-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-น้ำผึ้งยางพารา
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - น้ำผึ้งยางพารา
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

น้ำผึ้งยางพารา

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 6:40 pm    ชื่อกระทู้: น้ำผึ้งยางพารา ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

น้ำผึ้งยางพารา


คุณสมบัติของน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งยางพาราเมื่อเราเก็บไว้นาน หรืออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำ จะเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง หรือที่เราเรียกว่าน้ำผึ้งตกผลึก ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของน้ำผึ้งยางพารา และในการตกผลึกของน้ำผึ้งนั้นสาเหตุสำคัญมาจาก น้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวมี กลูโคส และฟรุคโตส) ที่มีมากในน้ำผึ้งยางพารา และมีปริมาณมากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น (ส่วนประกอบของน้ำตาลในน้ำผึ้งที่พบ คือ กลูโคส ฟรุคโตส ส่วน มอลโตส แลคโคส ซูโคส 3 ตัวนี้เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ และอีกตัวคือ เด็กซ์ทรินเป็นน้ำตาลโมเลกุลซับซ้อน)

ซึ่งน้ำตาลดังกล่าวข้างต้นเป็นองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง น้ำตาลกลูโคสมีแนวโน้มที่
จะตกผลึกได้ง่าย แต่ผลึกของกลูโคสจะเป็นตะกอนละเอียดมาก เป็นตะกอนนุ่ม ๆ

โดยปกติน้ำผึ้งทั่วไปไม่ค่อยตกผลึก เพราะมีน้ำตาลฟรุคโตสมากกว่าน้ำตาลกลูโคสอยู่แล้ว ถ้ามีน้ำตาลฟรุคโตสมากกว่ากลูโคสถึงเท่าครึ่งแล้ว น้ำผึ้งจะไม่มีวันตกผลึก น้ำผึ้งแท้จะมีซูโคสได้ไม่เกินร้อยละ 5-8 โดยน้ำหนัก น้ำผึ้งที่มีปริมาณซูโคสสูงกว่านี้ ถือว่าเป็นน้ำผึ้งผสมน้ำเชื่อมซึ่งไม่ใช่น้ำผึ้งบริสุทธิ์

การตกผลึกของน้ำผึ้ง อาจตกผลึกเป็นบางส่วน ตกเพียง หนึ่งในสี่ สองในสาม หรือตกทั้งขวด แล้วแต่ค่าของสัดส่วนระหว่างกลูโคสกับน้ำที่มีในน้ำผึ้ง น้ำผึ้งที่ตกผลึกไม่ใช่เสียหรือบูดแต่อย่างใดเพียงแต่เปลี่ยนสถานะไปเท่านั้นเอง น้ำผึ้งที่ตกผลึกขึ้นอยู่กับชนิดของพืช

น้ำผึ้งที่ได้จากพืชในประเทศไทย เช่น ลำไย เงาะ มักไม่ตกผลึก ส่วนน้ำผึ้งที่ได้จากพืชบางชนิด เช่น ทานตะวัน ลิ้นจี่ จะตกผลึก รวมถึงน้ำผึ้งจากใบยางพาราด้วย ในด้านคุณค่าทางโภชนาการ หรือสารอาหารในน้ำผึ้งจะไม่แตกต่างกัน

คุณประโยชน์ของน้ำผึ้งแท้
น้ำผึ้งจะให้คาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เมื่อเรารับประทานเข้าไปจะสามารถดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด และนำไปให้เซลล์ในร่างกายใช้ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการย่อย

การนำไปบริโภค
เมื่อน้ำผึ้งตกผลึก วิธีแก้ คือ นำน้ำผึ้งไปแช่น้ำร้อนอุณหภูมิ ไม่เกิน 65 องศาเซลเซียส หรือตากแดด น้ำผึ้งจะละลายเป็นของเหลวเหมือนเดิม ซึ่งคุณค่าของสารอาหารที่อยู่ในน้ำผึ้งก็ไม่ได้สูญเสียไป (ต้องเป็นน้ำผึ้งแท้เท่านั้น) น้ำผึ้งยางพาราจะมีรสหวานนำแต่ไม่หวานจัด และมีรสเปรี้ยวแฝงอยู่ (ในน้ำผึ้งทุกชนิดจะมีกรดเป็นส่วนประกอบอยู่ แต่น้ำผึ้งมีความหวานสภาพความเป็นกรดจึงถูกบดบังเอาไว้)

น้ำผึ้งยางพาราจะมีรสหวานแต่จะไม่มีกลิ่นหอมของดอกไม้เหมือนน้ำผึ้งชนิดอื่น เช่น น้ำผึ้งลำไยซึ่งจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัว คือมีกลิ่นหอมของดอกลำไย แต่น้ำผึ้งยางพารามีรสเปรี้ยวแฝงอยู่ เหมาะสำหรับทำเครื่องดื่ม น้ำผึ้งผสมมะนาว ซึ่งทำให้มีรสชาติดียิ่งขึ้น แต่คุณค่าทางอาหารเมื่อเทียบกับน้ำผึ้งชนิดอื่นก็ถือว่ามีคุณสมบัติไม่แตกต่างกัน



ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดชุมพร (ผึ้ง)
22/1 หมู่ 6 ตำบลขุนกระทิง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร 86000
โทรศัพท์ 0 7757 4519 โทรสาร 0 7757 4520
E - mail : aopdb03@doae.go.th


http://www.aopdb03.doae.go.th/sara_4.html







เลี้ยงผึ้งหลวง ในสวนยางพารา


ประวิทย์ เอมโอษ เกษตรกรชาวสวนยางพาราแห่งบ้านคลองไส ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา จะมีรายได้หลักจากอาชีพทำสวนยางพารา แต่ก็พยายามหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้

ด้วยการเลี้ยงผึ้งในสวนยาง โดยเริ่มจากมีโอกาสอบรมวิธีการเลี้ยงผึ้งหลวงจากกรมส่งเสริมการเกษตรที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้เรียนรู้กระบวนการเลี้ยงผึ้งหลวง

จากนั้นจึงลองนำมาเลี้ยงดูเพื่อจะเป็นอาชีพเสริม แต่ไปไม่รอด ผึ้งตายหมด จากนั้นจึงทดลองนำผึ้งจากธรรมชาติที่จับได้มาเลี้ยงอีกครั้ง โดยนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมในครั้งนั้นมาประยุกต์ใช้ในการเลี้ยง ปรากฏว่ากลับไปได้ดี น้ำผึ้งที่ได้รสชาติไม่ต่างจากน้ำผึ้งจากป่าธรรมชาติ ลุงประวิทย์บอกว่า เลี้ยงผึ้งหลวงในสวนยางนี้มาได้ประมาณ 5 ปีแล้ว ผมเป็นคนแรกของที่นี่นะ ที่เลี้ยงผึ้งในสวนยางพารา ตอนนี้ก็เริ่มมีการเลี้ยงกันมากขึ้น เพราะไม่ต้องทำอะไรมากแค่สร้างรังให้มันอยู่เท่านั้นก็พอ ถึงเวลาก็จับ เพื่อเอาน้ำผึ้ง ปกติจะจับปีละครั้ง คือเดือน 5 เพราะน้ำผึ้งเดือน 5 รสชาติหอมหวานเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ตอนนี้ก็ใกล้จะจับแล้วล่ะ ขณะที่ลุงแกก็ได้ชี้ให้ดูผึ้งที่บินว่อนอยู่ใกล้รัง เหมือนไม่ต้องการให้ใครเข้าไปใกล้

บนพื้นที่เกือบ 20 ไร่ภายในสวนยางพาราเต็มไปด้วยรังผึ้งกว่า 50 รังที่ตั้งเรียงรายสลับฟันปลาตามแนวระหว่างร่องสวนยาง โดยมีระยะห่างแต่ละรังประมาณ 30 เมตร ส่วนสาเหตุที่มีการสร้างรังให้ห่างกันก็เพราะว่าไม่ต้องการให้ผึ้งแย่งอาหาร และกัดกัน ผึ้งจากธรรมชาติเลี้ยงง่าย เกือบไม่ต้องดูแลทำอะไรมาก เพราะผึ้งธรรมชาติโดยปกติจะหาอาหารเก่งอยู่แล้ว ที่สำคัญผึ้งเหล่านี้จะไม่ค่อยเปลี่ยนที่อยู่บ่อย เมื่ออยู่รังไหนก็จะอยู่รังนั้นตลอดไป แม้จะจับไปกี่ครั้งก็ตาม ส่วนวิธีการจับก็จะใช้พลาสติกคลุมเพื่อป้องกันผึ้งต่อย สำหรับการสร้างรังที่อยู่อาศัยของผึ้งนั้นก็จะใช้วัสดุง่ายๆ แผ่นไม้กระดานมาประกอบกันเป็นสี่เหลี่ยม กว้าง 1×2 เมตร วางตั้งบนเสาสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร

ลุงประวิทย์เผยต่อว่า สำหรับการให้น้ำผึ้งนั้น แต่ละรังจะอยู่ที่ประมาณ 8-10 ขวด สนนในราคาจำหน่ายอยู่ที่ขวดละ 300 บาท โดยจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ และขณะนี้กำลังจะขยายรังผึ้งเพิ่มให้เต็มพื้นที่สวนยางพารา นอกจากนี้ยังเตรียมการปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้การเลี้ยงผึ้งใน สวนยางอย่างครบวงจรให้ผู้สนใจมาศึกษาเรียนรู้อีกด้วย

ด้าน อิสม่าแอ ยืนยง ประธานชมรมท่องเที่ยวบ้านคลองเคียน ในฐานะผู้ประสานงานโครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืนขององค์การ บริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนหรืออพท.(องค์การ มหาชน) กล่าวเสริมว่า การเลี้ยงผึ้งในสวนยางพาราของคุณประวิทย์ เอมโอษ ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่อยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวของชมรมท่องเที่ยวบ้าน คลองเคียน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้สนใจทั้งในพื้นที่และต่างจังหวัด จากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง

“ตอนนี้การเลี้ยงผึ้งในสวนยางพาราของชาวบ้านในต.คลองเคียน เริ่มมีการเลี้ยงอย่างแพร่หลายกันมากขึ้น โดยใช้ต้นแบบการเลี้ยงมาจากของคุณประวิทย์นี่แหละ ในอนาคตก็จะมีการส่งเสริมการเลี้ยงกันมากขึ้น เพราะเป็นรายได้เสริมให้ชาวบ้านได้เป็นอย่างดี เนื่องจากชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนยางพารา รองลงมาทำประมงพื้นบ้านและให้บริการนำเที่ยว” ประธานชมรมเผยข้อมูล

การเลี้ยงผึ้งในสวนยางพารา นับเป็นอีกทางเลือกของชาวบ้านในการมีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ โดยที่เกือบจะไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนัก สนใจเยี่ยมชมการเลี้ยงผึ้งในสวนยางพาราเป็นหมู่คณะ ติดต่อได้ที่ประธานชมรมท่องเที่ยวบ้านคลองเคี่ยน 08-4744-1679 ได้ตลอดเวลา

ที่มา คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20110317/91718/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99.html


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/03/2011 9:21 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 6:52 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)



กลุ่มงานอนุรักษ์และขยายพันธุ์ผึ้ง
การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
กรมส่งเสริมการเกษตร


ผึ้ง เป็นแมลงสังคมที่รัก และหวงแหนเผ่าพันธุ์ยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ผึ้งทุกตัว ตั้งแต่ออกจากดักแด้เป็นผึ้งตัวเต็มวัยก็เริ่มทำหน้าที่ ของตนเองอย่างไม่มีหยุดยั้ง จวบจนเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิต ผึ้งจะตายในหน้าที่ทุกตัว เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ ให้คงอยู่ต่อไปอย่างสันติ ผึ้งจะออกไปโจมตีศัตรูที่มารุกรานอย่างไม่คิดชีวิต และจะหยุดต่อเมื่อตัวเองตายหรือข้าศึกล่าถอยออกไปเท่านั้น ดังนั้นนิสัย ของผึ้งจึง เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ตลอดมา





คนไทย รู้จักผึ้งและคุณค่าของน้ำผึ้งมาแต่โบราณกาลที่เป็นหลักฐานเด่นชัดก็คือ หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีตัวอักษร "ผ" ปรากฏอยู่ และนอกจากนี้ในประวัติศาสตร์ศาสนาต่าง ๆ เกือบทุกศาสนาทั่วโลกก็ได้มีการจารึกถึงคุณประโยชน์ของผึ้ง และน้ำผึ้งไว้ด้วย

ผลประโยชน์ของการเลี้ยงต่อสิ่งแวดล้อม
การเลี้ยงผึ้งช่วยก่อให้เกิดการอนุรักษ์ต้นไม้และธรรมชาติช่วยลดการใช้สารเคมี และทำให้การใช้สารเคมีมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ต้นไม้ติดผลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย





ผลิตภัณฑ์ล้ำค่าจากผึ้ง
1. น้ำผึ้ง คือ ของเหลวรสหวานหอมจากดอกไม้หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นไม้ที่ผ่านขบวนการเก็บและผลิตจากผึ้งงาน แล้ว สะสมเป็นอาหารสำรองไว้ในรวงผึ้ง ผู้ที่บริโภคน้ำผึ้งเป็นประจำเท่านั้นที่จะรู้ว่าตนเองมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ น้ำผึ้งมีสารอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่ให้พลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีเกลือแร่ วิตามิน โปรตีน และสารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์มากมายและเหมาะสำหรับ ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่อนเพลีย และผู้ป่วยระยะพักฟื้น

ลักษณะของน้ำผึ้งที่ดี
1. น้ำผึ้งทุกชนิดจากผลการวิจัยพบว่าน้ำผึ้งที่ได้จากดอกไม้ต่าง ๆ มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน หรือใกล้เคียงกัน ทั้งในด้านองค์ประกอบ ทางเคมีและคุณค่าทางอาหาร ดังนั้นผู้บริโภคสามารถเลือกน้ำผึ้งที่มีรสชาติและกลิ่นที่ตนเองชอบได้ทุกชนิด
2. น้ำผึ้งจากยางพารา ดอกทานตะวัน และดอกลิ้นจี่ จะตกผลึกเป็นเกล็ดน้ำตาลละเอียดที่เรียกว่าครีมน้ำผึ้งเป็นน้ำผึ้งแท้ ซึ่งเป็น คุณสมบัติเฉพาะของน้ำผึ้งที่ได้จากพืชดังกล่าว
3. น้ำผึ้งที่ดีต้องใส สะอาด ไม่มีเศษไขผึ้งหรือตัวผึ้งปะปน เมื่อรินจะมีลักษณะข้นหนืดมีสีเหลืองอ่อน จนถึงสีน้ำตาล (ถ้าน้ำผึ้งมีสีดำเข้ม ไม่ควรบริโภค)
4. น้ำผึ้งที่ดีต้องมีรสหวาน มีกลิ่นหอมเฉพาะ ขึ้นอยู่กับชนิดของดอกไม้ และต้องไม่มีกลิ่นเปรี้ยวบูด
5. มีสลากปิดแสดงเครื่องหมายการค้า แหล่งที่ผลิต และมีการรับรองจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. สมอ. แต่สำหรับ เกษตรกรรายย่อยจะได้รับการรับรองจากกรมส่งเสริมการเกษตร





2. เกสรผึ้ง คือ ละอองเกสรดอกไม้นานาชนิด ที่ผึ้งเก็บรวบรวมสะสมไว้ในรวงรังผึ้ง เกสรผึ้งประกอบด้วยโปรตีน เป็นส่วนใหญ่ วิตามินเกลือแร่ กรดอะมิโน เอนไซม์ และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต และสร้างภูมิต้านทานโรค บำรุงร่างกาย นับเป็นอาหารเสริม ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ





3. นมผึ้ง หรือ รอยัลเยลลี่ คือ อาหารที่ผึ้งงานวัยอ่อนผลิตจากต่อมในส่วนหัว เพื่อป้อนนางพญาผึ้งเท่านั้น มีลักษณะเป็น ของเหลวข้นสีขาวครีม เป็นอาหารธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิดคือ มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การบริโภคนมผึ้งอย่างต่อเนื่องกัน จะให้ผลดีต่อสุขภาพของ ร่างกายเป็นอย่างยิ่ง





สอบถามรายละเอียดใกล้บ้านเพิ่มเติมได้ที่
1. ศูนย์อนุรักษ์และขยายพันธุ์ผึ้งที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ โทร. (053) 431262
2. ศูนย์อนุรักษ์และขยายพันธุ์ผึ้งที่ 2 จังหวัดเชียงใหม่ โทร. (055) 311253
3. ศูนย์อนุรักษ์และขยายพันธุ์ผึ้งที่ 3 จังหวัดขอนแก่น โทร. (043) 255066
4. ศูนย์อนุรักษ์และขยายพันธุ์ผึ้งที่ 4 จังหวัดจันทบุรี โทร. (039) 389245
5. ศูนย์อนุรักษ์และขยายพันธุ์ผึ้งที่ 5 จังหวัดชุมพร โทร. (077) 574519



http://www.ku.ac.th/e-magazine/march44/agri/bee/
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 7:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ผึ้งบำบัด' ใช้พิษต้านพิษ





นอกจาก ’ผึ้ง” จะเป็นแมลงผสมเกสรที่มีส่วนช่วยขยายพันธุ์พืชแล้ว ปัจจุบันผึ้งกลายเป็นแมลงเศรษฐกิจที่สามารถสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้เกษตรกรในหลายพื้นที่ ซึ่งมีการเลี้ยงผึ้งเพื่อผลิต น้ำผึ้ง นมผึ้ง เกสรผึ้ง ไขผึ้งและพรอพอลิส (Propolis) สู่ตลาดและผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผึ้ง อาทิ สบู่สูตรผสมน้ำผึ้ง แชมพูสูตรผสมน้ำผึ้ง ครีมนวดสูตรผสมน้ำผึ้ง และยาหม่องไขผึ้งผสมสมุนไพร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย ...ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือ มีการใช้ “ผึ้งบำบัด” โดยใช้พิษผึ้งเพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการโรค (บางโรค) ได้ผลดี ถือเป็นทางเลือกที่ผู้ป่วยเริ่มให้การยอมรับแพร่หลาย

นายประเสริฐ นพคุณขจร ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จ.ชุมพร (ผึ้ง) กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ศูนย์ฯ ได้รับมอบภารกิจให้ดำเนินการศึกษาวิจัย คัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ผึ้ง พร้อมส่งเสริมการฝึกอบรมอาชีพและพัฒนาการเลี้ยงผึ้งทั้งสายพันธุ์ต่างประเทศ คือ พันธุ์อิตาเลียน (Apis mellifera) และผึ้งโพรงไทย (Apis cerana) รวมถึงแมลงเศรษฐกิจหลายชนิด อาทิ ชันโรง และด้วงสาคู เพื่อสร้างอาชีพให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมและพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผึ้งเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับผึ้งพันธุ์และแมลงเศรษฐกิจสำคัญ ให้เกษตรกรที่สนใจมาเข้าศึกษาเรียนรู้และฝึกอาชีพเฉพาะด้าน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคงยิ่งขึ้น

ในส่วนของการใช้ ผึ้งบำบัด (Apitherapy) นั้น เป็นการรักษาโดยใช้ พิษต้านพิษ ซึ่งเป็นศาสตร์การรักษาโรคโดยใช้ผึ้งซึ่งแพทย์แผนจีนมีการใช้มานานกว่า 3,000 ปี และขณะนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากล หลายประเทศได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องให้ใช้รักษาคนไข้ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น โดยใช้หลักการเดียวกับการฝังเข็ม

เบื้องต้นกรมส่งเสริมการเกษตรได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ทุกศูนย์ เข้าสัมมนาประชุมผึ้งบำบัดนานาชาติ ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2552 หลังจากนั้นได้รับการติดต่อจาก ศาสตราจารย์นายแพทย์ฟางจู (Fang Zhu) นายกสมาคมผึ้งบำบัดนานาชาติ (IAHPS & IABPS) ที่เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้เข้ารับการฝึกอบรมการใช้ผึ้งบำบัด ทำให้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิคการใช้ผึ้งบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบำบัดด้วยพิษผึ้ง คือ อาจารย์อู๋ จง ญิ๋ง โดยตรง ซึ่งเลือกเน้นเทคนิคการใช้ผึ้งบำบัดหรือรักษาโรค โรคที่พบมากในคนไทย ได้แก่ อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดคอ ปวดเอว ปวดหลัง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดตามแขนและขา ปวดหัว ไมเกรน โรคเกาต์ ภูมิแพ้ ตะคริวที่น่อง ปวดประจำเดือน ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน นิ้วล็อก ริดสีดวงทวาร นิ้วชา เท้าชา และ ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น

ช่วงแรกได้ทดลองใช้ผึ้งบำบัดหรือรักษาโรคให้กับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ที่สมัครใจทั้งผู้มีอาการนิ้วล็อกปวดเข่า และริดสีดวงทวารซึ่งปรากฏว่าหายจากอาการป่วยทุกราย โดย ก่อนทำการรักษาผู้ป่วยต้องทดสอบการแพ้พิษผึ้งก่อนเพื่อลดอัตราเสี่ยงของผลกระทบจากการแพ้พิษผึ้ง ถ้าร่างกายไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ก็สามารถฝังเข็มเหล็กในผึ้งต่อไปได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ มีการบอกเล่าปากต่อปากว่า บำบัดด้วยพิษผึ้งได้ผลดี จึงมีการนำญาติและมีผู้สนใจเข้ามารักษาเพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันศูนย์ฯ ได้เปิดให้บริการประ ชาชน เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นด้วยการใช้เหล็กในผึ้งช่วยบำบัดโรค มีคนไข้สมัครใจเข้ามารักษาเฉลี่ยวันละ 4-5 ราย รวมเดือนละไม่น้อยกว่า 100 ราย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ก่อนทำการรักษาจะมีการซักประวัติและวินิจฉัยโรคพร้อมบันทึกข้อมูลในสมุดประวัติผู้ป่วยทุกราย หลังจากรักษาแล้วคนไข้มีอาการดีขึ้นถึงกว่า 80%

อย่างไรก็ตาม การใช้ผึ้งบำบัดก็มีข้อจำกัด โดยจะไม่ทำการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและไต กระดูกหัก หญิงตั้งครรภ์ สตรีระหว่างมีประจำเดือน ผู้ที่มีบาดแผลเลือดออกมาก เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ท้องเสียเฉียบพลัน โรคติดเชื้อเฉียบพลัน และผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง นอกจากนั้นยังไม่รักษาผู้ป่วยที่ดื่มสุราหรือมีแอลกอฮอล์ในร่างกายอย่างเด็ดขาด เพราะจะเกิดอาการแพ้พิษผึ้งและอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

....การใช้ผึ้งบำบัด..เป็นเทคนิคและความสามารถส่วนบุคคล (ไม่ควรลอกเลียนแบบ) หากสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดชุมพร (ผึ้ง) โทร. 0-7757-4519-20, 08-6946-6207 หรือกลุ่มส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ กรมส่งเสริมการเกษตร โทร. 0-2940-6102.


ที่มา: เดลินิวส์

http://thairecent.com/Agriculturist/2011/822963/
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 8:41 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ความหมายของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง เป็นผลิตผลของน้ำหวานจากดอกไม้ และจากแหล่งน้ำหวานอื่น ๆ ที่ผึ้งงานนำมาเก็บสะสมไว้ และผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี และทางกายภาพบางประการ แล้วสะสมไว้ในรังผึ้ง


วิธีการผลิตน้ำผึ้ง
เมื่อผึ้งงานเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ลงสู่กระเพาะน้ำหวาน จะมีเอนไซม์จากต่อมน้ำลายขับออกมาเปลี่ยน หรือเมตาบอไลซ์น้ำตาลกลูโคสและฟรุกโทสให้เป็นน้ำตาลแปรรูป (Invert Sugar) คือ น้ำตาลลีวูโลส เดกซ์โทรส และมอลโทส นอกจากนั้นยังมีน้ำตาลอื่น ๆ อีก แต่มีจำนวนน้อยมาก ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ผึ้งเริ่มบินกลับรัง ในขณะที่ผึ้งกระพือปีกจะเกิดพลังงานความร้อนช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ ตลอดจนช่วยเผาผลาญลดความชื้นในน้ำหวานให้กลายเป็นน้ำผึ้งเร็วขึ้น เมื่อผึ้งงานกลับถึงรัง จะคายน้ำหวานแปรรูปนี้ให้กับผึ้งงานประจำรัง ซึ่งจะรับกันด้วยปากต่อปาก น้ำหวานแปรรูปนี้ยังไม่เป็นน้ำผึ้งที่สมบูรณ์ เพราะยังมีความชื้นหรือน้ำในน้ำหวานจำนวนมากถึง 30-40% ต่อมาผึ้งงานประจำรัง จะนำน้ำหวานนี้ไปเก็บในหลอดรวงน้ำผึ้ง ตอนเย็นผึ้งกลับรังกันเป็นส่วนใหญ่ จะช่วยกันกระพือปีก ช่วยให้มีการระเหยของน้ำหวานอีก จนได้น้ำผึ้งที่สมบูรณ์ คือ มีน้ำเหลืออยู่เพียง 20-25% เท่านั้น หลังจากนั้นผึ้งงานจะใช้ไขผึ้งปิดหลอดรวงที่เก็บน้ำผึ้งไว้ใช้เพื่อให้พลังงานในชีวิตประจำวัน และยามขาดแคลนอาหารต่อไป

เมื่อผึ้งงานสร้างฝาขี้ผึ้งปิดฝาหลอดรวมแล้ว แสดงว่าน้ำผึ้งเข้มข้นได้ที่แล้ว ผู้เลี้ยงจะนำรวงผึ้งมาปาดฝารวงด้วยมีดปาดฝา แล้วจึงนำรวงผึ้งนั้นเข้าเครื่องสลัดหมุน ให้น้ำผึ้งไหลออกจากรวงโดยแรงเหวี่ยง จะได้น้ำผึ้งที่สะอาด แต่อาจมีเศษไขผึ้ง หรือชิ้นส่วนต่าง ๆ ติดมา จึงต้องกรองด้วยผ้ากรอง แล้วเก็บไว้ในถังสูงที่มีฝาปิดมิดชิด ป้องกันมดและฝุ่นละอองตกลงไปในถัง การบรรจุน้ำผึ้งจากถังลงสู่ขวดจะไขก๊อกให้น้ำผึ้งจากก้นถังลงสู่ขวดบรรจุ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีฟองอากาศติดปนเข้ามา






ความแตกต่างของน้ำผึ้งตามชนิดของพืชอาหาร
เป็นธรรมชาติของรังผึ้งที่จะเก็บน้ำหวานสะสมไว้ภายในรัง ดังนั้นหากผู้เลี้ยงมีกรรมวิธีจัดการดูแลที่ดี และมีรังผึ้งอยู่ในบริเวณที่ในช่วงเวลาหนึ่งที่มีพืชชนิดเดียวกัน ออกดอกบานพร้อม ๆ กัน น้ำหวานที่ผึ้งงานดูดเก็บสะสมแปรรูปเป็นน้ำผึ้งไว้ภายในรัง ส่วนใหญ่ก็มาจากแหล่งพืชเดียวกัน

โดยปกติแล้ว น้ำหวานที่ปล่อยออกมาจากต่อมน้ำหวานของพืชแต่ละชนิดจะมีกลิ่น รส สี แตกต่างกันออกไปเฉพาะตัว และองค์ประกอบโครงสร้างของน้ำตาลก็อาจผิดแผกจากกันไปบ้าง จึงทำให้สามารถระบุชนิดของน้ำผึ้งตามชนิดของพืชอาหารได้ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ น้ำผึ้งจากดอกส้ม น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกสาบเสือ ฯลฯ ซึ่งน้ำผึ้งแต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้

1. ความแตกต่างในเรื่องกลิ่นรส และสีของน้ำผึ้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับน้ำหวานจากดอกไม้ที่ผึ้งเก็บมา มีตั้งแต่สีเหลืองอ่อน น้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลไหม้ ตัวอย่างเช่น น้ำผึ้งที่ได้จากดอกลำไย จะมีสีเข้ม มีกลิ่นหอมและมีรสหวานกว่าน้ำผึ้งที่ได้จากดอกลิ้นจี่ ดอกเงาะ ดอกทุเรียน ดอกนุ่น

2. องค์ประกอบของน้ำตาล เช่น สัดส่วนของน้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลฟรุกโทสไม่เท่ากัน ซึ่งมีผลถึงความแตกต่างทางด้านคุณสมบัติทางกายภาพของน้ำผึ้ง เช่น

3. การตกผลึก น้ำผึ้งที่ได้จากการเลี้ยงผึ้งในสวนยางพารา สามารถตกผลึกได้ทั้งหมด เมื่อนำไปแช่ในตู้เย็นหลายชั่วโมง ในขณะที่น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ตกผลึกได้น้อยกว่า หรือน้ำผึ้งจากดอกลำไยและนุ่น ไม่ค่อยตกผลึกเลยในสภาพเดียวกัน

4. ความสามารถในการอุ้มน้ำ ซึ่งน้ำผึ้งบางชนิดจะอุ้มน้ำไว้ในปริมาณมากกว่าน้ำผึ้งอีกชนิดหนึ่ง

คุณสมบัติของน้ำผึ้ง
คุณสมบัติทางกายภาพ
ที่อุณหภูมิ 20?c มีความถ่วงจำเพาะ = 1.4225
น้ำผึ้ง 3,785 มิลลิลิตร (1 แกลลอน) หนัก 5,375 กรัม
น้ำผึ้ง 0.453 กิโลกรัม (1 ปอนด์) มีปริมาตร 318.9 มิลลิลิตร

พลังงานคิดเป็นแคลอรี
น้ำผึ้ง 0.453 กิโลกรัม (1 ปอนด์) ให้พลังงาน 1,380 แคลอรี
น้ำผึ้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 303 แคลอรี

ส่วนประกอบของน้ำผึ้ง
ปริมาณความชื้น
น้ำผึ้งที่ดีควรมีปริมาณความชื้นไม่เกินร้อยละ 21 เพื่อให้มีรสชาติที่เข้มข้น สามารถเก็บไว้ได้นานโดยจะเปลี่ยนแปลงสภาพเพียงเล็กน้อย และป้องกันไม่ทำให้น้ำผึ้งเสียคุณค่าจากการหมัก

น้ำตาลของน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นแหล่งของสารอาหารคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญ เพราะถ้าหักปริมาณน้ำหรือความชื้นออกเสียแล้ว ร้อยละ 95-99 ที่เหลือจะเป็นน้ำตาลชนิดต่าง ๆ ชนิดที่สำคัญคือ น้ำตาลลีวูโลส (ฟรุกโทส) และเดกซ์โทรส (กลูโคส) ที่ผึ้งย่อยสลายจากน้ำตาลซูโครสในน้ำหวาน น้ำตาลทั้งสองชนิดซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปสร้างพลังงานได้ทันที และทำให้น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ดูดความชื้นจากบรรยากาศได้ น้ำผึ้งที่ดีควรมีน้ำตาลทั้งสองชนิดไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 นอกจากนี้น้ำตาลลีวูโลสยังมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 1.6 เท่า ขณะที่ร่างกายดูดซึมได้ช้า จึงสามารถใช้น้ำผึ้งเป็นสารให้ควานแทนน้ำตาลทั่วไปได้ สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักในระดับที่ไม่เคร่งครัดนัก น้ำผึ้งที่ได้จากน้ำหวานดอกไม้จะมีน้ำตาลลีวูโลสมากกว่าน้ำตาลเดกซ์โทรส นอกจากน้ำตาลทั้งสองชนิดแล้ว น้ำผึ้งยังประกอบด้วยน้ำตาลซูโครส, มอลโทส, แล็กโทส และน้ำตาลอื่น ๆ รวม 17 ชนิด

กรดในน้ำผึ้ง
เนื่องจากน้ำผึ้งมีรสหวานจัด รสเปรี้ยวของสภาพความเป็นกรดจึงถูกปิดบังเอาไว้ กรดในน้ำผึ้งมีหลายชนิด เช่น กรดฟอร์มิก อะซีติก มิวทาร์ค ซิตริก มาลิก และซักซินิก กรดที่สำคัญที่สุดในน้ำผึ้งคือ กรดกลูโคนิก ซึ่งเป็นอนุพัทธ์ของน้ำตาลเดกซ์โทรส ในน้ำผึ้งยังมีกรดอะมิโนถึง 16 ชนิด นอกจากนี้ยังมีกรดอนินทรีย์ คือกรดฟอสฟอริก และกรดเกลือ (ไฮโดรคอลริก) อีกด้วย
แร่ธาตุในน้ำผึ้ง

ปริมาณเถ้า (ส่วนของแร่ธาตุต่าง ๆ ) ในน้ำผึ้งมีค่าเฉลี่ยประมาณ 0.17% ของน้ำหนักน้ำผึ้ง แร่ธาตุที่พบในน้ำผึ้ง ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม สังกะสี เหล็ก แมงกานีส ทองแดง ปริมาณแร่ธาตุต่าง ๆ ในน้ำผึ้งแม้จะมีไม่มากนัก แต่ก็อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม การเติมน้ำผึ้งลงไปแทนน้ำตาลในอาหารชนิดต่าง ๆ ก็เป็นการเพิ่มปริมาณแร่ธาตุที่จำเป็นแก่ร่างกาย และยังเป็นการเพิ่มคุณค่าทางอาหารอย่างอื่นอีกด้วย

เอนไซม์ในน้ำผึ้ง
เอนไซม์ คือสารประกอบเชิงซ้อนที่เกิดขึ้นภายในเซลของสิ่งมีชีวิต มีหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ภายในเซลนั้น ๆ เอนไซม์สำคัญที่สุดที่พบในน้ำผึ้ง คือ “อินเวอร์เทส” ซึ่งมีหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลซูโครสในน้ำหวานของดอกไม้ให้เป็นน้ำตาลแปรสภาพ คือ น้ำตาลเดกซ์โทรสและลีวูโลส ในน้ำผึ้งมีเอนไซม์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ “ไดแอสเทส” (หรืออมัยเลส) เอนไซม์ชนิดอื่น ๆ ในน้ำผึ้งมี เอนไซม์คาตาเลส และฟอสฟาเทส และในรายงานล่าสุดพบว่าในน้ำผึ้งมีเอนไซม์อีกชนิดหนึ่งคือ กลูโคออกซิเดส เป็นเอนไซม์จากฟาริงเกลแกลนด์ของผึ้ง ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นกรดกลูโคนิก และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ “อินฮิบิท” ที่ทำหน้าที่ยับยั้งและทำลายเชื้อโรคได้

วิตามินในน้ำผึ้ง
ในน้ำผึ้งมีวิตามินอยู่หลายชนิด ได้แก่ ไทอามีน (บี1), ไรโบฟลาวิน (บี2), กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี), ไพริด็อกซิน (บี6), กรดแพนโทธินิก, กรดนิโคตินิก หรือที่เรียกรวมกลุ่มว่า วิตามินบีคอมเพล็กซ์ ปริมาณวิตามินในน้ำผึ้งแต่ละชนิดแตกต่างกันตามที่มาของน้ำผึ้ง เดกซทรินในน้ำผึ้ง เป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลของกลูโคสต่อกันเป็นโซ่ยาว เป็นส่วนที่ทำให้น้ำผึ้งชุ่มคอและเคลือบผิว

สารแขวนลอยในน้ำผึ้ง
สารแขวนลอย หมายถึง โมเลกุลขนาดใหญ่ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของโมเลกุลขนาดเล็ก และกระจายตัวอยู่ในของเหลวนั้น ๆ โมเลกุลของสารแขวนลอยจะไม่ตกตะกอน สารแขวนลอยส่วนใหญ่ในน้ำผึ้งจะเป็นเกสรดอกไม้ ทั้งที่ไม่ถูกน้ำย่อยย่อย และที่ถูกน้ำย่อยย่อยแล้วบางส่วน และพบว่ามีโปรตีน 4-7 ชนิด ในปริมาณที่แตกต่างกัน ปริมาณโปรตีนในน้ำผึ้งจะมีอยู่ประมาณ 0.1-0.6%

อินฮิบิท หรือ คุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อโรคของน้ำผึ้ง
สารอินฮิบิทมีผลต่อต้านเชื้อโรคเพราะมีการผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในปฏิกิริยาเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นกลูโคสในแลคโตน โดยเอนไซม์กลูโคออกซิเดส จึงมีการนำน้ำผึ้งมาใช้ในการรักษาบาดแผลสด ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลติดเชื้อ สารกระตุ้นปฏิกิริยาทางชีวภาพอื่น ๆ ในน้ำผึ้ง วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ในน้ำผึ้งนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสารที่กระตุ้นปฏิกิริยาทางชีวภาพด้วย แต่ในน้ำผึ้งยังมีอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่สามารถค้นพบได้ มีการทดลองหลายอย่างที่พิสูจน์ว่าน้ำผึ้งมีส่วนในการกระตุ้นปฏิกิริยาทางชีวภาพ เช่น ช่วยการสร้างรากของกิ่งไม้ ช่วยในการเจริญเติบโตของยีสต์ ช่วยเร่งน้ำย่อย ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยในการเจริญเติบโตตามภาวะปกติ หรือยามเจ็บป่วย

ลักษณะของน้ำผึ้งที่ดี
มีความข้น และหนืดพอสมควร ซึ่งแสดงว่ามีน้ำน้อย น้ำผึ้งที่ดีไม่ควรมีน้ำเกินร้อยละ 21 หากมีน้ำเจือปนมากกว่านั้น จะทำให้จุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตและทำลายคุณค่าของน้ำผึ้งได้

มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงสีน้ำตาล ใส ไม่ขุ่นทึบ

มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งและดอกไม้ตามแหล่งที่ได้มา ปกติพืชที่ใช้ผลิตน้ำผึ้งมีหลายชนิด ที่นิยมคือ ลำไย ลิ้นจี่ และสาบเสือ น้ำผึ้งลำไยนับเป็นน้ำผึ้งที่มีรสหอมหวานเป็นพิเศษเหนือกว่าน้ำผึ้งจากพรรณไม้อื่นทั้งหมด

ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุต่าง ๆ แขวนลอยอยู่

ปราศจากลิ่น รส ที่น่ารังเกียจอื่นใด หรือกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใด ๆ ลงในน้ำผึ้ง

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง



ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียจากการตรากตรำทำงานหนัก เล่นกีฬา อดนอน หรือดื่มสุรา

ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะพักฟื้น

บำรุงประสาทและสมองให้สดชื่น แจ่มใส

ช่วยระงับประสาท อาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ แก้ตะคริว

บรรเทาอาการไอ และหวัด

ลดกรดในกระเพาะ ช่วยให้อาหารย่อยดีขึ้น ท้องไม่ผูก เนื่องจากน้ำผึ้งถูกดูดซึมได้
ทันที เมื่อสัมผัสลำไส้ ต่างจากน้ำตาลชนิดอื่นที่คงค้างอยู่ และถูกเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์หรือกรด

แก้เด็กปัสสาวะรดที่นอน เนื่องจากน้ำผึ้งมีน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งมีคุณสมบัติดูดความชื้นได้ดีกว่าน้ำตาลชนิดอื่น จึงสามารถดูดน้ำกลับและอุ้มน้ำไว้ ทำให้เด็กไม่ปัสสาวะรดที่นอน

แก้โรคโลหิตจาง เนื่องจากน้ำผึ้งมีธาตุเหล็กซึ่งเป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบิน ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง

แก้ความดันโลหิตสูง


จากคุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง รวมทั้งรสหวานตามธรรมชาติและกลิ่นรสเฉพาะตัว จึงนิยมนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าและให้รสหวาน เช่น

ผสมในเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้แก่ ชา, กาแฟ, นม, โยเกิร์ต, น้ำมะนาว หรือในต่างประเทศจะนำไปทำเบียร์หรือไวน์

ผสมในขนมอบและขนมหวานต่าง ๆ คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของน้ำผึ้งในขนมปัง คือ น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งมีคุณสมบัติดึงความชื้นไว้ได้นาน ดังนั้นขนมปังหรือขนมที่ผสมน้ำผึ้งจะนิ่มอยู่นานกว่าใช้น้ำตาลทรายธรรมดา หลังจากนำออกจากเตาอบแล้ว

ผสมในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธัญญพืชเป็นอาหารเช้า หรือผสมในอาหารเด็กอ่อน
ทำเป็นสเปรด (spreads) สำหรับทาขนมปัง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมในยา เพื่อเพิ่มความคงตัวและมีรสหวานรับประทานง่าย รวมทั้งมีประโยชน์ทางยา


น้ำผึ้งกับความงาม
น้ำผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ถูกใช้เพื่อความงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม เนื่องจากคุณสมบัติตามธรรมชาติที่มีในน้ำผึ้ง ดังนี้

- Humectant น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ คือสามารถดึงและเก็บความชื้นไว้ได้ ทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ได้แก่ คลีนซิ่ง, ครีม, แชมพู และคอนดิชันเนอร์ และเนื่องจากน้ำผึ้งมาจากธรรมชาติและไม่ระคายเคืองผิวหนัง จึงเหมาะอย่างมากกับผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบางและผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก

- Antioxidant น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ สารแอนตี้ออกซิแดนต์มีบทบาทในการปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสง UV และช่วยในการเสริมสร้างเซลส์ผิวหนังใหม่

- Antimicrobial Agent น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านจุลินทรีย์และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เนื่องจาก

- น้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลสูง เป็นการจำกัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียจะสามารถเติบโตได้

- มีความเป็นกรดสูง (pH ต่ำ) และปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต

- มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และแอนตี้ออกซิแดนต์อยู่ในน้ำผึ้งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย


http://www.thailanna.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=197826
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 8:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

วิธีการทดสอบน้ำผึ้งแท้หรือปลอม

เขียนโดย ประเสริฐ ลิ้นฤาษี


นำผึ้ง เป็นน้ำหวานที่ได้มาจากธรรมชาติ ที่เกิดจากการผลิตของแมลงที่เรียกว่า "ผึ้ง" น้ำผึ้งมีหลายชิด ทั้งน้ำผึ้งป่า คือ น้ำผึ้งที่ได้มาจากรังของผึ้งป่า และน้ำผึ้งเลี้ยง คือ น้ำผึ้งที่ได้จาก ผึ้งที่คนเลี้ยงตามบ้าน หรือตามฟาร์มเลี้ยงผึ้ง หลาย ๆ ท่านคง ได้ชิมลิ้มรศกับน้ำผึ้งที่หวานฉ่ำกันมาแล้ว แต่ทราบมั้ยล่ะครับว่า น้ำผึ้งที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้มา จากการเดินตลาด ไปหาซื้อ มีคนเอามาแจกเป็นของขวัญ ในวันสำคัญบ้าง ก็แล้วแต่คุณ ๆ ท่าน ๆ จะได้มา ทราบมั้ยล่ะครับว่า น้ำผึ้งที่ได้มา เราจะสังเกตหรือรู้ได้อย่างล่ะครับว่าเป็นของแท้ หรือของเทียม คำถามนี้เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงทราบ และหลาย ๆ ท่านคงยังไม่ทราบ ว่าเค้ามีวิธีการทดสอบอย่างไร ผู้เขียนเองจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ และสามารถนำไปปฏิบัติได้เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องครับ


ผลจากการศึกษาและค้นคว้าวิจัยของ อาจารย์หทัยพร ศิรินามารัตนะ ภาควิชาเภสัชเวท คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ความรู้ว่าการทดสอบน้ำผึ้งว่าเป็นของแท้หรือไม่ ถ้าจะให้ถูกต้องแม่นยำ ต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทดสอบปริมาณกลูโคส ไม่มีวิธีการทดสอบง่ายๆ อย่างที่เข้าใจ อย่างไรก็ตาม มีหลักเกณฑ์วิธีที่พอจะใช้ได้สำหรับดูหรือสังเกตน้ำผึ้งแท้และดีได้ ดังนี้


1. น้ำผึ้งควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลากข้างขวดน้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้งลำไยก็ควรมีกลิ่นของลำไย เป็นต้น

2. น้ำผึ้งต้องมีความหนืด แม้ในอากาศร้อนหรืออุณหภูมิห้อง

3. น้ำผึ้งต้องมีสีอ่อนตามธรรมชาติที่ได้เก็บเกี่ยวมา ถ้ามีสีเข้มมากจนดำแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งน้ำผึ้งที่เก็บมานานคุณประโยชน์ก็จะลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นควรดูวันหมดอายุที่ข้างขวด แต่ทั้งนี้เป็นข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรงนัก เพราะน้ำผึ้งอาจถูกเก็บไว้นานเป็นปีก่อนนำมาขาย

4. น้ำผึ้งต้องไม่แยกชั้น ต้องอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน แม้ในบางครั้งอาจพบน้ำผึ้งเกิดการตกผลึกเนื่องจากเป็นน้ำผึ้งที่ได้มาจากการเลี้ยงด้วยดอกไม้ต่างชนิดกัน แต่น้ำผึ้งแท้ที่ตกผลึกจะมีผลึกเป็นแท่งเหลี่ยมแหลมเปราะบาง และถ้าตกผลึกทั้งขวดจะมองเห็นสีผลึกเป็นสีเดียวกันทั้งขวด ไม่เป็นสีเข้มปนสีอ่อนตกผลึกอยู่ที่ก้นขวด เหนือผลึกขึ้นมาเป็นของเหลวและสีของเหลวนั้นมีสีเข้มกว่าผลึกอย่างเห็นได้ชัด เรียกลักษณะนี้ว่าน้ำผึ้งตกตะกอน โดยทดสอบน้ำผึ้งที่ตกตะกอนได้โดยนำไปแช่ตู้เย็นจะเห็นได้ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น

5. น้ำผึ้งต้องสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี

ถ้าดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลยก็อาจดูจากฉลาก บริษัทผู้ผลิตว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้รับการรับรองจากองคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ เป็นแนวทางในการเลือกซื้อ และเมื่อได้น้ำผึ้งที่ดีแล้วต้องเก็บในภาชนะปิดสนิท เก็บในที่เย็น แต่ไม่ควรแช่ตู้เย็น (อุณหภูมิห้องทั่วไปที่ไม่ร้อนมากนัก) และควรเก็บในขวดปากแคบ ถ้ารับประทานน้ำผึ้งทุกวันให้แบ่งน้ำผึ้งออกมาไว้ในขวดปากกว้างเพื่อสะดวกต่อการใช้และทำให้เก็บน้ำผึ้งได้นานไม่เสียง่าย

ส่วนการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ น้ำผึ้งคือผลิตผลของน้ำหวานจากดอกไม้ และจากแหล่งน้ำหวานอื่นๆ ที่ผึ้งนำมาเก็บสะสมไว้ในรังผึ้ง ประกอบด้วย

1. น้ำ โดยน้ำผึ้งจะประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนประกอบไม่เกินร้อยละ 20
2. คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มากที่สุด คือมีปริมาณร้อยละ 79 ในรูปของน้ำตาลฟรักโทส และกลูโคส โดยมีปริมาณน้ำตาลฟรักโทส มากกว่าน้ำตาลกลูโคสเล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น
3. กรด มีประมาณร้อยละ 0.5 ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกรดที่พบมากคือกรดกลูโคนิก
4. แร่ธาตุ มีประมาณร้อยละ 0.5 ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม โปตัสเซียม ฟอสฟอรัส โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน
5. วิตามิน เช่น ไรโบเฟลวิน ไนอะซิน เป็นต้น

ข้อมูลจาก คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น เว็บไซต์ มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th




http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=1709
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 8:49 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มหัศจรรย์น้ำผึ้ง


กว่า 8,000 ปีมาแล้วที่มนุษย์รู้จักและนำน้ำผึ้งมาใช้เป็นสารให้ความหวาน น้ำผึ้งมีสรรพคุณทางยา และมีประโยชน์ต่อสุขภาพจึงทำให้มีการนำน้ำผึ้งมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบที่หลากหลาย บางคนนิยมรับประทานน้ำผึ้งเพียงอย่างเดียว หรืออาจจะนำน้ำผึ้งมาผสมกับน้ำนมหรือผลไม้ นอกจากนี้น้ำผึ้งมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ จึงมักนำมาให้เด็กที่มีอาการท้องผูกรับประทาน รวมทั้งยังมีสรรพคุณในการป้องกันหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ด้วย

น้ำผึ้งเกิดขึ้นได้อย่างไร.... น้ำผึ้งเป็นน้ำหวานที่ได้จากดอกไม้ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาลซูโครส. กลูโคส. และฟรักโทส.เป็นส่วนประกอบหลัก โดยผึ้งงานจะเก็บสะสมน้ำหวานจากดอกไม้ไว้ในรังผึ้ง และผึ้งจะสร้างและปล่อยเอนไซม์ที่ชื่อว่า "invertase" ลงไปในน้ำหวานที่เก็บมาจากดอกไม้ ซึ่งจะทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างทางเคมีของน้ำหวานจากดอกไม้

เอนไซม์ invertase จะเปลี่ยนน้ำตาลซูโครสซึ่งเป็นไดแซ็กคาไรด์ ให้เป็นน้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลฟรักโทส.ซึ่งเป็นมอนอแซ็กคาไรด์. และส่วนหนึ่งของกลูโคส.ที่มีอยู่ในน้ำหวานจากดอกไม้ก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีกับ เอนไซม์ glucose oxidase ที่สร้างจากผึ้ง โดย glucose oxidase จะเปลี่ยนกลูโคสไปเป็นกรดกลูโคนิค (gluconic acid) และ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide)

กรดกลูโคนิคจะทำให้น้ำผึ้งมีความเป็นกรดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด ในขณะเดียวกันไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ก็มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้เช่นกัน ส่วนความหนืดของน้ำผึ้งนั้นเกิดจากการที่น้ำที่อยู่ในน้ำหวานจากดอกไม้ ระเหยออกจากช่องเก็บน้ำผึ้งในรังผึ้ง ด้วยการกระพือปีกของผึ้งภายในรังซึ่งช่วยทำให้น้ำระเหยออกจากน้ำหวานได้เร็ว ขึ้น จึงทำให้น้ำผึ้งมีความเข้มข้นมาก ซึ่งสภาวะดังกล่าวจะไม่เหมาะกับการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ จะเห็นได้ว่าผึ้งมีวิธีการที่ทำให้น้ำหวานที่เก็บจากดอกไม้เปลี่ยนสภาพทั้ง โครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างทางเคมีได้อย่างน่ามหัศจรรย์

การที่น้ำผึ้งเป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานสูง เพราะในน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลมอนอแซ็กคาไรด์ ที่ร่างกายของเราสามารถดูดซึมน้ำตาลมอนอแซ็กคาไรด์ไปใช้ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหาร ทำให้เวลาที่เรารับประทานน้ำผึ้งจะรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอย่างรวด เร็ว แต่ในเด็กการดูดซึมน้ำตาลฟรักโทสในน้ำผึ้งไปใช้จะทำได้ไม่ดีเหมือนในผู้ใหญ่ ดังนั้นถ้าเด็กดื่มน้ำผึ้งมากเกินกว่าที่ร่างกายเด็กจะสามารถดูดซึมได้ น้ำตาลฟรักโทสในน้ำผึ้งที่เหลือค้างในลำไส้จะทำให้เกิดการสะสมของน้ำในลำไส้ และถูกขับออกจากร่างกายในที่สุด นี่คือเหตุผลที่ทำไมจึงกล่าวว่า น้ำผึ้งมีการออกฤทธิ์คล้ายยาระบายอ่อนๆ




นอกจากนี้ในน้ำผึ้งยังประกอบไป ด้วยวิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม และแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยบำรุงสุขภาพและมีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ในร่างกายอีกด้วย

สารต่อต้านอนุมูลอิสระคืออะไร สารต่อต้านอนุมูลอิสระคือสารที่ช่วยยับยั้งและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเคมี ต่างๆ ภายในเซลล์ของร่างกาย ซึ่งปฏิริยาเคมีเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากการกระตุ้นของออกซิเจนหรือไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ และทำให้เกิดไอออนหรืออนุมูลอิสระซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดความเสีย หายต่างๆ ภายในเซลล์ของร่างกาย เช่น ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพ หรือแก่ชราลง ตัวอย่างสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่คุ้นเคยและใกล้ตัว คือสารในกลุ่มวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินซี และวิตามินอี เป็นต้น

นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาและค้นพบกลุ่มสารเคมีที่พบในพืชหลายชนิดปรากฏอยู่ในน้ำ ผึ้ง เรียกสารกลุ่มนี้ว่า phytochemicals ซึ่งมีความหมายรวมถึงสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดที่พบในน้ำผึ้งด้วย และน้ำผึ้งแต่ละชนิดก็จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ ว่าน้ำผึ้งชนิดนั้นได้มาจากดอกไม้ชนิดใด ซึ่งสาร phytochemicals จะส่งผลในเชิงบวกต่อระบบย่อยอาหารและการเผาผลาญอาหารในร่างกายของมนุษย์

นอกจากนี้ในไขผึ้งและน้ำผึ้งยังพบสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งและป้องกันการเกิด มะเร็งในลำไส้ใหญ่และการเกิดเนื้องอก รวมทั้งสรรพคุณของน้ำผึ้งที่มีสารเคมีที่ช่วยในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และราบางชนิด โดยสารเคมีเหล่านี้จะเป็นสารผสมของเรซินและสารอื่นๆ อีกหลายชนิดที่ประกอบอยู่ในไขผึ้งและน้ำผึ้ง ทั้งหมดที่กล่าวมาถือว่าเป็นสรรพคุณที่ดีของน้ำผึ้ง

สำหรับน้ำผึ้งที่ ผ่านกระบวนการแปรรูปจะพบสารกลุ่ม phytochemicals น้อยกว่าในน้ำผึ้งที่ได้มาจากธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูปใดๆ แต่อย่างไรก็ตามมีรายงานการปนเปื้อนของน้ำผึ้งจากสารพิษที่แบคทีเรียสร้าง ขึ้น เช่น สารพิษโบทูลินั่ม จากสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช โดยมีการปนเปื้อนในระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันไป ดังนั้น การเลือกน้ำผึ้งจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน



ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.scimath.org

ภาพประกอบจาก : www.photos.com

http://campus.sanook.com/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-926369.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 9:08 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เครื่องสลัดน้ำผึ้ง



gotoknow.org/blog/uthaiwisdom/20...page%3D1


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/03/2011 9:11 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 28/03/2011 9:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


www.beesbees.ob.tc/prayod.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©