ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 22/10/2010 9:58 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถ้าจำไม่ผิด มั่นใจว่ายังไม่เป็นอัลไซเมอร์อย่างโรแนล เรแกน. ....
สำปะหลังกองนี้อยู่ที่ไร่กล้อมแกล้ม เอามาจาก "ไร่เลิศสรานนนท์" (081)649-
9440 บ.หนองจาน หัวลำ ท่าหลวง ลพบุรี เอามาโชว์ มาครั้งแรกก็ O.K. แต่วัน
ที่สมชายฯ ถ่ายภาพนั้น อายุบนกอง 2-3 เดือนแล้ว เริ่มเน่าเปื่อยผุพัง
ไม่ใช่แค่สำปะหลังเท่านั้น จากไร่เลิศสรานนท์ยังมี "ข้าวโพดหวาน" ยกต้นมา
เลย ต้นละ 3 ฝักๆ ละ 8 ขีด ทุกฝักเมล็ดเต็ม มาให้พิสูจน์อีกด้วย
สำปะหลังเจ้านี้ 12 ตัน/ไร่ ให้น้ำด้วย "โอเวอร์เฮด" .... แปลงสำปะหลังย่าน
นั้น เขาเจาะบ่อบาดาลกลางแปลงเลย วันดีคืนดีก็เอาปั๊มไปติด แล้วโอเวอร์เฮดให้
กับสำปะหลัง
แรกๆ ใครๆ (จนท.เกษตร-ชาวบ้าน) ก็ว่า ให้น้ำแล้วสำปะหลังจะหัวเน่า พอเอาจริง
เข้า นอกจากไม่เน่าแล้วยังได้ 10 (+) ตัน/ไร่ ส่วนแปลงที่กลัวเน่าได้สูงสุดแค่
4-5 ตัน/ไร่
วันนี้ บรรดาผู้รู้ (ขี้โม้) ที่ว่าให้น้ำสำปะหลังแล้วหัวเน่า กลืนน้ำลายตัวเองเอื๊อกๆ ๆๆ
ราชการสารพัดหน่วยเอาป้ายไปปัก สมอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเอง บริษัทปุ๋ยยักษ์
เล็กยักษ์ใหญ่ เอาป้ายไปปักแล้วถ่ายภาพออก ทีวี. กันเป็นแถวๆ.... เรื่องนี้ต้อง
ถาม มงคลฯ)
ใคร ! คนแรก จุดประกายความคิดเรื่องให้น้ำสำปะหลัง
ลุงคิม (แผลงๆ แต่ตามธรรมชาติ) ครับผม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 23/10/2010 5:25 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Yuth-Jasmine สาวดี่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010 ตอบ: 384
|
ตอบ: 22/10/2010 6:26 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
nokkhuntong บันทึก: |
สแกนจากหนังสือ เกษตรใหม่ ของลุง เรื่อง "มันสำปะหลังผีสิง"
พยายามฝากไฟล์ภาพ แต่ทำไม่ได้ ไฟล์มันหย่ายนะ(โปรแกรมมันบอกจ๊ะ)
พอบีบไฟล์ให้เล็กลง(มั่วเอานะ ทำให้ MB มันเล็กลง) พอเล็กลงแล้ว
มันบอก..หาไฟล์ไม่เจอ พี่เลยมึนตึบ ลองมา 2 วันแล้วน้องเอ๋ยยยย
นกขุนทอง |
พี่แกมีปัญหาครับเลยวานผมจัดการให้
เป็นเรื่อง มันสำปะหลัง ผีสิง เชิญทัศนาครับ
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 22/10/2010 8:37 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
นี้แหละครับของจริง...น่าปลื้มใจจริงๆ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 22/10/2010 9:03 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ไปขุดวารสารเล่มนี้มาจากกุไหน (วะ) น่ะ ขนาดคนเขียนเอง ทำเอง ขายเอง ยังไม่
มีเลย.....
สังเกตุสำปะหลังแปลงนี้ ขนาดหัวใหญ่เท่าโคนขาผู้ใหญ่ ยังได้แค่ 12 ตัน/ไร่
แล้วไอ้ที่ได้ 90 ตัน 100 ตัน/ไร่ หัวเท่าโคนขาเด็กมันเป็นไปได้ไง ถ้าไม่ใช่โม้.....
ข้อมูลนั้นถือว่า "ล้าสมัย" มากแล้วนะ วันนี้มีสูตรใหม่ ง่ายกว่าสูตรเก่า ประหยัด
กว่า แต่ได้ผลผลิตเท่ากันหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ....
วันนี้ 22 ต.ค. แปลงสำปะหลังของไร่เลิศสรานนท์ ที่ตั้งใจจะขุดราวเดือนหน้า ได้
ยินว่าเพิ่งได้คิวรถขุด.....แฮ่ะ แฮ่ะ น้ำท่วมมิดหัวคนเลยครับ
ที่จริงน่าจะมี ฮม.สูตรมันสำปะหลังแช่น้ำนานแล้วหัวไม่เน่าบ้างเนอะ
ลุงคิม (หัวเน่า-ระยองทิ้ง) ครับผม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 23/10/2010 9:20 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ถูกต้องแล้วครับลุงคิม...(อย่างหลงเชื่อพวกขี้โม้หากินกับเกษตรกร)/
ขอสูตรใหม่ตำรับลุงคิมได้ไหมครับ ใครอยากลองจะได้นำร่องไปก่อน (สำหรับผม
คงต้องหลัง พ.ค.54 รอคนเช่าตัดอ้อยก่อน)...
ขอบคุณครับลุงคิมที่นำข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ให้ผู้ปลูกมันฯ รู้ทัน...
เกษตรกรในชนบทต้องแนะนำด้วยของจริง (เห็นภาพ) และทำให้ดูจริง + ทำได้
จริง + ขายได้จริง...
แนะนำด้วยตัวหนังสือหรือพูดเฉยๆ ........ไม่ค่อยฟังกัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 23/10/2010 9:49 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ใจเย็น.....ฟังคนอื่นอีกหน่อย.....
ลุงคิม (ใจเย็นแต่ทำเร็ว) ครับผม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 23/10/2010 12:19 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ลุงคิมครับ...
ระเบิดฯ + 8-24-24 ช่วงลงหัว ให้ทางดินไปกลับระบบน้ำหยดหรือน้ำพุ่ง อาทิตย์
ละครั้งๆ ละ 2 ชม. แต่ดูว่าไม่ให้ดินแฉะ พอได้ไหมครับ...แต่ก็หนักใจเรื่องดินจัง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 23/10/2010 5:42 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แม่นแล้วครับลุงคิม...สูตรใหม่...ขอแบบด้านๆ อย่างนี้แหละ อิ...อิ... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 23/10/2010 7:56 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เรื่องง่ายๆ แต่ยากที่ใจ.....
1. เตรียมดิน :
**** ดิน คือ หัวใจ ..... ดินดี ได้แล้วกว่าครึ่ง *****
วิธีที่ 1
- ปลูกพืชตระกูลถั่ว (ถั่ว พด.หรือถั่วเขียวท้องตลาด กก.ละ 20 บาท...ใช้ 2-3
กก./ไร่) เมื่อถั่วเริ่มออกดอกแล้วไถดะกลบซากต้นถั่วรอบแรก
- ไถกลบต้นถั่วแล้วใส่ "ยิบซั่ม. กระดูกป่น. ขี้ไก่." หว่านให้ทั่วแปลง แล้วไถ
แปร ไถพรวน ยกร่อง ตามปกติ
- ยกร่องแล้วรดด้วย "น้ำ + น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง สูตรสำปะหลัง" อัตรา 2-3 ล./
ไร่ (น้ำมากๆ เพื่อให้น้ำหมักฯ ลงไปในดินได้ลึกๆ) แล้วปล่อยทิ้งไว้ 7-10 วัน เพื่อ
ให้เวลาจุลินทรีย์ปรับปรุงบำรุงดิน และย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้เป็นสารอาหารให้
เรียบร้อยก่อน
วิธีที่ 2
- ไถดะแล้วใส่ "ยิบซั่ม. กระดูกป่น. ขี้ไก่" หว่านให้ทั่วแปลง แล้วไถแปร ไถ
พรวน ยกร่อง ตามปกติ
- ยกร่องแล้ว รดด้วย "น้ำ + น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง สูตรสำปะหลัง" อัตรา 2-3
ล./ไร่ (น้ำมากๆ เพื่อให้น้ำหมักฯ ลงไปในดินได้ลึกๆ) แล้วปล่อยทิ้งไว้ 7-10 วัน
เพื่อให้เวลาจุลินทรีย์ปรับปรุงบำรุงดิน และย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้เป็นสารอาหาร
ให้เรียบร้อยก่อน
หมายเหตุ :
- ปรับปรุงดินก่อน อย่ารีบร้อนลงสำปะหลัง แต่ให้ยอมเสียเวลาเพียง 2 เดือน โดย
วางแผนจัดเวลาปลูกถั่วแล้วไถกลบให้สอดคล้องกับช่วงลงสำปะหลัง
- วิธีที่ 2 ไม่มีรายการไถกลบต้นถั่วก่อนลงท่อนพันธุ์สำปะหลัง แก้ไขโดย หลัง
จากปักท่อนพันธุ์ลงไปแล้ว ให้หว่านเมล็ดถั่วตามร่องระหว่างแถวปลูก จากนั้นบำรุง
ต้นถั่วกับต้นกล้าสำปะหลังให้โตพร้อมๆ กัน เพียง 1 เดือนครึ่ง ต้นถั่วจะสูงแซงต้น
กล้าสำปะหลัง ก็ให้ล้มต้นถั่วลงคลุมหน้าดิน แล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น รอเวลาย่อย
สลายไปเอง.... กับวิธีที่ 1 ที่มีการไถกลบซากต้นถั่วไปแล้ว 1 รอบนั้น หลังจาก
ปักท่อนพันธุ์สำปะหลังไปแล้ว สามารถหว่านเมล็ดถั่ว แล้วรอล้มเหมือนวิธีที่ 2 ก็
ได้ ก็จะทำให้ได้ซากต้นถั่ว ทั้งคลุมหน้าดินป้องกันวัชพืชและเมื่อย่อยสลายก็กลาย
เป็นปุ๋ยบำรุงดิน มีประโยนชน์ต่อสำปะหลังทั้งรุ่นนี้ และรุ่นต่อๆ ไปอีกด้วย
- วิธีล้มต้นถั่ว ใช้ยางนอกรถยนต์ 1 เส้น 2 เส้น (ตามกำลัง) ผูกเชือกแล้วลากทับ
ไปบนต้นถั่วทำให้ต้นถั่วล้ม ทำ 1 รอบ 2 รอบ ตามความเหมาะสม ต้นถั่วที่ล้ม
แล้วจะไม่ตั้งขึ้นมาอีก
2. เตรียมท่อนพันธุ์ :
- ตัดส่วนโคนที่ใช้ปักลงดินให้ "ฉาก" กับท่อนพันธุ์ ดีกว่าตัดเฉียง
- ตัดแล้วแช่ใน "น้ำ 100 ล.+ ไคโตซาน 50 ซีซี.+ สังกะสี คีเลต 50 ซีซี."
นาน 3-6 ชม. นำขึ้นผึ่งลมแห้งแล้วจึงนำไปปัก
- ปักลึก 3 ส่วน เหลือส่วนเหนือพื้น 1 ส่วน
- ปักตั้งฉากกับพื้น ดีกว่าปักเฉียง
- ปักท่อนพันธุ์แล้วให้น้ำเปล่าพอหน้าดินชื้น อย่างน้อย 3 รอบ ห่างกันรอบละ 2-3 วัน
3. บำรุง :
ระยะต้นเล็ก :
ทางใบ :
- เริ่มให้เมื่อยืนต้นได้แล้ว ให้ "ปุ๋ยทางใบ สูตรบำรุงต้น" ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ตามความจำเป็น
ทางราก :
- อายุต้น 2-3 เดือน (ยืนต้นได้แล้ว) ให้ "น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง สูตรสำปะหลัง"
อัตรา 1-2 ล./ไร่ กับน้ำพอหน้าดินชื้น เดือนละ 1 ครั้ง
- ให้น้ำเปล่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง พอหน้าดินชื้น
ระยะลงหัว :
ทางใบ :
- ให้ "ปุ๋ยทางใบ สูตรสำปะหลัง ลงหัว" ทุก 10-15 วัน จนถึงขุด
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ตามความจำเป็น
ทางราก :
ให้ "น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง สูตรสำปะหลัง ลงหัว" อัตรา 1-2 ล./ไร่ กับน้ำพอหน้า
ดินชื้น เดือนละ 1 ครั้ง จนถึงขุด
- ให้น้ำเปล่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง พอหน้าดินชื้น
หมายเหตุ :
ระยะต้นเล็ก :
ทางใบ :
- ปุ๋ยทางใบ สูตรสำปะหลัง บำรุงต้น.... ส่วนผสม : 25-5-5 + ธาตุรอง/ธาตุ
เสริม + แม็กเนเซียม + สังกะสี + จิ๊บเบอเรลลิน + กลูโคส + แคลเซียม โบรอน.
ทางราก :
- น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง สูตรสำปะหลัง บำรุงต้น.... ส่วนผสม : ปลาทะเล. กาก
น้ำตาล. จุลินทรีย์. ไขกระดูก (+). เลือด (+). มูลค้างคาว (+). นม. ฮิวมิก. น้ำ
มะพร้าว. อะมิโน. ธาตุรอง/ธาตุเสริม. บี-1. สาหร่ายทะเล. เอ็นไซม์. โบมาเลน.
หมักนาน 2-3 ปี ....+ 25-7-7 ก่อนใช้งาน
ระยะต้นโต ลงหัว :
ทางใบ :
- ปุ๋ยทางใบ สูตรสำปะหลัง ลงหัว.... ส่วนผสม : 5-10-40 + ธาตุรอง/ธาตุเสริม
+ แม็กเนเซียม + สังกะสี + แคลเซียม โบรอน. + กลูโคส
ทางราก :
- น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง สูตรสำปะหลัง ลงหัว .... ส่วนผสม : ปลาทะเล. กาก
น้ำตาล. จุลินทรีย์. ไขกระดูก (+). เลือด (+). มูลค้างคาว (+). นม. ฮิวมิก. น้ำ
มะพร้าว. อะมิโน. ธาตุรอง/ธาตุเสริม. บี-1. สาหร่ายทะเล. .... หมักนาน 2-3
ปี ....+ 5-10-40 ก่อนใช้งาน
**** เครื่องหมาย (+) หมายถึง ส่วนผสมที่ใส่เพิ่มจากปกติ 1 เท่าตัว เป็นการ
เพิ่มสำหรับสำปะหลัง (พืชกินหัว) โดยเฉพาะ
**** อยากได้ดินดียาว จากรุ่นนี้ ต่อรุ่น 2 รุ่น 3 ใส่อินทรีย์วัตถุมากๆ
**** ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีเพราะในปุ๋ยทางใบ และน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงทางราก มีให้แล้ว
**** ปลูกใหม่ อาทิตย์แรกควรให้น้ำ 5-6 รอบ ห่างกันรอบละ 2-3 วัน/ครั้ง พอ
หน้าดินชื้น เมื่อยืนต้นได้แล้วจึงให้ทุก 7-10 วัน
**** ถ้ามีฝน สามารถเลื่อนระยะเวลาให้น้ำได้ตามความเหมาะสม
**** ผลผลิต 10 (+) ตัน ได้เพราะน้ำอาทิตย์ละครั้ง
กล้าขยันให้น้ำสำปะหลังไหม ?
ลุงคิม (ไม่กล้า กลัวข้างบ้านหาว่า บ้า) ครับผม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/10/2010 9:46 pm, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 23/10/2010 9:41 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
การปลูกมันคอนโดฯ 8 ตันต่อไร่
คนชัยภูมิ ปลูก "มันคอนโดฯ" เทคนิคง่ายๆ เพิ่มผลผลิตมัน
สถานการณ์ การผลิตมันสำปะหลังในการเพาะปลูก ปี 2549/2550 นับรวมพื้นที่
โดยประมาณได้ 7.2 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 26.41 ล้านตัน ซึ่งนับได้ว่าประเทศไทย
สามารถผลิตมันสำปะหลังได้เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากประเทศไนจีเรีย และ
บราซิล
แต่เมื่อเฉลี่ยค่าผลผลิตต่อ จำนวนไร่ที่มีอยู่นี้ เท่ากับว่าเกษตรกรมีผลผลิตต่อไร่
เพียง 3 ตันเศษเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่หนีห่างคู่แข่งในเอเชียอย่างอินโดนีเซียและ
เวียดนามที่ สามารถปลูกมันสำปะหลังได้ดีไม่แพ้ไทยเลย
คุณทองสุข ศรีษะโคตร เกษตรกรวัย 52 ปี จากจังหวัดชัยภูมิ เป็นผู้ปลูกมัน
สำปะหลังรายหนึ่งที่ยอมรับว่า ตั้งแต่ปลูกมันสำปะหลังมาตลอดหลายสิบปี ตนและ
เกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงยังไม่เคยปลูกมันสำปะหลังได้ผลผลิตมากกว่า 4 ตัน ต่อ
ไร่ เลย
"ผมปลูกมันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ เรียกได้ว่าผมปลูกมันมาตั้งแต่เกิดเลย เมื่อก่อนปลูก
แบบซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ แต่เดี๋ยวนี้ค่าปุ๋ยเคมีกระสอบละพันกว่าบาท พอปุ๋ยแพงผมกับ
ชาวบ้านก็ไม่ใส่เลย ปรากฏว่าผลผลิตมันก็พอกัน เลยปลูกแบบปล่อยไปอย่างนั้น หัว
มันขึ้นได้แค่ไหนก็แค่นั้น เมื่อก่อน 2 ตัน 3 ตันอย่างไรตั้งแต่เกิด ไม่ใช้ปุ๋ยก็เหมือน
กัน ไม่ได้มีผลอะไรเลย ผลผลิตได้อยู่แค่นี้ตั้งแต่ขายได้กิโลกรัมละ 50 สตางค์"
คุณทองสุข เล่า
ระยะ หลังคุณทองสุขจึงแบ่งพื้นที่ 15 ไร่ ปลูกพืชผลชนิดอื่นบ้าง เพื่อสร้างรายได้
หลากหลาย ทั้งปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด ปลูกผัก และแบ่งขุดสระน้ำไว้ใช้ แต่ก็ยังเน้น
ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ 10 ไร่อยู่เช่นเดิม เพราะมีความคิดว่ามันสำปะหลังเป็นพืช
ที่ไม่ต้องดูแลมาก ทนแล้งกว่าพืชอื่นอีกหลายชนิด และตนก็คุ้นเคยกับมันจนยากจะ
ถอนตัว ประกอบกับราคามันสำปะหลังก็เริ่มมีการปรับราคาสูงขึ้น
จนเมื่อปี 2550 คุณทองสุข ได้พบกับเทคนิคการเพิ่มผลผลิตใหม่ หลังจากเข้ารวม
กลุ่มกับเพื่อนเกษตรกรเข้าเรียนรู้กับ ส.ป.ก.จังหวัดชัยภูมิ ตามโครงการเพิ่ม
ศักยภาพมันสำปะหลังในเขตปฏิรูปที่ดิน ทำให้คุณทองสุขได้รู้ว่าสามารถเพิ่มผลผลิต
มันสำปะหลังของตนเองได้ โดย "วิธีการสับตา" หรือที่เรียกว่า "การปลูกมันแบบ
คอนโดฯ"
"ปกติผมปลูก แบบใช้ท่อนพันธุ์ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ปลูกแบบเว้นห่างแต่ละ
ต้นคืบสองคืบเหมือนกับที่ชาวบ้านปลูกกันทั่วไป ไร่หนึ่งก็ตกประมาณ 2,000-
3,000 ต้น ผลผลิตรวมส่วนใหญ่ได้ประมาณ 3 ตัน แต่ปลูกแบบคอนโดฯ นี้ไม่
เหมือนกัน ผมใช้ท่อนพันธุ์ยาวกว่าแล้วสับตาออก ปลูกห่างมากกว่า ไร่หนึ่งปลูกได้
แค่ 1,600 ต้น แต่ปรากฏว่ามันอายุ 8 เดือน ที่ผมขุดมา ต้นเดียวหนักถึง 8
กิโลกรัม" คุณทองสุข เล่า
ขณะที่ผู้ เขียนได้พบปะพูดคุยกับคุณทองสุขนั้น เป็นช่วงเวลาที่คุณทองสุขยังไม่ได้
ขุดผลผลิตออกจำหน่าย แต่เมื่อทดลองขุดดูผลงานเป็นที่น่าพอใจเช่นนี้ คุณทองสุข
จึงคาดการณ์ว่าจะได้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 8 ตัน ต่อไร่ อย่างแน่นอน ซึ่งเท่ากับได้ผล
ผลิตมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ขั้นตอนการปลูกมันคอนโดฯ
การ ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ 10 ไร่ ของคุณทองสุข เขาเลือกใช้พันธุ์
เกษตรศาสตร์ และพันธุ์ห้วยบง 60 ปลูกสลับแปลงกัน แต่ในการปลูกมันคอนโดฯ
รุ่นแรกนี้ คุณทองสุขเลือกทดลองปลูกโดยใช้พันธุ์เกษตรศาสตร์เป็นหลัก นำร่อง
ปลูกก่อนในพื้นที่ 2 ไร่ โดยเริ่มต้นที่การเตรียมดินเป็นขั้นแรก
การเตรียมดิน
ไถเตรียมดินก่อน 2 ครั้ง โดยไถเป็นร่องลึกประมาณ 1 ฟุต หรือ 30 เซนติเมตร
จากนั้นใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพรองพื้นแล้วไถกลบ โดยใช้ปุ๋ยหมักที่เขาหมักเอง จำนวน
1 ตัน ต่อไร่ จากนั้นคุณทองสุขก็เว้นระยะเพื่อลงหลุมปลูกท่อนพันธุ์ ห่าง 1x1
เมตร แล้วใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพรองก้นหลุมอีกครั้ง หลุมละ 7 ขีด
คุณทองสุข บอกว่า ปุ๋ยหมักใช้ได้ดีกับการปรับปรุงดินในแปลงปลูกมันสำปะหลัง
เพราะเท่าที่ปลูกแบบเดิมด้วยวิธีนี้มาหลายปีพบว่า เมื่อเน้นใช้ปุ๋ยหมักในการเตรียม
ดินและรองก้นหลุมมาหลายปี เมื่อใช้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยในระหว่างดูแลต้น
อีก ยกเว้นบางครั้งที่เกิดกรณีที่ว่าเห็นใบอ่อนเริ่มเหลืองหรือแดง คุณทองสุขจึงจะใช้
น้ำหมักชีวภาพฉีดเสริมเพื่อบำรุงต้น
การเตรียมท่อนพันธุ์
คุณทองสุขไม่ได้หาซื้อท่อนพันธุ์จากไหน แต่เขาคัดเลือกต้นมันสำปะหลังที่สมบูรณ์
มาใช้เป็นท่อนพันธุ์เอง โดยตัดท่อนพันธุ์ให้มีความยาวประมาณ 70 เซนติเมตร นำ
มามัดเรียงเป็นแผงยาว 20 ลำ พาดราวไว้เพื่อให้อากาศผ่านถ่ายเท ป้องกันต้นตาย
และรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยรักษาต้นพันธุ์ให้เขียวสดอยู่เสมอ
การสับตา
คุณทองสุข บอกว่า การสับตาเป็นการเพิ่มจำนวนราก ช่วยเปิดทางให้เกิดหัวมัน
จำนวนมากขึ้น โดยใช้มีดคมสับตาออก ประมาณ 5-9 ตา ตามความเหมาะสม หัว
มันจะออกตาละหัว แต่หากท่อนพันธุ์นั้นมีตาห่างกันมาก ก็ควรสับตาออกแค่ 5 ตา ก็
เพียงพอ เพื่อไม่ให้หัวมันลงลึกจากหลุมปลูกมากเกินไป
คุณทองสุข แนะนำว่า หากเกษตรกรมีเวลาและต้องการบำรุงท่อนพันธุ์เพื่อให้ผล
ผลิตดีขึ้น ก็สามารถนำท่อนพันธุ์แช่น้ำหมักชีวภาพประมาณ 1 คืน ก่อนเข้าสู่ขั้นตอน
นี้ แต่ที่สำคัญก็คือ การสับตา ควรทำเมื่อแปลงปลูกพร้อม เมื่อสับตาแล้วควรลงปลูก
ทันที ไม่ควรทิ้งไว้ให้ตาท่อนพันธุ์แห้ง
การปลูก
เมื่อท่อนพันธุ์ที่ผ่านการสับตาพร้อมแล้ว ก็นำท่อนพันธุ์มาเสียบลงหลุมที่กลบปุ๋ย
หมักไว้เรียบร้อยแล้ว โดยสังเกตให้ตาบนสุดลึกลงจากปากหลุมไม่เกิน 3 นิ้ว คุณ
ทองสุขบอกว่าไม่ควรปักลึกจนปลายท่อนพันธุ์ชิดก้นหลุม เพราะหากหลายท่อนพันธุ์
ถึงก้นหลุมซึ่งจะเป็นดินแข็งทำให้ท่อนพันธุ์ไม่ออกหัว
การดูแล
เมื่อปักท่อนพันธุ์เสร็จแล้ว ถ้าฝนไม่ตกหรือลงปลูกในช่วงแล้ง ควรรดน้ำในวันรุ่งขึ้น
และควรรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจากในช่วงที่มันสำปะหลังสร้างรากสร้างหัวก็คือใน
ระยะ 4 เดือนแรกนี้ หลังจากนั้น จะปล่อยให้เทวดาเลี้ยงก็ได้ แต่คุณทองสุขแนะนำ
ว่า อย่างไรก็ควรให้น้ำสัปดาห์ละครั้ง
ในกรณีที่ต้นเกิดใบออกมาไม่สวย ออกสีแดงหรือเหลืองผิดปกติ คุณทองสุขแก้
ปัญหาโดยฉีดพ่นปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ 5-7 วัน ต่อครั้ง ฉีดในช่วงเช้าหรือเย็น และฉีด
ติดต่อกันนาน 3 ครั้ง โดยปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพดังกล่าวเขาหมักเองจากผลไม้สุก
ได้แก่ กล้วยสุก มะละกอสุก ฟักทองแก่ กากน้ำตาล และเชื้อ พด.2 หมักไว้
ประมาณ 1 เดือน จึงนำมาใช้
ข้อดี คุณทองสุขเผยถึงข้อดีของการปลูกมันแบบคอนโดฯ ว่า นอกจากสามารถเพิ่ม
ผลผลิตได้เป็นเท่าตัวแล้ว สังเกตดูแปลงปลูกไม่ค่อยมีหญ้าขึ้นมากมาย ซึ่งอาจเกิด
จากหัวมันอยู่ตื้นขึ้นและใช้ธาตุอาหารจากผิวดินด้วย อีกทั้งเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต
แล้ว ก่อนนำส่งพ่อค้าหรือโรงงานเกษตรกรต้องสับเหง้าออกแล้วส่งไปแต่หัวมัน ซึ่ง
การปลูกแบบเดิมมันจะออกหัวที่ปลายท่อนพันธุ์อย่างหนาแน่น เวลาสับเหง้าออกมัก
จะกินเนื้อมันมาก แต่สำหรับการปลูกมันแบบคอนโดฯ หัวมันที่เกิดจากการสับตาจะ
ออกหัวแบบเดี่ยว ทำให้ง่ายต่อการตัดหัวมันส่งพ่อค้า และได้หัวมันที่เรียวยาว
ชัดเจน ไม่ได้สร้างความยุ่งยากในการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มแต่อย่างใด
ปัจจุบัน คุณทองสุข คือแกนนำกลุ่มเกษตรกรบ้านคลองไทร ตำบลนายางกลัก
อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ และเป็นแกนนำศูนย์ศักยภาพมันสำปะหลังในเขต
ปฏิรูปที่ดินจังหวัดชัยภูมิ แต่คุณทองสุขบอกว่า ตอนนี้มีคุณทองสุขเพียงรายเดียวที่
ปลูกด้วยเทคนิคการปลูกมันแบบคอนโดฯ เพราะเกษตรกรในกลุ่มมีหลายรายที่
สนใจ แต่ก็ยังไม่มีใครลงมือทำเช่นตน และคาดว่าหากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ชาว
บ้านก็จะเห็นว่าสามารถเพิ่มผลผลิตได้จริงแล้วพวกเขาก็จะหันมาปลูกด้วย วิธีนี้มาก
ขึ้น (หากต้องการสอบถามรายละเอียด ติดต่อ คุณทองสุข ได้ที่ (087) 808-
9436)
ส่วนคุณทองสุขเองก็มีแผนเช่าพื้นที่เพื่อปลูกมัน สำปะหลังเพิ่ม และจะปรับเปลี่ยนวิธี
การปลูกด้วยวิธีนี้ให้มากที่สุด แต่ก็คงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามแรงกำลังที่มี
"หลังขุดขายแล้ว ผมคิดว่าจะขยายเพิ่ม ไปปลูกในพื้นที่เช่าด้วย แต่ก็คงทำเอง
เหมือนเดิมกับครอบครัว ไม่มีต้นทุนค่าแรงงานมาก มีแต่ค่าจ้างไถ เพราะผมไม่มีรถ
ไถเอง แต่ไม่จ้างใครปลูก คิดว่าทำกันเองดีกว่า กลัวเขาสับตาไม่ดี ปลูกไม่ดี เลยลง
แรงปลูกเองทั้งหมด ปลูกไปวันละงาน ได้สัปดาห์ละงานสองงานก็ยังดี ผลออกมาได้
แค่ไหนก็เป็นของเรา" คุณทองสุข กล่าวทิ้งท้าย
ส่วนการจำหน่ายมันสำปะหลังของเกษตรกรรายนี้ ส่งให้กับพ่อค้าท้องถิ่นเป็นหลัก
โดยราคาที่พ่อค้ารับซื้อล่าสุดที่คุณทองสุขได้รับอยู่ที่กิโลกรัมละ 2.55 บาท ซึ่งมี
แนวโน้มว่าอาจจะมีการปรับราคาสูงขึ้นอีก แต่คุณทองสุขบอกไว้ว่าตนยังไม่อยาก
คิดมากเรื่องราคา เพราะยังไม่แน่นอนว่าจะปรับขึ้นหรือลดลงเมื่อไหร่ อย่างไร หาก
ได้ราคาที่กิโลกรัมละ 1.50-2.00 บาท ตนก็อยู่ได้ เพราะต้นทุนไม่มาก แต่ตอนนี้
ตนสนใจเรื่องการเพิ่มผลผลิตมากกว่า
...เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องอิงกับกระแสตลาดแต่อย่างใด
องค์ความรู้มันสำปะหลัง
การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และลดต้นทุนการผลิต สามารถจัดการด้วยมาตรการต่างๆ
เช่น การศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง การกระจายพันธุ์มันสำปะหลังดี
สู่เกษตรกรอย่างทั่วถึง รวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพของดิน เทคโนโลยีการปลูกและ
การเก็บเกี่ยว การสร้างระบบการจัดการเพื่อคุณภาพ และระบบการตลาด ที่จะนำไปสู่
อุตสาหกรรมการผลิตในรูปแบบต่างๆ อย่างเพียงพอ
องค์ความรู้มันสำปะหลังจาก ส.ป.ก. เผยถึงเทคนิคเบื้องต้นในการปลูกมันสำปะหลัง
สำหรับเกษตรกรว่า ควรคำนึงถึง พันธุ์ เป็นหลัก ควรใช้พันธุ์ดีที่มีการรับรองพันธุ์
เช่น พันธุ์ห้วยบง 60 เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 60 ระยอง 72 และพันธุ์ที่เหมาะแก่
การผลิตเอทานอล เช่น ระยอง 7 ระยอง 9
ส่วนกระบวนการผลิตนั้นที่เหมาะสมควรปลูกใน ช่วงต้นฝน ปลายฝน ปลูกในพื้นที่
ลุ่ม หากเป็นพื้นที่ลาดเอียง ควรยกร่องขวางแนวลาดเอียง แต่หากเป็นพื้นที่ราบ
ดอน ไม่ต้องยกร่อง
ส่วนการเตรียมท่อนพันธุ์ ควรใช้ท่อนพันธุ์ใหม่และสด ตัดไว้ไม่เกิน 15-30 วัน จาก
ต้นที่มีอายุ 8-12 เดือน ในการปลูก การปักท่อนพันธุ์ตั้งหรือเอียง ลึกประมาณ 10
เซนติเมตร ระวังและป้องกันกำจัดศัตรูมันสำปะหลังอย่างใส่ใจ
ใน การเก็บเกี่ยว ควรเก็บในช่วงอายุตั้งแต่ 8-12 เดือน โดยใช้มีดตัดเหนือพื้นดิน
ประมาณ 30 เซนติเมตร ถอนโดยใช้จอบหรือเครื่องมือขุด ตัดแยกหัวออกจากเหง้า
ที่สำคัญ...ควรนำผลผลิตหัวมันสดส่งโรงงานทันที ไม่ควรเก็บไปไว้เกิน 2 วัน
Posted by pairoj at 2:12 AM
http://ethanol-update.blogspot.com/2008/04/8.html
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/10/2010 6:25 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 23/10/2010 9:48 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
"ปลูกมันคอนโด" วิธีเพิ่มผลผลิต สูงสุด 15 ตัน/ไร่
คมชัดลึก :ปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังนอกจากจะประสบปัญหาภัยแล้ง
แล้ว ยังต้องประสบปัญหาเรื่องเพลี้ยแป้งระบาด ทำให้ผลผลิตตกต่ำ ล่าสุดเกษตรกร
เมืองโคราช "ลุงอ่อนสี ไทยธานี" ในวัย 70 ปี แห่งหมู่ 1 อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา
ที่ได้คิดค้นเทคนิคการเพาะมันสำปะหลังแบบคอนโด จนสามารถเพิ่มผลผลิตได้สูง
สุดถึง 15 ตันต่อไร่ สร้างรายได้ให้ครอบครัวได้เป็นกอบเป็นกำ
ถึงแม้บุตรสาวจะเป็น ต้องตา ยาใจ นักร้องลูกทุ่งชื่อดังเจ้าของบทเพลง นักร้อง
คั่นเวลา แต่ลุงอ่อนสี ผู้เป็นบิดาก็ยังคงยึดอาชีพทำไร่มันสำปะหลัง บนพื้นที่เกือบ
70 ไร่ ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักที่ตัวเองใช้เลี้ยงครอบครัวเรื่อยมา
ด้วยรักในอาชีพและอยากยกระดับการผลิตมันสำปะหลังให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ จึงกลาย
เป็นที่มาของความสำเร็จในการริเริ่มเพาะมันสำปะหลังคอนโด ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตต่อ
ไร่ที่จากเดิมผลิตได้ราวไร่ละ 4 ตันต่อปี มาเป็นสูงสุดถึงไร่ละ 15 ตัน จนได้รับ
ยกย่องจากกรมส่งเสริมการเกษตร และจังหวัดนครราชสีมา ให้
ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นด้านเกษตรกรผู้คิดค้นเทคนิคการเพิ่มผลผลิต ประจำปี
2552 และเป็นเกษตรกรต้นแบบของจังหวัดปัจจุบัน
ลุงอ่อนสี อธิบายถึงวิธีการผลิตมันสำปะหลังคอนโด
เริ่มจากเตรียมท่อนมันที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด ควรเลือกท่อนพันธุ์ที่มาจากต้นที่มี
อายุ 8-15 เดือน แต่ท่อนพันธุ์ที่จะให้ผลดีที่สุดต้องอายุ 12 เดือน และควรเป็น
พันธุ์ ห้วยบง 60 ซึ่งจะให้ผลผลิตที่ดีกว่าพันธุ์อื่นๆ เลือกท่อนที่มีตาถี่ มีความ
สมบูรณ์เท่าๆ กัน แล้วมัดรวมกันมัดละ 15 ท่อน ตัดให้ยาว 25 เซนติเมตร วิธีตัด
ต้องให้เสมอกันทั้งหัวและท้าย ปาดตาออกจนถึงเยื่อเจริญด้านที่เป็นโคน ท่อนละ
3-5 ตา แล้วนำท่อนมันด้านที่ไม่ได้ปาดตาไปจุ่มน้ำปูนขาวเพื่อป้องกันเชื้อรา
"ด้านที่ปาดตาไว้นำไปจุ่มน้ำขี้หมู ที่ใช้ขี้หมูแห้งผสมน้ำ อัตราส่วน 15 กก.ต่อน้ำ
100 ลิตร ทิ้งไว้ 4-5 ขั่วโมง เพื่อให้น้ำขี้หมูซึมเข้าไปในไส้มันเพื่อเร่งรากเพราะขี้
หมูมีฮอร์โมนช่วยเร่งการเจริญเติบโต จากนั้นนำไปปลูกลงแปลงโดยให้โคนที่ปาดตา
ไว้จมสู่ผิวดิน โดยการปาดปาดตาตรงลำต้นเป็นการเพิ่มพื้นที่การงอกรากของมัน ซึ่ง
จะเรียงตัวงอกออกมาเป็นชั้นๆ" ลุงอ่อนสี บอกว่า นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ มัน
สำปะหลังคอนโด
พร้อมเสริมอีกว่า การปลูกต้องระยะห่างต้นละ 1x1 เมตร เพื่อไม่ให้หัวมันแย่ง
อาหารกัน
ให้น้ำโดยใช้ระบบน้ำหยด 3 วันครั้ง จนอายุได้ 2 สัปดาห์ก็ให้เลื่อนเป็นสัปดาห์ละ
ครั้งจนกว่าจะเก็บเกี่ยว
เมื่ออายุได้ 6 เดือน ให้ปุ๋ยทางใบด้วยใช้น้ำขี้หมูผสมน้ำกากสาโททุกๆ เดือน เพื่อ
กระตุ้นให้ใบสังเคราะห์อาหาร จากนั้นหมั่นดูแลกำจัดวัชพืชอย่าให้ขึ้นรก และควร
เก็บเกี่ยวช่วง 10-15 เดือน เพราะช่วงนี้มันสำปะหลังจะเติบโตเต็มที่และให้คุณภาพ
แป้งที่สูง ขายได้ราคาดี ผลผลิตเฉลี่ยอายุ 10 เดือน จะได้ผลผลิตประมาณ 8 ตัน
ต่อไร่ แต่หากอายุ 15 เดือน จะได้ผลผลิตสูงถึง 15 ตันต่อไร่
"ภูมิใจอย่างมากที่เป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร และช่วยเหลือ
เพื่อนๆ เกษตรกร" ลุงอ่อนสี กล่าว
ด้วยคลุกคลีกับการปลูกมันมาค่อนชีวิต ลุงอ่อนสียอมรับว่าถือเป็นวิถีชีวิต เป็นอาชีพ
ที่สร้างรายได้ให้ครอบครัวกระทั่งปัจจุบัน ดังนั้นจึงอยากทำตรงนี้ต่อไป และพยายาม
ต่อยอดขยายผลเพิ่มศักยภาพเพิ่มผลผลิต เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนเกษตรกร
ต่อลูกหลานได้ใช้เพื่อสร้างชีวิตสร้างความสำเร็จอย่างที่ตนเองเป็นอยู่
ทว่าลุงอ่อนสี ไม่วายที่จะฝากถึงเพื่อนเกษตรกรท่านอื่นๆ ที่สนใจการปลูกมันแบบ
นี้ ให้สอบถามไปได้ที่ 08-0470-9104 หรือแวะไปดูงานได้ที่ศูนย์สาธิตการ
เกษตรของลุงที่บ้านสุขไพบูลย์ หมู่ 1 อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ซึ่งเจ้าของศูนย์
ยินดีให้ความกระจ่างแก่ทุกท่าน
"ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ "
http://www.komchadluek.net/detail/20100708/65666/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%9415%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3.html
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/10/2010 6:33 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 23/10/2010 10:10 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ขอบคุณครับลุงคิม...
กล้าหรือไม่ ไม่รู้....แต่กระบวนการขัดใจแม่ยาย ...... ผมสุดยอดอยู่แล้ว |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
catcaty หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 13/08/2010 ตอบ: 525
|
ตอบ: 24/10/2010 12:17 am ชื่อกระทู้: |
|
|
มีพวกแล้ว นึกว่ามีผมคนเดียวซะอีกที่ชอบขัดใจแม่ยาย....!
หมึกครับผม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 24/10/2010 9:04 am ชื่อกระทู้: |
|
|
...สาเหตุ...ของการขัดใจแม่ยาย..อิ..อิ../
สมัยก่อนในยุโรปก็เชื่อกันว่าโลกแบน ใครไม่เชื่อก็ถูกทำร้าย....ถูกหาว่าเป็นพ่อมด
แม่มด....จนภายหลังพิสูจน์ได้ว่าโลกกลมจึงยอมรับกันมาจนถึงปัจจุบัน/
ผมดูแล้วเหมือนวงการเกษตรบ้านเรา/กล้าคิด/กล้าทำ....คิดนอกกรอบแบบลุงสอน
ไว้ (แต่สร้างสรร) ผมถือว่าเป็นการพัฒนาด้านการเกษตรทางเลือกอีกสายหนึ่ง ที่
สามารถตอบสนองความต้องการของเกษตรกรได้ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าการประหยัด
ต้นทุน การเพิ่มผลผลิต การรักษาสิ่งแวดล้อมและเกิดความยั่งยืนในอาชีพ
เกษตรกรรม...
ทางเลือกที่ต้องศึกษาหาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องครับ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป.....
สรุป....การทำการเกษตรให้ประสพผลสำเร็จในปัจจุบันต้องอาศัย ความรู้ด้านวิทย
ศาสตร์หลากหลายสาขา + ขยัน |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 24/10/2010 11:59 am ชื่อกระทู้: |
|
|
เรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเล่ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าอยู่กระทู้ไหน พยายามค้นหาอยู่หลายเพลาก็หาไม่เจอ รึว่าใครรู้ ใครจำได้ เจอแล้วบอกหน่อยก็ดี จะได้เอามาเปรียบเทียบกับที่เขียนใหม่ว่า เหมือนกัน/ตรงกัน หรือไม่อย่างไร เท่ากับเป็นการ "ยีนยัน-นอนยัน" ว่าเป็นเรื่องจริง อันที่จริงจะว่าไป มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเมคเรื่องขึ้นหลอกลวงกัน เพราะมันไม่มี "ใครได้/ใครเสีย" อะไรอยู่แล้ว.....ว่ามั้ย
กาลครั้งนั้น รายการสีสันสัญจร ไปที่วัดแห่งหนึ่ง เขต อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ตามคำเชิญชวนของ วันเพ็ญ สนลอย (081)803-4930 ชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาปราจีนบุรี. มีสมาชิกมาฟังราว 200-300 คน แน่นศาลาการเปรียญ
จำได้แม่น ในจำนวนนี้มี "คุณนาย (เมีย) ผู้ว่า" กับผู้ติดตาม 2-3 คน มารับฟังด้วย คุณนายฟังแล้วจดไม่ทัน (ขี้เกียจมากกว่า) จึงเข้ามาหา แนะนำตัวเองว่าเป็นใคร (อย่างที่บอก....ลุงคิมรู้สึกเฉยๆ เพราะเคยเจอที่ใหญ่กว่านี้มาแล้ว) แล้วพูด (แบบวางอำนาจ) ขอยืมแผ่นใสจะเอาไปถ่ายเอกสาร เสร็จแล้วจะเอามาคืน
ลุงคิมบอก "ให้ไม่ได้ เพราะ....
ข้อ 1. ต้องใช้ประกอบการบรรยายที่นี่
ข้อ 2. เอาไปแล้ว ไม่เอามาคืน ไม่รู้จะไปตามเอาคืนได้ที่ไหน
ข้อ 3. เอาเปรียบคนอื่น ที่นี่ งานนี้ ใครจดบันทึกได้แค่ไหนก็แค่นั้น...."
คุณนายผู้ว่า เจอลีลา "ผู้พันไดนาโม" เข้า เกิดอาการหัวเสีย สบัดก้น (45 นิ้ว) ตุปั๊ดตุป่องเผ่นแน่บเลย......
งานนี้ "คุณเปี๊ยก" (ชื่อสมมุติ เพราะไม่เคยถามชื่อใคร) ทำสำปะหลังอยู่ที่กบินทร์บุรี นำหัวสำปะหลังที่ปลูกเองมาโชว์ ขนาดเท่าน่องผู้ใหญ่ ยาวประณ 1 แขน ไส้ตัน เปลือกนอกผิวใสเรียบเกลี้ยงเกลาดี ลักษณะทั่วไปดีมาก บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของต้น.....ถามคนที่มาฟังบรรยายว่า "สำปะหลังหัวนี้ อายุกี่เดือน....?" ทุกคนตอบด้วยความมั่นใจ "8 เดือน....10 เดือน....12 เดือน....ข้ามปี...." ลุงคิมตัดบท "ผิด ! สำปะหลังหัวนี้อายุสี่เดือนเท่านั้น....สังเกตุ แป้งยังไม่เกิดเลย...." คราวนี้เสีย ฮือออ ดังกระหึ่มศาลา
เรื่องราวที่คุณเปี๊ยกเล่าให้ฟังนั้น พอสรุปได้ว่า......
น้องชายคุณเปี๊ยกฯ อาชีพขับรถรับจ้างดูดส้วม คำวันนั้นกลับเข้าบ้าน พบหน้าพี่ชาย ๆถามว่า....
"วันนี้ได้งานไหม" (หมายถึง ได้งานดูดส้วมไหม) น้องชายตอบ ....
"ไม่ได้เลยพี่" คุณเปี๊ยกถามต่อ.....
"แล้วได้ล้างถังหรือยัง" (หมายถึงถังส้วมบนรถต้องล้างประจำเมื่อเสร็จงาน) น้องชายตอบ....
"ยังไม่ได้ล้างเลย พี่ถามทำไมเหรอ...?"
"เปล่า เปล่า เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ไปกินข้าวไป...."
น้องชายเข้าครัวไปแล้ว คุณเปี๊ยกยิ้มมุมปาก เผ่นผลุงลงไปจากเรือนมุ่งไปที่รถดูดส้วม คว้าถังกากน้ำตาลขนาด 20 ล.เทลงไปในถัง ขณะเทกากน้ำตาลก็เห็นว่ามีกากส้วมเก่าติดก้นถัง ไม่มากไม่น้อย เติมกากน้ำตาลแล้วขับออกไปที่บ่อบาดาล จัดการปล่อยน้ำลงถังจนเต็ม งานนี้ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที
คุณเปี๊ยกขับรถดูดส้วม ในถังมี "กากส้วม + กากน้ำตาล + น้ำบาดาล" บรรจุเต็ม ควบปุเรงๆมุ่งสู่แปลงสำปะหลังท้ายบ้าน ระยะห่างราว 500 ม. ออกรถเร่งเครื่องได้ความเร็วแล้วเบรค เจตนาเบรคแรงๆ เบรคแล้วออกรถวิ่งต่อ วิ่งแล้วเบรค วิ่งแล้วเบรค ทำซ้ำอยู่หลายรอบ ความมุ่งหมาย เพื่อเขย่าให้ของเหลวในถังผสมคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกันนั่นเอง
ลักษณะแปลงสำปะหลังเป็นพื้นที่ลาดเอียง คุณเปี๊ยกวิ่งรถไปทางด้านลาดสูง ถึงร่องแรกจัดการไขก๊อกท้ายรถ เปิดให้น้ำในถังไหลออกมา ไม่ค่อยแล้วก็ไม่แรงจนเกินไป ปรับวาล์วได้ที่ ออกรถวิ่งช้าๆ กะให้น้ำในถังไหลออกมาลงสู่พื้น แล้วไหลต่อไปเองตามความลาดเอียงของพื้น
จากร่องระหว่างแถวปลูกร่องแรก วิ่งรถไปจนถึงร่องสุดท้าย แล้วกลับรถวิ่งย้อนจากร่องสุดท้ายกับมาร่องแรกใหม่ ขณะที่ก๊อกท้ายรถยังคงเปิดอยู่ วิ่งรถวกลับมาแล้ววิ่งย้อนกลับไป ทำซ้ำได้ 3 รอบ น้ำในถังก็หมด
คุณเปี๊ยกตรวจสอบผลงาน เดินเข้าไปในร่องระหว่างแถวปลูก เห็นชัดว่าน้ำไหลผ่านร่องปลูกตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางสม่ำเสมอกันทั่วทั้งแปลงดี
ใครจะเชื่อว่า สำปะหลังให้น้ำ "ผสมพิเศษ" เดือนละครั้ง นอกจากหัวไม่เน่าแล้ว ยังโตเร็ว ต้นมีความสมบูรณ์ขนาดใบล่างไม่ร่วง ผิดกับแปลงข้างเคียงที่ไม่มีการให้น้ำใดๆ เลย นอกจากฝน ลำต้นผอมกะหร่องก่อง มีใบเป็นกระจุกเล็กๆ ที่ปลายยอดเหมือนผมโก๊ะ ผลผลิตรวมได้ 3-4 ตัน/ไร่ ใส่ปุ๋ยร่วมกระสอบหรือกว่ากระสอบ/ไร่ ด้วยซ้ำ ในขณะที่สำปะหลังแปลงนี้ได้ 9 ตัน/ไร่ ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมีเลยแม้แต่แหมะเดียว
เพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น สำหรับปฏิบัติการฉีกม่านประเพณีสำปะหลัง คุณเปี๊ยกต้องทำหลังจากมืดค่ำแล้วเพื่อหลบเลี่ยงสายตาคน เรื่องของเรื่องก็คือ เบื่อตอบคำถามที่มีคำตอบอยู่ตรงหน้า เห็นตำตาอยู่โทนโท่ยังบอกว่า "ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้" ......
เรื่องจริงไม่มีชื่อ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ยิ่งทิฐิ ยิ่งเจ็บตัวเอง...."
ลุงคิม (ละทิฐิ) ครับผม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/10/2010 1:59 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Soup สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 01/09/2010 ตอบ: 181 ที่อยู่: อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
|
ตอบ: 24/10/2010 12:54 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ผมจำได้คุ้น ๆ ว่าเพิ่งอ่านผ่านไปไม่นาน สนุกดีครับลุงคิม
จาก สวนคุณยุทธ-มะลิ (เน็ทกล้อมแกล้ม#1)
kimzaguss บันทึก: | ประสบการณ์ตรง :
นางหอยหลอด บ้านอยู่กบินทร์บุรี มีน้องชายทำอาชีพทำรถ "รับดูดส้วม" .... ค่ำ
นั้นเมื่อน้องชายกลับเข้าบ้าน
- วันนี้ได้ลูกค้าไหม ?
- ได้เจ้าเดียวเอง....
- รถเองล้างหรือยัง ?
- ยัง พี่ถามทำไมเหรอ ?
- เปล่า.... ไปกินข้าวกินปลาเถอะ....
ขณะน้องชายเข้าครัว นางหอยหลอดฉวยกุญแจรถลงจากบ้าน โดดขึ้นขับรถดูดส้วมคันนั้นไปที่
บาดาลในบ้าน จัดการเปิดน้ำบาดาลใส่ถังพร้อมกับใส่กากน้ำตาลลงไป 1 ปี๊บ โดยไม่สนใจว่าในถัง
มีจะผลิตภัณท์เท่าไหร่ ใส่น้ำเปล่าจนกระทั่งเต็มถัง
นางหอยหลอดขับรถ เจตนาวิ่งโขยกเขยก เบรคๆ เร่งๆ ลงหลุมปีนเนิน เพื่อเขย่าให้น้ำกับกาก
น้ำตาลในถังเข้ากันเอง โดยไม่ต้องคนด้วยมือ
เป้าหมายคือ แปลงอ้อยด้านลาดสูง (แปลงอ้อยเป็นที่ลาดเอียง) ทันทีเข้าถึงเขต นางหอยหลอด
หยุดรถแล้วเปิดก๊อกระบายน้ำท้ายถัง เปิดแค่ 1 ใน 4 แล้ววิ่งรถต่อไป วิ่งช้าๆ จนถึงปลายทางสุด
เขตแปลงอ้อย วกรถกลับ วิ่งย้อนทางเดิมอีกรอบ เห็นว่าน้ำในถังยังไม่หมด จึงวิ่งต่อไปอีกรอบ
แถมได้กลับมาอีกรอบ เบ็ดเสร็จ ไป-กลับ 2 รอบ หรือ 4 เที่ยวพอดี
เนื่องด้วยแปลงปลูกอ้อยแปลงนั้นเป็นที่ลาด จากกฏเกณท์ธรรมชาติที่ว่า น้ำย่อมไหลจากที่สูงไป
ที่ต่ำเสมอนั้น น้ำทั้งหลายตางก็ทะยอยพากันไหลไปตามร่องระหว่างแถวปลูก ตั้งแต่ต้นทางถึง
ปลายทางพอดิบพอดี
ทำกลางคืนไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ถ้าน้องชายไม่ปากบอน ชั่วเวลาข้ามคืน น้ำซึมลงใต้ดินจน
หมดสิ้นไม่ทิ้งหลักฐานใดๆให้ใครเห็น
นางหอยหลอดทำเยี่ยงนี้ 4 รอบ กระทั่งตัดอ้อย ผลผลิตที่ได้ 10 ตัน/ไร่ ท่ามกลางความตะลึง
ของคนทั่งหมู่บ้าน คนที่งงที่สุดก็คือ "ผัว" ที่วันๆ เอาแต่ดูมวยตู้ |
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 24/10/2010 1:47 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
อ้อยแปลงของ "นางหอยหลอด" (นามสมมุติ) อยู่กำแพงเพชร. อุทัยธานี. ชัยนาท. ประมาณย่านนี้ ......
ที่แน่ๆ เรื่องแปลงอ้อยเกิดหลังแปลงสำปะหลังคุณปี๊ยก.ปราจีนบุรี เพียงแต่ลุงคิมเอาประสบการณ์ตรงของคุณเปี๊ยกฯ บอกเล่าให้นางหอยหลอดฯ ทำบ้างเท่านั้น
(...... เรื่องราวประเภทประสบการณ์ตรง มีมาก ๆๆ จนจำไม่หวาดไม่ไหว เพราะแต่ละวันจะมีคนโทรมาปรึกษา ขอคำแนะนำ รายงานผล ไม่ขาดสาย ......)
เรื่องแปลงอ้อย เรื่องแปลงสำปะหลัง ทั้ง 2 กรณีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีเดียวกัน เมื่อราว 6-7 ปีที่แล้ว พอขุดคุ้ยเรื่องราวเก่าๆมาเล่าสู่กันฟังจึงเกิดอาการ "แพะกลายเป็นแกะ-แกะกลายเป็นแพะ" ได้
เรื่องของ "บุคคล-กิจกรรมเกษตรที่ทำ" ไม่ใช่เนื้อหาหลักของการนำมาเล่าสู่กันฟัง แต่ประเด็นหลักที่แท้จริง คือ "หลักการและวิธีการ" เท่านั้น
ผู้ตื่นแล้ว ผู้รู้แล้ว ผู้มองเห็นแล้ว ย่อมจำแนกออกว่า "แก่นแท้ของเนื้อหา" อยู่ที่ใด ย้ำสอนนักสอนหนาว่า "อย่าเชื่อ/อย่าไม่เชื่อ-อย่ารับ/อย่าปฏิเสธ" แล้วนั่นแล
ลุงคิม(พ่อแพะ+แม่แกะ)ครับผม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/10/2010 5:43 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 24/10/2010 2:22 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
มันฯ อายุ 4 เดือน โตและยาว อย่างที่ลุงคิมว่า/ย่อมแสดงว่าศักภาพของต้นมันฯ เองสามารถเพิ่มขนาดได้จริงถ้าได้บอาหารและน้ำเพียงพอ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 24/10/2010 3:12 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ตามหลักวิชาการจริงๆแล้ว น่าจะเป็น "ผลพวง" ที่มาจากจุลินทรีย์ซะมากกว่า
ดินปลูกอ้อยแปลงนี้มีประวัติใส่ปุ๋ยเคมี 18-18-18, 8-24-24, 0-0-60 ชนิดใครว่าสูตรไหนดี เป็นใส่ ใส่บ้าเลือด 1-2 กส./ไร่ ติดต่อกันมา 4 รุ่น (4 ปี) ไม่ใช่แต่ปุ๋ยเคมีเท่านั้น ยาฆ่าหญ้า. สารเคมีฆ่าแมลง. สารระเบิดดินดาน. อามิอามิ ของเสียจาก รง.ชูรส. แม้แต่ส่าเหล้า. ก็ยังใส่ ใครว่าอะไรดี ใครโฆษณาอะไร ซื้อมาใส่หมด
จนกระทั่งเจ้าของ "หมดทุน" เพราะความหมดทุนนี่แหละ จึงทำให้เกิดแรง "ฮึด" ขึ้นมาได้ ไม่สนใจแล้วใครจะว่า "บ้า" หรือ "ดี" ขอทำแบบใส่น้ำส้วม ทำแบบให้น้ำ ทำแบบไม่ใส่ปุ๋ยเคมีเลยแม้แต่แหมะเดียว ตั้งใจทำอยู่ 2 รุ่น ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะต้นทุนที่ต่ำแสนต่ำ ที่ชัดเจที่สุด คือ ดินร่วน โปร่ง อันนี้คนขุดสำปะหลังรู้ดี
ขึ้นรุ่น 3 เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป เมื่อสำปะหลังไม่โต ทำท่าเหมือนแคระแกร็น ทั้งๆที่ให้ "น้ำรถดูดส้ม" ให้ "น้ำเปล่า" ประจำอาทิตย์ละครั้ง ทำทุกอย่างเหมือนเดิมแล้ว
คำตอบจากลุงคิมก็คือ .... ปุ๋ยเคมี สารอาหารเดิมที่เคยเหลือตกค้างอยู่ในดิน เนื่องจากสำปะหลังเอาไปใช้ไม่หมด หรือเอาไปใช้ไม่ได้นั้น "หมดแล้ว" เพราะจุลินทรีย์เป็นตัวปลดปล่อยออกมาให้นั่นเอง เพราะฉนั้น ต่อไปนี้ต้อง "ใส่" ปุ๋ยเคมีแล้ว
ตอนนั้น "น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง" ยังไม่เกิด จะมีก็แต่ "กล้อมเกลอะ" ประมาณนั้น เลยแนะนำให้ใช้ "น้ำรถดูดส้วม" + กากน้ำตาล. แล้วให้ +ปุ๋ยเคมี 8-24-24 เข้าไปด้วย คันรถละ 20 กก. ให้เดือนละครั้งเหมือนเดิม คันรถหนึ่งได้เนื้อที่ 10 ไร่ ให้ 4 ครั้งเท่ากับใช้ปุ๋ยเคมี 80 กก.
นั่นคือ สำปะหลัง 10 ไร่ ใช้ปุ๋ย 80 กก. (ไม่ถึง 2 กส.)/รุ่น
เท่านี้แหละ ทุกอย่าง O.K. เหมือนเดิม แถมดีกว่าเดิมด้วย เหนือกว่านั้นก็คือ แปลงข้างๆ เต็มใจทำตาม บางคนเก่งหนัก จากน้ำรถดูดส้วยมธรรมดาๆ พัฒนาเป็น "น้ำรถดูดส้วม ซุปเปอร์" ไปแล้ว
น้ำรถดูดส้วม ซุปเปอร์ :
สูตร :
น้ำรถดูดส้วม + กากน้ำตาล + 8-24-24 + ธาตุรอง/ธาตุเสริม + ขี้ค้างคาว + ฮิวมิค แอซิด + น้ำมะพร้าว......ทำเสร็จใช้เลย ไม่ต้องหมักในถัง แต่ให้ไปหมักในดินเอง.....
หมายเหตุ 1 :
วันนี้พวกเรารู้จัก 5-10-40 สำหรับพืชกินหัวแล้ว จึงแนะนำให้ใช้ 5-10-40 แทน 8-24-24 เพื่อความเหมาะสมต่อสำปะหลัง.....
หมายเหตุ 2 :
จากสำปะหลัง ไปสู่อ้อย. ทานตะวัน. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์. ถั่วเหลือง/ดำ/แดง/เขียว. พืชไร่ทุกชนิด สามารถใช้ "น้ำรถดูดส้วม ซุปเปอร์" ได้ เพียงเปลี่ยนธาตุหลักเป็นสูตรที่ตรงกับชนิดพืชเท่านั้น
ถาม....ถ้าไม่มี "น้ำรถดูดส้วม" จะทำยังไง ?
ลุงคิมครับผม
ปล.
วันนี้กำลังรอผลงานอ้อยแนวทาง "เกษตรบ้าๆ บอๆ" เมื่อตอ 3 ได้ 35 ตัน ที่ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี เห็นว่าคราวนี้ ตอ 4 น่าจะได้มากขึ้น เพราะหน่อที่แตกใหม่หลังย่ำตอ สภาพทั้งลำทั้งใบ ใหญ่-อวบ-อ้วน ดีมากๆ.....นี่ก็ผ่านมาแล้ว 3-4 เดือน ยังไม่มาส่งข่าวเพิ่มเติมเลย ไม่รู้ว่าโดนน้ำท่วมกับเขาหรือเปล่า |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
maxnum หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 17/10/2010 ตอบ: 13
|
ตอบ: 24/10/2010 8:31 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ok. ครับลุงคิม...ลุงส่งซิกให้ศึกษา time line ของพื้นที่จริงประกอบการตัดสินใจก่อนลงมือปฏิบัติจริงตามขั้นตอน...มุมมองที่ลึกซึ้งมาก get เลย |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 25/10/2010 5:42 am ชื่อกระทู้: |
|
|
kimzagass บันทึก: | ถาม....ถ้าไม่มี "น้ำรถดูดส้วม" จะทำยังไง ?
|
ที่บอกว่า GET เลยน่ะ.....จากคำถามนี้ ตอบหน่อยซิว่า จะทำอย่างไร ? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Prach_a หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 03/10/2010 ตอบ: 1
|
ตอบ: 25/10/2010 12:09 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
kimzagass บันทึก: | kimzagass บันทึก: | ถาม....ถ้าไม่มี "น้ำรถดูดส้วม" จะทำยังไง ?
|
ที่บอกว่า GET เลยน่ะ.....จากคำถามนี้ ตอบหน่อยซิว่า จะทำอย่างไร ? |
สมาชิกใหม่ขอตอบนะครับ อ่านมานานแล้วขอแสดงความคิดเห็นนิสนึง
ในความคิดนะครับ
น้ำรถดูดส้วม = น้ำ+ขี้คนเรา
ขี้คนเรามาจากอาหารที่เรากินไป
เอาเศษอาหาร หรือน้ำล้างเศษอาหาร ได้หรือป่าวครับ
แต่ว่า ก่อนที่รถดูดส้วมจะดูดขี้เราออกมาจากบ่อ ในบ่อมีกระบวนการหมักของมันอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจะทำให้ขี้ของเราถูกย่อยโดยจุรินทรีย์แล้วได้สารอาหารอื่นๆเพิ่มขี้น
สุดท้ายขอตอบว่า น้ำรถดูดส้วม = เศษอาหาร+น้ำแล้วหมักในถัง ครับ!!
ปล. เสริมอีกนิดครับ ทำไมต้อง"น้ำรถดูดส้วม" ส้วมตัวเองไม่มีหรือไงครับ ;P
น้องเอ สมาชิกใหม่ครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 25/10/2010 8:01 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
การใช้ประโยชน์มูลสัตว์เป็นปุ๋ยให้กับพืชอย่างมีประสิทธิภาพ
ของเสียที่ได้จากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ ได้แก่ มูลสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นของแข็งนั้นประกอบด้วยเศษของพืชและสัตว์ซึ่งเป็นอาหารที่สัตว์กินเข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยหรือนำไปใช้ประโยชน์ได้หมดจึงเหลือเป็นกากที่สัตว์ขับถ่ายออกมา โดยเศษอาหารเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการย่อยสลายไปบางส่วนแล้วในทางเดินอาหาร ดังนั้น ในส่วนที่เป็นมูลสัตว์จึงยังอุดมไปด้วยธาตุอาหารชนิดต่าง ๆ รวมทั้งสารอินทรีย์ที่ละลายน้ำได้หลายชนิด ซึ่งเมื่อรวมกันเข้าก็จะมีองค์ประกอบที่สามารถใช้เป็นธาตุอาหารที่สมบูรณ์ของพืชได้ ส่วนมูลสัตว์แต่ละชนิดจะมีธาตุอาหารชนิดใดมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่สัตว์ชนิดนั้น ๆ กินเข้าไปเป็นปัจจัยสำคัญ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ระบบการย่อยอาหารของสัตว์ วิธีการให้อาหารรวมทั้งการจัดการรวบรวมมูลสุกรและของเสียในฟาร์มด้วย
จากการศึกษาปริมาณธาตุอาหารพืชที่มีอยู่ในมูลสัตว์ชนิดต่าง ๆ พบว่ามูลสัตว์แต่ละชนิดมีปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและจุลธาตุอาหารในปริมาณที่แตกต่างกัน
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณธาตุอาหารในมูลสัตว์ชนิดต่าง ๆ จะเห็นว่ามูลสุกรและกากตะกอนของมูลสุกรจากบ่อหมักก๊าซชีวภาพ รวมทั้งมูลของไก่ไข่มีปริมาณธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง แมงกานีสและสังกะสีมากกว่ามูลโค ขณะที่มูลโคมีปริมาณธาตุโพแทสเซียมและโซเดียมมากกว่ามูลสุกร อย่างไรก็ตามปริมาณธาตุอาหารเหล่านี้อาจมีความผันแปรไปตามชนิดของวัตถุดิบอาหารรวมทั้งแร่ธาตุที่เสริมลงในอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์นั้นด้วย
การทำน้ำสกัดจากมูลสัตว์
น้ำสกัดมูลสัตว์ ได้จากการนำมูลสัตว์แห้ง เช่น มูลสุกร มูลโค บรรจุลงในถุงไนลอน (มุ้งเขียว) แล้วแช่ในน้ำ อัตราส่วนมูลสุกร 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 10 ลิตร ปิดฝาถังให้สนิท และหมักไว้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วยกถุงที่บรรจุมูลสุกรออกจากถังจะได้น้ำสกัดมูลสัตว์สีน้ำตาลใส ซึ่งควรบรรจุเก็บไว้ในถังหรือภาชนะที่มีฝาปิด น้ำสกัดมูลสัตว์ที่ได้สามารถหมักเก็บไว้ใช้ได้นาน ซึ่งจะทำให้น้ำสกัดใสยิ่งขึ้น และมีธาตุอาหารในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในปริมาณมากยิ่งขึ้น การทำน้ำสกัดมูลสัตว์จะทำให้ประหยัดกว่าการใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ยทางดินโดยตรง เนื่องจากมูลสัตว์แห้ง 1 กิโลกรัม ทำน้ำสกัดได้ประมาณ 8 ลิตร นำน้ำสกัดส่วนใสที่ได้มาเจือจางกับน้ำได้ 10 20 เท่า เป็น 80 160 ลิตร เพื่อใช้เป็นปุ๋ยรดทางดินหรือฉีดพ่นทางใบ ส่วนกากของมูลสัตว์ที่เหลือ สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยทางดินได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาหมักนานถึง 45 วัน เหมือนปุ๋ยหมักทั่วไป
น้ำสกัดมูลสัตว์มีปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช สามารถใช้เป็นปุ๋ยรดทางดินและฉีดพ่นทางใบเพื่อเร่งการเจริญเติบโต การเพิ่มผลผลิตของพืช อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นปุ๋ยเพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุอาหารของพืชได้ น้ำสกัดมูลสุกรมีปริมาณธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุเกือบทุกธาตุในปริมาณมากกว่าที่พบในน้ำสกัดมูลไก่ไข่และน้ำสกัดมูลโคนม ยกเว้นโพแทสเซียมที่พบในน้ำสกัดมูลไก่ไข่มากกว่าเล็กน้อย และแคลเซียมที่พบในน้ำสกัดมูลโคนมมากกว่า ดังนั้น หากต้องการใช้น้ำสกัดมูลไก่ไข่หรือโคนมเป็นปุ๋ยฉีดพ่นทางใบ ควรจะใช้ในอัตราส่วนมากกว่าน้ำสกัดมูลสุกร เนื่องจากน้ำสกัดมูลสุกรมีปริมาณธาตุอาหารมากกว่าหรือเข้มข้นกว่าน้ำสกัดมูลโคนม
การใช้ประโยชน์มูลสัตว์ในการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการทำนาข้าว
1.1 การหมักตอซังโดยไม่ต้องเผา มีประโยชน์ คือ สิ่งที่มีชีวิตในดินรวมทั้งจุลินทรีย์ดินทำกิจกรรมได้ตามปกติ ทำให้ดินมีอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารพืชเพิ่มขึ้น ส่วนของเนื้อดินละเอียดขึ้น เดินแล้วนุ่มเท้า ดินโปร่ง ทำให้รากต้นข้าวแผ่กระจายในดินได้ดีขึ้น ต้นข้าวแข็งแรง ซึ่งการหมักจะทำได้ทันทีหลักการเก็บเกี่ยว โดยเกลี่ยฟางให้กระจายทั่วแปลง และปฏิบัติดังนี้
- หว่านมูลสัตว์แห้ง เช่น มูลสุกร มูลโคอัตรา 250 กก.ต่อไร่ ให้ทั่วแปลง
- ใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ พด.2 (หมักจากเศษผัก ผลไม้หรือสัตว์) จำนวน 5 ลิตร/ไร่ผสมกับน้ำ 100 ลิตร พร้อมกับสารเร่ง พด.1 แล้วคนให้เข้ากัน นาน 15 นาที จากนั้นค่อย ๆ เทปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ได้นี้ไปพร้อมกับน้ำ ที่ปล่อยเข้าแปลงนา หรือสาดสารละลายปุ๋ยอินทรีย์น้ำให้ทั่วแปลงนา โดยให้ระดับน้ำท่วมต่อซัง แล้วปล่อยให้ย่อยสลายประมาณ 10-15 วัน
- ทำเทือกเพื่อปรับพื้นที่ให้เสมอกัน แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ หรือปักดำครั้งใหม่ต่อไป
1.2 ใช้น้ำสกัดมูลสุกรแช่เมล็ดพันธุ์ข้าว มีประโยชน์ ช่วยให้เมล็ดข้าวมีธาตุอาหารพืชสะสมในเมล็ดมากขึ้น อีกทั้งน้ำสกัดมูลสุกรมีแคลเซียม ซึ่งช่วยในการงอกของเมล็ด สร้างเซลล์ใหม่ในส่วนของยอดและราก ทำให้ข้าวเจริญเติบโตได้เร็ว นอกจากช่วยเพิ่มการงอกของเมล็ด ทำให้ประหยัดเวลาในการแช่และบ่มข้าวแล้ว ข้าวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าวัชพืช ประกอบกับการหมักฟางจะทำให้รากหญ้าและเมล็ดวัชพืชที่เหลืออยู่ในดินโดนหมักย่อยไปด้วยทำให้มีวัชพืชในแปลงน้อยลง
วิธีการแช่ข้าว
นำน้ำสกัดมูลสุกรอัตราส่วน 1 ลิตร ผสมน้ำให้ได้ 20 ลิตร แช่เมล็ดพันธุ์เป็นเวลา 812 ชั่วโมง (ขึ้นกับความหนาของเปลือกเมล็ด) นำข้าวขึ้นจากน้ำเพื่อทำการบ่มเมล็ด ให้นำน้ำสกัดมูลสุกรที่เหลือจากการแช่ข้าวราดลงบนกระสอบที่บรรจุข้าวอยู่ ประมาณ 45 ชั่วโมงต่อครั้ง หรือ ไม่ให้ข้าวแห้ง จนกระทั่งเมล็ดข้าวงอกพร้อมที่จะปลูก หรือถ้าไม่สามารถแช่ข้าวจำนวนมากในน้ำสกัดมูลสุกรได้ ให้แช่ตามวิธีการปกติ แต่เมื่อนำกระสอบข้าวขึ้นจากน้ำแล้ว ให้นำน้ำสกัดมูลสุกรอัตราส่วน 1 ลิตร ผสมน้ำให้ได้ 20 ลิตร ราดลงบนกระสอบที่บรรจุข้าว ประมาณ 45 ชั่วโมงต่อครั้ง เพื่อไม่ให้ข้าวแห้ง จนกระทั่งเมล็ดข้าวงอกพร้อมที่จะปลูก
1.3 ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ มีประโยชน์ ช่วยทำให้พืชได้รับธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุอาหารได้เร็วขึ้นกว่าการให้ปุ๋ยทางดิน พืชได้รับธาตุอาหารครบซึ่งจัดเป็นการป้องกันความขาดธาตุอาหาร และช่วยเสริมธาตุอาหารที่พืชขาดได้ จะช่วยชะลอความเสื่อมของใบไปได้อีกระยะหนึ่ง ทำให้ใบพืชมีสีเขียวเข้ม ตั้งตรงและยังทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง สร้างแป้งต่อไปจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ส่งผลให้เมล็ดข้าวสมบูรณ์ มีเมล็ดข้าวที่ลีบน้อยลง ขั้วเมล็ดข้าวยังสดและเหนียวอยู่ เมล็ดข้าวจึงไม่ค่อยร่วงหลุดในช่วงเก็บเกี่ยว
วิธีการฉีดพ่นทางใบ ทำได้โดย
- ข้าวมีอายุ 1 เดือน นำน้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 20 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 35 ซีซี ฉีดพ่นทางใบ ในช่วงเวลา เช้าหรือเย็น การฉีดพ่นให้ได้ผลดีนั้นละอองปุ๋ยน้ำควรมีขนาดเล็กและสัมผัสกับผิวใบทั่วถึงทั้งด้านบดและด้านล่าง
- ข้าวมีอายุ 1 เดือนขึ้นไป นำน้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 10 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 35 ซีซี ฉีดพ่นทางใบ ในช่วงเวลา เช้าหรือเย็น
- หากพบว่าข้าวในบางบริเวณไม่สม่ำเสมอ ให้ใช้น้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำให้ครบ 10 ลิตร พร้อมกับสารจับใบ 35 ซีซี ฉีดพ่นบริเวณดังกล่าวในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น ก็จะช่วยให้ข้าวเสมอกันได้
1.4 ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดให้พืชทางดิน มีประโยชน์ ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารผ่านทางรากได้ในระหว่างการเจริญเติบโตและเป็นการให้ปุ๋ยที่ประหยัดค่าใช้จ่ายและให้ผลเร็วกว่าการใช้มูลสุกรแห้งเป็นปุ๋ยทางดินกับพืช
วิธีการให้ปุ๋ย ทำโดยนำน้ำสกัดมูลสุกรเข้มข้นปล่อยลงสู่แปลงข้าว อัตราส่วน 100 ลิตรต่อ 1 ไร่ โดยให้พร้อมกับน้ำที่ปล่อยหรือสูบเข้าแปลง จำนวน 2 ครั้ง เมื่อข้าวอายุ 30 และ 60 วัน
ตารางที่ 4 การให้น้ำสกัดมูลสุกรในนาข้าว
ช่วงอายุ............................................... การใช้
15 วัน ...................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร
30 วัน ...................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร ให้น้ำสกัดมูลสุกรทางดิน อัตรา 100 ลิตร/ไร่
45 วัน ....................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 10 ลิตร
60 วัน ....................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 10 ลิตร ให้น้ำสกัดมูลสุกรทางดิน อัตรา 100 ลิตร/ไร่
75 วัน ....................... ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 10 ลิตร กรณีที่ข้าวออกรวงไม่สม่ำเสมอให้ฉีดน้ำสกัดมูลสุกรทางใบ น้ำสกัด 1 ลิตร เติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร อีกครั้ง บริเวณที่ข้าวเจริญเติบโตช้า
ข้อดีของการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ในการเพิ่มผลผลิตข้าว
- ย่นระยะเวลาในการแช่และบ่มข้าว
- เปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดพันธุ์สูง ข้าวที่งอกมีความแข็งแรง
- ต้นข้าวเจริญเติบโตได้เร็ว ทำให้หญ้าโตได้ช้ากว่า ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดหญ้าได้
- ต้นข้าวมีความแข็งแรง มีความต้านทานต่อโรค และแมลง
- จำนวนเมล็ดต่อรวงมากขึ้น เมล็ดข้าวมีความสมบูรณ์ เมล็ดเต่ง ได้น้ำหนัก
- ระยะเก็บเกี่ยว ใบธงของข้าวยังเขียวอยู่และข้าวจะมีขั้วเหนียว ทำให้ข้าวไม่ร่วงหล่นในระหว่างการเก็บเกี่ยว
- มีความปลอดภัยต่อเกษตรกรในขั้นตอนการผลิตข้าว และข้าวที่ได้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากสามารถลดหรืองดการใช้สารเคมีลงได้
- ลดต้นทุนการผลิต ในเรื่องของปุ๋ย สารเคมีกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช
- ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
อ้อย
1. การใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ ใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตรา 1 ลิตรผสมน้ำ 10 ลิตร ผสมสารจับใบ 3-5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบในช่วงที่ต้นอ้อยยังไม่สูงมากนัก
2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรปล่อยไปตามร่อง พร้อมกับการขึ้นน้ำให้อ้อย ประมาณ 2 เดือนต่อ 1 ครั้ง นอกจากช่วยเร่งให้อ้อยโตเร็วแล้วยังทำให้อ้อยมีความหวานเพิ่มขึ้นด้วย
พืชผัก
1. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรแช่เมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก ซึ่งจะทำให้เมล็ดผักงอกเร็วและเจริญตั้งตัวได้เร็วกว่าเมล็ดที่ไม่ได้แช่
วิธีการ ใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตราส่วน 1 ลิตร เติมน้ำให้ได้ 20 ลิตร แล้วนำเมล็ดพันธุ์พืชที่ปลูกแช่น้ำเป็นเวลา 6-12 ชม. ก่อนหว่าน หรืออาจผึ่งลมให้เมล็ดพันธุ์แห้งก่อน แล้วนำไปปลูก ซึ่งขึ้นกับเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิด
2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ คือ ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารชนิดต่างๆ เพิ่มมากขึ้น พืชจะมีสีเขียวเข้ม ใบมีขนาดใหญ่ หนา และยาวขึ้น กาบใบหรือก้านใบแข็งและมีลักษณะตั้งขึ้น พืชมีน้ำหนักใบและลำต้นมากขึ้นอย่างชัดเจน
วิธีการ ใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตรา 1 ลิตรผสมน้ำ 10-20 ลิตรผสมสารจับใบ 3-5 ซีซี ฉีดพ่นทางใบช่วงเวลาเช้าหรือเย็น สัปดาห์ละครั้ง
3. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดให้พืชทางดิน ก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์ หรือในช่วงเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกรอัตรา 1 ลิตรผสมน้ำ 10 ลิตร รดทางดิน
ไม้ผล
1. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ จะทำให้พืชมีการสร้างใบและทรงพุ่มใหม่ได้เร็ว ทำให้พืชออกดอก ผลได้เร็วขึ้น ให้ผลผลิตมากขึ้นและมีรสชาติดีด้วย โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตรผสมน้ำ 10-20 ลิตรพร้อมสารจับใบ 3-5 ซีซี. ฉีดพ่นทางใบในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น เดือนละ 1-2 ครั้ง จนกระทั่งพืชมีการสร้างทรงพุ่มเต็มที่ ให้หยุดฉีด เพื่อให้พืชสร้างดอกและผลต่อไป
2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดทางดิน โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกรเจือจางด้วยน้ำ 10 เท่า รดทางดิน ต้นละ 1-2 ลิตรเดือนละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ หรือจะใช้น้ำสกัดมูลสุกรเข้มข้น ให้พร้อมกับการให้น้ำแบบระบบน้ำหยด
ไม้ดอก
1. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรฉีดพ่นทางใบ จะทำให้พืชมีการสร้างดอกได้เร็วขึ้น ดอกมีความสมบูรณ์ ขนาดใหญ่ สีเข้มสดใส ก้านดอกแข็ง ยืดอายุการเก็บได้นานขึ้น อีกทั้งต้นที่เก็บเกี่ยวไปแล้วไม่โทรม ยังสามารถให้ดอกได้เร็วขึ้น โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกร 1 ลิตร ผสมน้ำ 10-20 ลิตรพร้อมสารจับใบ 3-5 ซีซี. ฉีดพ่นทางใบในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
2. ใช้น้ำสกัดมูลสุกรรดทางดิน โดยใช้น้ำสกัดมูลสุกรเจือจางด้วยน้ำ 10 เท่า รดทางดิน ต้นละ 1-2 ลิตรสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือจะใช้น้ำสกัดมูลสุกรเข้มข้น ให้พร้อมกับการให้น้ำแบบระบบต่างๆ ในช่วงเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ
รูปประกอบผลงานวิจัย
http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch52/08-intregration/Uthai/intregration_00.html
คณะผู้วิจัย :
์อุทัย คันโธ และ สุกัญญา จัตตุพรพงษ์
หน่วยงาน :
ศูนย์ค้นคว้าและพัฒนาวิชาการอาหารสัตว์
สถาบันสุวรรณวาจกกสิกิจฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
โทร. 034 352035 โทรสาร 034 - 352037
http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch52/08-intregration/Uthai/intregration_00.html
ปุ๋ยอินทรีย์
รายการ..............ไนโตรเจน..............ฟอสฟอรัส..............โปแตสเซียม
ปุ๋ยปลา............... 8.45 .................... 0 ....................... 4.73
ปุ๋ยอินทรีย์........... 1.42 .................. 2.05 .................... 0.42
ปุ๋ยคอก.............. 0.49 ................... 0.54 .................... 0.47
อุจจาระ.............. 3.25 ................... 2.95 .................... 0.40
กากผงชูรส.......... 1.98 ................... 0.41 ..................... 0.65
มูลไก่............... 2.28 ................... 0.49 .................... 0.30
มูลวัว................ 1.73 ................... 0.49 .................... 0.30
มูลสุกร.............. 2.83 ................... 16.25 ................... 0.15
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=1749
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 26/10/2010 6:31 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11635
|
ตอบ: 25/10/2010 8:42 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
กล้อมแกล้ม - กล้อมเกลอะ - เลอะกันใหญ่.....
ก่อนอื่นของเกริ่นกล่าวก่อนนะว่า....ลุงคิม ไม่ส่งเสริม การใช้มูลคน (ขี้คน) มาทำปุ่ย เนื่องจากเป็นสิ่งสังคมรังเกียจ แต่เมื่อเริ่มประเด็นนี้ขึ้นมาก็ขอเอาข้อมูลที่เป็นวิชาการ กับข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ตรง มาเล่ากัน เพื่อประดับสติปัญญา เวลาไปคุยกับใคร เขาจะได้ว่าพูด "มีหลักการ" ไม่ใช่ "ขี้โม้"
คำว่า "กล้อมเกลอะ" เป็นการสนธิคำระหว่างคำว่า "กล้อมแกล้ม" กับ "บ่อเกลอะ"
บ่อเกลอะก็คือ ถังส้วมนั่นเอง.....
วิธีทำกล้อมเกลอะ :
จากถังเกลอะปกติ ให้ทำถังเปล่าซ้อนต่อจากถังเกลอะอีก 1 ถัง เรียกว่า "ถังน้ำล้น" ซึ่งจะมีท่อต่อเชื่อมระหว่างถังเกลอะกับถังน้ำล้นตัวใหม่ เพื่อให้น้ำในถังเกลอะไหลล้นไปหาถังใหม่นั้น ..... ที่โถส้วมให้ใส่ "กากน้ำตาล" 3-5 ล. สำหรับส้วมบ้านปกติ แล้วปล่อยน้ำไล่ (ราดส้วม) กากน้ำตาลให้ลงไปในถังเกลอะ กากน้ำตาลจะทำให้กากที่อยูในถังเกลอะจม และไม่มีกลิ่นเหม็น ..... ทิ้งไว้ระยะหนึ่ง (5-7 วัน) เพื่อให้เวลาจุลินทรีย์ดี (ไม่มีกลิ่น) กำจัดจุลินทรีย์ไม่ดี (กลิ่นเหม็น) เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อพร้อมแล้วก็ให้เติมน้ำเปล่าที่โถส้วม เติมมากๆ จนกระทั่งน้ำในถังเกลอะไหลล้นไปหาถังน้ำล้น ปริมาณน้ำในถังน้ำล้นมากหรือตามความต้องการ เมื่อเปิดฝาถังน้ำล้นพิสูจน์จะเห็นเป็นสีดำ ไม่มีกลิ่น (ถ้ามีกลิ่น แสดงว่ากากน้ำตาลในถังเกลอะน้อย ให้เติมเพิ่มแล้วปล่อยทิ้งไว้ 5-7 วันจึงดำเนินการซ้ำใหม่)....น้ำสีดำในถังน้ำล้นเรียกว่า "กล้อมเกลอะ" พร้อมงาน หรือปรุงแต่งเพิ่มประสิทธิภาพ เรียกว่า "กล้อมเกลอะ ซุปเปอร์" ก่อนใช้งาน......
อดีตสมาชิกคาราวานของลุงคิม อยู่บางปลาม้า สุพรรณบุรี ได้สูตรทำกล้อมเกลอะซุปเปอร์ (คุย....สูตรของกูเอง กูคิดได้เอง....) ใส่แกลลอนขนาด 5 ล. ขายแกลลอนละ 600 ออกขายซะรวยไปเลย นี่ไง "ขี้คนอื่นดี ขี้ตัวเองรับไม่ได้..."
มีสมาชิกลุงคิมไม่ใช่น้อย แอบทำกล้อมเเกลอะธรรมดา. ทำกล้อมเกลอะซุปเปอร์. แล้วใช้ได้ผลดีมาก บางคนแจ้งข่าวมาด้วยความสะใจ บางคนปิดเงียบเพราะรู้ว่าลุงคิมห้าม เพราะฉนั้น เวลาลุงคิมพูดถึงคนกลุ่มนี้จะต้อง "ปิดลับ" ให้เขาด้วย โดยการเขียนเรื่องให้วกวนสับสน จับไม่ได้ว่าเขาคือใคร นั่นแหละ
สารคดีดิสคัพเวอรี่ เล่าเรื่อง "สวนผักกล้อมเกลอะ" (แปลแล้ว) ที่สวีเดน.ว่า .... ที่นั่นเขาทำส้วมรวมสำหรับคนทั้งหมู่บ้าน ซึ่งทุกคนนิยมไปใช้ส้วมรวมเพราะนอกจากประหยัดส้วมตัวเองแล้ว ยังเป็นแหล่งชุมนุม พบปะ พูดคุยกันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากรอบๆส้วมรวมเขาปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นสวนหย่อมสาธารณะด้วยนั่นเอง
ที่ส้วมมีถังเกลอะรวมต่อเชื่อมกับบ่อน้ำล้น และที่น้ำในบ่อน้ำล้นนี้ก็ได้ใส่สารอาหารพืชต่างๆลงไป ปรุงให้เรียบร้อยเป็น "กล้อมเกลอะ ซุปเปอร์" แล้วส่งเข้าไปในร่องน้ำระหว่างแปลงปลูกผัก ซึ่งลักษณะแปลงปลูกผักของเขาก็เหมือนแปลงปลูกผักแบบยกร่องน้ำหล่อเหมือนบ้านเรา จากนั้นชาวสวนผักเจ้าของแปลงก็จะเอาน้ำนี้รดผัก ที่นั่นเขาใช้สปริงเกอร์เพื่อคนจะได้ไม่สัมผัสกับน้ำ
ในสารคดีเขาเจาะลึกถึงสภาพดินพบว่าดีมาก น้ำที่ผ่านสปริงเกอร์ไม่มีกลิ่นใดๆทั้งสิ้น คุณภาพของผักดีมาก และต้นทุนการผลิตต่ำมาก
ผักพวกนี้ส่งออกต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีการวางขายในประเทศตัวเอง....
กติกาสากลว่าด้วยผักอินทรีย์ ซึ่งสวีเดนเป็นประเทศหนึ่งที่ร่วมกติกาว่า "ห้ามใช้มูลคน" จึงทำให้สงสัยว่า ไอ้ที่เห็นในหนังสารคดีดิสคัฟเวอรี่นั้น คืออะไร ?
เมื่อคิดจะทำ "กล้อมเกลอะ" โดยไม่ใช้ "มูลคน" สามารถทำได้และไม่เป็นที่รังเกียจของสังคมด้วย นั่นคือ....ใช้ "มูลสัตว์" ไงล่ะ ไม่ต้องมีบ่อเกลอะ ไม่ต้องมีบ่อน้ำล้น ก็เอามูลสัตว์ที่มีสารอาหารพืชตามต้องการ แช่ในน้ำ + กากน้ำตาล ทิ้งไว้ 7-10 วัน หรือละลายน้ำ กรองเอากากออก เสร็จแล้วใช้เลยก็ได้ จะใช้แบบ "กล้อมเกลอะมูลสัตว์" ธรรมดาๆ หรือ ซุปเปอร์ ก็ทำได้ทั้งนั้น
ลุงคิมครับผม
ปล.
ส้วมที่ไร่กล้อมแกล้มก็มี "บ่อน้ำล้น" ทำไว้ตั้งแต่แรก กะว่าหากมีโอกาสก็จะทำ "กล้อมเกลอะ ซุปเปอร์" ใช้เหมือนกัน แรกๆ บ่อเกลอะไม่ค่อยซึมลงดิน เพราะดินเหนียวแน่นมากๆ เมื่อน้ำในบ่อเกลอะไม่ซึมลงดินก็เลยทำเป็นน้ำล้นไปบ่อน้ำล้น กระทั่งบ่อน้ำล้นเต็มอีก ตกกลางคืนจึงสั่งให้เอาไดโว่สูบน้ำจากบ่อล้นไปใส่ในนาชาวบ้านหลังห้องน้ำ เจ้าของนาไม่รู้เรื่อง แต่พอปลูกข้าวลงไปแล้ว ต้นข้าวเขียวสวยมากๆ ได้ข้าวเกือบ 100 ถัง ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยได้แค่ 70 ถังเท่านั้น มันคุยเลย....นากู ไม่ต้องชีวภาพ ข้าวก็เขียวดี.... รุ่นต่อๆมาก็กลับไปได้แค่ 60-70 ถังอย่างเดิม คราวนี้ไม่พูด.....หยิ่ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|