-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-กูลโคส-กากน้ำตาล..... มีผลต่อพืช ?
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - กูลโคส-กากน้ำตาล..... มีผลต่อพืช ?
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

กูลโคส-กากน้ำตาล..... มีผลต่อพืช ?

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
hearse
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 08/01/2010
ตอบ: 110

ตอบตอบ: 26/12/2010 11:46 pm    ชื่อกระทู้: กูลโคส-กากน้ำตาล..... มีผลต่อพืช ? ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

อยากทาบว่า ถ้าหากเราให้ปู๋ยที่มีส่วนผสมของกูลโคสและกากน้ำตาลทุกๆ 10 วัน ในปริมาณปกติ ไม่ว่าจะทางใบหรือดิน จะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชหรือไม่


ขอบคุุณจ้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 27/12/2010 4:41 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

- กากน้ำตาล โมเลกุลใหญ่ ไม่สามารถผ่านปากใบพืชได้ จึงไม่สมควรให้ทางใบ แต่ให้ทางรากหรือทางดินได้ เพราะเมื่อลงไปในดินแล้ว จุลินจทรีย์ในดินจะทำการย่อยสลายให้อยู่ในรูปที่รากสามารถดูดซับเอาไปใด้เอง

- กากน้ำตาลใหม่ มีสารที่เป็นพิษต่อพืชอีก 18 ชนิด สังเกตุ ถ้าใช้ในอัตราเข้มข้นมากๆ พืชจะเกิดอาการใบไหม้ หรือต้นโทรม

- ให้กากน้ำตาลมากๆ ให้ประจำๆ สม่ำเสมอไม่เคยขาด จนต้นได้สะสมเป็นระยะเวลานานๆ ต้นจะเกิดอาการชะงักการเจริญเติบโต ไม่แตกใบใหม่

- กลูโคส โมเลกุลเดี่ยว สามารถผ่านปากใบพิชได้ ปุ๋ยทางใบที่มีส่วนผสมของกลูโคสจะทำให้ปุ๋ยตัวนั้นผ่านปากใบได้เร็ว จึงเรียกปุ๋ยตัวนั้นว่า "ทางด่วน" ก็แค่นี้แหละ

- กลูโคสเมื่อตกลงดิน รากพืชสามารถดูดซับเอาไปใช้ได้ นั่นคือ พืชรับกลูโคสได้ทั้งทางใบและทางราก

- ภาษาชาวสวนพูดว่า "สะสมตาดอก" แต่ภาษวิชาการพูดว่า "สะสมแป้งและน้ำตาล" คิดเอาเองก็แล้วกันว่า ทั้งกลูโคสและน้ำตาลมีประโยชน์ต่อพืชอย่างไร

- น้ำตาล มีระยะ ซี./เอ็น. เรโช ค่อนข้างกว้าง จึงเหมาะต่อการทำให้ออกดอก

- อะไรๆ ที่เกินพอดี ย่อมไม่ดีทั้งนั้น ถ้างั้น พอดี คือ แค่ไหน ? ...... ตอบว่า ไม่ทราบ เพราะในธรรมชาติไม่มีตัวเลข และไม่มีสูตรสำเร็จ ไม้แต่ละต้น-แต่ละชนิดต้องการปริมาณสารอาหารไม่เท่ากัน ....ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่ที่ "ตามความเหมาะสม" นั่นแหละ

ลุงคิมครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
hearse
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 08/01/2010
ตอบ: 110

ตอบตอบ: 27/12/2010 8:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ถ้าหากเราให้กากน้ำตาลจนต้นไม้เกิดอาการชะงักการเจริญเติบโต ไม่แตกใบใหม่จะมีวิธีแก้ อย่างไร
ขอบคุณจ้า
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/12/2010 10:32 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทางดิน : ใส่อินทรีย์วัตถุ + จุลินทรีย์ + ให้น้ำสม่ำเสมอ....
ทางใบ : ให้ธาตุรอง/ธาตุเสริม/ฮอร์โมน และอื่นๆ ตามความเหมาะสมของพืชนั้นๆ

สุดท้าย : รอวันเวลาที่จุลินทรีย์เข้าไปสลายฤทธิ์กากน้ำตาลให้เท่านั้น


ลุงคิมครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/12/2010 12:45 pm    ชื่อกระทู้: พิษของกากน้ำตาล..... ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ระวังพิษของกากน้ำตาล เกิดจากการนำไปหมักกับพืชผักผลไม้ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ


ปัญหาของกากน้ำตาล เกิดจากการนำไปหมักกับพืชผักผลไม้ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ อาจจะเป็น 7 วัน 15 วัน แล้วนำไปใช้ ก็จะทำให้เกิดปัญหากับดิน หรือเกษตรกรบางท่านผสมกากน้ำตาลกับน้ำหมักชีวภาพแล้วฉีดพ่น หรือรดพืชผักผลไม้เลย ก็จะทำให้เกิดปัญหาแก่ดินอีกเช่นกัน หากต้องการใช้กากน้ำตาล ในการหมักน้ำเอนไซม์สำหรับพืชก็ต้องนำน้ำเอนไซม์ มาหมักกับกากน้ำตาลในอัตราส่วน เอนไซม์ 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำมะพร้าว 1 ส่วน + เปลือกสับปะรด 1 ส่วน เป็นเวลา 3-6 เดือน เพื่อสลายปูนขาวที่ติดมากับกากน้ำตาล ซึ่งเป็นตัวทำให้ดินแข็งกระด้าง เกิดการอุดตันของชั้นดิน และชั้นน้ำใต้ดิน ทำให้เกิดเชื้อราดำที่ราก ของพืช เกิดรากเน่า

กากน้ำตาลจะสลายได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่ที่ความเปรี้ยวของการหมัก การที่เราใส่น้ำมะพร้าวลงไป เพราะเป็นน้ำตาลกลูโคส และฟรุกโตส เป็น อาหารของยีสต์ ส่วนเปลือกสับปะรด จะมีจุลินทรีย์ที่ตาสับปะรดจำนวนมากกว่าผลไม้อื่น เมื่อนำมาใช้ในการหมักจะทำให้เกิดน้ำส้มสายชูได้เร็ว จึงช่วยในการสลายกากน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น

การขยายเอนไซม์ที่หมักจากกากน้ำตาล
นำเอนไซม์ 2 ปี 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน ขยายต่อได้ทุก 2 เดือน จะได้น้ำเอนไซม์สำหรับฉีดไล่แมลงศัตรูพืช และโรคพืช โดยนำน้ำเอนไซม์ 1 ส่วน ต่อน้ำ 100 ส่วน ผสมกันแล้วฉีดพ่น ใช้บำบัดน้ำเสีย ให้เป็นน้ำสะอาดได้อีกด้วย เอนไซม์ที่หมักจากกากน้ำตาลขยายทุก 2 เดือนให้ได้ถึง 6 ปี หรือยิ่งนานยิ่งดี ยิ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างของเกษตรกรสวนส้ม คือ คุณกำพล ธัญญธาร เป็นเจ้าของสวนส้ม 100 ไร่
มีส้ม 5,000 ต้น จังหวัดปทุมธานี โทร.(02)901-045, 9059081, (01) 801
-1644 คุณกำพล และกลุ่มเพื่อน ๆ ได้ไปอบรมเกี่ยวกับเกษตร อินทรีย์ แล้วนำกลับมาใช้ที่สวนส้มของตนเองโดยใช้น้ำสกัดชีวภาพ 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำ 100 ส่วน ฉีดพ่นใบ ดอก ผลของส้ม โดยหวังว่าคงจะเร่งใบ เร่งดอก เร่งผลผลิต แต่กลับกลายมีเพลี้ยขึ้นต้นส้มเต็มไปหมด แล้วมดก็ตามมามากมาย ดอกส้มที่คิดว่าจะติดผลมาก แรกก็ดูจะคิดดี แต่พอทิ้งไว้สัก 2-3 วัน ดอกก็ร่วง นำไปรดโคนต้น ก็เกิดดินแข็งกระด้างเป็นดาน รดน้ำไม่ลง จึงต้องรีบหยุดใช้ รวมทั้งสมาชิกเพื่อน ๆ ของคุณกำพลด้วย

ตอนนี้ คุณกำพลมีน้ำหมักหัวปลา ที่หมักไว้กับกากน้ำตาล ก็นำมาหมักใหม่ โดยใช้อัตราส่วน น้ำหมักหัวปลา 6 กก. + น้ำเอนไซม์ 6 กก. + น้ำ 60 ลิตร หมักทิ้งไว้ 3 เดือน จึงจะนำมาใช้ได้ สังเกตดูว่ามีกลิ่นเปรี้ยว หรือความหนืดของกากน้ำตาหายไป จึงนำมาใช้ได้

ยังมีสวนส้ม ที่จังหวัดเชียงใหม่ พระอธิการนพดุล โทร.(01)485-9595 สวนส้มจังหวัดระยอง โทร.(01)340-0269 ก็ได้ผลกระทบจากการใช้น้ำหนักที่ไม่สลายกากน้ำตาลให้สิ้นสุดขบวนการก่อนนำไปใช้



จาก สำนักบริการคอมพิวเตอร์,

●WWW.EON49.COMเปิดสอนให้เป็นช่างซ่อมทีวี ...สอนทางอินเตอร์เน็ต ..สอนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายๆ สไตล์ช่างเล็กๆและทีมงานมืออาชีพ ผ่านงานซ่อมมามากกว่า30ปี ..เปิดร้านได้แน่นอน ติดต่อ lsv2005@hotmail.comหรือโทร.08-74638654..รายได้สนับสนุนLSV SERVER

http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=63739.0


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/12/2010 4:53 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/12/2010 12:55 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การสลายพิษกากน้ำตาล


กากน้ำตาล (Molasse)
คุณสมบัติเป็นของเหลวสีดำที่เหนียวข้น ซึ่งไม่สามารถจะตกผลึกน้ำตาลได้อีก เป็นเนื้อของสิ่งที่ไม่ใช่น้ำตาลที่ละลายปนอยู่ในน้ำอ้อย ซึ่งประกอบไปด้วยน้ำตาลซูโครส น้ำตาลอินเวอร์ท (invert sugar) และสารเคมี เช่น ปูนขาว ซึ่งใช้ในการตกตะกอนให้น้ำอ้อยใส ส่วนประกอบของกากน้ำตาลจะปรวนแปรไม่แน่นอน แล้วแต่ว่าได้มาจากอ้อยพันธุ์ไหนและผ่านกรรมวิธีอย่างไร แต่มักจะหนีไม่พ้นน้ำตาลซูโครส น้ำตาลอินเวอร์ทกับน้ำ ปัจจุบันนี้ โรงงานน้ำตาลทันสมัย มีความสามารถในการสกัดน้ำตาลออกจากกากน้ำตาลได้มากขึ้นแต่ก็ไม่หมดเสียทีเดียว เพราะถ้าสกัดให้ออกหมดจริงจะสิ้นค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นจึงมีน้ำตาลซูโครสบางส่วนที่สูญเสียไปกับกากน้ำตาล ซึ่งมักจะสูญเสียไปมากกว่าสูญเสียไปทางอื่น โดยทั่วๆไปจะมีซูโครสปนอยู่ในกากน้ำตาลเฉลี่ย 7.5 เปอร์เซ็นต์

ส่วนประกอบของกากน้ำตาลหรือโมลาส
น้ำ ........................................ 20.65
ซูโครส.................................... 36.66
ริดิวซิงชูการ์ .............................. 13.00
น้ำตาลที่ใช้หมักเชื้อ....................... 50.10
เถ้าซัลเฟต ............................... 15.00
ยางและแป้ง ............................. 3.43
ขี้ผึ้ง ..................................... 0.38

ไนโตรเจน ............................... 0.95
ซิลิกาในรูป SiO2........................ 0.46
ฟอสเฟต P2O5.......................... 0.12
โปแตสเซี่ยม K2O........................ 4.19
แคลเซียม CaO.......................... 1.35
แมกนีเซียม MgO........................ 1.12


การใช้ประโยชน์
อุตสาหกรรมการผลิตเหล้าและแอลกอฮอล์ เป็นแหล่งใหญ่ที่ต้องการกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรม ผลผลิตที่ได้จากการหมักกากน้ำตาล ได้แก่ เอทิลแอลกอฮอล์ บิวธิลแอลกอฮอล์ อาซีโตน กรดซิตริก กลีเซอรอล(glycerol) และยีสต์ เอทิลแอลกอฮอล์ใช้ทำกรดอาซีติค เอธีลอีเธอร์ ฯลฯ

สารประกอบอื่นที่ได้จากการหมักกากน้ำตาล ได้แก่ เอธิลอาซีเตท บิวธิลอา-ซีเตท อามีลอาซีเตท น้ำส้มสายชู และคาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นอกจากนั้นถ้านำกากน้ำตาลที่ทำให้บริสุทธิ์ไปหมักและกลั่นจะได้ เหล้ายิน (gin) ส่าเหล้าหรือยีสต์ที่ตายแล้ว เป็นผลพลอยได้ซึ่งนำไปทำอาหารสัตว์

นอกจากนี้กากน้ำตาลยังใช้ทำยีสต์สำหรับทำขนมปังและเหล้าได้ด้วย ยีสต์บางชนิดที่ให้โปรตีนสูง คือ Torulopsis utilis ก็สามารถเลี้ยงขึ้นมาได้จากกากน้ำตาล กากน้ำตาลสามารถนำมาทำกรดเป็นแลคติคได้ แม้ว่าจะทำได้น้อยมาก

ในอดีตชาวปศุสัตว์ใช้กากน้ำตาลผสมลงในอาหารสัตว์ แต่ก็มีขีดจำกัด กล่าวคือ วัวตัวหนึ่งไม่ควรรับกากน้ำตาล เข้าไปเกิน 1.5 ปอนด์ สัตว์ชอบกินกากน้ำตาลคลุกกับหญ้าเพราะช่วยทำให้รสชาติดี รวมทั้งการใส่กากน้ำตาลในไซเลจ (silage) อีกด้วย มีผู้วิจัยทดลองใส่แอมโมเนียลงในกากน้ำตาล พบว่า สามารถผลิตโปรตีนได้และสัตว์สามารถกินกากน้ำตาลนี้เข้าไปและทำให้สร้างโปรตีนขึ้นในร่างกายสัตว์ได้ จึงเป็นสิ่งที่ประหลาดที่กากน้ำตาลเป็นสารคาร์โบไฮเดรต สามารถถูกสัตว์เปลี่ยนไปเป็นโปรตีนได้ผลดี

ส่วนประกอบสำคัญของน้ำอ้อยอีกชนิดหนึ่งก็คือ กรดอโคนิติค ซึ่งจะผสมรวมอยู่ในกากน้ำตาล ซึ่งเราสามารถแยกได้โดยการตกตะกอนด้วยเกลือแคลเซียม กรดอโคนิติคนี้มีความสำคัญในการผลิตยางสังเคราะห์ พลาสติก เรซิน และสาร ชักเงา ประโยชน์สุดท้ายของกากน้ำตาลก็คือ การใช้ทำปุ๋ยหรือปรับคุณภาพดิน กากน้ำตาลมีส่วนประกอบของโพแทสเซียม อินทรีย์วัตถุ และธาตุรองอื่นๆ อีกมาก นอกจากนั้นยังเหมาะสำหรับปรับสภาพดินทราย หรือดินเลวที่ไม่มีการเกาะตัว เนื่องจากขาดอินทรีย์วัตถุอีกด้วย

ประโยชน์สุดท้ายใช้ผสมกับชานอ้อยสำหรับทำถ่านใช้ในครัวเรือน ปัญหาของกากน้ำตาล เกิดจากการนำไปหมักกับพืชผักผลไม้ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ อาจจะเป็น 7 วัน 15 วัน แล้วนำไปใช้ ก็จะทำให้เกิดปัญหากับดิน หรือเกษตรกรบางท่านผสมกากน้ำตาลกับน้ำหมักชีวภาพแล้วฉีดพ่น หรือรดพืชผักผลไม้เลย ก็จะทำให้เกิดปัญหาแก่ดินอีกเช่นกัน หากต้องการใช้กากน้ำตาล ในการหมักน้ำเอนไซม์สำหรับพืชก็ต้องนำน้ำเอนไซม์ มาหมักกับกากน้ำตาลในอัตราส่วน เอนไซม์ 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำมะพร้าว 1 ส่วน + เปลือกสับปะรด 1 ส่วน เป็นเวลา 3-6 เดือนเพื่อสลายปูนขาวที่ติดมากับกากน้ำตาล ซึ่งเป็นตัวทำให้ดินแข็งกระด้าง เกิดการอุดตันของชั้นดิน และชั้นน้ำใต้ดิน ทำให้เกิดเชื้อราดำที่ราก ของพืช เกิดรากเน่า

กากน้ำตาลจะสลายได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่ที่ความเปรี้ยวของการหมัก การที่เราใส่น้ำมะพร้าวลงไป เพราะเป็นน้ำตาลกลูโคส และฟรุกโตส เป็น อาหารของยีสต์ ส่วนเปลือกสับปะรด จะมีจุลินทรีย์ที่ตาสับปะรดจำนวนมากกว่าผลไม้อื่น เมื่อนำมาใช้ในการหมักจะทำให้เกิดน้ำส้มสายชูได้เร็ว จึงช่วยใน การสลายกากน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น การขยายเอนไซม์ที่หมักจากกากน้ำตาล นำเอนไซม์ 2 ปี 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน

ขยายต่อได้ทุก 2 เดือนจะได้น้ำเอนไซม์สำหรับฉีดไล่แมลงศัตรูพืช และโรคพืช โดยนำน้ำเอนไซม์ 1 ส่วน ต่อน้ำ 100 ส่วน ผสมกันแล้วฉีดพ่น ใช้บำบัดน้ำเสีย ให้เป็นน้ำสะอาดได้อีกด้วย เอนไซม์ที่หมักจากกากน้ำตาลขยายทุก 2 เดือนให้ได้ถึง 6 ปี หรือยิ่งนานยิ่งดี ยิ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างของเกษตรกรสวนส้ม คือ คุณกำพล ธัญญธาร เป็นเจ้าของสวนส้ม 100 ไร่มีส้ม 5,000 ต้น จังหวัดปทุมธานี โทร.(02)901045, 9059081, (01)801-1644 คุณกำพล และกลุ่มเพื่อน ๆ ได้ไปอบรมเกี่ยวกับเกษตร อินทรีย์ แล้วนำกลับมาใช้ที่สวนส้มของตนเองโดยใช้ น้ำสกัดชีวภาพ 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำ 100 ส่วน ฉีดพ่นใบ ดอก ผลของส้ม โดยหวังว่าคงจะเร่งใบ เร่งดอก เร่งผลผลิต แต่กลับกลายมีเพลี้ยขึ้นต้นส้มเต็มไปหมด แล้วมดก็ตามมามากมาย ดอกส้มที่คิดว่าจะติดผลมาก แรกก็ดูจะคิดดี แต่พอทิ้งไว้สัก 2-3 วัน ดอกก็ร่วง นำไปรดโคนต้น ก็เกิดดินแข็งกระด้างเป็นดาน รดน้ำไม่ลง จึงต้องรีบหยุดใช้ รวมทั้งสมาชิกเพื่อน ๆ ของ คุณกำพลด้วย ตอนนี้ คุณกำพลมีน้ำหมักหัวปลา ที่หมักไว้กับกากน้ำตาล ก็นำมาหมักใหม่ โดยใช้อัตราส่วน น้ำหมักหัวปลา 6 กก. + น้ำเอนไซม์ 6 กก. + น้ำ 60 ลิตร หมักทิ้งไว้ 3 เดือนจึงจะนำมาใช้ได้ สังเกตดูว่ามีกลิ่นเปรี้ยว หรือความหนืดของกากน้ำตาหายไป จึงนำมาใช้ได้ ยังมีสวนส้ม ที่จังหวัดเชียงใหม่ พระอธิการนพดุล โทร.(01)485-9595 สวนส้มจังหวัดระยอง โทร.(01)340-0269 ก็ได้ผลกระทบจากการใช้ น้ำหนัก ที่ไม่สลายกากน้ำตาลให้สิ้นสุดขบวนการก่อนนำไปใช้



สร้างโดย: janyatrue
แหล่งอ้างอิง: โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย

http://www.thaigoodview.com/node/62185


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/12/2010 5:01 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/12/2010 1:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ความรู้เบื้องต้นเรื่องการผลิตเอนไซม์


ขั้นตอนการผลิตเอนไซม์สำหรับคน
ขั้นตอนในการหมักเอนไซม์สำหรับคนนั้น เราจะใช้ผลไม้ที่มีอยู่มากมายในประเทศซึ่งมีตลอดทั้งปี เราจะปฏิบัติดังนี้

1. จัดเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วย น้ำผึ้ง, ผลไม้ที่ต้องการ,น้ำสะอาด, ถ้วยตวง และภาชนะที่มีฝาปิดสนิท

2. นำผลไม้มาทำความสะอาด แล้วนำใส่ภาชนะในอัตราส่วน ผลไม้ 3 ส่วน ตามด้วยน้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน โดยเหลือพื้นที่ของขวด 1/5 ส่วน เพื่อให้มีพื้นที่ในการหมุนเวียนของอากาศในขวด

3. ปิดฝาแล้วทำประวัติติดข้างภาชนะดังนี้
ú ชนิดของผลไม้
ú วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต แล้วนำเก็บในห้องที่มีอากาศถ่ายเทและมีแสงแดดส่องน้อยที่สุด เก็บนาน 3 เดือน หมั่นเปิดจุกคลายอากาศออกแล้วปิดทันทีในช่วงสัปดาห์แรก

4. เมื่อได้ระยะเวลา 3 เดือนแล้วเกิดน้ำใสลอยตัว ให้ดูดออกด้วยสายยาง แล้วนำมาขยายต่ออีกทุก ๆ 3 เดือน เป็นเวลา 3 ปี ในอัตราส่วน น้ำใส 1 ส่วนต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน

การขยายหัวเชื้อเอนไซม์สำหรับคน
ในการขยายหัวเชื้อเอนไซม์สำหรับคนนั้น เอนไซม์ที่ใช้ควรมีอายุการหมักที่นาน ๆ ประมาณ 1 ปีขึ้นไป เมื่อนำมาขยายแล้วประสิทธิภาพจะไม่ลดลง แต่จะเป็นการขยายปริมาณให้มากขึ้นและประหยัดเวลาในการหมักมากขึ้น มีขั้นตอนดังนี้

1. นำหัวเชื้อเอนไซม์สำหรับคน 1 ส่วน ต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน นำมาผสมใส่ในภาชนะ ( ถ้าใช้น้ำผึ้งที่มีความชื้น 20% สามารถทานได้ แต่ถ้าเราใช้น้ำผึ้งธรรมดาจะต้องหมักไว้ 3 เดือนจึงจะนำมาทานได้ )

2. ถ้าเราไม่ทาน เมื่อทิ้งไว้จนครบ 3 เดือน เราสามารถนำมาขยายในอัตราส่วนเท่าเดิมได้อีก คือ

น้ำเอนไซม์ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน ทำให้ประหยัดเวลาในการหมัก และได้ปริมาณเอนไซม์เพิ่มขึ้น


การขยายเอนไซม์สำหรับพืชและสัตว์
ขั้นตอนในการหมักเอนไซม์สำหรับพืชและสัตว์นั้น คล้ายกับการหมักสำหรับคน แต่แตกต่างกันที่อินทรีย์วัตถุและน้ำตาล ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

1. นำอินทรีย์วัตถุที่ต้องการหมักที่หาได้ในครัวเรือนและรอบบริเวณบ้าน จัดเตรียมภาชนะที่มีฝาปิด เช่น โอ่ง ถัง, เครื่องมือตวงวัด เช่น เครื่องชั่ง ถ้วยตวง และน้ำ

2. นำอินทรีย์วัตถุที่จัดเตรียมไว้แล้วใส่ลงในภาชนะ ในอัตราส่วน อินทรีย์วัตถุ 3 ส่วน + น้ำตาลแดง/กากน้ำตาลสลายพิษ 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน ผสมในภาชนะ

หมายเหตุ : อินทรีย์วัตถุสดจากในครัว ยกเว้นกระดาษ,พลาสติก. กระป๋องโลหะ และขวดต่างๆ ห้ามนำไปใส่ ให้แยกทิ้งต่างหาก

3. ตั้งภาชนะไว้ในที่ร่ม และมีฝาปิดให้มิดชิด ใช้ระยะเวลาการหมัก 3 เดือนขึ้นไป ยิ่งนานยิ่งดีในการใช้

4. หากพบว่ามีหนอน แสดงว่า อินทรีย์วัตถุที่หมักไว้ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต แต่จะสังเกตว่าแมลงวันในครัวท่านหายไป ทั้งๆ ที่มีภาชนะหมักอยู่ในบ้าน

5. สังเกตว่าน้ำที่ได้จากการหมักเป็นระยะเวลา 3 เดือน จะต้องมีสีน้ำตาลเหลือง มีกลิ่นน้ำส้มฉุน คือลักษณะที่ถูกต้อง ถ้ามีสีดำหรือมีกลิ่นเหม็น ให้เติมน้ำตาลแดงและน้ำจนท่วมอินทรีย์วัตถุ และกดอินทรีย์วัตถุที่ลอยให้จมน้ำ

6. ถ้าภาชนะที่ใช้หมักเต็มก่อนเวลา ให้ปิดฝาทิ้งไว้แล้วเริ่มภาชนะใหม่ต่อไป แต่ต้องคอยตรวจดูภาชนะเก่าทุก ๆ 15 วัน (ในกรณีที่ต้องเติมน้ำตาลทรายแดงเพิ่ม)

7. เมื่อครบกำหนด 3 เดือนแล้ว ให้ตักอินทรีย์วัตถุที่เป็นกากออกไปเทรอบโคนต้นไม้ กระถางหรือเขตที่ต้องการโอโซนระเหย เช่น บริเวณรั้ว เมื่อรดน้ำทุกวันจะมีไอโอโซนระเหยออกมาตลอด



ขั้นตอนการขยายเอนไซม์สำหรับพืชและสัตว์
การใช้เอนไซม์สำหรับเกษตรนั้นต้องใช้ในปริมาณจำนวนมากและค่อนข้างบ่อย การขยายเอนไซม์จะทำให้ปริมาณในการใช้เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งจะประหยัดเวลาอุปกรณ์และพื้นที่ในการหมัก ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก มีดังนี้

1. นำหัวเชื้อเอนไซม์อายุ 1 ปี อัตราส่วน 1 ส่วนต่อน้ำตาลแดงหรือซูโครส 1 ส่วน ต่อน้ำ 10 ส่วน บรรจุลงในภาชนะ แล้วทำให้เข้ากันโดยการเขย่าหรือคน

2. ถ้าหัวเชื้อที่มีอายุนานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เมื่อเรานำมาขยาย สามารถนำมาใช้ได้เลย แต่ถ้าต้องการเก็บไว้ให้นานขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้

ขั้นตอนการสลายพิษกากน้ำตาล
การสลายพิษกากน้ำตาลหรือโมลาส เป็นการสลายคุณสมบัติส่วนประกอบบางตัวของกากน้ำตาล ซึ่งจะทำให้ดินเกิดการจับตัวแข็ง จนน้ำไม่สามารถซึมผ่านลงดินได้ ทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมน้ำ อาหารและดินไม่สามารถคายความชื้นได้ ทำให้พืชขาดน้ำหรือเป็นโรครากเน่า, โรคโคนเน่า ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาดังกล่าว

ส่วนผสม
- กากน้ำตาลหรือโมลาส 1 กิโลกรัม
- เอนไซม์สำหรับพืช 1 ลิตร
( ถ้าหมักด้วยผลไม้รสเปรี้ยวจะดี เช่น มะนาว, สัปปะรด ฯลฯ ที่มีอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป )
- น้ำ 1 ลิตร

วิธีผสม
- นำกากน้ำตาล เอนไซม์ และน้ำในอัตราส่วน 1:1:1 ผสมในภาชนะให้เข้ากัน

- นำส่วนผสมที่ได้ใส่ภาชนะปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ประมาณ 3 เดือนขึ้นไป ยิ่งอายุการหมักนานยิ่งดี จนน้ำที่ได้มีลักษณะใส ไม่ข้นเหมือนตอนแรก

วิธีใช้
- น้ำที่ได้ในขั้นตอนนี้เรียกว่า “ซูโครส” ใช้ผสมกับอินทรีย์วัตถุและน้ำแทนการใช้น้ำตาลแดง ช่วยลดต้นทุนในการผลิตเอนไซม์ ในอัตราส่วนอินทรีย์วัตถุ 3 ส่วน ซูโครส 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน

- นำมาขยายเอนไซม์ ในอัตราส่วนน้ำเอนไซม์ 1 ส่วน ซูโครส 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน

การสลายพิษกากน้ำตาลหรือโมลาสมีความสำคัญต่อการใช้ทำเอนไซม์สำหรับเกษตรกร ซึ่งผลของกากน้ำตาลจะเกิดขึ้นในช่วงระยะ 2-3 ปี หลังจากการใช้กากน้ำตาล ในระยะแรกต้นไม้จะเริ่มใบเล็กลง แกร็น ผลของผลผลิตลดลงและมีขนาดเล็กลง ต้นไม้มีลักษณะคล้ายขาดน้ำ ไม่ว่าจะรดน้ำเพิ่มขึ้นก็ตาม ระยะต่อมาใบเหลืองและร่วง ต่อมาก็ยืนต้นตาย



ฮอร์โมนเร่ง ราก, ใบ, ดอก, ผล สำหรับพืช
วัสดุ : กล้วยสุก, มะละกอสุก, ฟักทอง, น้ำตาลทรายแดง อย่างละ 1 กก.

วิธีทำ
1. หั่นกล้วย มะละกอ ฟักทองเป็นชิ้น ยาวประมาณชิ้นละ 2 ซม.

2. เคล้ากับน้ำตาลทรายแดง (หรือน้ำอ้อย)ให้เข้ากัน เทใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ให้เหลือพื้นที่ว่าง 1/3 ของภาชนะ

3. หมักทิ้งไว้ 10-15 วัน ก็เอาน้ำมาผสมน้ำรดต้นไม้แต่ถ้าทิ้งไว้ 3 เดือนขึ้นไป ยิ่งดี


รดต้นไม้ อัตราส่วน น้ำหมัก 1 ส่วนผสมน้ำ 1000 ส่วน รดเช้า-เย็น

ú กากที่เหลือเอาไปทำปุ๋ย แต่ต้องใส่น้ำหรือผสมกับดิน ทำให้เจือจางก่อน
อย่าใส่โดยตรงจะทำให้ต้นไม้ตายได้

ú หรือจะเติมน้ำตาลทรายแดง(น้ำอ้อย) 1 กก. ต่อน้ำ 10 ลิตร หมักไว้อีก 2-3 เดือน เป็นเอนไซม์ซักผ้า ล้างห้องน้ำได้

ú น้ำหมักชีวภาพถ้าหมักจากพืชชนิดใด ถ้าเอาไปรดตัวของมันเอง จะให้ผลผลิตมากเป็นหลายเท่า เช่น ถ้าหมักจากมะเขือเทศ ก็เอาน้ำหมักจากมะเขือเทศไปรดต้นมะเขือเทศ ลูกมะเขือเทศจะดกมาก

หมายเหตุ : ภาชนะที่ใช้หมัก ควรเป็นถังพลาสติกมีฝาปิด หรือไหดินเผาเคลือบ ไม่ควรใช้ภาชนะอะลูมิเนียม หรือโลหะสเตนเลส



สูตรดับกลิ่นในห้องน้ำ
วัสดุ : มะกรูด, มะนาว หรือผลไม้ที่มีกลิ่นหอม ตระกูลส้ม 3 กก. น้ำตาลทรายแดง 1 กก. + น้ำ 10 ลิตร

ใช้วิธีการเดียวกันกับการหมักเอนไซม์สำหรับพืช,สัตว์ เมื่อได้ 3 เดือน นำน้ำนั้นมาใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ ใส่โถส้วม ผสมน้ำหมัก 30 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร ราดบริเวณที่มีกลิ่นเหม็น


ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ
ศูนย์เรียนรู้ชุมชนการทำเอนไซม์เพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม
วัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน –58110-
Tel. 053-681535, 01-8857626, 01-4821660
ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน


http://www.kruharn.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=360108&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©