-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - * นศ.สจล.ฝึกงานไร่กล้อมแกล้ม
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

* นศ.สจล.ฝึกงานไร่กล้อมแกล้ม
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 18/04/2011 10:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำสารสกัดสมุนไพร สูตรรวมมิตร (ครั้งที่ 1).....



1. ต้มสมุนไพร ค้างทาง ให้เห็นอีกแล้ว ต้มเช้าใช้เย็น ต้มเย็นใช้เช้า แล้วจะไม่เห็นบ่อยได้อย่างไร
ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ สายไปแก้ไม่ทัน
พวกเราขอนำเสนอ สมุนไพรป้องกันกำจัดศัตรูพืช ที่พวกเรารู้จัก คนละชนิด

โบ๊ท: สะเดา ใช้กำจัดป้องกัน
หนอนกระทู้ หนอนคืบกะหล่ำ หนอนใยผัก หนอนกระทู้กล้า หนอนหลอดหอม หนอนหนังเหนียว หนอนม้วนใบ
หนอนกัดใบ หนอนเจาะยอดเจาะดอก หนอนเจาะลำต้น ด้วงเต่าฟักทอง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยแป้ง ตั๊กแตน

บ๋อมแบ๋ม: สาบเสือ ใช้กำจัดป้องกัน
หนอนกระทู้ หนอนคืบกะหล่ำ เพลี้ยไฟ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยหอย

อ๋อมแอ๋ม: ผกากรอง ใช้ป้องกันกำจัด
หนอนห่อใบข้าว


กันดั้ม: ยี่โถ ใช้ป้องกันกำจัด
หนอนกระทู้ หนอนคืบกะหล่ำ หนอนใยผัก หนอนหลอดหอม หนอนหนังเหนียว หนอนม้วนใบ หนอนกัดใบ
หนอนเจาะยอดเจาะดอก ด้วงหรือมอดทำลายเมล็ดพันธุ์


ต้น: คูน ใช้ป้องกันกำจัด
หนอนกระทู้ หนอนคืบกะหล่ำ หนอนใยผัก หนอนหนังเหนียว หนอนม้วนใบ หนอนกัดใบ หนอนเจาะยอดเจาะดอก
หนอนเจาะลำต้น หนอนผีเสื้อต่างๆ ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว

ทิว: น้อยหน่า ใช้ป้องกันกำจัด
หนอนกระทู้ ด้วงเต่าฟักทอง เพลี้ยอ่อน แมลงวันแดง


2. ทำกันบ่อย ง่ายจนลูกสาวลุงผู้พัน (อ๋อมแอ๋ม) จะใช้เท้าทำอยู่แล้ววววว


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 13/08/2011 9:01 pm, แก้ไขทั้งหมด 6 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 18/04/2011 10:15 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

งานเข้า (1).....


ให้เขียนแผนการปลูกพืชภายใต้หลักการ "ลดรายจ่าย - เพิ่มรายได้ - ขยายโอกาส" ....
ทำการเกษตรแบบ "อินทรีย์ นำ - เคมี เสริม - ตามความเหมาะสม".........

อ๋อมแอ๋ม...................................นาข้าว

ทิว..............................................................มันสำปะหลัง

กันดั้ม..................................................................................อ้อย

โบ๊ท....................................................................................ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

บ๋อม.............................................................ถั่วเขียว

ต้น..........................................ทานตะวัน


แนวทางวางแผนภายใต้เงื่อนไข :
- ความรู้พื้นฐาน (ปุ๋ย-ฮอร์โมน-จุลินทรีย์-สารกำจัดแมลงศัตรูพืช)
- ปัจจัยพื้นฐาน (ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค)
- เทคโนโลยีการผลิต
- การตลาด
- ต้นทุน


ลุงคิม (ประสาน อ.วิชัยฯ แล้ว) ครับผม
ปล.
ส่งงานทางเน็ตภายใน 7 วัน


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 19/04/2011 9:28 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 19/04/2011 9:26 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

งานเข้า (2) ......

ให้ นศ.ออกแบบสวนเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริ โดยใช้พื้นที่ไร่กล้อมแกล้มเป็นแปลง
ต้นแบบ คนละ 1-2 แบบ โดยมีรายละเอียดที่อยู่บนพื้นฐาน "หลักการและเหตุผล" พอสังเขป

แนวพระราชดำริ :
- กิจกรรมหลัก, กิจกรรมรอง และกิจกรรมเสริม
- การแบ่งสันพื้นที่ 30 - 30 - 30 และ 10


ลุงคิม (ประสาน อ.วิชัยฯ แล้ว) ครับผม

ปล.
ส่งงานทางเน็ตหลัง งานเข้า (1) หรือพร้อมกันก็ได้


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/04/2011 8:59 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
iieszz
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 15

ตอบตอบ: 22/04/2011 6:50 pm    ชื่อกระทู้: 22-04-54 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ศึกษาทัศน์ 20 เม.ย. 54



1. ทะเบียนรถ นข 9999 ประจวบคีรีขันธ์ คันนี้ เป็นชื่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การที่รถคันนี้มา
เยือนที่ไร่กล้อมแกล้มถือเป็นบุญของไร่กล้อมแกล้มเรา


เสริม :
โบราณเรียกว่า "พระยาเหยียบเมือง" ถือเป็นมงคล..............(ลุงคิม)






2. บรรยากาศกองถ่าย รายการศึกษาทัศน์ ขณะทำการซักซ้อมบทพูด เห็นน่าจะง่ายๆ อย่างนี้ก็ต้องซ้อมกัน
หลายรอบเหมือนกันนะเนี่ย




3. เริ่มเอาจริงกันแล้ว เห็นเหมือนจะง่ายแต่ก็หลายเทคเหมือนกันนะเนี่ย สงสัยคุณครูจะตื่นเต้นไปหน่อย




4. คุณลุงคิมกล่าวต้อนรับคณะครูและนักเรียนจากรายการศึกษาทัศน์ โรงเรียนวังไกลกังวล ชนิดรอบเดียวจบ
จะว่าไปแล้วคุณลุงของเราก็มีแววเป็นนักแสดงเหมือนกันนะเนี่ย ดูไม่ตื่นเต้นเลย ขนาดคุณครูยังตื่นเต้นกว่าเลย




5. ลุงคิมกำลังอธิบายเรื่องระบบน้ำ ไปพร้อมๆ กับพี่ผู้กำกับซ้อมบทให้กับเด็กๆ




6. เริ่มถ่ายจริงแล้ว ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ คุณลุงก็อธิบายเรื่อง
ของระบบน้ำภายในไร่ เด็กๆ ก็ถามกันอย่างฉะฉาน ได้ความรู้กันเยอะเลยทีเดียว




7. ยังๆๆๆ เด็กๆ ยังไม่ดีค่ะ อย่าไปสนใจกับคำถามว่าต้องเป๊ะ ทำความเข้าใจแล้วถามจะดีกว่านะ




8. บรรยากาศการเตรียมกอง ก่อนถ่ายทำตอนอินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสม




9. เข้าสู่การถ่ายทำจริง คุณครูพานักเรียนพูดคุยขอความอนุเคราะห์ลุงคิม ให้ความรู้เรื่องปุ๋ย




10. ลุงคิมอธิบายเรื่องปุ๋ยให้ฟัง ปุ๋ยมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท หลายชนิด หลายสูตร การที่ต้นไม้จะได้รับ
ประโยชน์จากปุ๋ยได้สูงสุด ก็มีความจำเป็นที่จะต้องให้ตามความต้องการของต้นไม้ด้วย ตามหลัก อินทรีย์นำ
เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของต้นไม้แต่ละชนิด แต่ละต้น




11. ปุ๋ยก็จะมีประเภทให้ทางราก ให้ทางใบ ชนิดเกล็ด และชนิดน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะแบ่งย่อยออกไปอีกมากมาย




12. การที่เราจะเลือกใช้ปุ๋ยแต่ละตัว เราก็ต้องรู้ว่าแต่ละตัวให้อะไร ส่งผลต่อพืชอย่างไร เช่น Mg ช่วยในการ
สร้างคลอโรฟิลล์ บำรุงให้พืชใบเขียว เขียวไปจนถึงวันเก็บเกี่ยวเลยทีเดียว




13. Ca.B สร้างความเเข็งแรงให้ต้นพืช และผลผลิต ทำให้ไม้ผลที่ได้แข็งแรง




14. และนี่ก็คือโฉมหน้าของ Mg ที่ช่วยทำให้พืชใบเขียว




15. การบำรุงต้นพืชให้ได้ผลดี ก็ต้องบำรุงให้ถูกกับระยะที่พืชต้องการ อย่างสำหรับไม้ผล ก็จะมีอยู่ด้วยกัน 8 ระยะ ดังนี้....

.......ระยะ.................................ทางใบ..........................................ทางราก
1) เรียกใบอ่อน..........................25-5-5........................................25-7-7
2) สะสมตาดอก.........................0-42-56.....................................8-24-24
3) ปรับC/N RATIO......................TE...........................................8-24-24
4) เปิดตาดอก................13-0-46,0-52-34,ไธโอฯ..........................8-24-24
5) บำรุงดอก...........................15-45-15......................................8-24-24
6) บำรุงผลเล็ก............................Ca.B..........................................25-7-7
7) บำรุงผลกลาง.......................21-7-14......................................21-7-14
Cool บำรุงผลแก่..........................0-21-74......................................13-13-21


เสริม :
ข้อมูลนี้แจ้งเฉพาะ "ธาตุหลัก" เท่านั้น ในความเป็นจริงจะต้องมี "ธาตุรอง. ธาตุเสริม. ฮอร์โมน. และอื่นๆ" รวมอยู่ด้วย
จึงจะเรียกว่า "ปุ๋ยเต็มสูตร" อย่างแท้จริง ทั้งนี้ นอกจากพืชมีความต้องการธาตุอาหารทุกตัวแล้ว ธาตุอาหารบางตัวจะ
ต้องมีธาตุอาหารอีกตัวหนึ่งร่วมด้วยจึงจะเกิดประสิทธิภาพ ...........(ลุงคิม)





16. สาธิตการทำ UREGA





17. ส่วนผสมมีดังนี้

- BUFFER
- CHITOSAN
- Zn.
- Mg.
- 21 - 7 - 14
- Ca. B
- TE.
- GLUCOSE
- EDTA
- COLOR






18. น้องๆ โรงเรียนวังไกลกังวล วัดค่า pH ของน้ำหลังจากที่ใส่ บัฟเฟอร์แล้ว ได้ค่า pH เท่ากับ 3.0




19. น้องๆโรงเรียนวังไกลกังวล : พี่คะ ใช่ปุ๋ยตัวนี้หรือเปล่าคะที่ ทำให้มะม่วงที่หนูกินในไร่นี้ ลูกใหญ่ ????
กันดั้ม : ใช่แล้วครับน้อง เพราะปุ๋ยสูตร UREGA นิยามของมันคือ "ขยายขนาด หยุดเมล็ด สร้างเนื้อ"




20.การทำแคลเซียม โบรอน มีส่วนผสม ดังนี้ นะคะ

1) Buffer 1 cc. ปรับ pH น้ำ เท่ากับ 6.0 จึงจะดี
2) B GRADE 10 molecule น้ำ
3) Ca nitrate
4) ธาตุรอง-ธาตุุเสริม
5) Glucose
6) AMINO
7) Col ตามความต้องการของผู้ใช้



21. เมื่อเสร็จทุกขั้นตอนแล้วเราก็ได้ Ca.B ตามต้องการ แต่มันยังไม่ขลัง ลุงคิมเลยให้ใส่สีผสมอาหาร สีเหลือง
ลงไปอีก เพื่อเพิ่มความขลัง



22. หลังจากสาธิตวิธีการทำปุ๋ย สูตรระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 ทางรากแล้ว ก็เป็นขั้นตอนการทดลองใช้ บรรจุ
ลงกระบอกฉีด เพื่อให้น้องๆ ได้ทดลองฉีดลงดินด้วยตัวเอง




23. น้องๆ : พี่โบ๊ทขาาาาา ทำไมมันถึงได้หนักขนาดนี้กันเนี๊ยะ Shocked

โบ๊ท : ต้องอย่างนี้แหละน้อง ถึงจะเรียกได้ว่าเข้าถึงความรู้สึกของเกษตรกรของจริง Very Happy




24. กินเยอะๆนะ จะได้โตไวๆ Very Happy




25. นร.โรงเรียนวังไกลกังวล : หนูกลับก่อนนะคะคุณลุง ขอบคุณสำหรับความรู้มากมายที่ลุงให้ และอาหาร
การกินที่ดีมากๆๆๆๆ ด้วยค่ะ

ลุงคิม : จ๊ะ ลูกๆ ว่างๆก็แวะเวียนมาเที่ยวไร่กล้อมแกล้มได้นะ เพราะไร่กล้อมแกล้ม เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เพราะ
ไร่กล้อมแกล้มเราไม่มีประตู ฮ่าๆๆๆๆๆ Very Happy


เสริม :

จากการพูดคุยกับทีมงาน ทราบว่า "รายการศึกษาทัศน์" นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำริ และทรงคิดรูป
แบบรายการขึ้นมาด้วยพระองค์เอง โดยใช้บุคคลากรใน ร.ร.วังไกลกังวล.เป็นหลัก อาจจะมีบุคคลากรภายนอก
เสริมเพียงไม่กี่คน และเป็นรายการที่ไม่มีโฆษณา

หลังจากถ่ายทำ เรียบเรียง ตัดต่อ เรียบร้อยแล้วต้องนำไปให้ทรงตรวจทุกครั้งก่อนแพร่ภาพออกอากาศ แม้ยาม
พระประชวรก็ต้องนำไปให้ทรงตรวจที่ ร.พ.ศิริราช บ่อยครั้งหลังจากทรงตรวจแล้ว ทรงรับสั่งให้ไปถ่ายทำใหม่
หรือทรงรับสั่งให้แก้ไขจุดนั้นจุดนี้อยู่เสมอ

ทรงรับสั่งให้ผู้ออกอากาศต้องพูดถูกหลักภาษาไทย....ผู้ออกอากาศต้องแต่งกายให้เหมาะสม (สวมแว่นดำไม่
ได้)....พยายามให้เด็กในรายการได้ปฏิบัติด้วยมือตัวเอง....ไม่ให้รับผลประโยชน์ใดๆจากเจ้าของสถานที่ๆใช้
ในการถ่ายทำรายการ.... เป็นต้น

ปัญหาอุปสรรคของทีมงานวันนี้คือ ความร่วมมือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีน้อยมาก หรือแทบไม่ได้รับความ
ร่วมมือเอาเลยก็ว่าได้ ส่วนราชการบางแห่ง (ขออภัย...ไม่เอ่ยชื่อ) นอกจากไม่ให้ความร่วมมือแล้วยังต่อต้าน
อีกด้วย ทำนองว่า เมื่อไหร่รายการนี้จะยกเลิกเสียที ประมาณนี้ ก็ยังมี..............(ลุงคิม)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 23/04/2011 5:27 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เมล็ดทานตะวันงอก....



1. ทานตะวันงอก เพาะกินเอง หากินยาก แต่เพราะเองง่ายนิดเดียว

มีคุณค่าทางสารอาหารสูง ของฟากจากอาจารย์วิชัย แห่งลาดกระบัง แต่ก่อนที่จะเห็นเป็นต้นๆแบบนี้ มาเป็นเมล็ดๆ ดังรูปที่เห็นด้านล่างนี้



2. นักศึกษาลาดหกระบังมีเมล็ดทานตะวันขาย บรรจุหีบหอมิดชิด พร้อมคำอธิบาย ทั้งคุณประโยชน์ และวิธีการเพาะ
โดยมีอาจารย์วิชัย เป็นผู้ช่วยเหลือ สนับสนุน หากสนใจ ขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อาจารย์วิชัย 0814884901




3. จากประสบหารณ์ที่ได้เพาะเอง เตรียมดิน ใช้ ทรายผสมกับขุยมะพร้าว 1:1 ใส่ดินลงภาชนะปลูก เกลี่ยให้ดินเรียบเสมอกัน
นำเม็ดไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน นำมาห่มจนรากงอกประมาณ 2 มิลลิเมตร หรือประมาณ 36 ช่วโมง
นำเมล็ดที่ห่ม โรยให้เต็มหน้าดิน เมล็ดทับกันบ้างก็ไม่ใช่ปัญหา แต่เกลี่ยให้เมล็ดกระจายทั่ว รดน้ำพอชื้น


นำไปเก็บไว้ในภาชนะ ทรงสูง ประมาณ 30 เซ็นติเมตร ปิดปากด้วยสแลน 2 ชั้น ให้แสงผ่านได้เพียงเล็กน้อย
ตามธรรมชาติของพืช จะชูยอดขึ้นหาแสง และด้วยการเอาตัวรอดของพืช หากแสงถูกปกคลุมจากด้านบน
พืชจะเร่งสูง เพื่อโผล่ขึ้นหาแสงให้ได้ นั้นทำให้ทานตะวันที่เพาะ มีต้นยาว และด้วยได้รับแสงน้อย


การสร้างคลอโรฟิลล์จึงเกิดขึ้นน้อยมาก ใบอ่อนก็จะเป็นสีเหลืองซีด เมื่อนำไปรับประทานจะลดกลิ่นเหม็นเขียว
ได้โดยปริยาย เมื่อเพราะได้ 4 วัน ทานตะงอกขาวอวบ ก็พร้อมรับประทานแล้ว แต่ก่อนรับประทาน
ควรนำมารับแสงในที่ร่ม ประมาณ 6 ชั่วโมง เพื่อให้ใบเลี้ยงมีการสร้างคลอโรฟิลล์ ที่จะเพิ่มคุณค่าทางสารอาหาร และความน่ารับประทาน


หารให้น้ำ พยายามให้ดินชื้นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ควรให้มากเกินไป ให้อยู่ในระดับ ชื่น หรือ ชุ่ม ก็เพียงพอแล้ว


*รวมทั้งสิ้น 6 วัน สามารถ รับประทานทานตะวันงอกได้แล้ว ไม่ควรปล่อยให้นานเกินไป จะทำให้เกิดใบแท้
คุณประโยชน์ลดลงเล็กน้อย เหม็นเขียวเพิ่มขึ้นนิดหน่อย




เสริม....


http://classified.sanook.com/item/7582055/


[img]http://image.ohozaa.com




การขยายพันธุ์

ขยายพันธุ์ หยอดเมล็ดในหลุมลึก 5-6 ซม. หลุมละ 2-3 เมล็ด กลบเมล็ดบาง ๆ เมล็ดงอกภายใน 8-10 วัน เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 1-2 คู่
ย้ายปลูกหลุมละต้น เวลาปลูกถึงออกดอก 60-70 วัน แล้วแต่พันธุ์

สภาพปลูก แสงแดดจัด ที่โล่งกลางแจ้ง ดินร่วนปนทรายทนต่อสภาพอากาศทีมีหมอกและควันได้ดี

การดูแล ทานตะวันมีระบบรากที่ตื้น ในช่วงแรกที่ย้ายปลูก ควรรดน้ำให้ซึมลงไปในดินมาก ๆเพื่อกระตุ้นให้รากเจริญเติบโตหยั่งลึกลงในดิน

ประโยชน์ ไม้ตัดดอก ไม้กระถาง ไม้ประดับแปลง ดอกไม้แห้ง เมล็ดนำมาคั่วรับประทานเป็นธัญพืชเคี้ยวมัน มีคุณค่าทางอาหารสูง และ
ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น สกัดน้ำมันกากที่เหลือนำมาเป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น

ทานตะวันเป็นดอกไม้ประจำมลรัฐแคนซัสของอเมริกา เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่มีสีเหลืองสดบานต้านดวง ตะวันได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
จึงได้ชื่อว่า "ทานตะวัน"

http://www.thainame.net/project/janjira/in04.html





เมล็ดทานตะวันงอก มากมายด้วยคุณค่าทางอาหาร

เมล็ดธัญพืชงอก ถือเป็นอาหารที่มีการนำมาบริโภคกันมานาน ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือถั่วงอก ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากถั่วเขียว
โดยถั่วงอกมีการนำมาทำเป็นเมนูอาหารได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผัด ต้ม หรือทานสดๆ

และที่โด่งดังกันสุดๆ คือ ข้าวกล้องงอกที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสาร GABA (gamma
aminobotyric acid) ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยมนการควบคุมน้ำหนักตัว และ
ที่สำคัญช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ทำให้สองเกิดการผ่อนคลาย ป้องกันการทำลายสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความ
ทรงจำ หรืออัลไซเมอร์นั่นเอง รวมไปถึงสารอาหารอื่นๆ เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามิน ซี. วิตามิน อี.
ล่าสุดมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมล็ดธัญพืชอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเรารู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นคือ “ทานตะวัน” แต่ที่ผ่านมานั้นเรารู้
จักประโยชน์ของเมล็ดทานตะวันของพืชที่มีดอกใหญ่ มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ดโดยน้ำมันดอกทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่ม
ตัวสูงสามารถนำไปใช้ในการฟอกหนัง และประกอบอาหาร แต่ข้อมูลจากการศึกษาและวิจัยพบว่า ต้นอ่อนของเมล็ดทาน
ตะวัน มีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลือง มีวิตามิน เอ. และวิตามิน อี.สูง บำรุงสายตา ผิวพรรณและชะลอความชรา มีวิตามิน บี 1.
บี 6. โอเมก้า 3. โอเมก้า 6. โอเมก้า 9. ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) และธาตุเหล็กสูง

นอกจากนี้ต้นอ่อนทานตะวัน ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกหลายตัวตัวด้วยกัน เช่น วิตามินเอ. วิตามิน อี. โปรตีน. ฯลฯ ต้นอ่อน
ทานตะวันจึงเหมาะในการนำมาปรุงเป็นอาหารสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง โดยเมนูอาหารก็สามารถทำได้เหมือนถั่วงอก ไม่ว่าจะ
เป็น ผัด ต้ม ใส่ก๋วยเตี๋ยว หรือน้ำปั่นก็สามารถทำได้ แล้วจะหาซื้อต้นอ่อนทานตะวันได้ที่ไหน ปัจจุบันนี้ได้มีบริษัทที่ผลิต
พืชแนวออร์แกนิค ได้หันมาผลิตต้นอ่อนทานตะวันหลายบริษัทด้วยกัน ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปหาซื้อได้จากร้านค้าที่
จำหน่ายพืชอนามัยหรือพืชออร์แกนิคได้...ครับ


เขียนโดย Good health ที่ 4:03

http://goodyourhealth.blogspot.com/2011/02/blog-post_07.html


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 16/08/2016 11:36 am, แก้ไขทั้งหมด 11 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 23/04/2011 5:45 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

คำสั่งตรงจากท่านคณะบดี ให้สวมเสื้อสถาบันแล้วโพสลงเน็ต....
"รับคำสั่ง ทำทันที ทำดีที่สุด....ครับผม"




1.




2.




3.สวัสดีครับพี่น้อง โบ๊ท เองครับ!!!
การที่เราจะทำอะไรสักอย่างไม่ใช่เพียงแค่เราสนใจเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญ
และพวกเราควรมีก็คือ ความใส่ใจและความขยันในสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่
ไม่ใช่คิดแต่ว่าจะทำแต่เราไม่ค้นคว้าหาข้อมูล เราจะทำการสิ่งใดต้องเปิดรับ
ข้อมูลต่างๆที่เป็นวิชาการและนำมาประยุกต์ใช้กับผลผลิตของเราให้ได้
ประโยชน์สูงสุด



4. สวัสดีครับ ต้นครับ ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ทำไปด้วยความรักในสิ่งนั้น มีความ
สุขกับมัน มีความเอาใจใส่ สิ่งนั้นก็จะออกมาดีอย่างที่เราคาดหวังไว้ นั่นแหละ
คือ สิ่งที่ตอบแทนมาให้เรา




5. สิ่งที่้ทำอยู่ทุกวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ลองเปิดใจให้กว้างค้นคว้าหาความรู้เพิ่ม
เติม เหมือนพวกเราที่มาฝึกงานที่ไร่กล่อมแกล้มไงค่ะ เพราะการเรียนรู้ไม่ได้มีอยู่แค่
นี้ การเรียนรู้รอคุณอยู่อีกมากมายถ้าคุณพร้อม เปิดใจให้กว้างพร้อมรับสิ่งใหม่ๆอยู่
เสมอ อย่าปิดกั้นตัวเองเปลี่ยนทัศนคติดู แล้วคุณจะรู้ว่ามีสิ่งดีดีรออยู่
Very Happy บ๋อมแบ๋มค่ะ Very Happy




6..น.ส.จิราพร วิทาโน ชื่อเล่น อ๋อมแอ๋ม สาวน้อยผู้มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมกับ
อนาคตบนเส้นทางสายเกษตร ด้วยเติบโตมากับครอบครัวเกษตรกร ชีวิตความเป็น
อยู่จึงมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าจะถูกเลี้ยงดูมาแบบไม่ค่อยได้แตะจับ
อะไรก็ตาม แต่พอถึงวันที่ต้องตัดสินใจเรียน ความคิดนี้ก็เริ่มขึ้น ด้วยเป็นคนที่ชอบ
ความสงบ รักกลิ่นอายของธรรมชาติ มีความผูกพันกับบ้านเกิดของตัวเอง และที่
สำคัญเกลียดกิจวัตรของคนเมือง คงทนไม่ไหวแน่หากจะต้องทำงานอุดอู้อยู่กับ
สังคมแออัด เธอจึงนึกได้ว่า จริงๆ แล้ว รากเหง้าของเธอก็คือเกษตรกร ถึงแม้
การเป็นเกษตรกรเท่าที่เห็นจะลำบาก และไม่ร่ำรวยอะไร เธอก็ไม่เกรง เพราะเธอ
คิดเสมอว่า เธอนี่เเหละจะเป็นคนเปลี่ยนประวัติศาสตร์อันยาวนานนี่เอง ไม่แน่นะคะ
อีกสัก 10 ปีข้างหน้า คุณอาจจะได้เห็นก็เป็นได้




7.ผมกันดั้มครับ ผมเป็นคนอินดี้ครับ Very Happy




8. ครบทีมทัพลาดกระบัง




9. ใส่ช็อบแล้วดูดึขึ้นตั้งเยอะเลย พวกเรา สู้!!!!!




10. ทัพลาดกระบังถ่ายภาพคู่กับป้ายไร่กล้อมแกล้ม




11. ครบทีม ทั้งคุณครูลุงคิม และลูกศิษย์ลาดกระบัง แค่เห็นชุดคุณครูก็เสียวแล้ว
เว้ย (ที่สำคัญ คุณครูเฟี้ยวมากๆ) หลบดีๆ นะพวกเรา เดี๋ยวโดนคุณครูเตะน้า







เสริม :
.... ทราบว่า ตอนสมัครเข้าเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร
ลาดกระบัง ตั้งใจแน่วแน่ เลือกเกษตรเป็นอันดับแรก ต้องเกษตรเท่านั้น...มา
ถูกทางแล้วลูก เส้นทางเกษตรกว้างไกลไปทั่วโลก เพราะมนุษย์และสัตว์ต้องกิน
อนาคตของโลก เกษตรกรม จะเหนือกว่า เกษตรกรรม อย่างแน่นอน

..... ฝึกงานคราวนี้ คณะบดีสั่งผ่าน อ.วิชัยฯ ให้นำเสื้อสถาบันมาให้ใส่เพื่อเผย
แพร่ออก ทีวี.โดยเฉพาะ ...... งานนี้ทำสำเร็จแล้ว

..... อ.วิชัยฯ มีแผนการลิงค์เว้บนี้ไปที่เว้บ สจล. เพื่อให้ สมช.เว้บ สจล. ทั้งศิษย์
ปัจจุบัน ศิษย์เก่า คณะอาจารย์ และผู้สนใจทั่วไปได้รับทราบ.....คงเร็วๆนี้

..... เนื้อหาในเว้บ (กระทู้) นี้ บ่งบอกชัดแล้วว่า ผู้สอน ๆอย่างไร-ผู้เรียน ๆอย่างไร
เพราะฉนั้น เธอทั้ง 6 ขี้เกียจไม่ได้แน่ๆ .................................. (ลุงคิม)


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/04/2011 8:01 pm, แก้ไขทั้งหมด 12 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 23/04/2011 5:48 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


1. แอ๋มมี่ไม่ได้อู้นะคะ หาข้อมูลเขียนรายงานด้วยความตรากตรำ จึงอ่อนล้าและ
เผลอหลับไป แต่ไม่ได้ตั้งใจนะคะ แค่บรรยากาศมันพาไปเท่านั้นเอง




2. วันนี้ช่วงเช้าไปตัดกิ่งฝรั่ง และโน้มให้กิ่งเป็นแนวระนาบ เพราะธรรมชาติของฝรั่ง
จะออกดอกติดผลเฉพาะกิ่งนอนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามธรรมชาติไม่มีอะไรแน่
นอน กิ่งกระโดงก็มีสิทธิ์ออกดอกติดผลได้นะ และการตัดกิ่ง ให้ตัดบริเวณกึ่งอ่อน
กึ่งแก่ หรือบริเวณใบคู่ที่สี่ ระหว่างที่ตัดแต่งกิ่งไปแดดก็ร้อนม๊ากมาก แทบจะเป็น
ลมเลยล่ะค่ะ พอได้เวลาพักผ่อนแอ๋มก็เลยผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


เสริม :

วิธีบังคับฝรั่งให้ออกนอกฤดู (1)

วิธีที่ 1.....บังคับแบบให้ออกเองตามธรรมชาติ
โน้มกิ่งประธานทุกกิ่งในต้นให้เอนลงระนาบกับพื้นระดับ แล้วผูกยึดติดกับหลักโดย
ไม่ต้องตัดแต่งกิ่ง

วิธีที่ 2.....บังคับแบบเร่งให้ออกเร็วขึ้น
โน้มกิ่งประธานเฉพาะกิ่งที่ต้องการให้ออกดอกติดผลลงระนาบกับพื้นระดับ แล้วผูก
ยึดติดกับหลักหรือไม้ค้ำกิ่ง เด็ดยอด ณ ใบคู่ที่ 4 ด้วยกรรไกคมๆ เหนือข้อ
ประมาณ 2-3 ซม. วิธีนี้ฝรั่งจะแตกยอดแล้วออกดอกตามมาเร็วกว่าวิธีที่ 1

วิธีที่ 3.....บังคับให้ออกเฉพาะกิ่ง
โน้มกิ่งประธานเฉพาะกิ่งที่ต้องการให้ออกดอกติดผลลงระนาบกับพื้นไม่ต้องตัดยอด
เหมือนวิธีที่ 1 เสร็จแล้วฉีดพ่นด้วยน้ำ 100 ล.+ 46-0-0 (250 กรัม) เฉพาะกิ่ง
โน้มลงระนาบกับพื้นเพื่อล้างใบให้ร่วง หลังจากใบร่วงแล้วเริ่มบำรุงเรียกยอดชุดใหม่
ซึ่งที่ยอดแตกใหม่นี้จะมีดอกออกตามมาด้วย

วิธีที่ 4......บังคับให้ออกพร้อมกันทั้งต้น
โน้มกิ่งประธานทุกกิ่ง (ทั้งต้น) ลงระนาบกับพื้นแล้วตัดยอดทุกยอด ณ ใบข้อที่ 4
เหมือนวิธีที่ 2 แล้วบำรุงเรียกยอดใหม่ วิธีนี้จะทำให้ฝรั่งแตกยอดใหม่และมีดอก
ออกมาพร้อมกันทั้งต้น เป็นการบังคับให้ฝรั่งติดผลเป็นรุ่นเดียวกันทั้งหมด

วิธีที่ 5......บังคับแบบตัดกิ่งแก่
ต้นอายุมาก กิ่งแก่ขนาดใหญ่และทรงพุ่มขนาดใหญ่เกินจำเป็น เริ่มด้วยบำรุงต้น โน้ม
กิ่งแก่ลงระนาบกับพื้นแล้วตัดกิ่งแก่นั้น ณ ความยาวตามต้องการ (ความยาวกิ่ง คือ
รัศมีทรงพุ่ม) ตัดกิ่งแล้วเด็ดใบที่เกิดจากกิ่งแก่ทิ้งทั้งหมดหรือคงไว้ 5-10
เปอร์เซ็นต์ ถ้ามีกิ่งแขนงให้ตัดปลายกิ่งแขนงหรือตัดทิ้งไปเลยก็ได้ จากนั้นบำรุง
เรียกยอดใหม่ เมื่อยอดออกมาจากข้อใบเดิมพร้อมกับมีดอกออกมาด้วย ดอกผลที่
เกิดจากกิ่งแก่นี้จะดกและคุณภาพผลดีกว่ากิ่งอ่อน

http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=60


วิธีบังคับฝรั่งให้ออกนอกฤดู (2)
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1926#15746




3. ที่เห็นอยุ่นี้ ไม่ได้เรียกว่าหลับนะคะ เค้าเรียกว่าพักสายตาค่ะ


เสริม :
จริงจริง เห็นด้วย.......ลุงคิมก็เคยพักสายตาบ่อยๆ ใครเห็นแล้วไม่รู้ก็นึกว่าลุงคิม
หลับ ลุงคิมอู้ แต่พอลุกขึ้นมาเข้าหางานได้เลย

กรณีหนูอ๋อมแอ๋ม. หนูบ๋อมแบ๋ม. ลุงคิมก็เชื่อว่าพักสายตา หรืออาจจะหลับตานึก
เรื่องงานอยู่ก็ได้ ประจักษ์พยานก็คือ พอตื่นขึ้นมาเห็นเนื้องานออกมาทันทีเลยไงล่ะ
พักสายตาบ่อยๆซี่ลูก ลืมตาขึ้นมาจะได้มีผลงานแถมแก้วตาสวยใสด้วยนะลูก

มหาตมะ คานธี งีบหลับในสภา 5-10 นาที ก็ไม่รู้ว่าหลับจริงหรือหลับปลอม แต่พอ
ตื่นขึ้นมา รู้วิธีแก้ปัญหาทันที

คนที่กำลังทำงาน มีงานคามืออยู่แท้ๆ แต่เกิดอาการง่วงนอนขึ้นมา ง่วงมากๆ ง่วงจับ
จิตรจับใจเลย ถ้าล้มลงนอนเป็นหลับทันทีละก็ นั่นเกิดจากอ๊อกซิเจนไปหล่อเลี้ยง
สมองไม่ทัน แก้ไขด้วยการนอนหรือวางงานแล้วออกไปสูดอ๊อกซิเจนมากๆ

วิธีหายใจให้ได้อ๊อกชิเจนเข้าไปในปอดมากๆ ทำดังนี้ :
1. หายใจเข้าลึกๆ ลึกๆ ลึกมากๆ ลึกจนสุดลมหายใจเข้า หายใจลึกๆเข้าไปแล้วหยุด
หายใจ (กลั้นหายใจ) สักครู่เพื่อให้อ๊อกซิเจนซึมซาบไปทั่วปอด แล้วจึงผ่อนลม
หายใจออก

2. ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ช้าๆ นานๆ เพื่อระบายอ๊อกซิเจนออกจากปอดให้หมด
หายใจออกจนแน่ใจว่าคาร์บอน ไดอ๊อกไซด์ในปอดออกหมดแล้ว ให้หยุดหายใจ
(กลั้นลมหายใจ) สักครู่ แล้วจึงหายใจเข้าใหม่

3. ทำซ้ำ 2-3-4 รอบ แล้วจะรู้สึกสบายตัวขึ้น.....

ระหว่างหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ ถ้าสังเกตุตัวเอง จะรู้สึกว่าระหว่างนั้นสมอง
จะหยุดคิดเรื่องราวต่างๆเอง ทั้งนี้เพราะสมาธิและจิตรมุ่งอยู่ที่ลมหายใจ จึงทำให้ได้
ผ่อนคลายสมองไปในตัว





หมายเหตุ :
กติกาฝึกงานไร่กล้อมแกล้ม...
1. น้ำหนักไม่เพิ่ม ................................................... ตัด 5 คะแนน
2. ลุงคิมดุ แต่ไม่กลัว ............................................... ตัด 4 คะแนน
3. อยากกินอะไร แล้วไม่บอก ...................................... ตัด 3 คะแนน
4. ไม่กล้าจับไส้เดือน ............................................... ตัด 2 คะแนน
5. ไม่กล้ากินปุ๋ย .................................................... ตัด 1 คะแนน

ลุงคิม (อาจารย์ใหญ่) ครับผม


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/04/2011 10:25 pm, แก้ไขทั้งหมด 11 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
iieszz
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 15

ตอบตอบ: 23/04/2011 11:51 pm    ชื่อกระทู้: 24-04-54 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ศึกษาทัศน์ 21 เม.ย. 54 ......



1. รถบัสจากโรงเรียนวังไกลกังวล บรรทุกนักเรียนมาทั้งหมด 6 คน ครู 2 คน




2. ใครจะเชื่อว่าทะเบียนรถคันนี้เป็นชื่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช





3. การตัดแต่งกิ่งน้อยหน่า ให้ตัดกิ่งที่มีใบออกทั้งกิ่ง เหลือบริเวณโคนกิ่งไว้




4. ฮ้าวๆๆๆ ตากล้องง่วงนอนจังเลย




5. กล้องพร้อม นักเเสดงพร้อม ยังๆๆๆๆ ลุงคิมยังไม่พร้อม ขอเอาสายน้ำหยดขึ้นก่อนแป๊บนึง




6. การตัดกิ่งฝรั่งให้นับถึงใบคู่ที่ 4 หรือบริเวณกึ่งอ่อนสีเขียวต่อกับกึ่งแก่สีน้ำตาล แล้วตัดชั๊บได้เลย




7. ส่วนกิ่งที่ชี้ขึ้นไม่มีดอก ให้ตัดทิ้งได้เลย เพราะธรรมชาติของฝรั่งจะออกดอกติดผลเฉพาะกิ่งนอนเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามธรรมชาติไม่มีเลขตายตัว หรืออะไรที่แน่นอน ถ้าเห็นมันออกดอกก็ปล่อยมันทิ้งไว้ ส่วนกิ่ง
หางหนูเล็ก ทิ้งไว้มันรกก็ตัดทิ้งให้หมดเลย




8. นักเรียนจากโรงเรียนวังไกลกังวลและนักศึกษาจากลาดกระบัง ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระทึก เอ้ย.. ระลึก ว่า
เราได้เคยร่วมงานกัน




9. แอ๊บแบ๊วกันใหญ่ ทั้งนักแสดงและผู้กำกับเลยนะคะ




10. เอ้า.. เเอ๊บเเบ๊วเสร็จแล้วก็มาท่องบทกันต่อเร้ววว .... เด็กๆ ....




11. กล้องพร้อม แล้วตากล้องล่ะ เอ๊ะๆๆๆ พร้อมหรือยัง.....แดดร้อนคร้าบบบ ขอหลบนิดนึงละกัน




12. ไม่หวั่นแม้วันแดดมาก คุณลุงคิมกลายเป็นนายแบบกิติมศักด์ ถูกขอถ่ายภาพใหญ่เลยล่ะค่ะ




13. การให้ปุ๋ยมีทั้งให้ทางใบและทางราก ส่วนวันนี้ก็จะได้สาธิตการให้ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 ทาง
รากกันนะครับ




14. หม้อปุ๋ยถูกดัดแปลงให้ต่อเข้ากับระบบส่งน้ำ การที่เราจะรู้ว่าปุ๋ยไปหรือยัง ก็จะ
สังเกตุตรงขวดนี่ ซึ่งน้ำจากสีน้ำตาลเข้มจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีใสขึ้นเรื่อยๆ




15. ที่เห็นวาล์วสี่อันเรียงกันอยู่นี่ก็คือ วาล์วส่งน้ำ 2 โซน ประกอบด้วยวาล์วส่งให้ทางราก และทางใบ
เลือกเปิดได้ตามต้องการ




16. ถึงเวลาปิดรายการแล้ว ทุกคนก็มารวมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ตามด้วยการกล่าวขอบคุณจาก
คุณครูจากรายการศึกษาทัศน์




17. เอ้า.. เทค สงสัยคุณครูจะตื่นเต้นมาก เลยพูดผิดพูดถูกหลายเทคเลยเนี่ย และหลังจากการกล่าวขอบคุณ
จบลงได้ด้วยดีแล้ว ลุงคิมก็ให้ของฝากทุกคนเป็นมะม่วงลูกใหญ่เบ้อเริ่ม ทุกคนต่างตื่นเต้น วิ่งเก็บกันใหญ่เลยทีเดียว




18. ตากล้องเหนื่อยแล้วนะคร้าบบบ ...... หิวข้าวจัง



19. มาแล้วค่า กับข้าวสุดพิเศษ อภินันทนาการจากไร่กล้อมแกล้ม ประกอบด้วย แกงส้มปลาช่อน ไข่เจียว
หมูสับ ผัดผักรวมมิตร ปลาเเดดเดียวทอด และตบท้ายด้วยมะม่วงสุกหวานๆ ล้างปากหน่อยนะคะ ว้าวว.... อร่อย
มากๆ เลย ทีแรกลุงคิมตั้งใจจะสั่งหอยจ๊อ + ขนมจีบ มาเลี้ยงเด็กๆ แต่พอได้ยินใครในทีมงาน ร.ร.วังไกลกังวล.
ซุบซิบๆว่า อยากทานฝีมือแกงส้มไร่กล้อมแกล้ม เท่านั้นแหละ วันรุ่งขึ้น มื้อเที่ยงแกงส้มมาทันที




20. อร่อยมั้ยจ๊ะเด็กๆ




21. กระเช้าของฝากจากไร่กล้อมแกล้ม เตรียมไว้ขอบคุณรายการศึกษาทัศน์




22. ถ่ายภาพความประทับใจร่วมกันอีกครั้ง เพื่อเป็นที่ระลึกของการมาเยือน




23. คุณลุงคิมมอบของฝากเป็นกล้วยเล็บมือนาง และมะม่วงกระเช้าใหญ่ จากใจชาวไร่กล้อมแกล้มให้กับ
คณะรายการศึกษาทัศน์




24. ต้น....ทำไรน่ะ ลุงให้เก็บฝากแขกนะ ห้ามเม้มๆ




25. ลุงคิมยืนมองดูคณะผู้มาเยือนจากไป และได้ฝากก่อนไปว่า.....
คราวหน้ามาเยี่ยมเยียนไร่กล้อมแกล้มอีกนะ.....




26.






27.
คำพูด:
บ๊ายบาย ไร่กล้อมแกล้ม....SEE YOU AGAIN เน้อออ ...
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 24/04/2011 6:45 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ค้างถั่วฝักยาว ต้นทุนไร่ละ 35 บาท.....



1. บ๋อมแบ๋ม.กำลังทำค้างถั่วฝักยาวอย่างขมักเขม้น วิธีทำก็ง่ายมากเลยค่ะ ใช้ไม้
ไผ่ซีกขนาดพอเหมาะทำเป็นหลักยึด ผูกเชือกฟางเข้ากับหลักยึดและราวด้านบน
ให้เชือกตึงพอเหมาะ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ




2. กันดั้ม.กับต้นกำลังตอกหลักไว้ให้บ๋อมแบ๋ม.ผูกอยู่ครับ เอ้าๆๆ เร็วๆ ไม่ต้องรีบ




3. การผูกเชือกค้างถั่วควรผูกด้วยเงื่อนกระตุก ให้สามารถแก้ได้ เผื่อต้องการ
แก้ไขทีหลัง ว่าแต่ บ๋อมแบ๋ม.อ้าปากทำไมอ่ะ




4. การทำค้างถั่วฝักยาว ขั้นตอนนี้ เราไม่ต้องใช้ไม้เป็นหลักยึด แต่เราใช้เชือก
ฟางแทนค่ะ

วิธีการทำก็ง่ายๆค่ะ แค่เราขึงเชือกฟางไว้กับหลักในแนวนอน ส่วนแนวตั้ง เราก็ใช้
เชือกฟางขึงจากด้านบนลงมาด้านล่าง เป็นการผูกโดยใช้เชือกฟางล้วนๆ ไม่ต้อง
ใช้หลักยึดนั่นเองแล้วเราก็จับถั่วฝักยาวพันกับเชือกฟางแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
แล้วค่ะ




5. การทำค้างถั่วฝักยาวแบบง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนมาก ก็ ได้กำไร แถมยังลดต้นทุน
ของเราอีกด้วย เรียกว่า ''ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรงาม''




6. อ๋อมแอ๋ม กำลัง ตั้งหน้าตั้งตาอยูกับการผูกเชือก อย่างจริงจัง การผูกเราไม่ควร
ผูกเงื่อนตาย เพราะเวลาที่เราจะแก้มันจะแก้ยาก




7. บ๋อมแบ๋มทำการผูกเชือจากด้านบนลงมาก่อน การผูกจะเป็นการผูกแบบ เงื่อน
กระตุก เพราะเวลาแก้ไข จะได้แก้ง่ายๆ




8. ต้น กำลังทำการผูกทางด้านล่าง โดยใช้เชือกผูกจากด้านบนก่อน แล้วขึงให้
เชือกฟางตึงแล้วมัด โดยมัดแบบเงื่อนกระตุก




9. เมื่อเราผูกเสร็จแล้ว ก็ทำการถอนหญ้าที่บริเวณโคนต้น




10. ว่าแต่เพื่อนๆ นั่งถอนหญ้ากันอยู่ แล้วบ๋อมแบ๋มล่ะ นั่งทำอะไร ทำไมไม่ช่วย
เพื่อนถอนหญ้า




11. อ๋อ บ๋อมแบ๋มไม่ได้อู้ นะค่ะ พอดีหญ้าที่ถอน จะหมดแล้ว บ๋อมแบ๋มเลยนั่งรอ



12. พอเถาเริ่มยาวพอจะยึดเกาะเชือกได้ ตอนแรกต้องช่วยจัดเถาให้พันกับเชือกปอพลาสติกก่อนซัก 2-3 รอบ


13. หลังจากนั้นเถาถั่วฝักยาวจะพันรอบเชือกปอขึ้นไปเองกระทั่งถึงราวลวดข้างบน
แล้วคราวนี้เถาถั่วฝักยาวก็จะกลายเป็นค้างให้กับตัวเอง




14. ค้างถั่วฝักที่ใช้ไม้ลวกทำราคาประมาณไร่ละ 3,500 บาท เพราะเป็นไม้ลวกปี
เดียว แต่ถ้าเป็นไม้ลวก 2 ปีราคาก็จะประมาณ 5,000 บาท คิดดูนะค่ะว่าถ้าคุณจะ
ลงทุนปลูกถั่วฝักยาวคุณจะใช้วิธีไหนระหว่างจ้างคนมาทำค้างให้ แถมยังต้องหาซื้อ
ไม้ลวกอีก

คุณคิดว่าทำแบบนี้คุณจะได้กำไรเหรอค่ะ แต่เราก็ไม่สามารถที่จะไปเปลียนความ
คิดของคนเราได้หรอกค่ะ เพราะแต่ละคนความคิดจะไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่า
สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ดีที่สุดแล้ว บางคนก็รู้อยู่ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ได้กำไรแต่ก็ยังทำอยู่
ไม่คิดที่จะเปลี่ยน

แต่พวกเราก็อยากจะนำเสนอวิธีการทำอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะพอช่วยลดต้นทุนให้คุณ
ได้บ้าง ลองมาใช้วิธีที่พวกเราทำกันสิค่ะ ถึงจะใช้เวลานานหน่อย แถมยังต้องลงมือ
ทำเอง แต่พวกเราคิดว่ามันคุ้มนะค่ะ กับสิ่งตอบแทนที่ได้มาเพราะเราลงทุนแค่ไม่กี่
บาท

แต่สิ่งที่ได้มาคือกำไรล้วนๆเลยนะค่ะ ค้างที่พวกเราทำลงทุน แค่ 35 บาท เผลอๆ
อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ เพราะเชือกฟางที่ทำ เราสามารถแยกให้มันแบนแล้วฉีกออก
มาแบ่งเป็น 3-4 ส่วนก็ได้ ลดต้นทุนลงไปอีกเยอะเลยค่ะ


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/05/2011 5:56 pm, แก้ไขทั้งหมด 12 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 24/04/2011 6:47 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

โน้มกิ่งฝรั่ง ชักนำให้ออกดอก ต้นทุนไร่ละ 35 บาท....



1. การตัดกิ่งฝรั่ง ให้ตัดบริเวณกึ่งอ่อนกึ่งแก่ สีเขียวต่อกับสีน้ำตาล หรือนับไปถึง
ใบคู่ที่ 4 (อาจคลาดเคลื่อนได้) แล้วตัดชั๊บได้เลยค่ะ




2. ส่วนกิ่งที่ชี้ขึ้นด้านบนหรือด้านล่าง ให้ตัดทิ้งได้เลย เพราะธรรมชาติของฝรั่่งจะ
ออกดอกติดผลที่กิ่งนอนเท่านั้น แต่ธรรมชาติไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ บางกิ่งก็
มีดอกออก ถ้าอย่างนี้เราก็เก็บไว้ ส่วนกิ่งหางหนูเล็กๆ ทำให้ทรงพุ่มรกก็ตัดทิ้งได้
เลยครับ




3. นี่ไงคะ กิ่งชี้ขั้นอย่างนี้ ตัดทิ้งเลย ตัดให้ขาดเลย ชั๊บๆๆ





4. การโน้มกิ่งก็จะใช้เชือกผูกยึดระหว่างกิ่งฝรั่งกับไม้หลักยึดไว้กับดิน ให้ได้เป็น
แนวระนาบกับพื้น เพื่อชักนำการออกดอกค่ะ





5. ธรรมชาติของฝรั่งสาลี่ทอง (ไร้เมล็ด 100%) ให้ผลดอกน้อยกว่าพันธุ์แป้นสีทองเป็นต้นทุนทางสายพันธุ์อยู่แล้ว
นั่นเป็นเพราะสาลี่ทองไม่ได้โน้มกิ่ง ตัดยอดหรือเปล่า คราวนี้สาลี่ทอทั้งโน้มกิ่ง ทั้งตัดยอดก็น่าจะดกพอๆเทียบชั้นกับ
แป้นสีทองได้หรอกนะ




6. สาลี่ทองแม้จะไม่ได้โน้มกิ่ง ตัดยอด แต่ก็ออกดอกติดดีได้ เรียกว่าดกระดับหนึ่งเชียวแหละ นั่นเป็นเพราะ "ทรงพุ่มโปร่ง"
นั่นเอง ขนาดกิ่งในใจกลางทรงพุ่มยังออกดอกติดผลได้เลย




7. ใช้เชือกผูกกิ่ง รั้งลงมา แล้วผูกปลายเชือกยึดเข้ากับหลักที่พื้นดิน แบบนี้ก็ทำให้กิ่งโน้มลงราบกับพื้นได้ ไม่ต่างกับ
ใช้ไม้หลักปักดินแล้วผูกกิ่งฝรั่งกับไม้หลักนั้น แต่ใช้เชือกประหยัดกว่าหลาย 100 เท่า



8. เชือกปอพลาสติกก็พอกล้อมแกล้มๆ ใช้ได้ แต่ไม่ค่อยทนทาน อันนี้ก็ให้พิจารณาเลือกใช้ตามความเหมาะสม
ก็แล้วกัน




9.




10.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/05/2011 6:10 pm, แก้ไขทั้งหมด 9 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 24/04/2011 6:53 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เพาะกล้าในกะละมัง ต้นทุน 3.50 บาท.....



1. ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยนะคะว่า ต้นกล้าในกะละมังนี้ เป็นการปลูกเพื่อศึกษาปัจจัยที่ทำให้ต้นพืชเติบโตเร็ว
และมีคุณภาพ ด้วยการทดลองด้วยตนเอง ส่วนผลิตภัณฑ์จะเป็นส่วนของผลพลอยได้


ผักที่ต้องมีการย้ายปลูก เพื่อจะให้ได้ต้นกล้าที่ดีมีคุณภาพ จำเป็นที่จะต้องมีการดูแลรักษาให้ดี เพื่อให้ปลอด
จากโรคและแมลงศัตรูพืช เพราะต้นกล้าที่ดีย่อมให้ผลผลิตเป็นผักที่คุณภาพดีเช่นกันค่ะ


ซึ่งการเพาะในกะละมังนี้ เป็นการเพาะเพื่อปลูกสำหรับบริโภคในครัวเรือนเท่านั้น เนื่องจากต้องการปลูกในปริมาณ
น้อย การดูแลจึงไม่ต้องมีความลำบากอะไรมาก แต่การปลูกในปริมาณมาก เช่น การปลูกเพื่อการค้า เห็นจะต้อง
มีการประยุกต์อีกมาก




2. การปลูกเพื่อการบริโภค อาจไม่ต้องมีการย้ายปลูกก็ได้ เมื่อต้นกล้าเจริญถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มีความแออัดเราก็
ทยอยถอนออกมาบริโภคได้เลย ต้นผักที่เหลือก็จะเจริญเติบโตขึ้นได้เรื่อย เราเองก็สามารถเก็บผักกินได้เรื่อยๆ
เช่นกันค่ะ




3. ต้นกล้าคุณภาพดี อันเกิดจากการดูแลรักษาที่ดี โดยการให้ฮอร์โนไข่สูตรไทเป ตอนให้ไม่ได้คิดอะไร
หรอกค่ะ แค่อยากให้ธาตุหลัก ส่วนอื่นๆ ก็คือผลพลอยได้ เพราะบอกตรงๆ เลยค่ะว่า ยังใช้ปุ๋ยไม่เป็น ไม่รู้ว่า
จะให้สูตรไหน ช่วงไหน อย่างไร คงเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาอีกนานเลยล่ะค่ะ ไหนๆ ก็เรียนแล้ว ก็เอาให้
เชี่ยวชาญไปเลยละกัน




4. และนี่ก็คือโฉมหน้าเจ้าของผลงานจอมป่วง ขนาดเจ้าตัวยังรู้ตัวเลยว่าป่วงจริงๆ แล้วคนอื่นล่ะ เฮ้ออออ....

แต่จริงๆ แล้ว ลุงคิมบอกว่าการเพาะเมล็ดแบบนี้ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง คงต้องขอความอนุเคราะห์คุณลุง ช่วยบอก
วิธีที่ถูกต้องด้วยค่ะ เพื่อที่อ๋อมแอ๋ม.จะได้นำไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องต่อไป


อ๋อมแอ๋ม ค่าาาาา.....



เสริม :

- "ป่วง" แปลว่าอะไร (วะ) อั้ยลูกสาว....

- ความล้มเหลว คือ ความสำเร็จ ..... ต่อไปถ้าทำอีกจะไม่ล้มเหลว แล้วก็จะประสบความสำเร็จ เมื่อถึงวันนั้นพูดได้เต็ม
ปากว่า "ก....ทำกับมือ..." ไงล่ะ

- ในโลกนี้ยังมีสิ่งใหม่ๆที่มนุษย์ยังไม่รู้จักอีกมากมาย ถ้าไม่มีใครคิดสร้างสิ่งใหม่ๆออกมา โลกจะพัฒนาได้อย่างไร
เพราะฉนั้นจงคิดค้นและสร้าง NEW INNOVATION ขึ้นมาเถิด

- มาฝึกงาน เพราะทำงานไม่เป็นจึงต้องมาฝึก ก็ถ้าทำเป็นแล้ว รู้แล้ว ชำนาญแล้วจะมาฝึกทำไม ว่ามั้ย .... เหมือน
นักเรียนต้องไปโรงเรียน เพื่อเรียนรู้ ถ้ารู้แล้วจะไปเรียนทำไม ...... CONCEPT ไร่กล้อมแกล้ม คือ ทำผิดถือว่าไม่
ผิด ทำผิดคือประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ การทำผิดคือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่

- แนวคิดของหนู ถูกต้อง....ปลูกตอนแรกมันชิดกัน เบียดกันจนโตไม่ได้ ก็ถอนแยกออกมากินก่อน ต้นที่เหลือก็
จะห่างกันแล้วโตได้เอง....ถูกต้องคร้าบบบบ

- เรื่องเกี่ยวกับปุ๋ยสำหรับพืช ขอบอกก่อนว่า "วิธีทำง่าย แต่วิธีใช้ยากกว่าเป็น 10 เท่า 100 เท่า" หนูเรียน "วิธีทำ"
แล้วต้องเรียน "วิธีใช้" อีก ทุกวันนี้ ทุกลมหายใจเข้าออกก็ว่าได้ ลุงคิมพยายามรวบรวมประสบการณ์ในการสอนว่า
สอนอย่างไร คนเรียนจึงจะเรียนได้รู้เรื่องเป็นอย่างดี ตรงตามเป้าประสงค์



จาก แปลงผักในกะละมัง สู่ แปลงใหญ่ในสวน :
- เตรียมแปลง เตรียมดิน เรียบร้อยแล้ว ใช้ฟางปูผิวแปลง กระจายฟางให้ฟู หนาซัก 1 คืบมือก็พอ

- เมล็ดพันธุ์ขนาดเล็ก ถึง เล็กมาก (เล็กกว่าเมล็ดงา) ให้ผสมเมล็ดพันธุกับทราย อัตรา 1:10 หรือ 20 ผสม
ทรายมากเมล็ดจะตกแล้วกระจายตัวห่างกันมาก ผสมทรายน้อยเมล็ดพันธุ์ก็จะตกแล้วกระจายตัวห่างกันน้อย
ผสมเมล็ดพันธุ์กับทรายแล้วหว่านลงบนฟางที่ผิวแปลงนั้นได้เลย

- เมล็ดพันธุ์ + เมล็ดทราย เมื่อกระทบฟางจะกระเด็นกระดอนตกลงพื้นห่างกันเอง

- หว่านแล้วใช้ไม้เขี่ยฟางให้ฟูขึ้นอีกครั้ง เมล็ดพันธุ์ที่อาจจะค้างอยู่บนฟางก็จะตกลงดินเอง

- เมื่อรดน้ำทับฟางหลายๆครั้ง ฟางจะยุบตัวลงสัมผัสกับผิวดินหน้าแปลง ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่เมล็ดที่จะ
งอกอีกด้วย

- กรณีเมล็ดพันธุ์ที่มีราคาแพงมากๆ จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สุดแท้ต้องเพราะใน "ถาดเพาะ" ก่อน โดย
หยอดทีละเมล็ดๆ เมื่อต้นกล้าโตได้ที่แล้วจึงย้ายลงปลูกในแปลงจริงต่อไป

- ฯลฯ



.................................... (ลุงคิม) ...............................


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 30/04/2011 6:04 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 27/04/2011 10:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส
อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสม..........ของทานตะวัน


ทานตะวัน เป็นพืชน้ำมันที่มีความสำคัญชนิดหนึ่งของประเทศในเขตอบอุ่น เป็นพืชน้ำมันที่มีคุณภาพสูงชนิดหนึ่ง ทานตะวันมีถิ่น
กำเนิดอยู่แถวตะวันตกของอเมริกา ส่วนการที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น
และนำเข้ามาปลูกใน อ.คลองตะเคียน จ.พระนครศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ พ.ศ.2199


ทานตะวัน เป็นพืชล้มลุก อายุปีเดียว อยู่ใน Family Asteraceae วงศ์ Compositae เป็นพืชไร่ ต้องการน้ำน้อย
แต่ก็ขาดไม่ได้ หากไม่ให้น้ำเลยก็ไม่สามารถอยู่ได้ พืชชนิดนี้มีฐานรองกลุ่มดอกขนาดใหญ่ โดยทั่วไปพบว่ามีลำต้นสูงประมาณ
1-3 เมตร จะไม่ผสมเกสรในต้นเดียวกันจึง ต้องอาศัยปัจจัย ภายนอกร่วมด้วย เช่น ลม แมลง เป็นต้น


ทานตะวัน คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมชื่อจึงเป็นเช่นนี้ หากคุณลองสังเกตให้ดีว่าดอกทานตะวันจะหันดอกเข้าหาแสงแดด อาจจะกล่าว
ได้ว่าทานตะวันจะหันดอกของมันเข้าหาดวงอาทิตย์ มันจึงได้ชื่อนี้มา เพราะชื่อ ทานตะวัน หมายถึง การทนทานต่อแสงแดด
เพราะหันหน้าเข้าหา ตลอดเวลา


ทานตะวัน นับว่าเป็นพืชที่มีประโยชน์ในแง่ของเศรษฐกิจ เป็นพืชใหม่ที่ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยมากนัก การส่งเสริมให้ปลูก
ทานตะวันยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร เท่าที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็ส่งเสริมให้ปลูกแถวจังหวัดภาคกลาง ทั้งที่ทานตะวันก็สามารถ
แปรรูปไปเป็นผลิตภัณฑ์ ที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศมากมาย ปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตทานตะวันได้ปีละ 23,000-
30,000 ตัน ผลผลิตที่ได้นับว่าไม่เพียงพอต่อการบริโภคของคนทั้งประเทศ ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทย จึงนำเข้าเมล็ดทานตะวัน
จากต่าง ประเทศเป็นมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท นั่นเป็นเงินที่สูญเสียไปให้กับต่างประเทศ ทั้งที่ประเทศของเราเป็นประเทศ ที่มี
สภาพภูมิอากาศที่ดี และเหมาะสมในการปลูกพืชมากที่สุดในโลก


ทานตะวัน เป็นพืชน้ำมันที่มีปริมาณน้ำมันคุณภาพสูง โดยมีปริมาณน้ำมันไม่อิ่มตัวสูงกว่าร้อยละ 90 กากเมล็ดทานตะวันมีปริมาณ
โปรตีน เหลืออยู่ร้อยละ 30- 40 นับว่าเป็นพืชที่มีกากที่ได้หลังจากการแปรรูปที่เป็นโปรตีนเหลืออยู่มากที่สุดชนิดหนึ่ง หากนำมา
เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ ก็จะดีไม่น้อยเลยทีเดียว


การใช้ประโยชน์จากทานตะวัน
ทานตะวัน คนจะนิยมปลูกเป็นพืชดอก แต่ก็สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมัน ซึ่งสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันมีคุณค่าทางอาหารสูง
โดยสกัดจากเมล็ด น้ำมันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆมากมาย เช่น อุตสาหกรรมการ
ฟอกหนัง และอุตสาหกรรมการประกอบ อาหาร จะมีบทบาทมากในการฟื้นฟูดินจากสารเคมี เช่น

- ทานตะวันสามารถสะสมตะกั่วได้
- ทานตะวันสามารถย่อยสลายสารคาร์โบฟูรานได้


ทานตะวันอุดมไปด้วยน้ำและวิตามิน อี. น้ำมันที่ได้จากเมล็ดทานตะวันจะมีกรดไลโนเลอิกสูงถึงร้อยละ 44– 5 มีความจำเป็นต่อ
ร่างกายสามารถป้องกันการแข็งตัวของเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสายตา มีประโยชน์มาก ในส่วนของการเร่งการเผา
ผลาญไขมันในร่างกาย พร้อมทั้งลดปริมาณไขมันที่จะเกิดขึ้นในร่างกาย


สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
พืชทุกชนิดในโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด พืชชนิดนั้นจะมีสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว คือ มีสภาพแวดล้อม ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดี ไม่เป็น
อุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของพืช พืชบางชนิดต้องการสภาพแวดล้อมเป็นของตัวเอง ไม่สามารถเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมอื่น
ถ้าพืชเจอสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม พืชก็จะหยุดการเจริญเติบโต รอให้สภาพแวดล้อมเหมาะสม พืชจึงจะสามารถ เจริญเติบโต
ได้ต่อไป


ทานตะวันก็เหมือนกันมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเป็นลักษณะเฉพาะตัวของทานตะวัน ดังต่อไปนี้

1. มีสภาพเป็นพื้นที่ดอน หรือที่ลุ่ม ไม่มีน้ำท่วมขัง พื้นที่ลาดเอียงไม่เกิน 5 %
2. ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร
3. ดินควรเป็นดินชนิดร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว
4. มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี
5. มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีอินทรียวัตถุไม่ต่ำกว่า 1 %
6. ค่าความเป็นกรด–ด่าง PH 6.0 - 7.5
7. อุณหภูมิที่เหมาะสม อยู่ระหว่าง 18–35 องศาเซลเซียส
8. มีปริมาณน้ำฝน 800-1,200 มิลลิลิตร/ปี


ฤดูปลูก
ทานตะวัน ก็เหมือนพืชไร่ทั่วไป มีฤดูปลูก มีสภาพอากาศที่เหมาะสม และมีสภาพพื้นที่ที่เหมาะแก่การเจริญเติบโต ซึ่งสภาพ
พื้นที่ที่เหมาะสม คือ ควรปลูกในฤดูปลายฝน (ช่วงเดือนกันยายน) อากาศอบอุ่น ความชื้นน้อย ถ้าปลูกในช่วงอากาศ
แบบนี้ ก็จะได้ผลผลิตเต็มที่ ทานตะวันมีสภาพการปลูก 2 แบบ คือ สภาพไร่ และ สภาพนา

1. สภาพไร่ จะปลูกในช่วงปลายฤดูฝน คือ ตั้งแต่เดือนกันยายน – กลางเดือนตุลาคม มีปริมาณน้ำฝนตกกระจายตลอดช่วงฤดู
2. สภาพนา ปลูกในช่วงฤดูแล้ง ช่วงเดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม


การเตรียมดิน
การปลูกพืชต่างๆ สิ่งที่มาก่อนเป็นอันดับแรกและสำคัญมากก็คือ ดิน ถ้าการเตรียมดินดี มีอินทรียวัตถุมาก ก็จะมีชัยไปกว่า
ครึ่งแล้วครับ หมายความว่า ถ้าเราใส่อินทรียวัตถุมากกว่าการใส่ปุ๋ยเคมี เป็นการลดต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความ
ว่า เราจะใส่ปุ๋ยอินทรีย์อย่างเดียว โดยไม่ใส่ปุ๋ยเคมีเลย เพราะปุ๋ยเคมีก็มีสิ่งที่ปุ๋ยอินทรีย์ไม่มี ดังนั้น เราจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วม
กับปุ๋ยเคมี เพื่อให้พืชมีผลผลิต ต่อไร่สูง ส่วนการเตรียมดินก็มี 2 แบบ คือ สภาพไร่ และ สภาพนา


1. สภาพไร่ ไถดินลึกประมาณ 30–35 cm. ตากดินทิ้งไว้ 7 วัน หลังจากนั้นให้ให้ไถพรวนดินแล้วกลบ
2. สภาพนา ไถดินลึกประมาณ 20–25 cm. ตากดินทิ้งไว้ 7 วัน หลังจากนั้นให้ให้ไถพรวนดินแล้วกลบหลังจากนั้น ให้ยกร่อง
ปลูกสำหรับแถวเดี่ยวหรือแถวคู่ ให้ยกร่องกว้างประมาณ 1.5 เมตร



มาตรการในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส
การที่จะลดต้นทุนการผลิตพืชทุกชนิด เราจะต้องมีข้อมูลพืชที่เราปลูก ว่าพืชทุกชนิดมีแมลง และโรคประจำตัวอยู่เสมอ ในระหว่าง
ที่พืชเจริญเติบโต พืชจะมีศัตรูมาก่อกวนอยู่เสมอ ไม่ว่าการเจริญเติบโตจะอยู่ในระยะใด บางทีศัตรูพืชพวกนี้จะทำลายผลผลิต
ของคุณจนไม่เหลือแม้แต่ต้นเดียว หากคุณไม่มีมาตรการป้องกันที่มีการวางแผนที่ดี ก็จะไม่สามารถเอาชนะแมลงตัวเล็กๆได้ ส่วน
มาตรการป้องกันที่ว่านี้ไม่มีสูตรตายตัว คือไม่สามารถกำหนดออกมาเป็นสูตรสำเร็จหรือเป็นตัวเลขได้ เราจะต้องใช้วิธีสังเกต และ
วิเคราะห์ถึงเหตุที่เกิดขึ้น เมื่อวิเคราะห์แล้วคุณก็จะพบหนทางแก้ไขปัญหาได้

มาตรการนี้ก็คือ การปลูกพืชหมุนเวียน ในแต่ละช่วงฤดู เหตุที่ปลูกพืชหมุนเวียนในที่นี้ก็เพราะว่าการปลูกพืชรุ่นหนึ่งเสร็จ ถ้าเราปลูกพืช
รุ่นที่สองต่อ ผลผลิตที่ได้มันมักจะลดลงตลอด ยิ่งถ้าปลูกต่อกันหลายๆรุ่น ยิ่งลดลงมากกว่ารุ่นแรกเยอะมาก เพราะเหตุนี้ เราจะต้อง
ปลูกพืชหมุนเวียน เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูดินไปด้วย ปลูกทานตะวันได้รุ่นหนึ่งเสร็จ เราก็ไถกลบ แล้วก็ปลูกถั่วต่อ เป็นการเพิ่มไนโตรเจน
และ จุลินทรีย์ให้แก่ดินไปในตัวด้วย ทั้งที่เราไม่ได้ใส่ปุ๋ย ผลผลิตถั่วที่ได้เราก็เอาไปขาย มีรายได้ตลอด

หลังจากปลูกถั่วเสร็จ เราก็หาพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวไม่มาก และมีอายุราวๆเดียวกันกับทานตะวัน นั่นก็คือ ข้าวโพด ที่เลือกข้าวโพดนี้ เพราะ
ผมคิดว่าอุตสาหกรรมข้าวโพดของไทย เป็นอันดับต้นๆของโลก เราสามารถที่จะปลูกเป็นรายได้เสริมไปด้วย

มาตรการป้องกันที่ว่านี้ หากทำได้จะเป็นการลดต้นทุนการผลิตไปในตัว แต่ในทางตรงกันข้ามเราก็มีผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย นี่เป็นการ
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนะครับ

รายได้เสริมที่น่าสนใจอีกวิธีหนึ่งก็คือ การปลูกทานตะวันเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ไร่ของเราไปในตัวด้วย
ซึ่งในปัจจุบันก็นับว่าไร่ทานตะวัน มีสีเหลืองทอง เป็นทัศนียภาพที่งดงามมาก ในระหว่างที่คนมาท่องเที่ยว เราก็ขายผลิตภัณฑ์ ที่เรา
สามารถผลิตเองได้ โดยใช้วัตถุดิบจากไร่ เช่น น้ำมันจากเมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันที่ขบเคี้ยวเล่น และสามารถขายต้นทาน
ตะวันอีก เป็นต้น


ทานตะวัน ถึงแม้จะเข้ามาในประเทศไทยตั้งนานแล้ว แต่ก็นับว่ายังเป็นพืชที่ใหม่อยู่ และนับว่าเป็นพืชที่ไม่ค่อยจะนิยมปลูกกัน ทั้งๆที่
ทานตะวันสามารถให้คุณค่าทางอาหารสูง และสามารถนำไปเป็นพลังงานทดแทนได้อย่างมีคุณค่า ไม่น้อยกว่าพืชชนิดอื่นที่นิยมปลูกกัน
แต่การที่จะปลูกทานตะวันต้องมีแนวคิดที่ชัดเจน จะแนวคิดเกี่ยวกับการปลูก การใส่ปุ๋ย การดูแลรักษา การป้องกัน เป็นต้น มาตรการ
ที่ว่านี้คือการใส่ปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าปุ๋ยเคมี จุดประสงค์ คือ เพื่อให้พืชได้รับธาตุอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของมันเอง พืชแต่
ละชนิดจะต้องการ ธาตุอาหารต่างกัน แล้วแต่จุดเด่นของพืชแต่ละชนิด เช่น พืชน้ำมัน พืชดอก เป็นต้น พืชจะต้องการธาตุอาหารที่
ต่างกัน ดังนั้น เราจะต้องหา ธาตุอาหารที่เหมาะสมกับพืชชนิดนั้น



นาย ธีระวัฒน์ สุขรี
สาชาพืชไร่ ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
...


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/05/2011 7:05 pm, แก้ไขทั้งหมด 5 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 28/04/2011 12:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ดีมาก เป็นก้าวแรกที่ดีมากๆ....จงก้าวต่อไปนะลูก....
งานแบบนี้ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ไม่มีตัวเลข และไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกอย่างหรือทุกขั้นตอนขึ้นอยู่กับ "วัตถุประสงค์" หรือ
ตัวเลข "ราคาขาย ลบด้วย ต้นทุน" คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุด


เพิ่มเติม :
- ข้อมูลนี้บ่งบอกว่า "อ่าน" มามาก สมกับเป็นนักอ่านอย่างแท้จริง เนื้อหาในแนวคิดนี้จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หากมีส่วนที่
เรียกว่า "ประสบการณ์" เข้ามาเสริมเติมเต็ม ในรั้วมหาลัยหรือสถานศึกษาไหนๆให้ได้แต่ ความรู้/วิชาการ/ทฤษฎี แต่
การปฏิบัติ/ประสบการณ์ เธอต้องออกไปหาเอาเองนอกมหาลัย เพื่อไปสู่ "วิชาการ + ประสบการณ์ + จินตนาการ
+ แรงจูงใจ + แรงบันดาล" หนทางแห่งความสำเร็จของชีวิต

- ดอกทานตะวันจะหมุนตามตะวันตั้งแต่เช้าเริ่มแสงถึงค่ำสิ้นแสง ทุกวันที่มีแสงแดด ต่อเมื่อเกสรได้รับการผสมแล้ว
จึงจะหยุดหมุนตามตะวัน




เทคนิคการเขียนแผน :

***** ลดรายจ่าย *****
- ค่าที่ดิน
- ค่าปุ๋ย
- ค่าน้ำ
- ค่าเมล็ดพันธุ์
- ค่าสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
- ค่าแรง (เครื่องจักร/คนงาน)
- ค่าขนส่ง
- ค่าเสียโอกาส
- ฯลฯ



****** เพิ่มรายได้ *******
- ช่วงทานตะวันต้นเล็ก ปลูกถั่วแทรก ก่อนทานตะวันโตออกดอก เก็บผลผลิตถั่วขายก่อน
- แปรรูปทำเมล็ดทานตะวันงอก
- แปรรูปทำน้ำมันทานตะวัน
- เศษซากต้น/ดอกทานตะวัน ทำปุ๋ยอินทรีย์
- ทำ ปุ๋ย/ฮอร์โมน/สารกำจัดศัตรูพืช ขายแปลงข้างเคียง



****** ขยายโอกาส ******
- รวมกลุ่มผลิต ปุ๋ย/ฮอร์โมน/สารกำจัดศัตรูพืช
- รวมกลุ่มตั้งโรงงานแปรรูป ด้วยงบ อบต.
- รวมกลุ่มแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิต และการตลาด จากในประทศ ถึงต่างประเทศ
- รวมกลุ่มเพื่อเป็นพลังต่อรองกับโรงงานรับซื้อผลผลิต
- รวมกลุ่มสร้างแหล่งท่องเที่ยว และกิจกรรมเกี่ยวเนื่อง
- รวมกลุ่ม พบปะ/เสวนา ระหว่างผู้ผลิตกับผู้รับซื้อ เพื่อกำหนดแนวทางการตลาด



แนวทางวิเคราะห์แผน :
- LIST รายการย่อยหรือหัวข้อสำคัญย่อย (ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับ) ของแต่ละหัวข้อใหญ่ขึ้นมาก่อน
- เปรียบเทียบระหว่าง MAXIMUM กับ MINIMUM ตามหลักเศรษฐศาสตร์การลงทุน
- คิดแบบลงทุนเพื่อลดต้นทุนระยะยาว
- ตั้งเป้าประสงค์ ผลผลิตเพิ่ม (ทั้งคณภาพและปริมาณ) ต้นทุนลด อนาคตดี


ลุงคิม (ยกตัวอย่างวิธีวางแผน) ครับผม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 28/04/2011 9:55 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส
ตามหลัก อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญต่อการเลี้ยงสัตว์อย่างมาก ปัจจุบันการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีไม่เพียงพอต่อ
ความต้องการและมีปริมาณไม่แน่นอน เนื่องจากการผลิตขึ้นกับดินฟ้าอากาศประเทศไทยจึงต้องนำเข้าเพื่อให้เพียงพอกับ
ความต้องการการใช้ภายประเทศ ปัจจุบันประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ปลูกเป็นข้าวโพดพันธุ์ลูกผสม

แหล่งผลิตสำคัญภายในประเทศ
ภาคเหนือ ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ พิษณุโลก
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา ศรีสะเกศ ชัยภูมิ
ภาคกลาง ได้แก่ สระบุรี ลพบุรี
ภาคตะวันตก ได้แก่ สุพรรณบุรี กาญจนบุรี
ภาคตะวันออก ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี

ฤดูปลูก แบ่งเป็น 2 ฤดู
ต้นฝน เดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ปลายฝน เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม



เทคโนโลยีการปลูกข้าวโพด

การเตรียมดินปลูกข้าวโพด :
1)ใส่อินทรีย์วัตถุประเภทคงทนเช่น แกลบ ขี้วัว กาบมะพร้าว ฯลฯ จากนั้นไถดินด้วยผาน 3 1–2 ครั้ง (เพื่อให้อินทรียวัตถุลง
ไปอยู่ในดิน) จากนั้นตากดินไว้ 7–15 วัน

2)ไถดินด้วยผาน 7 อีก 1–2 ครั้ง โดยกดผานลงให้ลึกที่สุดหรือประมาณ 50-80 ซม.

3)ใช้รถแทรกเตอร์แถกร่องเพื่อเตรียมปลูกโดยใช้แรงคนหรือรถแทรกเตอร์ปลูกเลยก็ได้

***หมายเหตุ การวิเคราะห์ดินก่อนปลูก
ถ้าดินมีความเป็นกรดด่างต่ำกว่า 5.5 ก่อนเตรียมดิน ควรหว่าน อินทรีย์วัตถุ 1-2 ตันต่อไร่และยิปซั่มธรรมชาติ 20-25
กิโลกรัมต่อไร่



ปัญหาของพืช ข้อจำกัด และโอกาส :
• มีพื้นที่ปลูกลดลง แต่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น
• ประสิทธิภาพการผลิตต่ำเนื่องมาจากฝนทิ้งช่วงดินเสื่อมและการปนเปื้อนสารพิษโดยเฉพาะสารอะฟลาทอกซิน(Aflatoxin)
ช่วงต้นฤดู
• มีการระบาดของโรคและแมลงในช่วงปลายฝน
• ผลผลิตกระจุกตัวในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม
• เมล็ดพันธุ์ดีของภาคเอกชนมีราคาแพง
• ภาคเอกชนไม่รับเนื่องจากเกษตรกรมีการฉีดสารเคมีในปริมาณที่เกิดกำหนดทำให้สารตกค้างในผลผลิต
• การขาดน้ำในการปลูกทำให้ผลผลิตออกมาไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ตลาดต้องการ


***หมายเหตุ
Aflatoxin เป็นสารพิษชนิดหนึ่งซึ่งมักพบเจือปนอยู่ในอาหารซึ่งเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ประเภทเชื้อรากลุ่ม Aspergillus
flavus, A. parasiticus และ A. nomius แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราชนิด Aspergillus flavus ที่เจริญเติบโตอยู่บน
เมล็ดถั่วลิสงและข้าวโพดและอาจพบในข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี มันสำปะหลัง หอม กระเทียม พริกแห้ง มีสีเขียวหรือสีเขียวแกม
เหลือง มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถทนความร้อนสูง การต้มหรือทอดไม่สามารทำลายสารนี้ได้

***Aflatoxin เมื่อบริโภคจำนวนมากทำให้อาการท้องเดิน อาเจียน ถ้าบริโภคแบบสะสมเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะ
มะเร็งตับ



ข้อมูลจาก : http://th.wikipedia.org





โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

โรคราน้ำค้าง หรือ โรคใบลาย
• ระบาดรุนแรงในระยะต้นอ่อนถึงอายุประมาณ 1 เดือน ทำให้ยอดมีข้อ ต้นแคระแกร็น ใบเป็นทางสีขาว เขียวอ่อน
หรือเหลืองอ่อน ไปตามความยาวของใบ
• พบผงสปอร์สีขาวเป็นจำนวนมากบริเวณใต้ใบในเวลาเช้ามืดที่มีความชื้นสูง ถ้าระบาดรุนแรงต้นจะแห้งตาย แต่ถ้า
ต้นอยู่รอดจะไม่ออกฝักหรือติดฝักแต่ไม่มีเมล็ด


โรคราสนิม
• เกิดได้แทบทุกส่วนของต้นข้าวโพด ระยะแรกพบจุดนูน สีน้ำตาลแดง ขนาด 0.2-1.3 มิลลิเมตร ต่อมาแผลจะแตก
เห็นเป็นผงสีสนิม ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ใบแห้งตาย
• ในแหล่งที่มีโรคระบาดให้ปลูกพันธุ์ต้านทาน ได้แก่ นครสวรรค์ 72 สุวรรณ 3851 หรือสุวรรณ 5

การป้องกันและกำจัดโรค
ควรฉีดน้ำให้กับพืชเพื่อป้องกันการโรคน้ำค้าง/โรคราสนิมหรือป้องกันได้จากการทำสารสกัดสมุนไพรที่มีรสขมฉีดพ่น
เพื่อป้องกันกำจัดการเกิดโรคพืชทุกวัน เช้า-เย็น

***หมายเหตุ
โรคพืชเกิดจากเชื้อไวรัสที่อาจจะติดมากับเมล็ดพันธุ์พืชตั้งแต่แรกเริ่มหรือลอยตามอากาสมาติดกับพืช



แมลงศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด :
เจาะเข้าทำลายส่วนยอดช่อดอกตัวผู้ และลำต้น ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต หักล้มง่าย เมื่อมีการระบาดรุนแรงจะเข้า
ทำลายฝัก พบการทำลายในแหล่งปลูกทั่วไป

หนอนกระทู้หอม :
กัดกินทุกส่วนในระยะต้นอ่อน จะทำความเสียหายรุนแรงเมื่อหนอนมีความยาวตั้งแต่ 2 เซนติเมตร

มอดดิน :
กัดกินใบตั้งแต่เริ่มงอกถึงอายุประมาณ 14 วัน ทำให้ต้นอ่อนตาย หรือชะงักการเจริญเติบโต ต้นที่รอดตายจะเก็บเกี่ยว
ได้ล่าช้า การป้องกันและกำจัดแมงศัตรูพืช เราสามาทำได้หลายวิธีการแต่แนะนำให้ทำสารสกัดสมุนไพรเองฉีดไร่แมลงศัตรู
พืชทุกวัน เช้า-เย็น ก็สามารถป้องกันได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนทางด้านสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอีกด้วย


สัตว์ศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
หนู :
ทำลายตั้งแต่เริ่มเป็นฝักอ่อนจนถึงเก็บเกี่ยว สกุลหนูพุกกัดโคนต้นให้ล้มแล้วกัดกินฝัก สกุลหนูท้องขาว ได้แก่ หนูบ้าน
ท้องขาว หนูนาใหญ่ หนูนาเล็ก และสกุลหนูหริ่งปีนกัดแทะฝักบนต้น

การป้องกันและกำจัด หากทำความเสียหายอย่างรุนแรงให้ใช้วิธีป้องกันกำจัดแบบผสมผสาน คือ ใช้กรงดักหรือกับดัก
ร่วมกับการใช้เหยื่อพิษ




การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส


ก่อนที่เราจะปลูกพืชแต่ละชนิดเราควรจะศึกษาหาข้อมูลให้กระจ่างเสียก่อน แล้วจากนั้นเราก็ไปศึกษาตลาดว่าพืชที่เราปลูกนั้น
มีความต้องการมากน้อยเพียงใด เราสามารถนำส่งไปยังตลาดต่างๆได้โดยวิธีการใดบ้าง

ขั้นตอนแรกและที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือในแปลงปลูกพืชของเรานั้นคือ มีน้ำเพียงพอต่อการปลูกพืชตลอดทั้งปีหรือไม่ ถ้าไม่
พอเราควรทำจะอย่างไรเพื่อให้เพียงพอ เช่น เราอาจจะขุดบ่อภายในไร่ก็ได้ ประการที่สำคัญต่อมาคือดินที่เราใช้เพาะปลูก
นั้นมีสารอาหารเหมาะสมเพียงพอกับความต้องการพืชหรือไม่จากนั้นเราก็จัดการเตรียมดินเพาะปลูกพืชตามข้อมูลข้าง
ต้นทั้งนี้ทั้งนั้นการปลูกพืชแต่หละชนิดเราควรคำนึงถึง 6 ปัจจัยพืชดังต่อไปนี้ ดิน น้ำ แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล สาร
อาหาร พันธุ์ โรค

ในการปลูกพืชนั้นเราสามารถลดต้นทุนจากการใช้ปุ๋ยใช้สารเคมีได้เพียงแค่เราสามารถทำปุ๋ยได้เองทำสารสมุนไพร
ป้องกัน/กำจัดศัตรูพืชได้เอง เราก็สามารถลดต้นทุนได้มากมายแล้ว นอกจากนั้นพื้นที่เหลืออยู่ภายในแปลงปลูกเรา
สามารถปลูกพืชหมุนเวียนได้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่ของเรานั้นมากเท่าไรเหมาะต่อการปลูกพืชชนิดใดหรือเรา
จะปลูกผักสวนครัวนำมาบริโภคเอง ถ้าเหลือยังนำส่งไปขายยังตลาดข้างเคียงได้อีกด้วย ข้าวโพดเราสามารถนำมาแปรรูป
ได้อีกด้วย อาทิเช่น ทำสบู่ขัดผิวข้าวโพด เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคนิยมใช้ผลิตภัณฑ์สกัดจากธรรมชาติเพื่อรักษาสุขภาพ
และสิ่งแวดล้อมอีกทั้งส่วนต่างๆที่เหลือจากการทำสบู่ คือ เมล็ด ซัง ต้นสด ต้นแก่ และผลพลอยได้อื่น ๆ จากโรงงานอุต
สาหกรรมข้าวโพด ได้แก่ เปลือกเมล็ด กาก และรำ เป็นต้นสามารถส่งเข้าโรงงานผลิตอาหารสัตว์ได้อีกด้วยซึ่งมีความ
ต้องการข้าวโพดของโรงงานเหล่านี้ปริมาณสูงมาก



ข้อมูลเรื่องข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดย โบ๊ทบาว ครับพี่น้องงง


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 16/08/2016 11:31 am, แก้ไขทั้งหมด 5 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 30/04/2011 3:24 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำฮอร์โมนไข่ไทเป สูตร 200 ล. (ครั้งที่ 2) ....




1. อ๋อมแอ๋ม : กันดั้ม แอ๋มว่าฮอร์โมนไข่ ขั้นที่สองนี่ มันมีกลิ่นแปลกๆนะ เหม็นเปรี้ยวยังไงก็ไม่รู้ Sad
กันดั้ม : งั้นเราก็คงจะต้องเติม กลูโคสแล้วหละ เพราะ จุลินทรีย์ขาดหวานไม่ได้นะจ๊ะ Smile




2. กินเยอะๆนะจ๊ะ จะได้มีแรงต่อสู้กับจุลินทรีย์ที่ไม่ดีนะจ๊ะ Smile




3. ช่วยหน่อยสิโบ๊ท หนักอ๊ะ




4. ใส่กลูโคสซะหน่อย พืชจะได้เอาไปใช้ง่ายๆ



5. สีสวยจังเลย ตะกอนก็น้อยด้วย อย่างนี้ อ๋อมแอ๋มให้ผ่านค่ะ Smile





6. พืชได้กิน เราได้เงิน ถ้าเราทำเองเป็น คงจะรวยเละแน่เลยเนาะ ว่าไหมอ๋อมแอ๋ม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ Smile


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/05/2011 6:32 am, แก้ไขทั้งหมด 7 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
iieszz
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 15

ตอบตอบ: 01/05/2011 6:49 pm    ชื่อกระทู้: 1-05-54 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

โครงการปลูกต้นไม้ สร้างฝายขยายคูคลอง สนองพระมหากรุณาธิคุณ
โดย หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก 29 เม.ย. 54
ณ ร.ร.หนองพลับวิทยา อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์






1.




2.




3.




4.




5.




6.




7.




8.




9.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 01/05/2011 8:44 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำฮอร์โมนน้ำดำไบโออิ สูตร 200 ล. (ครั้งที่ 2) .....



1.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/05/2011 5:59 am, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 01/05/2011 9:03 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


สมช.รายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตร มายินดีต้อนรับพร้อมของฝาก....




1. ป้าติ๋ม (เสื้อยืดคอปกสีเขียว) มาพร้อมกับแคนตาลูปแสนอร่อย นำมาแจกให้กับทุกคน Smile

แคนตาลูปของป้าติ๋ม ไม่มีการเอาไปเร่ขายที่ไหนเลย ทุกวันจะมีลูกค้าพยาบาล. ครู. คนมีเงิน มาซื้อถึงสวน
ราคาหน้าสวน กก.ละ 50-70 บาท ปีนี้โรตัสสั่งออร์เดอร์มาหลายร้อย กก. ป้าติ๋มบอกว่าไม่มีส่ง



2. WOWWWWW!!!!! แคนตาลูปน่ารับประทาน

แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่ไม่ต้องบ่ม จะรู้ว่าลูกไหนแก่หรือยัง ให้นับอายุผล กับดมกลิ่น
ถ้าเป็นพันธุ์ที่มีกลิ่นก็จะได้กลิ่นชัดเจน นั่นแหละตัดได้เลย




3. แคนตาลูปลูกใหญ่ มุ่งเน้นลูกค้าที่ไม่ชอบทานหวาน แต่กรอบอร่อยใช่เล่นเลยนะเนี๊ยะ

แคนตาลูป....ดินปลูกสำคัญมาก ต้องมีอินทรีย์วัตถุกับสารปรับปรุงบำรุงดินเยอะๆ การบำรุงต้องไม่ให้
ใบแรกโคนต้นร่วงอย่างเด็ดขาด เพราะฉนั้นต้องใช้ น้ำ+ปุ๋ย ตลอดเวลา




4. ดูแล้วสีสันน่าทานมากๆ เลยใช่ไหมล้ะครับ Smile

ในเถาให้เอาเฉพาะลูกที่เกิดจากข้อใบที่ 8-12 ลูกเดียว ส่วนลูกจากข้ออื่นๆให้เด็ดทิ้งทั้งหมดตั้งแต่เป็นดอก
และดอกที่จะเอาไว้ให้เป็นลูกควรต้องช่วยผสมเกสรด้วยจึงจะดี




5. ลูกเล็กนั้น มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าที่ชอบทานหวานๆฉ่ำๆ อย่าเช่นตัวผมเองนี่แหละ Smile คอนเฟิร์มเลยว่า
ของเค้าอร่อยมากๆครับ

ป้าติ๋มบอกกับลุงคิว่า เป็นพันธุ์ลูกผสมเปิด ลุงคิมเลยสั่ง กินแล้วเอาเมล็ดกลับบ้านด้วย จะเอาไปปลูกที่ไร่
กล้อมแกล้มบ้างละ




6. อย่างนี้นี่เองที่เค้าเรียกกันว่า "เกรดเอ จัมโบ้ โกอินเตอร์ ขึ้นห้าง คนนิยม"

ป้าติ๋มบอกมีที่ดิน 5 ไร่ ปลูกแคนตาลูปทีละแปลงๆ ละ 2 ไร่ สลับกันไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินสะสมโรค
แล้วใช้ปุ๋ยของบริษัทสปอนเซอร์รายการวิทยุลุงคิมภาคเช้าทุกตัวแบบครบวงจรเลย

นี่ไง หลักปรัชญาลุงคิม "ทำน้อยได้มาก ทำมากได้น้อย" นะ จะบอกให้....




7. ตาน้อย กับ ยายพรม (เสื้อคอกลมสสีชมพู ขลิบน้ำเงิน สพายกระเป๋าไว้ข้างหน้า) ผู้มาพร้อมกับสโลแกน
"คนบ้าไม่มีหนี้ คนดีหนี้เต็มบ้าน"
เจ้าของสูตรค้างถั่วฝักยาว ไร่ละ 35 บาท วันนี้มาพร้อมกับ
กล้วยทอดหม้อโต และกล้วยน้ำว้าหวีเบ้อเริ่มเลย




8. กล้วยทอดอร่อยมากเลยค่ะ หนูคอนเฟิร์ม Smile
ที่งานกินกันไม่หมด ที่เหลือใส่ถุงกลับมากินต่อตอนดึกก่อนนอนที่ไร่กล้อมแกล้มด้วยละ





9. ร่วมถ่ายภาพกับคุณลุงวินัย โรจนยินดี (081)299-0745 แห่งสามพราน นครปฐม หนึ่งในสมาชิก "ชมรมสีสันชีวิตไทย"




10. คุณลุงนันต์สุรัตน์ รักรุกรบ (089)821-8273 อดีตตำรวจ ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี หนึ่งในสมาชิก "ชมรมสีสันชีวิตไทย" เช่นกันครับ






11. แปลงแคนตาลูปป้าติ๋ม เทคโนชาวบ้านๆ ธรรมดาๆ ไม่เห็นต้องไฮเทคอะไรเลย แค่นี้ก็ไม่พอขายแล้ว


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/07/2011 3:49 pm, แก้ไขทั้งหมด 14 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 01/05/2011 9:30 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าว ก่อนหว่าน....




จากในรูป เราสามารถแยกข้าว ที่แช่ ออกมาได้ 3 ประเภท โดยดูจากลักษณะการลอยตัวของเมล็ดครับ

ข้าวที่ลอยน้ำข้างบนเลย เป็นข้าวลีบครับ ใช้การไม่ได้ ส่วนข้าวที่ตั้งชี้อยู่บนข้าวที่จม นั่นคือข้าวนกครับ

ส่วนข้าวที่เราจะนำไปหว่าน หรือ เพาะนั้น คือข้าวที่จมอยู่ด้านล่างครับ Smile


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 04/05/2011 5:29 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 01/05/2011 10:08 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


ฮอร์โมนไข่ไทเป 100 ล. พร้อมแจก สมช.อาสาสมัครป้องกันภัยทางอากาศ
โดยหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก (นปอ) โครงการอบรม
ให้ความรู้ และปลูกฝังอุดมการณ์ความจงรักภักดีต่อสถาบัน ที่ ร.ร.หนองพลับวิทยา
หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 29 เม.ย. 54....





1. ไทเปพร้อม คนก็พร้อมครับ Smile




2. เรื่องเปิดตาดอก มั่นใจ "ไทเป" ค่ะ Smile






สาธิตการทำแคลเซียม โบรอน ซุปเปอร์ .....



3. ลุงคิมกล่าวทักทายชาวบ้านที่เข้าร่วมอบรม และถือโอกาสพบปะกับแฟนรายการวิทยุสีสันชีวิตไทย
มีคุณตำรวจคนหนึ่งลงทุนลาราชการจากกรุงเทพฯ เพื่อมาพบกับตัวจริงของลุงคิมเลยทีเดียว
ว้าว......ลุงคิมนี่ก็ดังใช่ย่อยนะเนี่ย





4. บรรยากาศภายในห้องอบรม ลุงคิมพูดคุยกับตัวแทนชาวบ้านทั้ง 10 หมู่บ้าน ถึงปัญหาการเกษตร
ในปัจจุบัน ด้วยอารมณ์สบายๆ

ลุงคิมเดินไปพูดไปจากหน้าห้องถึงท้ายห้อง เพื่อตรวจสอบความสนใจของคนที่เป็นเกษตรกรต่อปุ๋ย
ทางใบตัวนี้ ได้ยินลุงบอกว่า "ไม่มีใครสนใจเลย (ว่ะ)..."





5. เริ่มต้นการทำ CaB 10 ลิตร
ขั้นตอนแรก : ใส่น้ำ 10 ลิตรครับ




6. ชาวบ้านให้ความสนใจกับเครื่องปั่นโมลิเน็กซ์เล็กนี่มากเลยทีเดียว ฉบับทำใช้เอง ง่ายๆ ค่ะ
แค่มีสว่านก็นำมาดัดแปลงได้แล้ว




7. ลุงคิมให้ความรู้เรื่องการทำอุปกรณ์โมลิเน็กอย่างง่าย และสามารถทำได้เองที่บ้านครับ




8. ขั้นต่อมาของการทำ Ca.B ต้องปั่นน้ำก่อนค่ะ




9. อ๋อมแอ๋มกำลังใส่โบรอนลงไปช้าๆ ปั่นด้วยความเร็วรอบสม่ำเสมอ ตรวจสอบ ดู สี กลิ่น กาก ฝ้า ฟอง





10. ปรับ pH น้ำด้วย Buffer 1 cc เพื่อให้ได้น้ำที่มี pH = 6.0




11. ตรวจสอบดูการละลายของโบรอนก่อน ให้แน่ใจว่าละลายดีแล้ว หากละลายยังไม่หมดแล้วเติมตัวอื่นลงไป
จะทำให้โบรอนหยุดการละลาย ทำให้น้ำขุ่นและใช้ไม่ได้ไปเลย อันนี้ต้องระวังให้มากนะคะ




12. .บ๋อมแบ๋มช่วยจับกรวยหน่อยจ้า อ๋อมแอ๋มจะเติมแคลเซียมไนเตรทแล้ว




13. เมื่อไหร่แคลเซียมจะละลายซะทีน้า รอนานอย่างนี้เค้าเขินแย่แล้วนะเนี่ย




14. เติมสีแดงน้ำอุทัยลงไป อันนี้เป็นความจำเป็นต้องใช้น้ำอุทัยซึ่งเกิดจากความผิดของอ๋อมแอ๋มเองที่
ลืมหยิบเอาสีผสมอาหารไป ขอแก้ขัดไปก่อนนะคะ




15. น้ำเริ่มออกเป็นสีแดงเรื่อๆ แล้ว แต่ยังไม่พอ แดงแค่นี้ยังไม่ขลัง แค่นี้ก็ได้ Ca.B ตามต้องการแล้ว




16. แต่ยังไม่พอ แค่ Ca.B ยังไม่พอ ของเราจะทำให้เป็น Ca.B ซุปเปอร์โดยการเติม
ธาตุรอง - ธาตุเสริม Amino protene และกลูโคสลงไป





17. งานเข้าแล้วสิเรา ต้องเล่าประสบการณ์การฝึกงานให้คนเป็นร้อยฟัง พูดผิดพูดถูกอยู่นั่นแหละนี่
ขนาดเตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วน้า ยังตื่นเต้นได้อีก แต่ก็ขอบคุณที่ผ่านพ้นเหตุการณ์ไปได้ด้วย
ดีหรือเปล่าน้า




18. วัดความถ่วงจำเพาะของ Ca.B ที่ทำได้ 10 ค่ะ เสร็จเรียบร้อยกระเทียมดอง เตรียมแจก




19. ชื่อโครงการที่เราไปมาค่ะ


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/05/2011 6:15 pm, แก้ไขทั้งหมด 11 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 01/05/2011 10:25 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


1. อ๋อมแอ๋ม. หนูมาจากที่ราบสูงค่ะ บ้านหนูไม่มีทะเล ดีใจจังเลย ฝึกงานที่ไหนจะมีความสุขขนาดนี้
ถ้าไม่ใช่ที่ไร่กล้อมแกล้ม ถ้าไม่ใช่ลุงคิม ก่อนกลับหนูว่าจะกรอกน้ำทะเลใส่ขวด วางไว้บนหัวนอน




2. ชักภาพหมู่ ชายหาด ชะอำ รักสถาบันมากไปเที่ยวทะเล ยังใส่เสื้อสถาบัน
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จงเจริญ




3. เปลี่ยนมือกล้องซะหน่อย เดี่ยวโบ๊ท จะน้อยใจไม่ได้ถ่ายรูป




4. พวกเรามีกัน 6 คน จะไม่ทิ้งกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตลอดไป




5. ! ! คุณเห็นอะไรจากภาพ ! !




6. เด็กเกษตร ก็มีอารมณ์ศิลปิน แต่นาย ต้น อาปาก ชูไม้ชูมือ ไม่รู้เรื่องเลย หมดอารมณ์ศิลปิน




7. คนหนึ่งบอกว่าหนูสวย คนหนึ่งบอกหนูไม่สวยแต่น่ารักค่ะ ได้ฝังแล้วคิดยังไง ก็ว่ากันไป
แต่อีก 4 หนุ่ม ขอแย้งอย่างเต็มกำลังศึก




8. ได้เจอทะเล ร้อนแค่ไหน ก็ยิ้มได้




9. จะที่ไหน แห่งไหน ตำบลใด จังหวัดอะไร ผม...จะบินแล้ว อ้าาาาาาาาา



10. จะที่ไหน แห่งไหน ตำบลใด จังหวัดอะไร หนู...ต้องสวยค่ะ




11. จะที่ไหน แห่งไหน ตำบลใด จังหวัดอะไร หนู...ไม่คิดว่าหนูสวย แต่น่ารักมากค่ะ




12. จะที่ไหน แห่งไหน ตำบลใด จังหวัดอะไร ผม...อยากมีเรื่องกับมือกล้อง




13. กันดั้ม อย่าทำทิวซิ ทิวออกจะตัวเล็กน่ารัก น่าสงสาร




14. หลังจากที่บินสำรวจมานาน ต้น ก็ล่า หมึก มาได้หนึ่งตัว “ไงครับท่านผู้ชม จะมีใครทำได้แบบผม




15. สจล. = สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง บ้านหลังใหญ่ของพวกเรา ที่เรารัก หวงแหน
ทำให้พวกเราได้มาเจอกัน ได้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เราจะเก้าไปให้ถึงเส้นชัยด้วยกัน และพวกเราจะตอบแทนคุณสถาบัน




16. นี่ก็เป็นอารมณ์ศิลปิน ของเด็กเกษตร สัมพันธภภาพระหว่าง สจล.และ ไร่กล้อมแกล้ม
โดยนักศึกษาฝึกงาน รุ่น 9






17. อาหารมื้อเที่ยง ณ หาดชะอำ อาหารมื้อนี้อร่อยสุดๆเลย
มันคือ ปูผัดผงกะหรี่ ริมทะเล ได้ทั้งบรรยากาศแถมอาหารอร่อยอีกต่างหาก



เสริม :
ค่าอาหาร เครื่องดื่ม ไอสกรีม. (ไม่มีเหล้า) ที่หาดเจ้าสำราญ ชะอำ มื้อนั้นสนนราคาถูกมากๆ
อาหารทะเลตั้ง 7-8 อย่าง คิดแล้วตกหัวละ 200 บาทเท่านั้นเอง......(ลุงคิม)


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 09/05/2011 6:45 pm, แก้ไขทั้งหมด 6 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 01/05/2011 11:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส
อินทรีย์นำ เคมีเสริมตามความเหมาะสมของ ถั่วเขียว



ถั่วเขียว เป็นพืชตระกูลถั่ว ที่ให้เมล็ดที่มีเปลือกสีเขียว
แต่เนื้อเมล็ดสีเหลือง ถั่วเขียวเป็นพืชที่มีอายุสั้น
หรือวงจรชีวิตของถั่วเขียวมันสั้น จึงใช้น้ำน้อยกว่าพืชไร่อื่นหลายชนิด
และงอกได้เร็ว สามารถใช้ในระบบปลูกพืช
เช่น ทดแทนข้าวนาปรัง ปลูกก่อนข้าวโพดในพื้นที่ประสบภัยแล้ง
ใช้ปลูกก่อนหรือหลังการทำนาหรือทำไร่ เพื่อตัดวงจรการระบาดของศัตรูพืช ช่วย บำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ตรึงไนโตรเจนได้ดี สามารถใช้เป็นปุ๋ยพืชสดให้ปริมาณไนโตรเจนสูง

ปัญหาของพืช ข้อจำกัด และโอกาส
• ผลผลิตต่อไร่ต่ำ เนื่องจากขาดการใช้พันธุ์ และเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมกับศักยภาพในแต่ละแหล่งปลูก
• ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากต้องใช้แรงงานในการเก็บเกี่ยว
• มีการระบาดของโรคแมลงมาก
• เมล็ดพันธุ์มีราคาแพง
• การสุกแก่ของฝักไม่พร้อมกัน ทำให้คุณภาพเมล็ดต่ำ
• ด้วงถั่วทำลายคุณภาพเมล็ด
• ราคาผลผลิตไม่แน่นอน เกษตรกรขาดอำนาจต่อรอง เนื่องจากไม่มีมาตรฐานการคัดเกรดคุณภาพ เพื่อกำหนดราคาขาย
ตลาดส่งออกมีคู่แข่งหลายประเทศ

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ดิน
ดินที่เหมาะสมกับถั่วเขียว ดินร่วน ดินร่วนเหนียว ดินเหนียว หรือดินร่วนเหนียวปนทราย
การระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี ระดับหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 25 เซนติเมตร
ค่าความเป็นกรดเป็นด่างระหว่าง 5.5-7.0 และไม่มีน้ำขัง การเตรียมดินที่ดีทำให้เมล็ดงอกงามได้เร็วและช่วยกำจัดวัชพืช
การเตรียมดิน
การปลูกในฤดูฝน ในสภาพไร่ เตรียมดินโดยไถ 1 ครั้ง ลึก 20-30 เซนติเมตร ตากดิน 7-10 วัน
พรวน 1 ครั้ง แล้วคราดเก็บเศษซาก ราก เหง้า หัว และไหล ของวัชพืชข้ามปีออกจากแปลง
การปลูกในฤดูแล้ง ในสภาพนา มี 2 วิธี
- ปลูกโดยอาศัยน้ำชลประทาน ให้เตรียมดินปลูกเช่นเดียวกับในฤดูฝน
- ปลูกโดยอาศัยความชื้นในดิน และไม่มีการให้น้ำชลประทาน ต้องเตรียมดินให้ละเอียด โดยไถดิน 1-2 ครั้ง หว่านเมล็ด แล้วพรวนกลบ

ฤดูปลูก
การปลูกในฤดูฝน ในสภาพไร่ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ต้นฤดูฝน (เมษายน-พฤษภาคม) และปลายฤดูฝน (สิงหาคม-กันยายน)
การปลูกในฤดูแล้ง ในสภาพนา มี 2 วิธี
ปลูกโดยอาศัยน้ำชลประทาน (ธันวาคม-มกราคม)
ปลูกโดยอาศัยความชื้นในดิน และไม่มีการให้น้ำชลประทาน (ธันวาคม-มกราคม)


การเก็บเกี่ยว
ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ถั่วเขียวเป็นพืชที่มีการสุกแก่ของฝักไม่พร้อมกัน
อายุเก็บเกี่ยวของถั่วเขียวขึ้นอยู่กับพันธุ์
ความชื้นดินและสภาพภูมิอากาศ โดยทั่วไปจะเก็บเกี่ยว 2 ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อถั่วเขียวมีฝักสุกแก่ 80 เปอร์เซ็นต์
และครั้งที่ 2 หลังจากเก็บเกี่ยวครั้งแรกประมาณ 14 วัน

การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ของถั่วเขียว
การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ของถั่วเขียว

ไม่ว่าพืชชนิดใด ก่อนการปลูกเราควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพืชชนิดนั้นให้ดีเสียก่อน และดูว่าสภาพดินที่เราปลูกนั้น
มีความเหมาะสมกับพืชชนิดนั้นหรือไม่ ถ้าดินไม่มีความเหมาะสม
เราจะทำอย่างไรเพื่อปรับสภาพดินให้มีความเหมาะสมกับพืช
และแหล่งน้ำเพียงพอต่อพืชที่ปลูกหรือไม่
โดยเฉพาะถั่วเขียว การเก็บเกี่ยวของถั่วเขียวจะมีการอ่อนแก่ของฝักไม่พร้อมกัน
ถั่วเขียวจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพดินที่เราปลูกด้วย
ว่าดินที่ใช้ปลูกถั่วเขียวมีความเหมาะสมหรือไม่
ถั่วเขียวจะไม่ชอบดินเหนียว แต่ชอบดินร่วนปนทรายนิดๆ

การที่เราต้องการที่จะลดต้นทุนในการปลูกถั่วเขียว

เราจะต้องทำเองบ้างในบางส่วน อย่างส่วนไหนที่พอจะลดต้นทุนได้ก็ทำ
โดยที่ เราใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และยิบซัม แทนการใช้ปุ๋ยเคมี
เพราะมีราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมีและไม่ทำลายดิน
แล้วเตรียมดิน เตรียมเสร็จ และหา ซื้อเมล็ดพันธุ์ การซื้อเมล็ดพันธุ์
ราคาแพงๆ และปลูกง่าย หรือปลูกแล้วได้ผลผลิตเยอะ
อาจจะไม่ได้ผลดีเสมอไป เพราะบางทีมันอาจจะขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่ปลูก
และการดูแลรักษา มากกว่า เพราะถ้าปลูกในดินที่ถั่วเขียวไม่ชอบ
และ ไม่เหมาะสม ผลผลิตที่ได้ก็อาจจะไม่คุ้มกับต้นทุนที่เสียไป
เพราะฉะนั้นก่อนการปลูกจึงควรศึกษาเกี่ยวกับพืชที่จะปลูกให้ดี
และถั่วเขียวก็ต้องการ การดูแลเหมือนกัน
และการดูรักษาถั่วเขียว ถึงแม้ถั่วเขียวจะเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อยแต่การให้น้ำก็สำคัญเหมือนกัน

การให้น้ำ
ถ้าปลูกในฤดูแล้งโดยการให้น้ำชลประทาน ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอทุก
10-14 วัน
และหยุดให้น้ำเมื่อถั่วเขียวเจริญเติบโตถึงระยะฝักแรกเปลี่ยนเป็นสีดำ
ถ้าปลูกในฤดูฝน หากมีฝนทิ้งช่วงเกิน 10-14 วัน ควรมีการให้น้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะออกดอกถึงระยะติดเมล็ด

ถั่วเขียวก็มีโรคและแมลงเยอะเหมือนกัน แต่ตอนปลูกต้องรักษาตั้งแต่ต้นๆ
ป้องกันไว้ก่อนที่โรคและแมลงจะระบาด
โดยการฉีดสมุนไพรป้องกันก่อน
แต่อาจจะลดต้นทุนโดยการไม่ซื้อสารเคมี
แต่จะใช้วิธีการ ใช้สารสมุนไพรฉีดแทนได้
เพราะสารสมุนไพรสามารถใช้กำจัดโรคและแมลงได้หลายชนิดเหมือนกัน
แต่ก็ต้องดูที่โรคของพืชด้วยเพราะถ้าฉีดไม้ตรงตามโรคที่พืชเป็น
ก็ไม่สามารถที่จะกำจัดได้
และต้องดูแลเอาใจใส่พืชที่ปลูกด้วย ถ้าเรารักพืช พืชก็จะรักเรา
แค่นี้ก็สามารถลดรายจ่ายจากการที่จะต้องซื้อแต่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียว
''หันมาใช้ อินทรีย์บ้าง ตามความเหมาะสมของถั่วเขียว''
อย่าเอาแต่ อินทรีย์ตกขอบ แล้วเคมีบ้าเลือด
อย่างน้อยถ้าทำเองและใช้อินทรีย์บ้าง
ก็จะช่วยลดต้นทุนในการปลูกถั่วเขียวได้บ้างไม่มากก็น้อย

เกษตรกรแต่ละแต่ละพื้นที่ ต้องทำไร่-นา
เราก็หาประโยชน์จากการทำไร่ -ทำนานาเสร็จ
เมื่อทำนาเสร็จสามารถปลูกถั่วเขียวได้นี่ ก็เป็นการหารายได้ระหว่างที่รอการทำนาในรอบต่อไป
เพราะถั่วเขียวสามารถปลูกก่อนหรือหลังจากที่ทำนาเสร็จ
และถั่วเขียวยังช่วยตัดวงจรของศัตรูพืช และยังช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินได้อีกด้วย

สามารถขยายโอกาสของถั่วเขียวได้เพราะถั่วเขียวมีสรรพคุณมากมายและมีประโยชน์กับสุขภาพ

มีการศึกษาพบว่าสารอาหารในถั่วเขียวมีค่าการตอบสนองต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ นอกจากจะสามารถควบคุมระดับน้ำให้เป็นปกติแล้ว
ยังช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคถั่วเขียวและ
ผลิตภัณฑ์ควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะถ้ากินในปริมาณมากเกินไป
ก็จะทำให้ได้รับคาร์โบไฮเดรตมาเกินความจำเป็น

ถั่วเขียวมีโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดอื่นๆ
จึงนับว่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีนได้ ถั่วเขียวเมื่อบริโภคร่วมกับธัญพืชจะให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบตามความต้องการของร่างกาย
โปรตีนจากถั่วเขียวมีราคาถูกเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์
และการเลือกกินอาหารโปรตีนจากพืช แทนเนื้อสัตว์จะสามารถหลีกเลี่ยงการรับไขมันเกินความจำเป็นได้ นอกจากนี้ในถั่วเขียวยังให้วิตามิน
และแร่ธาตุบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินบี 1
ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก
เห็นไหมค่ะว่าถั่วเขียวเมล็ดน้อยๆ
ซึ่งมีการเพาะปลูกมาเป็นเวลานาน และกำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
มีคุณค่าต่อสุขภาพมากเพียงใด
หากทุกคนหันมาเห็นความสำคัญและบริโภคกันมากขึ้นแล้วละก็
นอกจากจะมีถั่วเขียวเป็นพืชเศรษฐกิจแล้ว ผู้บริโภคก็ยังจะมีสุขภาพดีอีกด้วย


....... Very Happy นางสาว ทักษิณานันท์ เหล็กเพชร สาขาพืชไร่
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
........ คร้าาาาาา Laughing


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 15/05/2011 4:37 pm, แก้ไขทั้งหมด 4 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
iieszz
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 15

ตอบตอบ: 03/05/2011 11:32 am    ชื่อกระทู้: 3-05-54 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ทำยูเรก้า สูตร 200 ล. (ครั้งที่ 3)



1.การทำ ยูเรก้า ครั้งที่ 3 ทำครั้งละ 200 ลิตร รวม 600 ลิตร ตั้งแต่เรามาฝึกงานถึงตอนนี้ ประมาณเดือนครึ่ง
นี้มันอะไรกัน ขายลิตรละ 300 เป็นเงินเท่าไหร่ ? ไม่อยากจะคิดเลย




2..ป้ายแขวนคอ บ๋อม สวยจังเลยสงสัย แต่สงสัยจะอารมณ์ไม่ดี หน้าบูดเป็น ก้นเชียว
มีคนแกล้งบ๋อมแน่ๆๆ เลย กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่




3. อ้าว! ทำไมบ๋อม อารมณ์ดีแล้วล่ะ เปลี่ยนอารมณ์ไวจังเลย ว่าแต่ทำไมทิว อารมณ์ดีจัง น่าสงสัยนะเนี่ย


....................?....................?.................




4. ครั้งนี้ครั้งที่ 3 ทำมากครั้งมันต้องคล่องขึ้นเป็นธรรมดา แต่สงสัยพวกเราจะผิดธรรมดา




5. ตามธรรมเนียม หลังจากทำเสร็จ ชักภาพหมู่เป็นหลักฐาน




6.
UREGA 2 MAY
Somebody think : “โธ่เอ๋ย สร้างภาพหรือเปล่า เปลี่ยนวันที่แล้วถ่ายใหม่หรือเปล่า
ห้ามฟ้าห้ามฝน ยังง่ายกว่าห้ามความคิดของคน


เสริม :
อืมมมมม ! น่าคิด.....สร้างภาพ - จัดฉาก เป็นไปได้ เป็นไปได้....แต่ที่น่าสงสัย คือ
ปรุงเสร็จ กรอกใส่แกลลอน 20 ล. ยกขึ้นปิ๊กอั๊พวิ่งออกจากไร่กล้อมแกล้ม เอาเททิ้งมั้ง.....

นี่ถ้ามีรูปลุงคิมคนเดียวละก้อ...ชัดเลย จัดฉาก - สร้างภาพ แต่นี่เป็นรูปของพวกลูกๆ เด็กๆ
คงไม่โกหกหรอกเนาะ.....

นี่ไงลูก....ที่ลุงคิมบอกว่ากลับบ้าน "ทำขายซะให้เข็ด แต่ขายสิ่งที่ถูกต้องนะ"....(ลุงคิม)





ทำฮอร์โมนน้ำดำไบโออิ สูตร 200 ล. (ครั้งที่ 3)



1. ก็ BIOI ครั้งที่ 3 เหมือนกัน คุณลุงคิมพวกหนูไม่ไหวแล้วนะคะ เตรียมผ้าขาวม้าไว้ให้ดี
พวกหนูจะเกาะผ้าขาวม้าลุงพร้อมกัน 6 คนเลย

เสริม :
ตั้งแต่รุ่น 1 ถึงรุ่น 8 คราวที่แล้ว ไม่เห็นมีใครย้อนมาเกาะผ้าขาวม้าลุงคิมเลย จะมีก็แต่รุ่นที่แล้ว
กับรุ่นก่อนหน้า 1 รุ่น มาเอา ฮม.ไข่ ไปขายในงานลาดกระบังเกษตรแฟร์แค่นั้นแหละ ขายได้
เอาไปแบ่งกันเลย รึว่า ฮม.ไข่ฟรีถึงมาเอา ถ้าไม่ฟรีคงไม่มารึเปล่า....

รุ่น 9 อั้ยพวกนี้มีแผนหลอกคนแก่ให้ดีใจหรือเปล่า....บาปนะโว้ย..............(ลุงคิม)





2. เช่นเคย ถ่ายภาพเป็นหลักฐาน กว่าจะฝึกงานจบ พวกเราจะได้ถ่ายรูปหมู่แบบนี้อีกกี่ครั้งกันนะ ?


เสริม (1) :
ทำน่ะง่าย ง่ายมากๆ แต่ตอนใช้นี่สิ ยากกว่าเป็น 10 เท่า 100 เท่า นะลูก เพราะปุ๋ยทุกตัว ฮอร์โมนทุกสูตร
ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แล้วก็ไม่ใช่ของวิเศษ ถ้าปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยความพร้อมของต้นพืช ไม่พร้อมรับ ใช้ยังไงก็
ไม่ได้ผล เรื่องนี้เตรียมการกันรึยัง อย่าให้เหมือนรุ่นพี่ๆ ที่กลับไปแล้ว ทำไม่ได้-ทำไม่เป็น ทั้งๆที่สอนวิธีแก้
ปัญหาสาเหตุที่ทำไม่ได้ ทำไม่เป็นแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ บอกให้เกาะชายผ้าขาวม้าก็ไม่เกาะ งานนี้ใครผิดใครถูก

จบจากไร่กล้อมแกล้ม จบจาก สจล.รับปริญญาแล้ว หายซับหายสอยไปเลย อั้ยลุงก็เลยกลายเป็น "สอนทิ้ง
สอนขว้าง" คนสอนเสียมั้ยล่ะ



เสริม (2)
ชื่อ "ฮอร์โมนน้ำดำ" ในความเป็นจริง "ไม่ใช่ฮอร์โมน" แต่มันคือ "ปุ๋ยทางใบ" แท้ๆ เพราะส่วนผสมทุกตัวคือ
ปุ๋ยหรือสารอาหารพืชประเภทให้ทางใบ เพราะฉนั้นเมื่อผสมกันแล้วจึงเป็นปุ๋ยทางใบ แต่การที่เรียกว่า "ฮอร์โมน"
เพื่อความขลัง หรือเพื่อทางการค้าเท่านั้น

ที่มาของปุ๋ยทางใบสูตรนี้ กำเนิดมาจากความคิดริเริ่มของ สวพ.พลิ้วจันทบุรี สำหรับบำรุงไม้ผลทางภาค
ตะวันออก (ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง) โดยเริ่มด้วย "แม็กเนเซียม + สังกะสี" เพียง 2 ตัวก่อน พร้อมกับ
ตั้งชื่อว่า "ทางด่วน" เพื่อสร้างความน่าสนใจ (สมช.รายการวิทยุเคยสอบถามข้อเท็จจริงไปยัง สวพ.พลิ้ว
จันทบุรี ก็ได้รับคำตอบยืนยันมาว่า "เป็นความจริง" และขอขอบคุณที่ช่วยเผยแพร่....) จากนั้น สวพ.
ก็ได้แนะนำให้ชาวสวนใช้อีกหลายๆตัวในการบำรุงแต่ละพืชและแต่ละระยะพัฒนาการ โดยให้เดี่ยวๆ
เช่น ธาตุรอง. ธาตุเสริม. ฮอร์โมน. อะมิโน. เป็นต้น ซึ่งธาตุอาหารทุกตัวเป็นธาตุอาหารประเภทให้ทางใบ
ก็มีประสิทธิภาพและคุณสมบัติเฉพาะตัวอยู่แล้ว เมื่อพืชหรือต้นไม้ผลได้รับจึงเกิดพัฒนาการไปตามนั้น

จากการวิเคราะห์ธาตุอาหารทางใบแต่ละตัวที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดโดยคำแนะนำของ สวพ. กับ
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผลิตภัณท์ตัวนั้นๆแล้ว จึงเกิดแนวคิดใหม่ว่า....

*****ถ้าเอาทุกตัวตามคำแนะนำมาผสมรวมกัน....จะได้หรือไม่ ? ผสมอย่างไร ? อัตราส่วนแต่ละตัว
ควรเป็นเท่าไร ? เสริม/เติม/เพิ่ม อย่างอื่นอีก จะดีขึ้นหรือไม่ ?

จากนั้นจึงค้นคว้าข้อมูล ทั้งทางวิชาการจากนักวิชาการ ทั้งจากนักประสบการณ์ และจากผลการใช้ ก็ได้
"สูตรเริ่มต้น" ขึ้นมา กระทั่งถึงวันนี้ "ปุ๋ยทางใบไบโออิ" สูตรนี้ใกล้ 100% เข้าไปเต็มที่แล้ว ซึ่งอาจจะ
ใส่เติม/เสริม/เพิ่ม ส่วนผสมที่ยังค้นไม่พบ หรือยังไม่รู้ หรือเป็นนวตกรรมใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ ลงไป
อีกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรืออีกมุมหนึ่ง ลดหรือตัดส่วนผสมบางอย่างออกเพื่อลดต้นทุน ก็เป็นได้

ฉนี้แล้ว "ไบโออิ" ก็หาใช่สูตรสำเร็จหรือของวิเศษไม่ ปุ๋ยทางใบก็คือปุยทางใบ ถ้าต้นไม่มีความ "สมบูรณ์"
รองรับ ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆไม่เหมาะสม ใช้แล้วก็ไม่ได้ผล หรือได้ผลเพียงระดับหนึ่ง ดีกว่าไม่ได้ใช้เพียงเล็ก
น้อยเท่านั้น

บอกแล้วไง....ทำง่าย แต่ใช้ยากกว่าเป็น 10 เท่า 100 เท่า.............(ลุงคิม)
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
iieszz
หนาวดึ่ง
หนาวดึ่ง


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 15

ตอบตอบ: 04/05/2011 9:03 pm    ชื่อกระทู้: 4-05-54 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ตอนมะละกอ....




1. ลุงคิมสอนวิธีการตอนมะละกอ ซึ่งเป็นวิธีการขยายพันธุ์มะละกออย่างหนึ่ง ต้น
มะละกอที่ได้จะมีต้นเตี้ย สะดวกในการเก็บผลผลิต มีวิธีการตอน ดังนี้....

1. เลือกกิ่งที่แตกแขนงจากลำต้น ที่มีลักษณะสมบูรณ์ดี

2. ใช้ไม้ไผ่ขนาดพอเหมาะดามลำต้นที่จะตอนไว้ทั้งสองข้าง

3. ใช้มีดคมๆ เฉือนเข้าไป 45 องศา 1 ใน 3 ของลำต้น บนขนาดของความ
สูงที่ต้องการทั้งสองข้าง แล้วใช้ใบไม้แทรกไว้ เพื่อไม่ให้แผลเชื่อมติดกัน เพราะ
มะละกอเป็นพืชมียาง แผลอาจเชื่อมติดกันได้ง่าย เสร็จแล้วทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง

4. ใช้ขุยมะพร้าวที่แช่น้ำมะพร้าวไว้แล้ว (เพราะในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนจิบเบอ
เรลลิน ช่วยในการเร่งการงอกของราก) พอกไว้ในถุงพลาสติกทับบริเวณแผล
เหมือนกับการตอนกิ่งทั่วไป เสร็จแล้วรัดให้เรียบร้อย

จากนั้นทิ้งไว้ 20 วัน จะรอดหรือตายก็จะได้เห็นกันล่ะทีนี้





2. ถึงต้นจะถูกล้มแล้ว ก็ยังให้ผลผลิตได้เหมือนเดิมนะคะ




3. มะละกอล้มต้น เพื่อให้ได้มะละกอต้นเตี้ย เพราะธรรมชาติของมะละกอจะมีความสูงที่แน่นอน คือ 1.50 เมตร
เวลาต้นล้มแล้วส่วนยอดก็จะพยายามชูคอขึ้นมาและสูงต่อไปจนถึงความสูงนั้น ต้นนี้ก็กำลังพยายามชูคอเชียว
....... สู้ๆ นะ

เสริม :
ธรรมชาติมะละกอมักออกดอกติดผลเมื่อต้นสูงประมาณ 1.5 ม. หรืออายุต้นประมาณ 8 เดือนเสมอ ไม่ว่าต้นนั้นจะสมบูรณ์หรือ
ไม่สมบูรณ์ก็ตาม ต่างก็แต่ ต้นที่มีความสมบูรณ์มากจะติดผลมาก ทั้งปริมาณและคุณภาพ กับต้นที่มีความสมบูรณ์น้อยก็ติดผลน้อย
และคุณภาพด้อยกว่าเท่านั้น

เมื่อมะละกอมีความสูงต้น 1-1.20 ม. แล้วล้มต้นลงนอนราบกับพื้น แล้วให้นำบำรุงตามปกติ มะละกอต้นนั้นจะไม่ตาย (ระบบรากยังอยู่)
แต่จะพยายามกระดกส่วนยอดขึ้นเพื่อรับแสงแดด เมื่อส่วนยอดนี้กระดกชี้ขึ้นได้ 50 ซม. ก็จะออกดอกติดผลตามธรรมชาติ นั่นคือ
ได้ต้นมะละกอสูง 50 ซม.ออกดอกติดผล

ปลูกมะละกอเป็นแถวปกติ แล้วล้มให้นอนราบลงทางทิศเดียวกันทุกต้น ก็จะได้มะละกอต้นเตี้ยทั้งแถว หรือทำทั้งแปลงก็จะได้ต้น
เตี้ยทั้งแปลง..........(แนวคิดเกษตรกรไต้หวัน)

หมายเหตุ :
- มะละกอตอบสนองต่อ "น้ำหมักชีวภาพ ระเบืดเถิดเทิง 30-10-10 ดีมากๆ.......
- ถ้าไม่ล้มต้นแบบนอนราบกับพื้น แต่ล้มต้นแบบเอียง 20-30 องศาจากพื้นก็ได้ ซึ่งก็จะทำให้ดูดีไปอีกรูปแบบหนึ่ง......(ลุงคิม)





4. ถึงเวลาลงมือปฏิบัติแล้วพวกเรา ต้นเฉือนดีๆ นะ เดี๋ยวกิ่งขาดนะนั่น






5. ต้นนี่ใช้ไม่ได้เลย มามะเดี๋ยวทิวทำให้ดู แข็งแรงกล้ามโตอย่างทิว ตั้งโรงสียังสบายเลย




6. ของอ๋อมแอ๋มขอเล็กๆ แล้วกันนะคะ เค้าบอบบางไม่มีกล้ามโตเหมือนทิว




7. เอ้าบ๋อมแบ๋มจับไม้ดามไว้ดีๆ สิเดี๋ยวกิ่งพันธุ์ดีของอ๋อมแอ๋มจะหักเอา (คนนี้เค้าบ้ากล้องน่ะค่ะ จุ๊ๆๆ)




8. โบ๊ทขอลองมั่ง มัดอย่างนี้ใช่มั้ยครับ





ตอน-เสียบยอดมะม่วง....



1. ต้นกำลังควั่นกิ่งมะม่วงบริเวณข้อล่าง แล้วจะตามมาด้วยข้อบน จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป




2. หลังลอกเปลือกออกหมดแล้ว ก็ทำการขูดเอาเนื้อเยื่อเจริญ โฟลเอ็ม ไซเล็ม ออกให้หมด ขั้นตอนนี้ต้องระวัง
อย่าให้เนื้อเยื่อบริเวณข้อบนกระทบกระเทือนนะคะ เพราะส่วนนี้จะเป็นส่วนทที่รากงอก ข้อล่างไม่งอกหรอกค่ะ
ไม่ต้องประณีตมาก





3. อ๋อมแอ๋มทำหน้ายังกะทำข้อสอบเคมี แต่ถึงตั้งใจมากขนาดนี้ก็ตาม ก็ยังได้
เเผลจนได้ ก็มีดตอนกิ่งมันทั้งแหลมทั้งคมนี่คะ ซุ่มซ่ามอย่างอ๋อมแอ๋มก็เลยโดน
เข้าให้ เลือดกระฉูดเลยล่ะ ลุงคิมยังแซวได้อีกว่า "เอาเลือดชั่วออกมั่งก็ได้ลูก"




4. ต้นขอขูดด้วยคนคร้าบ




5. ขั้นตอนสุดท้ายให้เอาถุงพลาสติกที่บรรจุขุยมะพร้าวไว้แล้วมาห่อตรงบริเวณ
แผล แล้วมัดให้แน่นพอประมาณ ว้าว ....... ทิวเสร็จเร็วจัง






6. โบ๊ทเองเพิ่งถึงขั้นตอนการขูดเองนะครับพี่น้อง





7. การเสียบข้างกิ่งมะม่วงพันธุ์อาทูอีทู บนต้นมะม่วงพันธุ์พื้นเมือง เพื่อให้มีรากที่
แข็งแรง และได้ผลผลิตเป็นมะม่วงพันธุ์ดี วิธีการทำก็ไม่ยาก ดังนี้

1. เลือกยอดมะม่วงพันธุ์อาทูอีทูที่แก่จัด มีตุ่มสีเขียวอ่อนเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะ
ของการอั้นตาดอกนั่นเอง แต่พอนำมาเสียบข้างแล้วอาจจะผลิออกมาเป็นใบแทน

2. เฉือนปลือกต้นมะม่วงออกให้เห็นเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณเปลือกนั่นเอง ด้านล่างก็
ทำลิ่มไว้ด้วย

3. ตัดใบที่ยอดพันธุ์อาทูอีทูออกให้หมด เหลือก้านใบบริเวณตาดอกที่อั้นไว้สัก
เล็กน้อยเพื่อเป็นการป้องกันการกระทบกระเทือนของตาดอก ความยาวยอด
ประมาณสองข้อนิ้วมือ หรือตามความเหมาะสม จากนั้นเฉือนด้านฐานออกให้เป็น
ปากฉลาม

3. นำยอดพันธุ์ดีเสียบเข้ากับลิ่มบนต้นที่เตรียมไว้ ให้เนื้อเยื่อบริเวณเปลือกสัมผัส
กันระหว่างต้นกับยอด กดไว้ให้แน่นอย่าให้เคลื่อน

4. นำเทปใสมาพันให้รอบ โดยพันจากล่างขึ้นบนก่อน ระวังอย่าให้เกิดช่องว่างให้
น้ำเข้าได้ พันเกยกันเหมือนการมุงหลังคา จากนั้นก็พันจากบนลงล่างคลุมไว้เพื่อลด
การคายน้ำของยอด เป็นอันเสร็จ





8. ผลงานที่ได้ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เห็นผล ว่าจะรอดหรือตาย






9. นี่ก็คือการเสียบข้างอีกแบบหนึ่ง วิธีการทำก็เหมือนกันกับแบบแรก จะแตกต่าง
กันก็ตรงที่ แบบนี้ตัดยอดต้นพันธุ์พื้นเมืองทิ้ง แล้วเสียบบริเวณยอดเลย พอเสร็จ
แล้วก็นำถุงพลาสติกใสมาครอบไว้อีกทีหนึ่ง เพื่อลดการคายน้ำ






10. แค่นี้บอกยังไม่ได้ว่าสำเร็จ ต้อง To be continue>>>





11. สังเกตุ "ตุ่มตา" ที่ปลายยอดกับที่โคนหูใบ นี่คือลักษณะตายอดที่อั้นเต็มที่ ตานี้ถ้าเป็น "ตาใบ" เมื่อนำ
ไปเสียบก็จะได้ยอดแล้วพัฒนาเป็นกิ่ง-ต้นต่อไป แต่ถ้าตานี้เป็น "ตาดอก" เมื่อนำไปเสียบก็จะได้ดอกแล้วพัฒนา
เป็นผลต่อไป

กิ่งนี้มีตุ่มตาค่อนข้างมาก แต่ละตุ่มตาสามารถแกะออกมาแล้วนำไป "ติดตา" โดย 1 ตุ่มตาก็จะได้ 1 ยอด
หรือกิ่ง......(ลุงคิม)




12. ตุ่มตาที่ปลายยอด สุดแสนอัดอั้นตันอุรา อยากแตกเต็มประดา....ประมาณนั้น

อยากได้ตุ่มตายอด (ออกเป็นใบ) ให้ตัดแต่งกิ่ง แล้วบำรุงด้วยสูตร "เรียกใบอ่อน" ก่อน เมิ่อปลายกิ่งที่ถูกตัด
ออกไปทำท่าจะแตกใบอ่อนออกมา (เป็นตุ่ม) ก็ให้ตัดยอดนั้นมาใช้งาน สูตรนี้รับรองชัวร์ แต่มีข้อแม้ต้องเสียบ
เป็นด้วยนะ....(ลุงคิม)




21. เจ้าของสวนไม่หวง "เมล็ด" เพราะรู้ว่าเมล็ดเมื่อนำไปเพาะแล้วปลูก โตขึ้นให้ผลผลิตจะกลายพันธุ์ แต่เจ้าของ
สวนหวง "ยอด" มากกว่า เพราะยอดเมื่อนำไปเสียบแล้ว โตขึ้นให้ผลผลิตไม่กลายพันธุ์

ตัดยอดยาวประมาณ 1 ฝ่ามือ ตัดใบทิ้งเหลือแต่ก้านใบ ชุบน้ำพอเปียก ใส่ถุงพลาสติก ไล่อากาศ รัดปากถุง
ให้แน่น เก็บในอุณหภูมิห้องได้นาน 7-10 วัน จึงนำไปเสียบก็ได้.....(ลุงคิม







เสริม 1 :
- หลังจากเสียบหรือทาบไปแล้ว 5-7 วัน ถ้ายอดที่เอามาเสียบหรือทาบยังเขียวสดอยู่ แสดงว่าการเสียบหรือทาบนั้นสำเร็จ แต่ถ้ายอดที่
เอามาเสียบหรือทาบมีอาการเหี่ยว แห้ง ดำ เน่า แสดงว่าการเสียบหรือทาบไม่สำเร็จ ให้แกะทิ้งแล้วทำใหม่

- การใช้เทปพลาสติกใสช่วยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปงของยอดที่นำมาเสียบหรือทาบได้ทุกระยะ

- เมื่อยอดที่นำมาเสียบหรือทาบเริ่มแตกยอดใหม่ออกมา ก็ให้ใช้มีดกรีดเทปพลาสติกบริเวณยอดออกเพื่อเปิดเป็นช่องให้ยอดใหม่
แทงออกมาได้อย่างอิสระ และเมื่อแน่ใจว่ากิ่งหรือยอดที่นำมาเสียบหรือทาบนั้นติดสนิทจนแผลทาบนูนขึ้นมาแล้วจึงลอกเทปพลาสติดที่
พันรอบออก จากนั้นบำรุงตามปกติ



เสริม 2 :
- หลักการหรือวิธีการ "ทาบ/เสียบ" ยอด มีเพียงเท่านี้ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการทาบหรือเสียบขึ้นอยู่กับความชำนาญ
ความชำนาญขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และประสบการณ์ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน หัดทำบ่อยๆ ทำหลายๆครั้ง

- ฮอร์โมนเร่งรากกิ่งตอน ได้แก่ น้ำมะพร้าวแก่ (แช่ขุยมะพร้าว) หรือ กะปิเคย (กะปิ 1 ก้อนขนาดปลายก้อย ละลายน้ำ 1 ถ้วย
กาแฟ) ทาแผลตอนก่อนหุ้มตุ้มตอน จะช่วยให้ออกรากดี

- กรณีทาบกิ่งหรือเสียบยอด ปัจจุบันยังไม่มีฮอร์โมนชนิดใดทาแผลทาบเพื่อให้ติดเร็วขึ้นได้ เพราะฉนั้นต้องอาศัยฝีมือกับธรรมชาติ
เท่านั้น

- การ ตอน/ทาบ/เสียบ ไม้แต่ละชนิดมีเทคนิเฉพาะที่ต่างกัน เช่น โป๊ยเซียน. ลั่นทม. ละมุด. สะเดา. ฯลฯ หากต้องการเป็น
นักขยายพันธุไม้ระดับมืออาชีพ ก็จะต้องหาข้อมูลเฉพาะไม้ชนิดนั้นต่อไป

- นักวิชาการอินเดียตอนมะพร้าวให้ออกรากได้ แต่ปัญหาการตัดต้นที่ตอนแล้วลงมาเท่านั้น

............................. ลุงคิม .......................
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11656

ตอบตอบ: 05/05/2011 11:16 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แนวทางการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสข้าว

ข้าวเป็นพืชที่ความสำคัญกับเศรษฐกิจของไทยมากชนิดหนึ่ง โดยในปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับ 1 ของโลก
ด้วยความต้องการข้าวในตลาดโลกมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงน่าจะเป็นโอกาสของไทยเราที่จะเพิ่มอัตราการส่งออกข้าวให้มาก
ขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยการส่งเสริมจากภาครัฐให้มีการขยายพื้นที่ปลูกข้าว มีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่ดีขึ้น รวมไปถึงการนำ
เทคโนโลยีการเกษตรมาใช้เพื่อให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นด้วย


การขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าว ควรที่จะมีการขยายไปในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการปลูกข้าว มากกว่า ส่วนพื้นที่อื่นๆ ที่
ความเหมาะสมที่จะปลูกพืชชนิดใดก็ส่งเสริมให้ปลูกพืชชนิดนั้นๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการเเบ่งงานกันทำ ทำให้เกษตรกรผู้
ปลูกมีความชำนาญเฉพาะพืชนั้นๆ และได้ผลผลิตอย่างเต็มที่ด้วย


สำหรับคู่แข่งที่สำคัญในตลาดส่งออกข้าวไทยอย่างเวียดนาม ก็มีปัญหาเรื่องการขยายพื้นที่เพาะปลูก ส่วนประเทศอื่นๆ
ก็ประสบปัญหาที่แตกต่างกันออกไป คงไม่เป็นที่น่ากังวลในส่วนนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับระบบการจัดการของไทยเองมากกว่า
ถือเป็นโอกาสดีของไทยที่จะพัฒนามาตรฐานการปลูกข้าวให้ดีขึ้น เพื่อรองรับอัตราความต้องการข้าวที่มากขึ้นในอนาคต


ถึงแม้ว่าไทยจะเป็นผู้นำการส่งออกข้าวก็ตาม ชาวนาไทยก็ยังจนอยู่ดี ซึ่งเกิดจากปัญหาปุ๋ยราคาเเพง น้ำไม่เพียงพอ และ
อื่นๆ อีกหลายเรื่อง ทำให้ผลผลิตตกต่ำ ขายได้ราคาไม่ดี


การที่ชาวนาทำนาได้ผลผลิตไม่ดีนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการทำนาที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งเกิดจากความไม่มีความรู้ในเรื่องการทำนาที่
ถูกต้อง เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเสมอมา ไม่มีการเปลี่ยนแนวทางการทำนาเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ส่วนหนึ่งก็มาจาก
ขาดการส่งเสริมที่ต่อเนื่องจากทางราชการนั่นเอง


ในเมื่อชาวนาเลือกการทำนาเป็นอาชีพหลักแล้วก็ควรทำให้ผลผลิตออกมาดีที่สุดไปเลย ลองเปิดใจเรียนรู้ ศึกษาข้อมูล
การปลูกข้าวที่ถูกต้อง ปรับเปลี่ยนทัศนคติการทำนา และลองเปลี่ยนวิธีการดูอาจจะเกิดแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นมาก็ได้นะคะ


ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับข้าว


ข้าวสามารถใช้หลายหลักเกณฑ์ในการจัดจำแนก ดังนี้

แบ่งตามฤดูปลูกจะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
- ข้าวนาปี คือ ข้าวที่ปลูกในช่วงฤดูฝน อาศัยน้ำฝนเป็นหลักในการทำนา
- ข้าวนาปรัง คือ ข้าวที่มีการปลูกในช่วงหน้าแล้งโดยอาศัยน้ำจากชลประทานเป็นหลัก


เเบ่งตามสภาพพื้นที่ปลูก จะแบ่งออกเป็น5 ประเภท ได้แก่

- ข้าวไร่ คือ ข้าวที่ปลูกบนที่ดอน ไม่มีน้ำขัง
- ข้าวนาสวน คือ ข้าวที่ปลูกในนาที่ลุ่ม น้ำลึกไม่เกิน 50 ซม.
- ข้าวน้ำลึก คือ ข้าวที่ปลูกในที่ลุ่มปานกลาง ระดับน้ำลึก 50–100 ซม.
- ข้าวขึ้นน้ำ คือ ข้าวที่ปลูกในที่ลุ่มมาก ระดับน้ำ 100 ซม. ขึ้นไป
- ข้าวที่สูง ที่มีการปลูกในพื้นที่สูง 600 ม. เหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป เป็นต้น


แบ่งตามลักษณะและคุณสมบัติของเอนโดสเปิร์ม ดังนี้
- ข้าวเจ้า คือ ข้าวที่มีเมล็ดสีขาวใส หุงสุกแล้วไม่เหนียวติดกัน เมล็ดข้าวมีแป้งอมิโลสสูงกว่าร้อยละ 5

- ข้าวเหนียว คือ ข้าวที่มีเมล็ดสีขาวขุ่น หุงสุกแล้วเหนียวติดกัน เมล็ดข้าวมีแป้งอมิโลเพกตินเป็นส่วนใหญ่
และมีแป้งอมิโลสต่ำกว่าร้อยละ 2


แบ่งตามสีของเยื่อหุ้มผล เป็น ข้าวแดง และข้าวดำ เป็นต้น


แบ่งตามความไวต่อช่วงแสง เป็น
- ข้าวไวต่อช่วงแสง คือ ข้าวที่มีการตอบสนองในช่วงที่มีแสง
ประมาณ 8 - 12 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต

- ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง คือ พันธุ์ข้าวที่แสงไม่มีผลใดๆ ต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว เมื่อครบอายุปลูกก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เลย



แบ่งตามอายุปลูกของต้นข้าว จะแบ่งออกเป็น
- ข้าวเบา คือ ข้าวที่เก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคม หรือข้าวที่มีอายุ
จนถึงวันเก็บเกี่ยว 100 วัน

- ข้าวกลาง คือ ข้าวที่เก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน หรือข้าวที่มีอายุจนถึงวันเก็บเกี่ยว 110 วัน

- ข้าวหนัก คือ ข้าวที่เก็บเกี่ยวหลังเดือนพฤศจิกายน หรือข้าวที่มีอายุจนถึงวันเก็บเกี่ยว 120 วัน



การที่จะปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดีนั้น เกษตรกรต้องมีการวางแผนการจัดการเกี่ยวกับนาข้าวเป็นอย่างดี
ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ เริ่มตั้งแต่การเตรียมดิน

การจัดการน้ำ การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ มีความต้านทานโรค การบำรุงต้นข้าวตามระยะ
และอื่นๆ เป็นต้น


การเตรียมดิน
ดินที่มีคุณภาพดี คือดินที่มีอินทรียวัตถุจำนวนมาก หากพื้นที่ของเราขาดอินทรียวัตถุ ก็ต้องมีการเติมกันหน่อย
โดยการไถกลบฟางข้าว หว่านยิปซัมเพื่อปรับสภาพดิน หว่านกระดูกป่น ปุ๋ยคอก หรืออาจเป็นปุ๋ยหมัก หรือจะ
ปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบ เพื่อเป็นการเติมอินทรียวัตถุให้กับดิน ก่อนการไถต่อไป (หรือจะไถกลบแล้ว
หมักตอซังข้าวก็ได้) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ความสำคัญมากขั้นตอนหนึ่ง เพราะดินที่ดีย่อมทำให้คุณภาพของต้นพืช
ที่ปลูกมีคุณภาพดีตามไปด้วย โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมาก ให้เป็นการสิ้นเปลืองและการการหมักหมม
ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ ดังคำกล่าวของลุงคิมที่ว่า “ดินดีมีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง”


การจัดการน้ำ

ข้าวนาปีจะอาศัยน้ำจากน้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่า การที่ผลผลิตข้าวจะดีหรือไม่ดีนั้นย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำฝน สภาพอากาศ
และฤดูกาลเป็นหลัก เพราะข้าวเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ตลอดช่วงอายุตั้งแต่เริ่มงอกจนถึงหลังออกรวง 3 สัปดาห์ ระดับน้ำประมาณ
5 ซม. ท่วมต้นข้าว หรือแฉะๆ แต่ไม่ใช่แช่ เพราะถ้าระดับน้ำสูงเกินไป ก็จะมีปัญหาเรื่องเพลี้ยกระโดดตามมา ซึ่งเพลี้ยกระโดด
จะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากต้นข้าวในระดับ 1 ซม. เหนือระดับน้ำที่แช่ต้นข้าว ดังนั้นเกษตรกรจะต้องมีการจัดการการระบายน้ำให้ดี
แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเกษตรกรที่ไม่มีน้ำสำรอง เพราะไม่รู้ว่าฝนจะเกิดขาดช่วงเมื่อได หากระบายน้ำออกแล้วฝนเกิดไม่ตกขึ้น
มา ลำบากต้นข้าวแน่ๆ ดังนั้นเกษตรกรควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน


ในการเตรียมน้ำสำรองสำหรับใช้ในหน้าแล้ง ชาวนาควรต้องมีการลงทุนสร้างบ่อน้ำขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำ หรือเป็นบ่อพักน้ำ แต่แค่
บ่อน้ำอย่างเดียวคงไม่เพียงพอหากสภาพอากาศ ฤดูกาลเกิดวิปริต ดังนั้นควรมีการเตรียมการสำหรับเหตุการณ์นี้ด้วย ด้วยการ
ขุดบ่อบาดาลขึ้น ดังที่กล่าวมาอาจจะมองว่าต้องใช้เงินลงทุนเยอะ ซึ่งก็แน่นอนแหละค่ะ แต่การลงทุนที่ว่าใช่ว่าจะสูญเปล่า
ซักหน่อย การที่จะทำอะไรๆ ก็ต้องมีการลงทุนทั้งนั้น ซึ่งที่กล่าวไปก็เป็นการลงทุนระยะยาว ลงทุนด้วยเงินก้อนโตไปครั้งเดียว
เพื่อผลประโยชน์ที่จะตามมาภายหลังยังดีกว่าลงทุนไปทีละน้อย (ก็ใช่จะน้อยมากนะคะ) แต่กลับขาดทุนทุกครั้งไป อันนี้สิ
ไร้ผลมากกว่า


ส่วนข้าวนาปรัง จะอาศัยน้ำจากระบบชลประทานเป็นหลัก มีน้ำใช้สอยตลอดทั้งปี ทำให้สามารถปลูกข้าวได้มาก
กว่า 1 รอบ ซึ่งข้าวนาปรังที่ใช้น้ำจากชลประทานนี้จะได้เปรียบกว่าข้าวนาปี ตรงที่สามารถจัดการน้ำและระบาย
น้ำเข้า – ออกได้ดีกว่าข้าวนาปี เพราะไม่ต้องรอฝนอย่างเดียว


การคัดเลือกพันธุ์ข้าว
การคัดเลือกพันธุ์ข้าว ควรเลือกที่มีความเหมาะสมที่จะปลูกในพื้นที่นั้นๆ และเป็นเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี จากแหล่ง
ที่เชื่อถือได้ ส่วนเกษตรกรที่เก็บเมล็ดพันธุ์เอง ควรมีการคัดเมล็ดข้าวเพื่อให้มีเปอร์เซ็นต์การงอกที่ดี โดยการ
เติมเกลือลงในน้ำ แล้วทดสอบโดยการนำไข่ดิบใส่ลงไป ถ้าส่วนที่ลอยมีขนาดเท่าเหรียญสิบบาทเป็นอันใช้ได้
จากนั้นใส่เมล็ดข้าวลงไป ข้าวส่วนที่ลอยคือข้าวลีบ ตักทิ้ง ข้าวที่อยู่ตรงกลางกึ่งลอยกึ่งจม คือข้าวนก
ตักทิ้ง ให้เหลือแต่เมล็ดข้าวที่
จม ซึ่งเป็นเมล็ดข้าวคุณภาพดีที่มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง

ก่อนนำเมล็ดข้าวไปเพาะ ควรแช่เมล็ดข้าวในน้ำผสมไคโตซาน เพราะในไคโตซานมีสารไคติเนส สามารถกำจัด
เชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับเมล็ดข้าวได้ ซึ่งจะทำให้เมล็ดข้าวงอกเป็นต้นกล้าที่สมบูรณ์

ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ ควรเลือกพันธุ์ข้าวที่มีความต้านทานต่อโรคที่มีการระบาดในพื้นที่ที่จะปลูกด้วย เพราะ
โรคหากเกิดแล้วจะแก้ไขก็ยากลำบาก แถมต้องมาสูญเสียเงินอีกต่อด้วย


การบำรุงต้นข้าวตามระยะ
ข้าวในแต่ละระยะต้องการการบำรุงที่แตกต่างกัน โดยส่วนมากเกษตรกรจะรู้จักใช้แต่ปุ๋ยยูเรีย 46–0-0
และปุ๋ยนา 16–20–0 เท่านั้น และใส่ในจำนวนมาก ซึ่งมากเกินกว่าความต้องการของต้นข้าว ทำให้เกิด
การสะสมอยู่ภายในดินเกิดปัญหาดินเสื่อมคุณภาพตามมา

ที่เป็นเช่นนี้จะโทษแต่เกษตรกรก็ไม่ถูกเพราะเกษตรกรไม่รู้ นักส่งเสริมก็ไม่ได้ส่งเสริมเต็มที่เท่าที่ควร
หรือส่งเสริมไปแล้วแต่ขาดการติดตามผล ชาวนาเองก็ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแนวการทำนา เพราะเคยทำ
อย่างนี้มานานแล้วหลายชั่วอายุคน (แต่ก็เป็นที่น่าคิดว่าชาวนาเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว สมัยยังไม่มี
ปุ๋ยเคมี เขาใช้อะไรบำรุงต้นข้าว หรือว่าไม่ได้บำรุง) ทำให้ไม่กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ

แต่ความจริงแล้วนาข้าวต้องการยูเรียแค่ไร่ละ 10 กก.เท่านั้น ขัดกับความคิดของชาวนาที่เชื่อว่ายิ่งใส่
มากเท่าไหร่ยิ่งดี ดิฉันเคยถามน้าของดิฉันว่า “ทำนากี่ไร่แล้วใส่ปุ๋ยอะไร เท่าไหร่” น้าบอกว่า
“นา 12 ไร่ ได้ใส่ยูเรียแค่ 5 กระสอบ กระสอบละ 50 กก. เพราะไม่มีเงิน” ทำให้ได้คิด
ต่อไปว่า นี่ถ้าน้ามีเงินมากกว่านี้ก็คงใส่มากกว่านี้ใช่ไหมนี่ ถ้าคิดเป็นต่อไร่น้าใส่ปุ๋ยยูเรียมากกว่าไร่ละ
20 กิโลกรัมเลยทีเดียว เกินโควตาไปกว่า 2 เท่า ส่วนผลผลิตที่ได้ก็ใช่จะดี นี่ถ้านำเงินส่วนที่ซื้อ
ยูเรียเกินมา นำมาซื้อธาตุรอง - ธาตุเสริม ฮอร์โมนใส่ให้กับต้นข้าว ผลผลิตที่ได้ก็คงจะดีกว่านี้

โดยความเป็นจริงแล้วชาวนาส่วนมากรู้จักแต่ปุ๋ยที่เป็นธาตุหลัก ธาตุรอง-ธาตุเสริม ฮอร์โมนดูจะเป็น
เรื่องใหม่ที่ค่อนข้างทำความเข้าใจยาก แต่หากมีการส่งเสริมที่เป็นระบบ สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์
ได้ง่ายแล้วชาวนาก็คงทำตามได้ไม่ยากนัก

โดยธรรมชาติของข้าวแล้วเมล็ดข้าวจะแก่จากปลายไปโคน ดังนั้นส่วนที่เป็นข้าวลีบจะอยู่ส่วนโคน เนื่อง
จากใบข้าวแห้งทำให้ขาดพื้นที่ในการสังเคราะห์แสง ทำให้ขาดสารอาหารสำหรับนำไปสร้างเเป้งในเมล็ด
ข้าวจึงลีบ จะแก้ไขปัญหาข้าวลีบก็ต้องแก้จากต้นเหตุ คือ บำรุงให้ใบข้าวเขียวอยู่ตลอดเวลา เขียวไป
จนถึงวันเก็บเกี่ยว โดยการให้ Mg ซึ่งช่วยในการสร้างคลอโรฟิลล์ในใบ ทำให้ใบ
ข้าวเขียวสามารถ
สังเคราะห์แสงได้เต็มที่

เมื่อข้าวออกรวงให้ใส่ Zn เพราะ Zn จะช่วยในการสร้างแป้งทำให้เมล็ดข้าวเต็ม หลังจากนั้นให้ใส่
Ca เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเมล็ดข้าว ขจัดปัญหาเมล็ดข้าวหัก (เหตุผลที่โรงสีนำมาตัดราคาข้าว)

นอกจากนี้ ในระยะหลังจากดำนาแล้ว อาจเพิ่มแหนแดงในนา เพราะในรากของแหนแดงจะมีแบคที
เรียอนาบีนา อซอลลี ช่วยตรึงไนโตรเจนในอากาศได้ เป็นการเติมไนโตรเจนให้ต้นข้าวอีกทางหนึ่ง

การเก็บเกี่ยวให้ได้ผลผลิตดีนั้น ควรมีการระบายน้ำออกในระยะหลัง 3 สัปดาห์ หลังจากที่ข้าวออก
รวงแล้ว เพราะต้นข้าวต้องการน้ำแค่ในระยะนั้น และเป็นการทำให้หน้าดินแห้ง เมื่อทำการเก็บเกี่ยว
ก็จะได้ข้าวที่มีความชื้นน้อย หลังจากการนวดข้าวแล้ว ถ้าหากเมล็ดข้าวยังมีความชื้นอยู่ ควรนำออก
ผึ่งให้แห้ง เพื่อที่จะขายได้ราคาดี และเก็บไว้ได้นานโดยที่เมล็ดข้าวไม่เสื่อมคุณภาพ




การป้องกันและกำจัดวัชพืชในนาข้าว

การป้องกันเห็นจะดีกว่าตามกำจัดทีหลัง การเตรียมดินที่ดีจะทำให้การระบาดของวัชพืชในนาข้าวลดลง
เริ่มตั้งแต่ตอนใส่ปุ๋ยคอก ควรกรองเอาแต่น้ำแล้วปล่อยลงมาตามน้ำที่ระบายสู่กระทงนา เพราะใน
มูลของสัตว์ อาจมีการปนเปื้อนของเมล็ดพันธ์หญ้ามาด้วย เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็
พร้อมที่จะเจริญเติบโตได้เต็มที่ การกรองเพื่อเอาเมล็ดหญ้าออกอาจดูเป็นการเสียเวลาและแรงงานเป็น
อย่างมาก แต่คงจะดีกว่าการที่จะต้องมานั่งปวดหัว แก้ปัญหาการระบาดของวัชพืชทีหลัง แล้วทางออก
ที่เป็นที่นิยมก็หนีไม่พ้นการใช้สารเคมีด้วยสิ ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกด้วยนะ ต่อด้วยการไถคราดดีๆ เอา
เศษหญ้าออกให้เหลือแต่น้อย ถึงจะกำจัดได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังดีกว่า ส่วนหญ้าที่มีโอกาสโต
มาเราก็กำจัดด้วยวิธีกล แน่นอนด้วยสองมือเรานี่แหละค่ะ ต้นหญ้าไม่เยอะถือว่าเป็นการออกกำลัง
กายไปในตัวด้วยก็แล้วกัน



การป้องกันและกำจัดแมลง และสัตว์ ศัตรูของต้นข้าว

แมลงศัตรูต้นข้าวควรใช้วิธีป้องกันจะดีกว่า เพราะถ้าปล่อยให้ระบาดแล้วมาตามแก้ทีหลัง อาจสร้างความ
เสียหายอย่างใหญ่หลวง ซึ่งป้องกันโดยการฉีดพ่นสมุนไพรกำจัดแมลงศัตรูพืชทุก 2–3 วัน หรืออาจมี
การป้องกันโดยสร้างเขตกรรมขึ้น โดยการปลูกพืชที่มีกลิ่นฉุน ไม่เป็นที่พิศวาสของแมลงโดยรอบแปลง
ปลูกข้าว เช่น ดาวเรือง เป็นต้น

ส่วนสัตว์ศัตรูต้นข้าวอันได้แก่ หนูนา หอยเชอรี่ เป็นต้น อาจต้องใช้วิธีการกำจัด ง่ายๆ ก็วิธีกลนี่แหละค่ะ
หอยเชอรี่ก็เก็บทิ้งซะ กำจัดไข่ไปด้วย ส่วนหนูนาอาจต้องใช้กับดัก หรือใช้ยาเบื่อแทนการป้องกันโรคข้าว

ไม่มีพันธ์พืชชนิดใดที่ปราศจากโรคและศัตรูพืชประจำตัว ในเรื่องของโรคควรจะเป็นการป้องกันจะดีกว่า
เพราะถ้าปล่อยให้ระบาดก่อนแล้วอาจสร้างความเสียหายให้เป็นอย่างมาก และไม่อาจแก้คืนได้ ซึ่ง
ป้องกันโดยการเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรคที่มีการระบาดในพื้นที่นั้นๆ



รายรับ – รายจ่ายที่เกิดขึ้นในการทำนา ต่อ 1 ไร่

รายจ่าย
- ค่าปุ๋ยยูเรีย 10 กก.
- ค่าธาตุรอง – ธาตุเสริม
- ค่ายิปซัม กระดูกป่น ปุ๋ยคอก
- ค่าน้ำมันรถไถ
- ค่าเมล็ดพันธุ์ ในกรณีที่ซื้อเมล็ด
- ค่าอื่นๆ




แนวทางการลดรายจ่าย

นอกจากการลดปริมาณการใส่ปุ๋ยเคมีลงแล้ว ยังมีอีกหลายแนวทางเพื่อการลดต้นทุน เป็นต้นว่า การทำปุ๋ยหมักจากเศษซากพืช
ฟางใช้เอง การทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพใช้เอง การใช้สมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงแทนการใช้สารเคมี การเตรียมดินที่ดีป้องกันวัชพืช
แทนการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช รวมไปถึงลดอัตราการจ้างลง ให้เป็นเกษตรกรรมเเบบครอบครัวจะดีกว่า เป็นต้น


รายรับ
รายได้หลัก จากการขายข้าว แล้วแต่ราคาตลาด แต่ถ้าผลผลิตของเราดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไร

การทำเกษตรแบบประณีต แบบอินทรีย์นำ - เคมีเสริม ตามความเหมาะสมนี้เราตั้งเป้าผลผลิตไว้ที่ 850 กก./ไร่



แนวทางการเพิ่มรายได้ ดังนี้

นอกจากที่จะปลูกข้าวขาวธรรมดาแล้ว ควรจะปลูกข้าวดำด้วย สำหรับนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในเวลาว่างหลังจากหน้านา

- นำฟางเก่ามาเป็นวัสดุสำหรับเพาะเห็ดฟางเป็นรายได้เสริมอีกทาง

- ในระหว่างการทำนาควรมีการปลูกพืชรอบๆ แปลงนา หรือพื้นที่ว่าง เช่น ข่า ตะไคร้ เผือก มัน ข้าวโพด มะเขือ พริก เป็นต้น เพื่อเป็นการ
เสริมรายได้อีกทางหนึ่ง

- การเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งให้หากินอิสระในนาข้าว ทั้งนี้ควรทำพื้นที่สำหรับให้เป็ดว่ายน้ำได้ด้วย นอกจากจะได้ไข่เป็ดนำไปขายแล้ว เป็ดยังช่วยกำจัด
หอยเชอรี่ได้ด้วย ส่วนมูลเป็ดที่ขับถ่ายออกมาก็จะกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดีให้กับนาข้าว เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัวเลยทีเดียว


แนวทางการขยายโอกาส
การขยายโอกาสควรเป็นแบบยั่งยืนจึงจะดีที่สุด อาจจะมีการรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ชมชน หรือกลุ่มเกษตรกรก็ได้ มีการจัดการซื้อปุ๋ย
สารอาหารต้นข้าว หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในนามของกลุ่มหากมีการซื้อจำนวนมากก็จะได้ราคาที่ถูกลง แล้วค่อยนำมาแจกจ่ายให้
กับสมาชิก หรืออาจมีการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือสารสมุนไพรใช้เองภายในกลุ่มด้วยก็ได้

การขายผลผลิตก็ทำในนามของกลุ่ม ส่งขายครั้งละจำนวนมากๆ ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ยิ่งผลผลิตเราดีมากๆ ก็สามารถส่งออกโกอินเตอร์ไป
เลยยิ่งดี

นอกจากนี้แล้วหลังจากหน้านาคุณแม่บ้านอยู่กันว่างๆ กัน ก็มารวมกลุ่มแปรรูปผลผลิตจากข้าว หรือพืชอื่นๆ ที่ปลูกไว้ อย่างเช่น ข้าวกาบ้า
หรือข้าวกล้องงอก ข้าวตัง ข้าวเหนียวมูน ของหวานข้าวดำ เป็นต้น เพื่อให้มีงานทำตลอดทั้งปี ไม่ต้องเดินทางเข้าไปหางานทำในเมืองหลวง

ข้าวที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ดีแบบอินทรีย์นำ - เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของเรา เป็นข้าวที่ไร้สารตกค้าง สารปนเปื้อน เป็นเมล็ดข้าว
คุณภาพดีสามารถเป็นเมล็ดพันธุ์ได้ ก็จัดการขายเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกซะเลย สร้างเป็นเเบรนด์ของกลุ่มให้เป็นที่รู้จัก แล้วลูกค้าจะเข้าหาเอง

การที่จะทำดังกล่าวข้างต้นได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก อาจเกิดจากปัญหาการรวมกลุ่มกันไม่ได้ ไม่มีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง พอเห็นผลช้าก็ท้อ
ไปซะก่อน ส่วนหนึ่งก็อาจเกิดจากคนในชุมชนไม่เห็นความสำคัญของการทำเกษตรกรรม ต่างคนก็ต่างวิ่งหาความสบายในเมืองหลวง ไม่
มีคนที่สนใจทำอย่างแท้จริง การปลูกจิตสำนึกให้มีความสำนึกรักบ้านเกิดจึงน่าจะเป็นความคิดเห็นที่ดี แต่ก่อนเห็นรัฐบาลส่งเสริมอยู่พักหนึ่ง
แต่แล้วก็เลือนหายไปกับสายลม ถึงเวลาแล้วล่ะที่เราจะเป็นคนเริ่มต้น


น.ส.จิราพร วิทาโน สาขาพืชไร่ คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรู้ เล่ม 16
- นิตยสารไม่ลองไม่รู้
- www.kasetloongkim.com


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 08/05/2011 4:02 pm, แก้ไขทั้งหมด 21 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3, 4, 5  ถัดไป
หน้า 3 จากทั้งหมด 5

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©