-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ทุเรียน-มังคุดร้อยปีสวนคุณไพบูลย์ (AORRAYONG)
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - เกษตรจีน................ย่างก้าวที่ล้ำหน้าไทย
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

เกษตรจีน................ย่างก้าวที่ล้ำหน้าไทย

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/09/2010 4:30 pm    ชื่อกระทู้: เกษตรจีน................ย่างก้าวที่ล้ำหน้าไทย ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)




ไข่มุกดำที่มีรสชาติแสนโอชา

ไข่มุกดำที่มีรสชาติแสนโอชา เห็น หัวข้อเรื่องก็ชวนให้มึนงงเป็นแน่แท้ ไข่มุกดำมีด้วยหรือ ? ที่เห็นกินๆกันอยู่ก็เป็นไข่มุกขาวที่กินเพื่อบำรุงผิวให้ขาวเนียนผุดผ่อง แต่นี่เป็นไข่มุกดำกินเข้าไปแล้วผิวจะไม่ดำเมี่ยงไปหรอกหรือ

อ๋อ ไม่หรอกหรอกครับ มิได้เป็นไปดังที่คาดคิดเดาเอาเองนะครับ เพียงแต่จั่วหัวเรื่องให้พิศวงตื่นเต้นกันเล็กน้อย ส่วนที่ว่า ไข่ดำก็มาด้วย ก็ไม่ได้หมายถึงไข่สีดำนะครับ แต่จะเป็นอะไรก็ติดตามอ่านเพื่อความบันเทิงใจพร้อมกับรับเอาเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยทางการเกษตรก็แล้วกัน

ไข่มุกดำ ที่ว่านี้ก็คือชื่อของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมสายพันธุ์หนึ่งในประเทศจีน (F1 Hybrid) ที่ทำการผสมปรับปรุงพันธุ์จนได้เมล็ดที่มีสีดำสนิท แล้วให้ชื่อว่า เฮยเจินจู (黑珍珠) ซึ่งแปลความได้ว่า ไข่มุกดำ นั่นเอง จากหน้าซองเมล็ดพันธุ์เขียนบรรยายคุณลักษณ์เอาไว้ว่า หวานหอม เหนียวนุ่ม ใช้เวลาปลูก 115 วันก็เก็บเกี่ยวฝักสดมาบริโภคได้ ความยาวฝัก 22-24 ซม. เนื้อเหนียวนุ่ม เมล็ดสีดำวาว ชอบแสง ชอบน้ำ และก็ชอบปุ๋ย (หมายถึงต้องการปุ๋ยมากหน่อย) มีความต้านทานโรคสูง เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ใช้บริโภคฝักสด มีกลิ่นหอม รสหวาน เนื้อเหนียว นุ่ม อุดมไปด้วยโภชนะสาร

ได้ไปเมืองจีนก็หลายรอบ แต่ก็ยังไม่เคยได้ลองลิ้มชิมรสสักที เพราะไปไม่ตรงฤดูกาล ได้แต่สอบถามชาวจีนหลายๆท่านในประเทศจีนแล้ว ต่างกล่าวยืนยันเป็นเสียงเดียวว่า กินอร่อยจริง อันนี้ก็ต้องเชื่อเขาเจ้าของประเทศไปก่อน เอาไว้มีโอกาสจะต้องลองลิ้มชิมรสให้ได้ (คงไม่ชิมไปบ่นไปหรอกนะครับ เพราะไม่ใช่คนขี้บ่น) แล้วจะมารายงานให้ทราบ

ส่วนที่บอกว่า ไข่ดำก็มาด้วย นั้น ก็ไม่ได้หมายถึง ไข่ไก่ ไข่เป็ด หรือไข่นุ้ยที่เป็นสีดำหรอกนะครับ เพราะไม่ได้มีการตั้งชื่อใดๆให้กับมันเลย ก็เลยตั้งชื่อให้ฟังโก้หรูไปเท่านั้นเอง เพราะเจ้าไข่ดำที่ว่านี้ก็คือ ฟักแฟง ที่มีผิวสีเปลือกดำเกือบสนิทเช่นกัน บนหน้าซองเขียนบอกไว้ว่า กว่างตงเฮยผีตงกวา (กว่างตงหมายถึงกวางตุ้ง เฮย แปลว่าสีดำ ผี ไม่ได้หมายถึงภูตผีปีศาจนะครับ แต่หมายถึง เปลือก ตงกวา ก็หมายถึงฟักหรือแฟงนั่นเอง) ก็เป็นอันเข้าใจกันนะครับ

http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538715812&Ntype=2
www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac... -


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 18/09/2010 3:24 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/09/2010 4:45 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ตลาดกลางขายส่งพืชผักที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน

เซ่ากวงซูช่ายพีฟาซื่อฉาง (寿光蔬菜批发市场) คือ ตลาดกลางขายส่งพืชผักที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ตั้งอยู่ที่เมืองเซ่ากวง มณฑล ซานตง ด้านใต้ของกรุงไป่จิง (ปักกิ่ง) ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 1984 เดือนมีนาคม จัดเป็นตลาดพืชผักที่มีพื้นที่กว้างขวางและทันสมัยที่สุดของประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 250 ไร่ ปริมาณพืชผลที่ขายต่อปีประมาณ 40 พันล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 56 พันล้านหยวนต่อปีเลยทีเดียว พืชผลที่ขนส่งเข้ามาทำการซื้อขายในตลาดแห่งนี้มีไม่ต่ำกว่า 300 ชนิดจากเมืองต่างๆ 20 กว่ามณฑลทั่วทั้งประเทศ โดยผลไม้ส่วนใหญ่จะมาจากภาคใต้ และผักสดจะมาจากทางภาคเหนือของประเทศ ดังนั้น เมืองเซ่ากวงจึงกลายเป็นแหล่งผลิตผักสดที่ใหญ่ที่สุดด้วยมีตลาดกลางแห่งนี้เอื้อประโยชน์เป็นช่องทางระบายสินค้าทางการเกษตรที่สำคัญยิ่ง ตลาดแห่งนี้มีสวนสาธิตปลูกพืชผักนานาชนิดภายในโรงเรือนที่มีขนาดใหญ่ตลอดทั้งปี จนกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย มีห้องตรวจสอบคุณภาพสินค้า รวบรวมข้อมูลจัดส่งกระจายไปทั้วประเทศ อีกทั้งยังมีสำนักงานประมูลพืชผลที่ก้าวหน้า มีการประมูลซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต มีห้องเย็นเก็บรักษาสินค้าผลผลิต มีระบบการเงินการธนาคารที่ทันสมัยดังนั้น ตลาดเซ่ากวงแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลาง ซื้อ-ขาย พืชผักที่มีอิทธิพลต่อตลาดพืชผลทั่วประเทศ เพราะอิงราคากลางของตลาดแห่งนี้เป็นมาตรฐานในการซื้อขายค่อนประเทศ






















http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538648695&Ntype=2
www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac... -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/09/2010 4:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)







เครื่องดำนาขนาดเล็ก

ปัจจุบันวงการเกษตรของไทยเราได้พัฒนาปรับปรุงการผลิต โดยการนำเอาเครื่องจักรกลเข้ามาช่วยผ่อนแรงและร่นชั่วโมงการทำงานลงได้มาก เป็นการประหยัดทั้งแรงงานและเวลา ในภาคของการทำนานั้นก็ได้นำเอาเครื่องจักรกลมาใช้เช่นเดียวกัน ที่เห็นกันชินตาก็คือ รถไถนาที่มีสี่ล้อขนาดใหญ่ และที่เล็กลงมาหน่อยก็คือ รถไถนาเดินตามหรือที่เรียกกันว่า ควายเหล็กนั่นเอง เครื่องจักรอีกตัวหนึ่งที่เห็นในระยะหลังนี้ก็คือ รถเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง และในเวลาอันใกล้นี้ก็ได้นำเอาเครื่องดำนามาใช้กันแล้ว ในตลาดเครื่องจักร์มีทั้งรุ่นใหญ่และขนาดกลาง แต่ที่เห็นกำลังโฆษณาโหมโรงให้ชาวนาซื้อหามาใช้กันนั้น ดูจะเป็นเครื่องดำนาขนาดกลางเสียมากกว่า เพราะเครื่องดำนาขนาดเล็กยังไม่มีผู้ใดผลิตขึ้นมาจำหน่าย เนื่องจากเครื่องจักรชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูง ถึงแม้จะเป็นขนาดกลางก็ตามราคาก็ยังสูงอยู่ดี และยังมีข้อจำกัดอีกหลายประการที่ยังไม่เป็นที่นิยมซื้อมาใช้ เนื่องจากใช้งานได้ไม่เต็มที่ ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไป เพราะใช้งานแค่ปีละครั้งในการทำนาปี ถึงแม้จะมีการทำนาได้ถึง 3 ครั้งต่อปีในเขตที่มีการชลประทานก็ตาม ก็ยังไม่คุ้มค่าในการลงทุน เพราะชาวนาไทยแต่ละครอบครัวนั้นมีที่นากันไม่มาก ผู้ที่ซื้อมาใช้จึงเป็นชาวนารวยที่มีที่นาแปลงใหญ่มีพื้นที่ทำนามากพอสมควร โดยซื้อมาใช้งานเองและรับจ้างชาวนาด้วยกันจึงจะคุ้มกับเงินที่เสียไป

รูปร่างหน้าตาของเครื่องปักดำต้นกล้าข้าวที่ใช้ได้ทั้งแรงคนและพลังงานแบตเตอร์รี่

ผู้ประดิษฐ์กำลังสาธิตการใช้งานเครื่องดำนาที่ผลิตขึ้น

ข่าวดีกำลังจะมีมาให้แก่ชาวนาไทยทั่วไป นั่นก็คือ ขณะนี้ได้มี เครื่องปักดำนาขนาดเล็กที่ใช้กำลังคน โดยการใช้มือหมุน หรือใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่ผลิตขึ้นจำหน่ายแล้ว การใช้งานก็สะดวกง่ายดาย ใช้งานได้ดี ไม่ต้องเพาะกล้าในกระบะเหมือนเครื่องปักดำที่มีราคาแพง ใช้กล้าที่เพาะโดยวิธีที่ชาวนาทำกันอยู่เป็นปกติ ประการสำคัญก็คือราคาไม่แพง เหมาะกับการใช้งานของชาวนารายย่อยเป็นอย่างยิ่ง จากการทดสอบการใช้งาน มีความเร็วในการปักดำต้นกล้าข้าวได้วันละ 2-4 ไร่เลยทีเดียว คิดว่าอีกไม่นานชาวนาไทยคงได้ซื้อหามาใช้งานได้ จากการนำเข้ามาของ ห้างฯ ยะลาทักษิณาวัฒน์ ที่มุ่งสรรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าคุ้มราคามาบริการแก่เกษตรกรไทยตลอดไป


http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5320823&Ntype=2
www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac... -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/09/2010 5:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


การปลูกพืชในน้ำโดยไม่ต้องเติมออกซิเจน




การปลูกแตงโมในโรงเรือน โดยจัดเถาให้เลื้อยขึ้นในแนวตั้ง




ที่เห็นห้อยเป็นพวงระย้านั่น ไม่ใช่ผลไม้ใดๆ แต่เป็นหัวมันเทศที่ปลูกในอากาศ


http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=481174&Ntype=2
www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac... -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/09/2010 5:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)



พันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง กอใหญ่ และต้านทานการล้ม

ด้วยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์สามกลุ่มจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า กับนักวิชาการข้าวจากสถาบันวิจัยข้าวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ทำการศึกษาวิจัยยีนที่ให้ผลผลิตของข้าว และได้ค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับการให้ผลผลิตของข้าว โดยพบว่ายีนที่ควบคุมการปลดปล่อยฮอร์โมนในการขยายตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ต้นข้าวในช่วงของการเจริญเติบโตนั้น ถ้าสามารถทำให้ลดการปลดปล่อยฮอร์โมนของยีนดังกล่าวนี้ได้ ก็จะทำให้ต้นข้าวมีการเจริญเติบโตและแตกกอมากขึ้น อันจะเป็นการนำไปสู่การติดรวงเพิ่มจำนวนเมล็ดข้าวมากขึ้น ซึ่งก็หมายถึงผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่จากผลที่ว่านี้ จะเกิดผลเสียติดตามมานั่นก็คือ ต้นข้าวที่มีลักษณะเป็น “หัวโต ตีนเล็ก” ทำให้ต้นข้าวไม่แข็งแรงล้มพับหักงอง่าย

พันธุ์ข้าวที่ใช้ยีน Moc 1 เข้าช่วยในการแตก
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาผลความขัดแย้งของการเพิ่มผลผลิต แต่ต้นไม่แข็งแรง หักล้มง่าย จึงได้นำผลงานวิจัยยีนต้นเตี้ย SD1 และยีนทรงต้น MOC1 (single tiller 1) เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการปรับปรุงพันธุ์จนได้พันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง ต้นเตี้ย กอใหญ่ขึ้น

ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มนักวิจัยพันธุ์ข้าวของมหาวิทยาลัยนาโกย่าก็ได้ค้นพบยีน Gn1a ที่มีผลต่อการติดดอกออกรวงของข้าวมาแล้ว และพบว่าว่าถ้ายีนดังกล่าวลดการทำงานลงก็จะทำให้การเจริญเติบโตของยีนผลผลิตเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งได้มีการผสมปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่ ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 23 % และตั้งชื่อสายพันธุ์ข้าวนี้ว่า Yue Guang Paddy rice

หลังจากประสบความสำเร็จในการผสม-ปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่ร่วมมือทำการวิจัยนี้แล้ว ได้ทำการปลูกเปรียบเทียบผลผลิตข้าวที่ได้ระหว่างสายพันธุ์ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่กับสายพันธุ์ Yue Guang แล้ว ปรากฏว่าสายพันธุ์ใหม่นี้ให้ผลผลิตสูงกว่า 20 % เมื่อเทียบผลผลิตต้นต่อต้นโดยที่มีคุณภาพเหมือนเดิมทุกประการ





ฟักทองที่เห็นในภาพนี้เป็นผลงานของ สวนสาธิตเกษตรไฮเทค เทียนสุ่ย (天水) ในมณฑล กานสู ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนวมาก ทั้งนี้พืชผักที่ปลูกในสวนสาธิตแห่งนี้ได้นำเอาวิทยาการก้าวหน้าใหม่ๆมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต พืชผักที่ปลูกภายในสวนแห่งนี้ได้นำเอาวิธีการ ปลูกพืชแบบไร้ดินมาใช้เกือบทั้งหมด ดังเช่น ผลฟักทองยักษ์ที่เห็นในรูป และยังมีการปลูกแตงกวาที่แต่ละต้นแต่ละเถาให้ผลเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยกว่า 3,000 ลูก มะเขือเทศที่ให้ผลเก็บเกี่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ลูกต่อต้นเลยทีเดียว






เทคนิคการปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตสูงเท่าตัว

เทคนิคการปลูกข้าวโพดวิธีใหม่นี้เป็นการปลูกที่มีความถี่หนาแน่นเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า วิธีการนั้นก็คือ ให้วางแถวแนวปลูกหันไปตามทิศตะวันออก-ตะวันตก ให้ระยะระหว่างแถวและระหว่างต้นห่างจากกัน 50 เซนติเมตรเท่าๆกัน และหยอดเมล็ดหลุมละ 3 ถึง 4 เมล็ด ให้เมล็ดกระจายออกจากกันเล็กน้อย อย่าหยอดวางกันเป็นกระจุก เมื่อต้นงอกมีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตรแล้ว ให้ถอนเหลืออย่างน้อยหลุมละ 3 ต้น แต่ถ้าต้นสมบูรณ์ใกล้เคียงกันทั้งหมด 4 ต้นก็ให้เก็บไว้ทั้งหมดก็ได้

หลังจากนั้นก็ให้จัดการดูแลเหมือนดังที่เคยปฏิบัติ แต่ต้องจัดให้น้ำอย่างเพียงพอ เพราะจำนวนต้นต่อไร่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสามเท่าตัวเลยทีเดียว การปลูกด้วยเทคนิคใหม่นี้ทำให้ต้นข้าวโพดติดฟักที่สองสมบูรณ์เพิ่มขึ้นเกือบทุกต้น ช่วงความสูงของลำต้นลดลง แต่ความยาวของใบบนนั้นจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการแก่งแย่งแสงแดดกันเอง จึงทำให้ใบยืดยาวขึ้น ลักษณะที่เป็นไปเช่นนี้เป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับต้นข้าวโพด เนื่องจากลำต้นสั้นเตี้ยลง และการปลูกหลุมละหลายต้นทำให้ระบบรากนั้นเกี่ยวสอดรัดพันกันหนาแน่น ทำให้ยึดเกาะติดกับผืนดินได้แข็งแรงขึ้นอีกมาก การล้มหักของต้นก็ลดน้อยลง

ส่วนการวางแนวปลูกให้หันไปตามทิศตะวันออก-ตะวันตกนั้นก็ทำให้ต้นข้าวโพดได้รับแสงแดดสม่ำเสมอเท่าๆกัน และการปลูกที่มีระยะห่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นก็เป็นการทำให้การผสมเกสรเป็นไปอย่างทั่วถึง ฝักข้าวโพดจึงติดเมล็ดแน่นสมบูรณ์เต็มฝัก นับเป็นการพัฒนาวิธีการปลูกที่อาศัยการสังเกตอย่างละเอียดและเข้าถึงหลักการรอย่างลึกซึ้ง จึงทำให้ประสบผลสำเร็จที่น่าพึงพอใจเป็นที่สุด




เทคโนโลยี การปลูกพืชในน้ำ (จริงๆ)

เทคโนโลยีการปลูกพืชในน้ำวิธีนี้ เป็นเทคนิคใหม่ที่ไม่เหมือนกับการปลูกพืชในน้ำ (HYDROPONIC) ที่กระทำกันอยู่ ทั้งสองวิธีนี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก หากแต่ทว่ามีความแตกต่างในหลักการอย่างชัดเจน

การปลูกพืชในน้ำที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระบบราก กล่าวคือ พืชที่ปลูกในน้ำไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้หากปราศจากการช่วยเหลือของมนุษย์ในการป้อนอากาศให้กับมัน แต่ในระบบใหม่นี้ เป็นการปรับเปลี่ยนระบบรากให้กับต้นพืช นั่นก็คือการชักนำให้รากพืชที่เกิดขึ้นนั้นคงทนอยู่ในน้ำได้ และมีความสามารถในการดูดซับอากาศออกซิเจนในน้ำมาใช้ได้ โดยที่เราไม่ต้องป้อนอากาศให้แก่มัน และรากก็ไม่เน่าเปื่อยเหมือนกับวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันอยู่

ดังนั้น เทคนิคการปลูกพืชในน้ำตามแนวทางใหม่นี้จึงสามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผักล้มลุก พืชอายุข้ามปี ไม้ยืนต้นเล็กใหญ่ ขอให้มีระบบยึดค้ำประคองลำต้นให้ยืนอยู่ได้เท่านั้น ก็สามารถนำไปปลูกในแหล่งน้ำต่างๆได้เลย โดยไม่ต้องใช้ระบบป้อนอากาศ หรือจัดหาอาหาร/ปุ๋ยให้กับมัน (ถ้าแหล่งน้ำนั้นมีธาตุอาหารเพียงพอ)

เทคนิคกรรมวิธีนั้นก็กระทำได้ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่นำเอา เทคโนโลยีการโคลนนิ่งพืชกลางแจ้งมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ด้วยการเพิ่มเติมอุปกรณ์แม่เหล็กและไฟฟ้าเข้าระบบเท่านั้นก็สามารถผลิตพืช ไฮโดรโปนิค นำไปปลูกในน้ำได้เลย

หลักการของกรรมวิธีนี้ก็คือการชักนำให้เกิดรากที่อยู่ในน้ำได้เหมือนกับพืชน้ำอย่างผักบุ้งหรือผักกระเฉด หรือข้าว เป็นต้น วิธีการนั้นก็คือ การเพาะเมล็ดพืช หรือเพาะชำชิ้นส่วนของพืช (ใบหรือกิ่ง) ในแปลงเพาะชำที่มีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า รากที่เกิดขึ้นภายใต้สนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้สามารถดำรงอยู่ในน้ำและทำการดูดซับอาหารและออกซิเจนได้ (ส่วนน้ำนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงเลย เพราะมีมากมายเหลือเฟืออยู่แล้ว) ข้อได้เปรียบของการปลูกพืชโดยวิธีนี้ ทำให้ประหยัดแรงงาน และเวลาในการให้น้ำ เพราะสามารถแช่ต้นพืชในน้ำได้ตลอดเวลา


http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=389255&Ntype=2
www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac... -
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 17/09/2010 6:27 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)






นาโนซิลเวอร์ ในนาข้าว เมื่อดูจากหัวข้อเรื่องแล้ว หลายๆท่าน (โดยเฉพาะชาวนา) อาจจะสงสัยว่า นาโนซิลเวอร์ นี่มันคืออะไรกัน ? แล้วมันมาข้องแวะยุ่งเกี่ยวอะไรกับการทำนา-ปลูกข้าวด้วย ?

ก่อนอื่นก็คงจะต้องอธิบายให้เข้าใจกันได้รู้กันพอสังเขปว่า นาโน คืออะไร และวัสดุนาโน คืออะไร เพื่อที่จะได้อ่านบทความนี้ได้เข้าใจเป็นเรื่องเป็นราวกันไป

อันคำว่า “นาโน” นั้น เป็นคำย่อที่ตัดตอนมาจากคำว่า นาโนเมตร ซึ่งเป็นหน่วยของความยาวในระบบเมตริก เหมือนกับคำว่า เมตร หรือ กิโลเมตร นั่นเอง แต่ ขนาดของความยาว นาโนเมตร นั้นมีขนาดที่เล็กเอามากๆจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องใช้กล้องไมโครสโคปส่องกราดแล้วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างภาพนั่นแหละจึงจะเห็นหน้าค่าตาว่าเป็นอย่างไร

รูปแสดงขั้นตอนการใช้นาโนซิลเวอร์ในการปลูกข้าว
แปลงข้าวที่ทดสอบใช้นาโนซิลเวอร์ในการเพาะปลูก

ขนาดของ 1 นาโนเมตร เท่ากับ หนึ่ง ใน พันล้าน ของเมตรนั่นเลยทีเดียว เพื่อให้มองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมจึงเปรียบเทียบขนาดของมันให้เห็นชัดเจนดังนี้ นำเอาเส้นผมมา 1 เส้น แล้วแบ่งมันออกให้ได้จำนวน 100,000 เส้น เส้นผมที่แบ่งแล้วหนึ่งเส้นนั้นก็มีขนาดใกล้เคียงเท่ากับ 1 นาโน พอๆกับขนาดของอะตอมเลยทีเดียว

ส่วน วัสดุนาโน นั้นหมายถึงวัตถุสิ่งของอะไรก็ตามแต่ ที่มีขนาดเล็กๆในระดับตั้งแต่ 0.1 ถึง 100 นาโนเมตรนั้น เราเรียกมันว่า วัสดุนาโน

ครานี้เราต้องมาทำความเข้าใจกันอีกเล็กน้อยว่า วัตถุสิ่งของที่มีขนาดเล็กมากๆที่เรียกว่า ขนาดนาโน นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไรกับวัตถุสิ่งเดียวกันที่ไม่ได้มีขนาดนาโน นั่นแหละคือแก่นของเรื่องที่จะกล่าวถึง จะยกตัวอย่างให้เห็นสักตัวอย่างก็คือ ทองในภาวะปกตินั้นเราจะเห็นเป็นสีเหลืองทอง แต่ถ้าทำให้มันแตกแยกออกจากกันให้มีขนาดเล็กในระดับนาโนแล้ว เราจะไม่เห็นมันเป็นสีเหลืองอีกต่อไป แต่จะเห็นเป็นสีดำ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อและขัดกับความรู้สึกเราใช่ไหม ? แต่มันเป็นไปแล้วจริงๆ

ขั้นตอนการแช่เมล็ดข้าวด้วยนาโนซิลเวอร์ (1)
ขั้นตอนการแช่เมล็ดข้าวด้วยนาโนซิลเวอร์ (2)
ขั้นตอนการแช่เมล็ดข้าวด้วยนาโนซิลเวอร์ (3)

การเตรียมดินในการปลูกข้าว
สรุปเอาสั้นๆก็คือ วัสดุสิ่งของต่างๆ เมื่อทำให้มันมีขนาดเล็กลงในระดับนาโนแล้ว มันจะมีคุณสมบัติทางกายภาพ หรือทางเคมี เปลี่ยนแปลงผิดแผกแตกต่างออกไปจากเดิม ส่วนจะผิดไปอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องทำการศึกษาวิจัยกันต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษากัน

ทีนี้เรามาดูเรื่องที่จั่วหัวข้อเอาไว้ว่า การนำเอาวัสดุนาโน ที่มีชื่อเรียกว่า ซิลเวอร์ออกไซด์ มาใช้กับการปลูกข้าวนั้นคืออย่างไร ?

ซิลเวอร์นาโนนั้น เป็นคำย่อที่ตัดทอนมาจากคำว่า นาโนซิลเวอร์ออกไซด์ เมื่อมีขนาดเป็นนาโนแล้ว จะมีคุณสมบัติเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางแสง ที่สามารถกำจัดกลิ่นและทำลายจุลินทรีย์เล็กๆอย่างเชื้อโรคได้ จึงได้มีนักวิชาการทางเกษตรชาวเกาหลีนำมาแช่เมล็ดข้าวก่อนปลูก และฉีดพ่นต้นข้าวในช่วงที่กำลังเจริญเติบโตในแปลงนา ปรากฏว่าต้นข้าวมีอัตราการงอกและการเจริญเติบโตดีกว่าปกติมาก ข้าวมีความต้านทานต่อโรคและแมลงโดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงและยากำจัดเชื้อราแต่อย่างใด

ผลผลิตข้าวที่เก็บเกี่ยวได้มากกว่าเดิม คุณภาพข้าวเหนือกว่า รสชาติดีกว่าปกติมาก

http://www.nanosoeasy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5346035&Ntype=17
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©