-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-เลือดของพืช
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - เลือดของพืช
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

เลือดของพืช

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 22/12/2010 8:50 pm    ชื่อกระทู้: เลือดของพืช ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เลือดของพืช


กำเนิดคลอโรฟิลล์
คลอโรฟิลล์ คือ ส่วนที่เป็นสีเขียวในพืช มีหน้าที่สังเคราะห์แสง โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มารวมกับคาร์บอนไดออกไซค์ ที่พืชดูดจากอากาศผ่านทางใบ รวมกับน้ำ ที่พืชดูดมาทางราก กลายเป็นอาหาร ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ และคายก๊าซออกซิเจนออกมา

จากการสกัด และวิเคราะห์ "คลอโรฟิลล์" จากพืชกว่า 6,000 ชนิด พบว่าคลอโรฟิลล์ที่ได้จากต้นอัลฟัลฟ่า จะบริสุทธิ์และดีที่สุด เพราะระบบราก สามารถชอนไชในดินได้ลึกกว่า 130 ฟุต ดังนั้น จึงสามารถดูดซึมอาหารได้มากกว่า บริสุทธิ์กว่า ไม่สะสมสารพิษไว้ในตัวมันเอง

ในการสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์นั้น เราจะนำเอาต้นอัลฟัลฟ่าที่ไม่แก่เกินไปหรืออ่อนเกินไปมาคั้นเอาน้ำสีเขียวพร้อมทั้งเกลือแร่ต่างๆ เช่น กรดอะมิโน 8 ชนิด ได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน , ลิวซีน , ไลซีน , เมไธโอนีน , ฟินิลอะลานีน , เทรโอนีน , ทริปโตฟาน , และวานลีน ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่มีความจำเป็นต่อร่างกาย พร้อมทั้งเกลือแร่อื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส , แคลเซียม , โปแตสเซียม , สังกะสี , เซเลเนียม และแมกเนเซียม และวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน เอ, บี, ดี, อี, เค, และเอ็นไซม์.ต่างๆ ที่ช่วยต้านสารพิษได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น

คลอโรฟิลล์ คือ สารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (PHOTOSYNTHESIS) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และแร่ธาตุต่างๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์

คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานหรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่าคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ระบบการย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเราได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในแอลกอฮอลล์บางชนิดเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารแต่จะย่อยและดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก

คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกส่งไปสะสมไว้ที่ตับ (LIVER) ในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHOLOPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีเพียงแต่อาการท้องเสียอย่างเบาบางในบางกรณีเท่านั้นด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดงต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม (Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียวแต่เม็ดเลือดแดงมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า "เลือดของพืช" (BLOOD OF PLANT)

ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันออกมาว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้จนผู้ทำวิจัยได้รับรางวัลโนเบล (NOBLE PRIZE) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วิน สเตตเตอร์ (DR. RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์ ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้ แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซี่ยม (ca) เข้าไปอุดรูพรุนของกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (BONE MARROW) ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือ สร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากการทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ 25 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป และรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า

จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 1990 ตามเอกสารที่ขึ้นทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use For Over-the-Counter Human Use; Final Monograph; FinalRule

คลอโรฟิลล์ จาก "อัลฟัลฟ่า"การสกัดและวิเคราะห์ "คลอโรฟิลล์" จากพืชกว่า 6,000 ชนิด พบว่าพืชที่ให้ "คลอโรฟิลล์" ที่บริสุทธิ์และดีที่สุดคือ "อัลฟัลฟ่า" (ALFALFA) ซึ่งจัดเป็นพืชจำนวนที่มีฝัก (LEGUMES) ตระกูลถั่ว และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของอัลฟัลฟ่าสามารถซอนไซลงไปลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่าอีกทั้งตัวของมันเองจะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก "อัลฟัลฟ่า" มากกว่า 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม จึงขนานนามให้เป็น AL- FAS-FAH-SHA หรือ "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล" ประโยชน์ของ "อัลฟัลฟ่า" สามารถใช้บำบัดอาการปวดบวมและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ จนกระทั่งถึงความผิดปกติ ในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า "อัลฟาฟ่า" สามารถช่วยทำให้เลือดสะอาดขึ้นอัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมีโนที่จำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน , ลิวซีน, ไลซีน, เมไธโอนีน, ฟินิลอะลานีน, เทรโอนีน, ทริปโตฟาน และวาลีน กรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ในอัลฟัลฟ่า ยังมีวิตามิน เอ, บี 6, บี12, ดี, อี และ เค. รวมทั้งเกลือแร่ เช่น ฟอสฟอรัส, โปรตัสเซียม, แคลเซี่ยม,สังกะสี,เซเลเนียม และ แมกนีเซียม เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์หลักอีก 8 ชนิด คือ ไลเปส,อาเมเลส,โคกูเลส,อีมูลซิน,อินเวอร์เตส,อินเวอร์เตส,เปอร์อ๊อกซิเดส,เพคติเนส,โปรตีส,มนุษย์เราต้องการเอนไซม์มากกว่า 3,000 ชนิด แต่ร่างกายสร้างได้เองเพียงไม่กี่ชนิด นอกนั้นต้องบริโภคจากอาหารสดประจำวัน ประเภทพืชผักและผลไม้ต่าง ๆ แต่ถ้าหากอาหารเหล่านี้ผ่านความร้อนเกินกว่า 55 องศาเซลเซียสขึ้นไป เอนไซม์ต่าง ๆ จะเสื่อมหรือเปลี่ยนรูปไปและร่างกายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ร่างกายต้องการเอนไซม์เพื่อช่วยปรับระดับความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ และจากวิธีการรับประทานอาหารในปัจจุบันนี้ เราได้รับเอนไซม์เข้าไปในร่างกายน้อยมากในอัลฟาฟ่ายังมีซาโปนิน ซึ่งเป็นสารที่มีผลในการลดในการอุดตันของเส้นเลือดและช่วยยับยั้งคลอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL)ในเลือดลงได้ จึงช่วยลดความดันโลหิตลงไอโซฟลาโวน,ฟลาโวลและสเตอโรล ในอัลฟาฟ่ายังช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และปรับระดับฮอร์โมนดังกล่าวในผู้หญิง ทั้งก่อนมีรอบเดือน (PMS) และอยู่ในวัยที่ใกล้จะหมดรอบเดือน (MENOPAUSE)


คลอโรฟิลล์จะช่วยท่านได้อย่างไรจากประสบการณ์ของผู้บริโภคจากทั่วโลกสรุปความหน้าสนใจของคลอโรฟิลล์ได้ ดังนี้

- ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากอาการอ่อนเพลีย มีผลดีกว่ากาแฟ 50 เท่า

- ขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะสารตกค้างจากยาปฏิชีวนะ หรือสารตกค้างจากเคมีบำบัด และในอาหารทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น

- แมกนีเซียมที่หลุดออกจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์จะทำหน้าที่พาแคลเซียม เข้าไปอุดรูพรุนของกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น

- มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลในปาก แผลในกระเพาะอาหาร และช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบ

- ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้าและกลิ่นอับไม่พึงประสงค์ได้ดี

- ช่วยปรับระดับน้ำตาลในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะไปทำให้ตับอ่อนทำหน้าที่ดีขึ้น สามารถผลิตอินซูลินได้มากขึ้น

- ช่วยปรับระดับความดันโลหิต เพราะไปช่วยให้ผนังเส้นโลหิต แข็งตัวน้อยลงในผู้สูงอายุ ทำให้เส้นผนังโลหิตยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความดันโลหิตลงมาได้




Alfalfa คืออะไร Alfalfa (Lucene) จัดเป็นพืชจำพวกตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูก เติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก Alfalfa มีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ Alfalfa สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า อีกทั้งตัวของ Alfalfa เองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก "Alfalfa" มากว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม Alfalfa ให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล"Alfalfa ได้ถูกใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบ Alfalfa อ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบ และดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยทำงานที่ทำงานได้น้อย นอกจากนี้ Alfalfa ยังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้ Alfalfa ในการรักษาโรคดีซ่าน และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในสหรัฐอเมริการได้แนะนำให้ใช้ Alfalfa เป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการการดูดซึมอาหารไม่ดี นอกจากนี้ยังแนะนำว่า Alfalfa มีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วยสารที่ประกอบอยู่ใน Alfalfaด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้ Alfalfa เป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มี กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด เช่น lsoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น ซึ่งเป็น กรดอะมิโน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้ง Alfalfa ยังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึง วิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนส โปรตีส นอกจากนี้ Alfalfa ยังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีก เช่น Chlorophyll , flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้นAlfalfa กับประโยชน์ต่อร่างกายประโยชน์หลักของ กรดอะมิโน ที่จำเป็นที่อยู่ในใบของ Alfalfa จะช่วยให้การทำงานของระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี อีกทั้งยังเป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะทางธรรมชาติที่ดี มักใช้ Alfalfa เพื่อการบำบัดอาการติดเชื้อทางปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ และอาการเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก และยังช่วยขจัดพิษในร่างกายโดยเฉพาะในตับได้อีกด้วยนอกจากนี้ Alfalfa ยังบรรจุไปด้วย วิตามิน และสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกายมากมาย เช่น

► วิตามิน K ใน Alfalfa จะช่วยป้องกันอาการคลื่นเหียน อยากอาเจียนได้
► Alfalfa ยังมีสาร fluoride และ แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในกระดูก และป้องกันฟันผุ
► ส่วนสาร betacareotene ยังเป็นประโยชน์ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรค ผิวหนังและเยื่อบุผิวให้มี สุขภาพ ที่ดี
► Alfalfa อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามิน C ,B12 และ bioflavinoid ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตเป็นอย่างมาก
► สาร saponin ที่พบใน Alfalfa มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในราก โสม ซึ่งอาจช่วยหรือส่งเสริมให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสม
► สาร Chlorophyll จะช่วยในการดับกลิ่นปากและกลิ่นตัว ต่อต้านความเป็นกรดเปรี้ยวของร่างกาย และช่วยดูแลแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยในการย่อยภายในลำไส้อีกด้วย
► ไฟเบอร์ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากใน Alfalfa จะช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ ยังช่วยในการลำเลียงของเสียที่อยู่ภายในลำไส้ออกจากระบบได้เป็นอย่างดี ทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
► Alfalfa ยังมีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาคนไข้ที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้
► Alfalfa มีสาร carotene ที่ช่วยสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรค มะเร็ง ที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายไป
Keyword : อัลฟัลฟา , อาหารเสริม , Alfalfa , Mesicago sativa , Chlorophyll , Nataural , เลือด , วิตามิน , คลอโรฟิลล์ , อัลฟัลฟ่า


เขียนโดย ชวสิน 089-7558850 ที่ 1:50

http://mlm007.blogspot.com/2007/08/blog-post_31.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©