เพิ่มศักยภาพการแลกเปลี่ยนประจุบวกของดิน
ช่วยลดความเป็นพิษของธาตุอาหารพืชบางชนิดที่มีปริมาณมาเกินไป เช่น อลูมินัม และแมงกานีส

ช่วยเพิ่มความต้านทานในการเปลี่ยนแปลงระดับความเป็นกรด-เบส (Buffer capacity) ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไม่เร็วเกินไปจนเป็นอันตรายต่อพืช
ช่วยควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดิน เนื่องจากการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจะทำให้มีปริมาณจุลินทรีย์ที่สามารถ ขับสารพวกอับคาลอยด์และกรดไขมันที่เป็นพิษต่อไส้เดือนฝอยได้เพิ่มขึ้น

การใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินเป็นส่วนผสมของวัสดุปลูกและวัสดุเพาะกล้าพืช
นอกจาก การนำปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินไปใช้เป็นปุ๋ยแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุปลูกและวัสดุเพาะกล้าพืชได้ วัสดุปลูกพืชหรือสัสดุเพาะกล้าพืชทีมีส่วนผสมของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจะมี ธาตุอาหารพืชอยู่ในปริมาณที่เจือจางและอยู่ในรูปพร้อมใช้ ซึ่งจะค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้กับต้นกล้าพืชในการเจริญเติบโตระยะแรกได้อย่างเหมาะสม ประกอบกับปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินมีโครงสร้างที่โปร่งเบาระบายน้ำและอากาศได้ ดี และจุความชื้นได้มาก ดังนั้นต้นกล้าพืชจะสามารถเจริญเติบโตออกรากและชอนไชได้ดีมาก ในการนำมาปลูกพืชจำพวกได้ประดับจะส่งเสริมให้พืชออกดอกได้ดีมากเนื่องจาก จุลินทรีย์ในปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินสามารถสร้างเอนไซม์ฟอสฟาเตสได้ จึงทำให้วัสดุปลูกนั้นมีปริมาณของฟอสฟอรัสเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้พืชออกดอกได้ ดียิ่งขึ้น

คุณสมบัติของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินที่นำมาใช้เป็นวัสดุปลูกพืชจะแตกต่างกันตามวัสดุ ที่นำมาใช้ผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน แต่โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินที่ได้จะมีลักษณะที่ คล้ายกัน คือจะมีส่วนประกอบของธาตุอาหารพืชอยู่ในรูปที่พืชสามารถดูดไปใช้ได้ มีส่วนประกอบของธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมเกือบทุกชนิดที่พืชต้องการ ในการนำปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินมาใช้เป็นวัสดุปลูก ควรจะนำมาผสมกับวัสดุปลูกชนิดอื่นๆ ก่อน เนื่องจากปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจะประกอบด้วยอินทรียวัตถุเป็นส่วนใหญ่ และมีอนุภาคของดินอยู่น้อย ดังนั้นในการนำปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินที่ได้มาผสมกับวัสดุปลูกชนิดอื่นๆ จะได้ผลดีกว่าและสิ้นเปลืองน้อยกว่าการใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินเพียงอย่าง เดียว ซึ่งในการปลูกพืชสวนประดับสามารถนำปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินมาเจือจากได้หลาย ระดับ

ข้อดีของวัสดุปลูกที่มีส่วนผสมของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน
ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินสามารถช่วยเก็บความชื้นและปลดปล่อยออกมาให้พืชอย่างช้าๆ เมื่อพืชต้องการยืดระยะเวลาการให้น้ำแก่พืชได้นานขึ้น
กรณีใช้ผสมดินที่เป็นดินเหนียวจะช่วยเพิ่มอากาศในดิน ทำให้ดินร่วนซุย และช่วยในการถ่ายเทน้ำและอากาศได้สะดวก
กรณีผสมดินที่เป็นดินทรายจะช่วยเพิ่มเนื้อดิน ช่วยให้ดินเก็บรักษาความชื้น และธาตุอาหารในดิน ลดการชะล้างธาตุอาหารของน้ำ
ลดปัญหาการสลายตัวของธาตุอาหาร เป็นตัวปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างช้าๆ ทำให้ประหยัดปุ๋ย
ปกป้องดินไม่ให้มีสภาพโครงร้างแน่นเข็งและช่วยเติมอินทรียวัตถุในเนื้อดิน ช่วยให้ดินร่วนซุย รากพืชสามารถแพร่ขยายได้กว้าง
ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจะมีสาวนประกอบของกรดฮิวมิคซึ่งเป็นตัวกักเก็บธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืชหลายชนิด เช่น ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) เหล็ก (Fe) และทองแดง (Cu) ซึ่งธาตุอาหารเหล่านี้จะถูกเก็บอยู่ในโมเลกุลของกรดฮิวมิค อยู่ในรูปพร้อมใช้ และจะถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อพืชต้องการ


http://www.oknation.net/blog/earthworms/2007/08/08/entry-1
http://blog.etcpool.com/articles/environment/organic-agro/earthworm/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99/earthworm-fermented-fertilizer/
blog.etcpool.com/articles/.../organic.../earthworm-fermented-fertilizer/ -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©