ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 02/09/2012 10:03 pm ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร1 เทียวบ้านกะเหรี่ยง - มะเขือเทศพันธุ์พื้นเมือง |
|
|
"โอ๊ะ มื่อ โซ เปอ ลูงคิม "---สวัสดีครับลุงคิม
..(และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน)
"ซะ คือ เลอะ เน่ สิ ยา บะ นา" ยินดีที่ได้รู้จัก
เกษตรสัญจร นครปฐม ปาย บ้านวัดจันทร์
เกษตรสัญจร เป็นเรื่องเล่า ที่ผมมีโอกาสเดินทาง ขึ้น ล่อง นครปฐม ปาย อยู่เป็นประจำ แต่บ้านวัดจันทร์ นาน ๆจะมีโอกาสขึ้นไปซักครั้ง บ้านวัดจันทร์ เป็นหมู่บ้านที่มีกะเหรี่ยง หรือ ปกากะญอ อยู่มากกว่าชนเผ่าอื่น ๆ คำสวัสดีข้างบน เป็นภาษากะเหรี่ยงครับ ผมไปกินไปนอนอยู่หลายวัน จำภาษาที่เค้าพูดกันได้ไม่มาก เลยต้องจดตามสำเนียงที่เค้าออกเสียง ผิดหรือถูกไม่รู้นะ
เรื่องนี้ ค่อนข้างยาว ขอแบ่งลงเป็นตอน ๆ นะครับ กลัวเน็ตหลุด(บ่อยซะด้วย) ก็เอาเป็นว่า ตอนนี้เป็นตอนที่ 1 หรือบทที่ 1 ก็แล้วกัน เผื่อว่ามีการอ้างอิงจะได้ง่ายหน่อย (คิดว่าจะมีคนเข้ามาอ่านรึ เชื่อเถอะว่า มีครับ มีแน่ ๆ คนบ้าตามที่ลุงคิมพูดนั่นแหละ)
บทที่ 1
การเดินทางจาก กรุงเทพฯ. เชียงใหม่ ส่วนมากผมชอบเดินทางกลางคืน จึงมองไม่เห็นสองข้างทางว่ามีอะไรตรงไหน แต่จาก เชียงใหม่ ปาย จะเดินทางกลางวัน ...ตามทางที่ผ่านได้พบ ได้เห็น ที่ผมดูว่ามันแปลก (สำหรับผม) ก็เก็บมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ใครอ่านแล้วชอบ ก็ติดตามอ่าน ใครอ่านแล้วไม่ชอบ ก็ไม่ต้องอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องของ นานาจิตตัง แต่รับรองว่า ถ้าคุณอ่าน คุณอาจได้รู้ในสิ่งที่คุณไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น เพราะบางเรื่อง ตั้งแต่เกิดจนตาย คุณไม่เคยรู้ ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ว่ามันมีอยู่ในโลก และมีอยู่ในเมืองไทยนี้ อย่างไผ่ยักษ์ ที่ต้นโตเกือบ 1 ฟุต หรือ 30 ซม. ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมก็ว่ามันแปลกก็เอารูปมาลงให้ดูกัน และส่วนใหญ่ผมจะเน้นคุยเรื่อง พืช มากกว่า สัตว์ (เลี้ยงสัตว์ทีไร โดยเฉพาะ จตุบท เจ๊งทุกที เลยเลิก แต่ ทวิบาท ต้องแอบ ๆ เลี้ยง)
ลุงคิมเคยพูดว่า ลุงคิมถือหลัก..... ภาพถ่าย 1 ภาพ แทนคำพูด 1,000 คำ ....เพราะฉะนั้น รูปลูกไก่น่ารักสองตัวข้างบน ใครคิดอย่างไรให้ จินตนาการ นึกมโนภาพเอาเองนะครับ
และ คำพูดบางคำ จากบางคน ในบางโอกาส ได้ยินแล้ววิเคราะห์ แล้วนำมาประยุกต์ใช้ สามารถพลิกผันสถานการณ์ชีวิตได้......
ลุงคิมยังเคยพูดอีกว่า เรื่องต่าง ๆ ที่ลงในเว็ป ไม่เห็นมีใครถามมาบ้างเลย ปล่อยให้ตาคิมบ้าอยู่คนเดียว สำหรับคนที่ตั้งกระทู้ถาม ก็เพียงแค่ถาม จบแล้วก็จาก
ต่อมาเมื่อลุงเปิดไฟเขียว บอกว่าใครมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับความรู้ทางการเกษตรก็เขียนมาคุยได้ เป็นการแบ่งปัน จากนั้นมาลุงคิมก็ไม่ได้บ้าคนเดียวอีกต่อไป มีผมร่วมบ้ากับลุงด้วย จะมีคนอื่นร่วมเข้ามาบ้า ด้วยหรือเปล่าไม่ทราบครับ
รายการสีสันชีวิตไทย เป็นรายการแบบไทย ๆ มีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทย ๆ ย่อมต้องมีสีสันเสมอ
บอกแล้วว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่า คุยกันเล่น จึงมีสิ่งละอันพันละน้อยที่นำมาเล่าสู่กันฟัง และมีรูปประกอบให้ดูด้วย
มาเริ่มกันเลย
ดูก่อน ภารดา ผมจะสาธยายให้ฟัง เมื่อ 12 มิถุนายน 2555 ผมเดินทางไปธุระทางอีสาน ... กลับมาถึงกรุงเทพ ฯ เช้าวันที่ 5 กรกฎาคม
วันที่ 6 กรกฎาคม ตั้งแต่เช้าถึงบ่าย วิ่งทำเรื่องประกันราคาข้าว ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะยื่นเรื่อง เนื่องมาจากผมล้มสวนผักที่ถูกน้ำท่วมเปลี่ยนมาทำนา ก็ต้องแจ้งแก้ไขทะเบียนเปลี่ยนจากการทำสวนผักเป็นทำนา
แล้วการประกันราคา (จำนำ) ข้าวเกวียนละ 12,000 บาท นี่นะครับ เค้าประกันให้พ่อแม่พี่น้องแค่ 688 กิโลกรัม (ถัง) / 1 ไร่ ถ้าคุณทำนาได้ไร่ละ 1 เกวียนหรือ 1,000 กก. คุณก็ได้ราคาประกันจากหลวงแค่ 688 กก. คิดเป็นเงินก็ 8,256 บาท (กก.ละ 12 บาท) เท่านั้นนะครับ
ที่เหลืออีก 312 กก.คุณต้องคุยเรื่องราคา ก็คือ ขายให้กับโรงสีเอาเอง จะได้เท่าไหร่ ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือ โรงสีเค้าให้คุณไม่ถึง กก.ละ 12 บาทหรอกครับ สมมุติว่าให้ กก.ละ 10 บาท คุณก็จะได้เงินมาอีก 3,120 บาท... 8,256 + 3,120 = 11,376 บาท รวมแล้วคุณก็ได้เงินไม่ถึงเกวียนละ 12,000 บาท
หลังจากทำทะเบียนข้าวเสร็จ พอ 5 โมงเย็นผมขับรถไปรับลูกสาวที่บ้านคลองสาน ใกล้วงเวียนใหญ่ เพื่อเดินทางขึ้น อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ขับไปจอดพักไปเรื่อย ง่วงตรงไหนก็จอดนอน
ทุกครั้งที่ขับรถขึ้นปาย ผมจะใช้ทางลัด ตัดทางออกจากนครปฐม ออกบางบัวทอง แล้วออกเส้น 340 สุพรรณบุรี ชัยนาท ออกมโนรมย์ สุดถนนก็เลี้ยวซ้ายออกสายเอเชีย แต่คราวนี้ ผมต้องไปรับลูกสาวที่บ้านพ่อ ที่คลองสาน (ใกล้วงเวียนใหญ่) เลยต้องขึ้นทางด่วนจากเชิงสะพานสาทร ไปลงตรงบางปะอิน.
อย่าว่าผมเชยเลยนะครับ เพราะนาน ๆ ครั้งที่จะขึ้นทางด่วน อธิบายไม่ถูกจริง ๆ ครับว่า ผ่านตรงไหน และอยู่ตรงไหนบ้าง ก็มีรูปบนทางด่วนยามเย็นก่อนค่ำ จากแยกสะพานสาทร ถึงแยกบางปะอิน มาให้ดูกัน ดูเพลิน ๆ ก็แล้วกัน
(1)
(2)
(3)
(4)
(5)
(6)
(7)
(1 - 7)พอลงเข้าสายเอเซีย หลังจากนี้ก็มืดค่ำ สองข้างทางมืด มองอะไรเห็นไม่ชัด ขับลุยลูกเดียว จากรูปสุดท้าย ขับเข้าสายเอเชีย ขึ้นนครสวรรค์ ก็จะไปเจอกับทางแยกที่จะเข้าชัยนาทตรงแยกมโนรมย์ ขับผ่านไปถึงทางแยกอุทัยธานี ก็ตรงไปอีก ก่อนถึงนครสวรรค์ ก็เลี้ยวซ้ายออกบายพาส เข้าทางหลวงสาย 1 เข้ากำแพงเพชร ตาก ลำปาง
บทที่ 2
(8 ) รูปนี้ก็เป็นตอนช้าตรู่ ที่ลำปาง จอดรถ ตีฉิ่ง และ ชิ้งฉ่อง เห็นเมฆสวยดีเลยเก็บภาพเอาไว้ แต่กล้องมันไม่ดี รูปเลยออกมาไม่ดี ต่อจากนี้ก็ขับผ่านจากลำปางเข้าทางหลวงสาย 11 ดิ่งเข้าเชียงใหม่ระยะทาง 100 กม. ขับ ชม.เดียวสบาย ๆ ผ่านลำพูน เข้าเชียงใหม่ .ต้องรีบลุยเพราะตอนเช้า 7 8 โมงจากลำพูนเข้าเชียงใหม่ รถติดมาก แล้วบางคนก็ยังขับรถชมวิวซะอีก ข้างหน้าโล่ง ข้างหลังติดเป็นขบวน กูจะบ้า.... ยังไง ๆ ขอลุยให้ถึงแยกแม่มาลัยก่อนก็แล้วกัน
(9) พอขับเลยทางแยกเข้าสารภีไปหน่อย วิ่งเข้าช่องซ้าย(เลนใน)เลย พอถึงบายพาส เลี้ยวขวาเข้าเส้น 121 จากนี้ขับลุยเลย มุดท่อลอดไปออกเส้นทาง 107 เลี้ยวขวานะเจ๊ ผ่านกองพันสัตว์ต่าง (ม้าผสมกับลา ออกมาเป็นฬ่อ แล้วถ้า ล่อกับม้าล่ะ ออกมาเป็นอะไร ถามลุงคิมทหารเก่าดูเอาเอง)
เส้นทางสายนี้จะผ่าน แม่ริม แม่แตง เชียงดาว ไปฝาง ไปแม่อายแล้วตัดเข้าแม่จัน เข้าเชียงราย แต่จะขึ้นปายก็ไปแค่แม่มาลัย ก่อนถึงแม่แตงนิดเดียว
ผมไปถึงแม่มาลัย 7 โมงครึ่ง (แม่มาลัยอยู่ อ.แม่แตง เลยเชียงใหม่ไปทางทิศเหนืออีกเกือบ 40 กม.) จะมีป้ายบอกทางแยกซ้ายขึ้นปาย ....จากสะพานสาทรประมาณ 6 โมงเย็น มาถึงแยกแม่มาลัย 7 โมงครึ่ง ขับมาสบาย ๆ จอดพักมาตลอด 13 ชม.กว่า ๆ
(10)
(9 - 10) ตรงแยกแม่มาลัย จะมีทางแยกขึ้นปาย แล้วก็มีป้ายบอกระยะทางจากตรงนี้ถึงปาย 98 กม. แต่ว่าขึ้นเขาแล้วก็ 178 โค้งนะพี่ ดูเมฆแล้ว เจอฝนบนดอยแน่ ๆ ใช้เวลาขับ 5 ชม.จะถึงมั๊ยหว่า ถึงเมื่อไหร่ช่างมัน อีกนิดเดียวเอง ขออาบน้ำที่ปั๊มน้ำมันก่อน ...
ลูกเค้าถาม พ่อ กินอะไรเบา ๆ รองท้องหน่อยนะ จะเอาอะไรดี
อะไรก็ได้ ...อาบน้ำเสร็จออกมา โอ๊ะโอ๋ ไก่ย่าง ข้าวเหนียวเนื้อ เนี่ยนะอาหารเบา ๆ รองท้อง
ก็ของเบา ๆ นุ่นกับสำลี มันไม่มีขาย มีแต่ไอ้นี่เลยต้องเอา ...เป็นไงลูกสาวผม
กินเสร็จ ล้างมือ พ่อขอนอนซักงีบนึงก่อนละกัน จะทำอะไรก็ทำไป เห็นเค้าเอามือถือมาทำอะไรไม่รู้ เล่นเกมส์มั๊ง
หลังจากที่หลับยาว ผมออกจากแยกแม่มาลัยประมาณ 10 โมงครึ่ง ขับรถขึ้นปายอีก 108 กม.(แม่มาลัยถึงปาย 98 ขับเข้าบ้านพักอีก 10 ) ไปถึงปาย เกือบ 16 น.สี่โมงเย็น ใช้เวลาจากแม่มาลัยถึงปาย 5 ชม.กว่า .. ก็ ขึ้นเขา 3 ลูก ลุยฝน ลุยหมอก ผ่านฝูงกระทิง มหิงสา วัวแดง ... กระทิง คือ วัวดำตัวใหญ่ มหิงสา คือ ควาย วัวแดงคือวัวสีแดงๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นสัตว์ของชาวเขา เลี้ยงแบบธรรมชาติ อากาศมันเย็น มันก็เลยมานอนขวางบนถนนเพื่อหาไออุ่น เวรกรรมจริงๆ กว่าจะผ่านได้แต่ละฝูง .....
อ้อ. ก่อนถึงปายซัก 20 กม. มีด่านทหารพรานตรวจค้นทุกอย่าง ...ผมขับขึ้น ล่อง จนเค้าจำได้ แถมฝากซื้อของบางอย่างจากกรุงเทพด้วย อะไรรู้มั๊ย ลูกกระสุนปืน 9 มม.ครับให้นามบัตร บอกชื่อร้านมาให้เสร็จ อยู่แถว ๆ หลังเฉลิมกรุง เห็นรถของผมจำได้โบกให้ผ่านได้เลย อภิสิทธิ์ แต่ไม่ใช่ เวชชาชีวะ ซะอย่าง
ขาขับกลับ เนื่องจากรถคันที่ผมขับ (HILUX VEGO) เจ้าของเอาไว้บรรทุก สะตอ กับ สะเดา มันเสริมแหนบให้บรรทุกได้ถึง 3 ตัน ขาขับกลับครั้งแรก รถมันว่าง มันแกว่ง มันกระโดด เลี้ยวโค้งแต่ละครั้ง เสียว มาตอนหลังขากลับ ผมต้องเอาหินแม่น้ำก้อนโต ๆ จากปาย (เก็บที่แม่น้ำฟรีครับ) โยนใส่ท้ายรถ ให้รถมันหนัก คราวนี้ขับสบาย ผ่านที่ด่าน ทหารพรานหนุ่ม ๆ มันเห็นหัวเราะก๊าก ... น้าเอาหินไปทำไม เต็มรถเลย กรุงเทพไม่มีรึไง....
รถมันเบา เข้าโค้งมันเสียว เลยเอาหินถ่วงให้รถมันหนัก
ขอบอกว่า รถ วีโก้ คนเมืองปายเค้าไม่นิยมใช้ครับ เพราะเค้าบอกว่า มันเข้าโค้งไม่เนียน ท้ายชอบปัด แล้วก็ลงข้างทางบ่อย ๆ ที่นิยมคือ อีซูซุ กับ มาสด้าครับ เครื่องแรง เข้าโค้งนิ่ม บรรทุกกระเทียม 4 ตัน เข้าเชียงใหม่ 178 โค้งสบาย ๆ
ปายอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง.1,600 เมตร จาก กรุงเทพ ฯอากาศ ร้อน ที่ปาย อากาศเย็นสบาย กลางคืนดึก ๆ ต้องก่อไฟผิง ตอนเช้า ๆ หนาว หมอกลง เดินกลางหมอกแป๊บเดียวเสื้อผ้าเปียก ความจริงไม่ใช่หมอกแต่เป็นเมฆที่ลอยผ่านยอดเขา มันมีละอองไอน้ำ มิน่า ชาวเขาปลูกพืช ปลูกผัก ปลูกข้าวบนดอยถึงได้งามนักหนา ได้กินข้าว มันมีน้ำจากเมฆที่ลอยผ่านนี่เอง ปลูกอะไรมันก็งาม เรียกตามภาษาวิชาการแบบหรู ๆ ว่า เทคนิคเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying : AWD) ..เรียกถูกหรือเปล่าครับลุง
จากแม่มาลัย ไปปาย มีทางโค้ง 178 โค้ง ใช้ความเร็ว 20 - 60 กม./ชม. จะวิ่ง 70 80 กม.ได้เป็นบางตอน ยังไง ๆ ก็หมดสิทธิ์ซิ่ง เพราะทางโค้งคดเคี้ยวขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอด ทางตรงแทบจะไม่มี บางโค้งเลี้ยวหักศอกปั๊บ ต้องเร่งเครื่องขึ้นทางชันเกือบ 45 องศา บางโค้ง ลงเขา 45 องศา ลงมาสุดปั๊บเลี้ยวหักศอกเลย บางตอนด้านหนึ่งเป็นเขา อีกด้านขับชิดริมเหว บางตอนพอเลี้ยวมุมเขาปั๊บ ต้องเบรกตัวโก่ง เพราะเจอฝูงวัวแดงและมหิงสา (วัวและควายของชาวดอย) นอนขวางถนนตามที่บอกมาข้างต้น คืออากาศมันหนาว นอนบนถนนเค้าบอกว่ามันอุ่น เป็นเส้นทางที่ขับรถมันสุด ๆ คนไม่เคยนั่งรถในทางคดเคี้ยว รับรอง อาเจียน (อ๊วกแตก).....
จากปากทางแม่มาลัย เลยหมู่บ้านไปหน่อยเดียว ก็เจอทางเลี้ยวขึ้นเขา สองข้างทางก็จะมีแต่ป่าและเขา มีชุมชนเป็นบางแห่ง เป็นหย่อม ๆ ที่น่าสนใจก็มี น้ำพุร้อนโป่งเดือด น้ำร้อนขนาดต้มไข่สุกก็แล้วกัน ชาวบ้านบอกว่า เอาหน่อไม้สด ๆ ผูกเชือกมัดโยนลงไปในน้ำพุแช่ไว้ 10 นาที เอาขึ้นมากินจะ กรอบอร่อยมาก เค้าเรียกว่า หน่อต้มโป่ง
(11)ก่อนถึงโป่งเดือดประมาณ 7 8 กม. มีทางโค้งยึกยัก เลยโค้งไปอีกหน่อยก็ถึง ที่เห็นในรูปเป็นรถเมล์ประจำทาง ปาย เชียงใหม่ ออกทุก 1 ชม. ค่ารถเมล์ 75 บาท ถ้าเป็นรถตู้ ปาย เชียงใหม่ คนละ 150 บาท แต่ไม่มัน เพราะไม่ได้ อ๊วก ขับรถเองมันกว่า ...น่าจัด แรลลี่จังเลย
(12)
(13)
(12 - 13)จากปากทางแม่มาลัย มาถึงโป่งเดือด ระยะทางประมาณ 56 กม. และจากโป่งเดือดถึงปาย ก็อีก 42 กม. จากถนนใหญ่มีทางเลี้ยวเข้าโป่งเดือด พอถึงก็จะมีป้ายบอก ยินดีต้อนรับ
(14)
(15)
(14 - 15)จากป้ายยินดีต้อนรับ ก็ต้องเดินไปตามสะพานนี้อีกประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงบ่อน้ำพุร้อน เนื่องจากน้ำร้อนมาก และกลิ่นกำมะถันฉุน แล้วยังต้องเดินเข้ามาอีกครึ่ง กม. คนมาเที่ยวก็เลยน้อย และทำไมต้องทำสะพานทางเดิน เพราะดินข้างล่างมันร้อนและบางช่วง ร้อนจัด และดินเหลว เนื่องจากน้ำจากบ่อไหลออกมาทางนี้ แล้วทำไมมีหญ้าขึ้นในดินที่ร้อนได้ อันนี้ตอบไม่ได้ ก็เหมือนกับทีใต้ทะเลลึกทำไมมีสาหร่ายหรือพืชบางชนิดขึ้นได้ล่ะพี่จ๋า ....เพื่อความอยู่รอด ทุกสิ่งที่มีชีวิตต้องปรับสภาพให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมจึงจะมีชีวิตอยู่ได้
(16)
(17)
(16 - 17)บริเวณแถบนี้ คนแทบไม่มี นอกจากเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล สัตว์ก็ไม่ค่อยเห็น มีแต่กิ้งก่าตัวใหญ่ ๆ ถ่ายรูปไม่ทัน (ชาวบ้านเรียก กะปอม เจอกันไม่ได้ จับเอาไปทำลาบกินหมด เค้าบอกอร่อยกว่าไก่ แต่ผม แหวะ ) นอกจากพืช และที่เห็นมันปุดขึ้นมาน่ะ เป็นน้ำปนโคลนเดือด อย่าคิดว่าเล็ก ๆ นะ กว้างประมาณ 3 4 เมตร เสียง บั๊บ ขึ้นมาทีหนึ่ง สดุ้ง ตรงนี้ถ่ายห่างออกมา สิบกว่าเมตร อากาศไม่ค่อยโสภา กลิ่นกำมะถันค่อนข้างแรงจัด
ก่อนถึงปายประมาณ 20 กม มีบ่อน้ำร้อนอีกแห่ง เค้าเรียกว่า โป่งน้ำร้อนท่าปาย บ่อนี้น้ำอุ่น มีคนไปอาบกัน จากนี้ก็ข้ามสะพานประวัติศาสตร์ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นสร้างเอาไว้เพื่อข้าทัพไปพม่า ...ไม่รู้ว่าผมเอารูปไปลงแปะไว้ตรงไหน ยังหาไม่เจอ ผลัดไว้ก่อนจะเอามาลงภายหลัง
(18 ) ขับรถเข้าที่พัก ... ถ้าไปปาย เห็นป้ายอันนี้ละก็ใช่เลย ออกจากตัวอำเภอไป 5 กม. ไปตามเส้นทาง 1095 ที่จะไปแม่ฮ่องสอน ก่อนถึงสนามบินปาย ขวามือมีป้ายบอกทางไป บ้านเวียงเหนือ ถึงสะพานข้ามแม่น้ำปาย ซ้ายมือมองเห็นสนามบิน มองตรงข้างหน้า มองเห็นบ้านพัก ขับรถไปถึงจะอยู่ขวามือตรงข้ามกับทางเข้า สิบสองปันนา มีศาลาทรงไทยอยู่ขวามือครับ ยินดีต้อนรับทุกท่าน
(19)บ้านพักของลูกสาวเค้าอยู่ห่างออกไปหน่อย ของผมหลังนี้ คนดูแลมันทิ้งของเกลื่อนไปหมด พอเห็นผม มีการต่อว่าด้วยว่า จะมาก็ไม่บอกล่วงหน้า จะได้เก็บกวาด ....ก็ที่ไม่บอกจะได้มาดูว่า เอ็ง ดู และ แล ให้ข้าดีแค่ไหน
ไปถึงปาย อาบน้ำแร่แช่น้ำอุ่นสบาย ๆ แล้วก้ออกมา แร่ด ที่ถนนคนเดินยามค่ำคืน หาของกินด้วย
(20)
(21)
(22)
(23)
(20 - 23)ผิดหวังที่คืนนี้ไม่มี บิกินี่ มาเดินโชปิ้ง
พืชหลักของปาย นอกจากข้าวหลากหลายสายพันธุ์ เป็นต้นว่า ข้าวไร่หรือข้าวหอมดอยมูเซอ (หนึ่งในส่วนผสมของข้าวเบ็ญจกระยาทิพย์ มีใครรู้จักบ้างมั๊ยครับ), ข้าวไร่ซิวแม่จัน, ข้าวพันธุ์พื้นเมืองของกะเหรี่ยง, ข้าวก่ำจ้าว, ข้าวก่ำเหนียว(หรือที่คนไทยรู้จักในนามของ ข้าวเหนียวดำ) ข้าวลืมผัว (ไม่ยักกะมีข้าวเมียลืม) ข้าวน้ำรู, ข้าวหอมนิล, ข้าวหอมมะลิแดง, ข้าวเหนียวพันธุ์พื้นเมืองเป็นพันธุ์ของไทใหญ่ดั้งเดิม-กินอร่อยมาก แล้วก็มีข้าวสาลีพันธุ์พิเศษ ปลูกที่ปางมะผ้า เพื่อเอาใบอ่อนคั้นน้ำ สุดยอดอาหารบำรุงเค้าบอกว่าส่งมาที่ศิริราช ส่งมาทำไม ส่งมาให้ใคร คงไม่ต้องบอก มูเซอที่ปางมะผ้าบอกว่า ทำ (ดูแล) อย่างสุดชีวิต เพื่อถวายแด่องค์ราชันย์ ......
ผมเคยกระซิบถามบรรดาชาวเขาทุกเผ่าว่า หากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับองค์พ่อหลวงและราชวงศ์ เค้าบอกว่า ชาวเขาทุกเผ่าจะลงดอยทันที และ ลุงคิมและหรือมีใครเคยรู้เรื่องบ้างไหมว่า ชาวเขาหรือชนเผ่า เค้าเคยมาชุมนุมกันที่หน้าทำเนียบฯ มาแล้ว ผมมีรูปมาให้ดูชุดนึง แต่ตอนนี้ ให้ดูแค่สามรูปก่อนนะครับ แค่อ่านคำบรรยายก็แสบแล้ว น่าจะเป็นความจริงที่ว่า คนป่าจะเข้าเมือง คนเมืองจะเข้าป่า ลูกชาวเขาชาวดอยบางคนความรู้สูงกว่ารัฐมนตรีบางคนครับ ลูกสาวกะเหรี่ยงบ้านที่ผมไปพัก จบ ปวส.จากเชียงใหม่ กำลังเรียนต่อ ปญ.ตรี ทำงานที่ อบต. และมีลูกชาวเขาบางคนจบตั้งแต่ ปญ.ตรี ถึง ปญ.เอก ในโครงการหลวงมีแยะ และคนเหล่านี้พร้อมที่จะ.......
สำหรับข้าวไร่ที่ผมบอกชื่อมานั้น มีข้าวซิวแม่จัน กับข้าวลืมผัว 2 สายพันธุ์ในจำนวนข้าวไร่ 3 สายพันธุ์ ที่ถูกนำเข้าพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปีนี้ด้ว (ข้าวไร่ที่เข้าพิธีอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ พันธุ์ดอกพะยอม) มิน่า ปีนี้ชาวเขาถึงปลูกข้าวซิวแม่จันกับข้าวลืมผัวกันแยะเลย ผู้นำกลุ่มชุมชนบอกว่ามีการสั่งจองไว้ล่วงหน้าหมดแล้วรวมทั้งข้าวหอมดอยด้วย ว๊าว แล้วก็...มีชาวเราประเภทนายทุน ขึ้นไปทำเป็นกร่าง (ว่าข้ามีเงิน) ปลูกข้าวดอยแข่งกะเค้าด้วย ...แต่ ใส่ปุ๋ย ฉีดยา สบั้นหั่นแหลก..ถ้าเล่าตรงนี้เรื่องมันจะยาว เอาไว้ขอเล่าต่างหากก็แล้วกัน รับรองว่าสนุกครับ เพราะมีการไล่ยิงกันด้วย สนุกยิ่งกว่าหนังคาวบอยซะอีก....
นอกจากข้าว ที่ปายก็มีกระเทียมครับลุง กระเทียมของปาย เป็นกระเทียมพื้นเมืองพันธุ์ดีที่สุด หัวและกลีบไม่ใหญ่แต่ว่ากลิ่นฉุน กินอร่อยมาก ๆ ราคาดีปลูกไม่กี่ไร่ได้เงินเป็นแสน พ่อค้าที่เยาวราชไปตั้งโกดังรับซื้อที่แม่ริม ลื้อมีท่าวหร่าย อั๊วรักซื้อหมก ...
ผมนอนที่ปายแค่สามคืน
พอวันที่ 10 กค. ออกจากปาย 6 โมงเช้า ขับรถดั้นเมฆ ลุยหมอกขึ้นเขาไปอีก 2 ลูกระยะทาง 75 กม. ไปหาเพื่อนซี้ (เป็นผู้ใหญ่บ้าน) ที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงบ้านวัดจันทร์ ไปถึง 10 โมงเช้า ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นอำเภอกัลป์ยาณิวัฒนา ขึ้นกับ จว.เชียงใหม่แล้ว กำลังพัฒนา แต่ยัง Vergin ดิบ ๆ มาก ๆ เลย ต้นสนภูเขาโตขนาดสองคนโอบ มีคนเอามาเลื่อยแปรรูปทำบ้าน สวยมาก ๆ เลยครับ แต่เป็นไม้ต้องห้ามขนออกนอกเขตไม่ได้ มีโครงการหลวงสองแห่ง ระหว่างทาง ผ่านเหมืองแร่ ฟลูออไรด์ คนแถวนี้ฟันขาวจริง ๆ ครับ แล้วก็มีโครงการหลวงเอาสตรอเบอรี่มาทดลองปลูก ลูกโต รสชาติจัดจ้าน อมเปรี้ยว อมหวาน แสบคอ
(24)
(25)
(26)
(24 - 26) อยู่ที่ปาย ผมใช้รถที่เห็นตามรูปนี่แหละครับ เป็นรถที่ปลดประจำการแล้ว คนที่ปายซื้อมาใช้ ผมยืมเค้ามาใช้อีกที แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนสี คิดว่าเจ้าของคงไม่เปลี่ยน เท่ห์ดีออก คนถือร่มยืนข้างรถ ลูกสาวครับ ถึงไหนถึงกัน ลุยมันทุกที่ คุณเชื่อมั๊ยว่า ขับเข้าที่หมู่บ้านไหน ทั้ง ลีซอ มูเซอ ยูนนาน ไทใหญ่ แม้กระทั่งกะเหรี่ยง ลูกเล็กเด็กแดง เผ่นหนีกันป่าราบ เค้านึกว่าจะไปจับยาบ้า ที่ต้องเผ่นเพราะผมเข้าไปโดยไม่มีหมายกำหนดการล่วงหน้า ดีว่าไม่โดนไล่ยิงก็บุญโข ...
ไทใหญ่ คำว่า ไท ไม่มี ย.ยักษ์นะครับ เค้าบอกว่าเค้าเป็นคน ไต คือ ชาวไตใหญ่ เป็นพี่ของคนไทย คือไทน้อย ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าพีล่อโก๊ะ โก๊ะล่อฝง จากเทือกเขา อัลไตโน่นแน่ะ - ลุงคิมชอบพูดบ่อย ๆ ผมอยากชวนลุงคิมไปออกรายการ สีสันชีวิตไทย ที่ปาย ซักครั้งดีมั๊ยครับ ออกรายการกลางสายหมอกและดอกหมวย ดอกหมวยนะครับ ไม่ใช่ดอกเหมย 555.. น่าจะทำได้นะครับ มีที่พักฟรี (กางเต้นท์) อาหารฟรี (ผลหมาก รากไม้) ส่วนของแถมจะเป็น ลีซอ มูเซอ ยูนนาน ไทใหญ่ หรือกะเหรี่ยง อันนี้ต้องคุยกันเอาเองตามอัธยาศัยเป็นรายบุคคลครับ สูตรใครก็สูตรใคร ผมไม่เกี่ยว จากการที่ผมศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบได้ว่า
ลีซอ ปูโพรก,
มูเซอ ปูอัด,
ยูนนาน ปูสองกระดอง,
เย้า ปูนิ่ม,
ไทใหญ่ ปู่ไข่,
กะเหรี่ยงหรือปกากะญอ ปูเนื้อแน่น ...
แต่ว่า พริกกะเหรี่ยง มันเผ็ดแบบเผ็ดทื่อ ๆ คือ เผ็ดลูกเดียว มาเจอพริกขี้หนูสวน ถึงเมล็ดจะเล็ก แต่มันเผ็ดแบบมีรสชาติ แถมกลิ่นหอมอีกต่างหาก...
ใครจะไปเที่ยวปาย ต้องไปหน้าฝนช่วงนี้ครับ มีครบทุกรสชาติสาวฝรั่งวัยรุ่นตรึมเลยแหละ ที่กรุงเทพฯ แค่นุ่งสั้น แต่ที่นั่น นุ่งบิกินี่ เดินตลาด ถือเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา ไปหน้าหนาวหาที่พักยาก(คืนละ 300 30,000) ของแพงมากกกก น่องไก่ปิ้ง น่องละ 60 80 .บาท..
ผมเคยเล่าให้ยัยเฉิ่มฟัง ยัยเฉิ่มบอกว่า อยากไปมั่งอ่ะ ก็เลยบอก ที่ทิดเล่านี่น่ะ ไม่จริงหรอก นอนฝันแล้วก็คุยให้ฟังให้ดูมีสีสันไปงั้นแหละ ความจริง ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปเลย ที่ เตาปูน โพธาราม ดีกว่าแยะ
...รถที่ผมขับนี่ เค้าเรียกรถอะไรครับลุงผู้พัน ฮัมฟรี่ หรือ ฮัมวี่ ขับมันเป็นบ้า เสียงเครื่องยนต์ เวลาเร่งเครื่อง บรึ่น ๆๆๆ ยังกับรถ Formular 1 ขับลุยดีจริง ๆ พวงมาลัยซ้ายติดพาวเว่อร์ ติดแอร์ซะด้วย ...ผมไปอาศัยกินนอนอยู่บ้านกะเหรี่ยงที่บ้านวัดจันทร์ตั้งแต่วันที่ 10 กค. ไปทำไม ไปหาพันธุ์พืชแปลก ๆ และดูเขาปลูกข้าวไร่ ข้าวดอย แล้วก็หาหน่อไม้กินครับ ...
(27)
(28 )
(26 - 28 )ดูรูปต้นไผ่กับหน่อไม้ซะก่อน เห็นแล้วจะหนาว นึกถึงคำโบราณที่ว่า เด็กเกิดจากรูกระบอกไม้ น่าจะจริง เพราะเพื่อนกะเหรี่ยงบอกว่าสมัยก่อนต้นใหญ่กว่านี้อีก ทำถังใส่น้ำ ใส่ข้าวสาร ใส่เสื้อผ้า ใส่ของสารพัด ดีจริง ๆ
ผมไปรู้จักกับกะเหรี่ยงได้ยังไง .... มีคำบอกว่า อันรักแท้ยากจะหามาเชยชม แต่มิตรแท้ที่นิยมยิ่งยากหากว่ารักแท้ ดังนั้น มิตรภาพย่อมเกิดขึ้นได้ทุกที่ ถ้ามีความซื่อและความจริงใจให้กันและกัน ความไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ...กะเหรี่ยงเป็นคำที่คนไทยเรียก แต่เค้าเรียกตัวเค้าเองและชอบที่จะให้คนอื่นเรียกเค้าว่า ปกากะญอ ภาษากะเหรี่ยงที่จับความได้
เซกวา กวอ กอแล สะกั๊วะ กะแถะ เคาะโกรว นอตะบือ แต่ห้ามถามเพราะไม่รู้คำแปล
(29) ชุมชนกะเหรี่ยงอยู่กันตั้งแต่ตีนดอย ถึงยอดดอย ลุงคิมให้ปุ๋ยหน้าโซนแบบ กะเหรี่ยง แต่ของกะเหรี่ยง มีกังหันน้ำ แบบกะเหรียงจริง ๆ เลย...มีน้ำไหลเข้าไร่ทั้งวันทั้งคืน ถึงฤดูน้ำหลากมันก็โดนน้ำพัดพัง น้ำลดก็ทำกันใหม่ แต่หลัง ๆ ใกล้น้ำจะมา เค้าก็เอาเชือกล่ามไว้กับต้นไม้ พอน้ำลดก็ซ่อมกันใหม่ แต่เค้าบอกว่า ทำใหม่ดีกว่า เพราะอันเก่าใช้งานมาปีนึงแล้วมันก็ ออดแอด จะหลุดมิหลุดแหล่
ยังมีต่อครับ .....สีสันยังไม่ค่อยมี ใจเย็นๆ ครับ รับรองว่า สาวดอยปัจจุบัน สาวไฮโซเมืองกรุงเจอแล้วอายก็แล้วกัน
.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 06/03/2017 12:17 am, แก้ไขทั้งหมด 46 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 06/09/2012 7:35 pm ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร-จากดิน สู่ยอดดอย-นครปฐม-ปาย-บ้านวัดจันทร์ |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม และเพื่อนสมาชิก
มาเล่าเรื่องเกษตรสัญจร ต่อกันครับ
บทที่ 3
ลุงคิมเคยบอกว่า.....
1. สาวม้ง อีก้อ มูเซอ (ไทยภูเขาทุกชาติพันธุ์)
2. สาวญี่ปุ่น,
3. สาวเกาหลี
4. สาวจีนประเทศจีน
5. สาวจีนในประเทศไทย
6. สาวเวียดนาม
ทั้ง 6 สาวนี้เป็น เชื้อชาติ หรือ ชาติพันธุ์เดียวกัน....
จัดลำดับจาก 1 ถึง 6 หมายถึง ความสวย จากสวยน้อย ไปหาสวยมาก ..... สรุป : สาวเวียดนามสวยที่สุด
แต่ผมว่า ขาดสาวลาวไปอีกหนึ่ง รวมทั้งสาวผิวพม่าตาแขกด้วยนะครับ
จากรูปนี้ ไม่ทราบว่าเป็นสาวเผ่าไหน ผิวคล้ำ หน้าเข้ม ตาคม รอยยิ้ม ยิ้มแบบหน้าดุ คล้าย ๆ คนเผ่าอารยัน
เนื่องจากการส่งภาพและข้อความยังมีปัญหา ผมเลยทดลองส่งภาพชุดนี้มา ก็คิดว่าถ้าการส่งเรียบร้อยแล้ว ก็จะลบเขียนใหม่
ก็มีคนเข้ามาคุยด้วยหลังไมค์ ว่าอย่าลบ ให้เก็บรูปเอาไว้ ผมก็ต้องตามใจแฟน ๆ ละครับ แต่ได้เพิ่มเติมบางอย่างให้มีสีสันขึ้น
เพื่อให้มีสีสันขึ้นอีกนิด แถมให้อีกรูปนึงก็ได้เอ้า
รูปนี้ก็ไม่ทราบว่า เผ่าไหนเหมือนกัน
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
cherm สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 17/11/2011 ตอบ: 237
|
ตอบ: 07/09/2012 2:47 pm ชื่อกระทู้: รออ่่าน |
|
|
สวัสดีค่ะ ลุงคิม
สวัสดีค่ะ ทิดแดง
ยัยเฉิ่ม รออ่าน ค่ะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 07/09/2012 11:37 pm ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร จากปาย สู่บ้านวัดจันทร์ |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม
..(และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน)
เกษตรสัญจร นครปฐม ปาย บ้านวัดจันทร์ เล่าต่อเลยนะครับ
บทที่ 4 ขึ้นบ้านวัดจันทร์
ก่อนเล่าต่อ ขอตอบข้อซักถามก่อนครับ คือ เมื่อตอนเช้าและตอนเย็นวันที่ 7 กันยายน 2555 บังเอิญผมฟังรายการวิทยุลุงคิม ตอนเช้าก็ฟัง 8 โมง ถึง 9 โมงเช้า จบแล้วจึงเข้าสวน ตอนเย็น สองทุ่มห้านาที ห้ามใครรบกวน เพราะฟังรายการลุงคิม
ตอนเช้าวันที่ 7 กันยา รายการลุงมีเหตุขัดข้องทางเทคนิค ช้าไปครึ่งชั่วโมง
รายการตอนเช้า มีคนบอกลุงคิมว่า อยากได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ผมเขียนลงในกระทู้ ... ผมเขียนในบทที่ 2 ไว้ตอนหนึ่งว่า
.......ข้าวหลากหลายสายพันธุ์ที่ ชาวดินชาวดอยที่ปายปลูกกันจะมี ข้าวไร่หรือข้าวหอมดอยมูเซอ(เป็นหนึ่งในส่วนผสมของข้าวเบ็ญจกระยาทิพย์ ), ข้าวไร่ซิวแม่จัน, ข้าวพันธุ์พื้นเมืองของกะเหรี่ยง, ข้าวก่ำจ้าว, ข้าวก่ำเหนียว(หรือที่คนไทยรู้จักในนามของ ข้าวเหนียวดำ) ข้าวลืมผัว (ไม่ยักกะมีข้าวเมียลืม) ข้าวน้ำรู, ข้าวหอมนิล, ข้าวหอมมะลิแดง, ข้าวเหนียวพันธุ์พื้นเมืองเป็นพันธุ์ของไทใหญ่ดั้งเดิม-กินอร่อยมาก แล้วก็มีข้าวสาลีพันธุ์พิเศษ ปลูกที่ปางมะผ้า เพื่อเอาใบอ่อนคั้นน้ำ สุดยอดอาหารบำรุงเค้าบอกว่าส่งมาที่ศิริราช ส่งมาทำไม ส่งมาให้ใคร คงไม่ต้องบอก มูเซอที่ปางมะผ้าบอกว่า ทำ(ดูแล)อย่างสุดชีวิต เพื่อถวายแด่องค์ราชันย์ ......
อยากได้พันธุ์ข้าวอะไรล่ะน้อง สอบถามหลังไมค์ กด PM ในกระทู้ที่มีชื่อผม แล้วพิมพ์ถามแบบเดียวกับที่เขียนลงกระทู้ได้เลย เสร็จแล้วก็กด ส่ง
ตอนนี้ผมมีอย่างละนิดหน่อย มีอยู่สองพันธุ์ ข้าวหอมดอยมูเซอ กับ ข้าวลืมผัว (คิดว่าจะปลูกให้ผสมพันธุ์กันเอง ออกมาจะตั้งชื่อว่า ข้าวเมียลืม จะตั้งว่า ข้าวลืมเมียไม่ได้ตาย) ....พอแบ่งให้ได้ประมาณซองเล็ก ๆ ขนาดที่เค้าแจกในงานวันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั่นแหละ พอแบ่งให้ได้
จะบอกว่า ....คนไทยพื้นราบกินข้าวขาว แต่คนบนดอยเค้ากินข้าวที่ออกสีดำมาตั้งแต่ ปู่ของปู่ ๆๆๆๆ แล้ว คนไทยเพิ่งจะมาตื่นเต้น ยังไม่เคยได้ยินว่า คนบนดอยตายเพราะโรคมะเร็งเลย
ผมเคยเอาข้าวหอมดอยมูเซอปลูกเล่น ๆ บนดินแห้ง ๆ ที่นครปฐม เมล็ดเดียวแตกกอดีเป็นบ้า เกือบ 20 ต้น ปลูกจนออกรวงใกล้จะแก่ พอดีว่าต้องเดินทางไปอีสาน กลับมาเหลือแต่รวงแห้ง ๆ เพราะโดน นกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องปรี๊ด ๆ ลุงคิมบอกว่า นกหวีด มันกินเมล็ดหมดเกลี้ยงเลย ก็ถามพวกบ้านว่า ทำไมไม่เกี่ยวไว้ก่อน เค้าบอกว่า ก็ทิดบอกว่าปลูกดูเล่น เห็นนกมากินมันดูน่ารักดีเลยปล่อยให้มันกิน โห ยังงี้ก็มีด้วยว่ะ ....แต่ก็เชื่อแน่ตามที่ลุงคิมบอก ข้าวคือข้าว ปลูกที่ไหน ถ้าดูแลดี ๆ ย่อมได้กินเมล็ด จะมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง .....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบอกว่า ข้าวคือหญ้า จะปลูกบนดินอะไรย่อมงอก ขนาดดินลูกรังดูว่าแห้ง ทรงบอกให้เอากะลาครอบดินแห้ง ๆ เอาไว้ ตอนเช้ามาเปิดดู ตรงที่ครอบจะมีคราบหยดน้ำ....ทรงเป็นจอมราชันย์จริง ๆ
ทีนี้ สำหรับข้าวสาลีชนิดพิเศษ ผมว่าจะเขียนลงกระทู้อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อมีคนถาม ก็ขอเอารูปมาลงให้ดูเล่น ๆ ก่อนนะจ๊ะ
เตรียมดินก่อนปลูก
แช่เมล็ดข้าวสาลีให้งอก
โรยลงกระบะเพาะ
ข้าวอายุ 5 วัน
ข้าวอายุ 7 วัน บรรจงตัดใบอ่อน เอาใบไปคั้นเป็นน้ำ กว่าจะได้ซักเหยือกนึง ใช้ใบข้าวมากแค่ไหน คิดดู
ข้าวส่วนหนึ่งที่ถูกตัดใบแล้ว
ทั้งหมดเป็นการสาธิตวิธีการให้ดู ของจริงน่ะไม่ได้เอามาวางกับพื้นอย่างนี้หรอก นะครับ ทุกกระบะ วางบนชั้นยกพื้นอยู่ในโรงเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย กางมุ้งโปร่งตา สะอาด บริสุทธิ์ ชนเผ่า ..คำว่าชนเผ่า คือ กะเหรี่ยง (ปกากะญอ) มูเซอ ลีซอ อาข่า ยูนนาน
ม้งจากดอยผาหมี เย้าจากดอยช้าง ไทใหญ่ ไทกอ อ้อไม่มี มีคนไทย แบ่งเป็นแปลงของแต่ละเผ่า แข่งกันดูแลว่าใครจะได้ผลผลิต (น้ำใบข้าว) มากกว่ากัน และคนที่จะเข้าไปในแปลง จะต้องอาบน้ำ แต่งตัวประจำเผ่าเต็มยศ เค้าบอกว่า เค้านึกว่า พ่อหลวงมาอยู่ตรงหน้าเค้า เค้าแต่งตัวเพื่อเข้าเฝ้าพ่อหลวง ทุกคนผลัดเวรกันมาทำ ทำด้วยใจ ไม่มีเงินเดือน ฟังแล้วขนลุก
ชุดเต็มยศ ที่มาดูแลข้าวสาลีเพื่อเอาใบคั้นน้ำ กล้องผมมันห่วย ตัวจริงแก้มแดงธรรมชาติสียังกับลูกท้อ สาวเดินดินน่ะชิดซ้ายไปเลย แค่เครื่องเงินแท้ ๆ ที่ใส่ก็ไม่รู้ราคาเท่าไหร่แล้ว
อ้อลืมบอกว่า แปลงปลูกอยู่บนดอยที่ อ.ปางมะผ้า เลยปายขึ้นไปทางแม่ฮ่องสอนอีก 45 กม. ใกล้พระตำหนักปางตอง หลังจากตั้นน้ำเสร็จ บรรจุใส่ภาชนะตามกระบวนการ ส่งเข้ามาที่ปาย ขึ้นเครื่องนกแอร์ที่ปาย เข้าเชียงใหม่ และนกแอร์จากเชียงใหม่มาลงที่ดอนเมือง จากดอนเมืองขึ้น ฮ. มาลงชั้นบนสุดตึก ศิริราช ทุกวัน ขอให้ชนเผ่าทุกคนที่เสียสละจงมีความสุข มีความเจริญ มีความสวยตราบนานเท่านาน ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ....สมเด็จพระนางเจ้าเป็นผู้ทรงคิดสูตรนี้ ....ฟังแล้วน้ำตาไหล
แล้วรายการตอนเย็นวันที่ 7 กย. มีคนถามลุงคิมอีกว่า ไผ่ยักษ์น่ะ หาซื้อได้ที่ไหน หน่อกินอร่อยมั๊ย ....หาซื้อได้ที่บ้านวัดจันทร์ครับ ที่ผมไปบ้านวัดจันทร์ครั้งแรกเพื่อจะไปหาซื้อต้นไผ่ชนิดนี้เอามาทำเสาบ้าน (กระต๊อบ) แต่ขนข้ามเขตเชียงใหม่เข้าเขตปายไม่
ได้ โดนป่าไม้จับ เช่นเดียวกับไม้สนภูเขา ปลูกบ้าน สวยมาก ๆ ขนข้ามเขตไม่ได้เช่นกัน สำหรับต้นไผ่ยักษ์ ตัดแล้วขนาดยาว สามเมตร สองคนแบกแทบไม่ไหว ผมเห็นที่บ้านที่ผมไปพัก เป็นของเก่าเค้าเอามาทำถังใส่น้ำ ทำที่เก็บข้าวสาร ใส่เสื้อผ้า ขนาดกว้าง เกือบ 40 เซ็นติเมตร เด็กเกิดใหม่ลงไปนอนได้ก็แล้วกัน ....
กินอร่อยมั๊ย ไผ่ตงกินอร่อยยังไง ไผ่ยักษ์ก็กินอร่อยยังงั้น ส่วนมากเค้าจะไม่ขุดหน่อกินกัน จะเอาไว้ต้นให้มันแก่ ที่เห็นนั่น เค้าเอาไปช่วยงานทำบุญคนต่างหมู่บ้านครับ ....งานนี้คงจะมีแต่ ซุปหน่อไม้ ผัดหน่อไม้ ต้มหน่อไม้ แกงหน่อไม้ ฯลฯ
ไปบ้านวัดจันทร์กันต่อครับ ออกนอกเรื่องเดี๋ยวพอดีไม่ถึงกัน มีแฟนรายการปุ๋ยปลาทะเล ก็ถามหลังไมค์ว่า เมื่อไหร่จะเขียนต่อ ใจเย็น ๆ ครับ ขอเปลี่ยนบรรยากาศมั่งก่อน นึกถึงปุ๋ยปลาแล้วกลิ่นมันติดจมูก
การบอกเล่าด้วยคำพูด หากไม่มีรูปหรือแผนที่ให้ดู ก็คุยสื่อสารกันยาก ถ้างั้นดูจากแผนที่คร่าว ๆ นะครับ ว่าปาย บ้านวัดจันทร์ และสถานที่อื่น ๆ อยู่ตรงไหน (ของประเทศไทย)
เดิม บ้านวัดจันทร์ เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง อยู่ปลายเขต จว.เชียงใหม่ ห่างจากเชียงใหม่กี่ กม.จำไม่ได้ แต่ห่างจากปาย 75 กม. หากจะเข้าทางเชียงใหม่ คุณต้องไปตั้งหลักที่ แม่ริม หรือที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ใกล้หางดง ถ้าเข้าทางแม่ริมก็จับเส้นทาง 1096 ถ้าเข้าทางก่อนถึงหางดง ก็ใช้เส้นทาง 1269 จะไปบรรจบกันที่ อ.สะเมิง จากสะเมิงก็ขึ้นขาลงห้วยไปตามถนนลูกรังอีกยาวนาน เอาเป็นว่า จากเชียงใหม่ขึ้นบ้านวัดจันทร์ ใช้เวลา 1 วัน ลงมาอีก 1 วัน
อ้อ มีรถประจำทาง(ปิ๊คอัพ สองแถว)ขึ้นลงบ้านวัดจันทร์วันละเที่ยว จากเชียงใหม่ รถจอดบริเวณตลาดประตูช้างเผือกครับ
ปัจจุบัน บ้านวัดจันทร์ยกฐานะขึ้นเป็น อำเภอแล้ว มีชื่อว่า อำเภอกัลยาณิวัฒนา ...จากป่าดงดิบ ก็เริ่มจะกลายเป็น ป่าดินแดง อันเป็นธรรมดาการเปลี่ยนแปลงของโลก และของ คนโลภ และเส้นทางจากสะเมิง มาถึงบ้านวัดจันทร์ก็คงจะทำให้ดีขึ้น
จะมาบ้านวัดจันทร์ คนส่วนมากเค้าจะเข้าไปที่ปายก่อน แล้วเข้าบ้านวัดจันทร์อีกที ซึ่งจากปายไปบ้านวัดจันทร์ 75 กม. ขับรถฝ่าเมฆ ลุยหมอก 3 4 ชม.ก็ถึง
ดูจากแผนที่ ถ้าจะไปบ้านวัดจันทร์ จากปาย ก็ต้องย้อนมาทางจะเข้าเชียงใหม่ ประมาณ 15 กม. จะมีทางแยกขวา เลี้ยวขึ้นเขาไปเลย
ตามรูปนี้ ถ้าขับรถมาจากเชียงใหม่ มาถึงตรงนี้ จะมีป้ายบอกทางแยกเลี้ยวซ้ายเข้า บ้านวัดจันทร์ มาจากปายให้เลี้ยวขวา เป็นเส้นทางหมายเลข 1265 ครับ พอเลี้ยวเข้าตามรูปจะเป็นทางโค้งขึ้นเขา สองสามโค้ง ก็ต้องเร่งเครื่องลูกเดียว ถ้าเบา เปลี่ยนเกียร์ไม่
ทัน รถหมดแรงไหลถอยหลังแน่ ถ้าเกียร์ออโต้ แบบรถ ออดี้ 4 ห่วง กลับไปรับรอง อู่ยิ้มก็แล้วกัน ทำไมถึงยิ้ม ก็เพราะรถออดี้มีแค่ 4 ห่วง ไม่ใช่ 5ห่วง รถเกียร์ธรรมดาก็ระวัง คลัชไหม้ก็แล้วกัน
พ้นขึ้นเขาช่วงแรกมาทางก็ชันน้อยลง สองข้างทางก็มีแต่สนภูเขาเริ่มจะมีประปราย ผมออกจากปายประมาณ 6 โมงเช้า มาถึงตรงนี้ก็ประมาณเกือบ 7 โมงเช้าก็ยังมีหมอก ยังไง ๆ ถ้าจอด ตีฉิ่ง หรือ ชิ้งฉ่อง ก็หาก้อนหินหนุนล้อไว้ด้วย เผื่อเหนียว แล้วก็เก็บหินก้อน
นั้นติดรถเป็นที่ระลึกไว้ด้วย เพราะทางข้างหน้าอาจมีบางช่วงต้องใช้และหาไม่ได้ มันมีอยู่สองสามช่วงที่ต้องเลี้ยวแล้วหักขึ้น 45 องศา ขาลงก็หักลง 45 องศาเช่นกัน เวลาขับเข้าโค้งที่มองข้างหน้าไม่เห็น กรุณาใช้เสียงแตร กดยาว ๆ ด้วยนะเจ๊ รถที่สวนทางมาจะได้รู้ เพราะหมอกหนา ถนนลื่นเพราะมีต้นมอสขึ้น ถ้าใจไม่ถึง ขอร้องว่าอย่าขับเอง ไอ้ที่บอกว่ามือแน่ ๆ น่ะ ลงไปอยู่ก้นเหวหลายคนแล้ว
ยิ่งขึ้นสูง หมอกก็หนาแบบนี้แหละ ความจริงไม่ใช่หมอกแต่เป็นเมฆที่ลอยผ่านยอดเขา ออกไปยืนแป๊บเดียว ตัวเปียก คนไม่คุ้น ระวัง เปลี่ยวดำจับ (ภาษาคนโบราณเค้าเรียกอาการของ นิวมอเนีย ว่าเปลี่ยวดำ คือมันจะหนาวเย็นจนปากเขียวออกเป็นสีดำ) อย่าลืม อย่าลืมเปิดไฟหน้ารถด้วยล่ะ ความจริงขับกลางคืนจะปลอดภัยมากกว่า เพราะมองเห็นแสงไฟจากรถที่สวนทางมา มาอยู่ตรงนี้ขอบอกว่า มันเป็นอะไรที่หลุดโลกจริง ๆ เงียบสงบ ขับรถปิดแอร์ เปิดกระจก มันชื่นฉ่ำ (หนาว) เย็นสบาย บรรยายไม่ถูกครับ
รูปซ้าย จะมีทุ่งโล่งเป็นบางแห่ง ที่ใช้ทำการเกษตร ส่วนมากทางเขตปาย จะเป็นป่าไผ่ เป็นไผ่ต้นไม่ใหญ่ โตขนาด 2 - 4 นิ้ว แต่ก็มีบางกอ ต้นโตขนาด 5 - 6 นิ้ว ลำยาวเกือบ20 เมตร มีขายที่ปาย ลำละ 120 บาท
รูปขวา พอขึ้นเขาไปอีกก็จะมีป่าสนภูเขาสองข้างทาง ที่เห็นว่าเป็นหมอกนั้น ความจริงคือเมฆ ถ้าอยู่พื่นราบ จะเห็นเป็นเมฆลอยผ่านยอดดอยน่ะครับ หมอกแค่ชื้น ๆ แต่แปลก เมฆ ทำไมเปียกชุ่มได้
สนภูเขาขึ้นแยะมาก เป็นไม้ต้องห้าม ตัดใช้ทำบ้านในพื้นที่ ขออนุญาตตัดได้ รูปขวา ทุกสรรพสิ่งดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด แมงมุมชักใยบนยอดสน ดูจากของจริงมันน่าอัศจรรย์ครับ
เป็นการอยู่ร่วมกันแบบธรรมชาติ ที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันตามระบบนิเวศน์ ธรรมชาติควบคุมกันเอง แมลงร้ายกัดกินทำลายพืช แมลงดีกินแมลงร้าย เพราะแมลงดีไม่กินพืช
รูปซ้าย ระหว่างทางมีทางแยก ด้วยความซอกแซกอยากรู้อยากเห็น ว่ามันไปถึงไหน ก็ขับรถเข้ามา อ๊ะเหมาะ ได้เส้นทางใหม่ เรียบดี เป็นทางลัดมาเจอกับเส้นทางที่จะไปต่อ ย่นระยะทางไปไม่ต้องอ้อมเขาหลายกิโล ....ความจริง เป็นทางเข้าไร่ เข้าบ้านคน ไปถึงบ้านผมก็จอดรถ เค้าออกมายืนอยู่แล้ว ลงไปยกมือวันทา เค้าถามว่า....จะไปไหน.... ผมก็บอก.....จะไปบ้านวัดจันทร์ ไปหา ส่างลอง เป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่นั่น .....เค้าถามว่ารู้จัก ส่างลองรึ....ก็บอกว่า ...รู้จัก ....เป็นเพื่อนกัน ....ควักเอารูป ที่กอดคอ ถ่ายคู่กับผมให้เค้าดู ....เค้าบอกว่า อ๋อ คนนี้เองที่เป็นเพื่อนส่างลอง มันเคยเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนที่ปาย อยู่กรุงเทพฯ แวะกินข้าวก่อนมั๊ย ค้างคุยกันซักคืนก็ได้..... ผมก็บอก ..ไม่กินละ ขอบคุณ เดี๋ยวไปถึงวัดจันทร์จะมืดค่ำ .... ขืนแวะกินข้าว แวะค้างคืน เกิดเอายาบ้ามาใส่รถผม ก็ซวยเลย ....เค้าก็เลยบอกทางให้ออกทางนี้ ไม่ต้องอ้อมเขา ก็สบายเราที่ไม่ต้องขับรถย้อนออกมาแล้วอ้อมเขาไปอีกไกล
รูปขวา พอออกมาเจอทางใหญ่ ก็มองไปข้างหน้า โอ้โฮ อีกยาวไกล ทางโค้งจากเขาลูกนี้ไปเขาลูกโน้น เห็นทางอยู่ลิบ ๆ โน่น หลังเขาลูกที่เห็นอยู่โน่นแหละ จุดหมายปลายทาง กรูมาทำไมวะเนี่ย....มิตรภาพและความคิดถึงกัน มาด้วยใจครับ
รูปซ้าย ข้ามเขาจากรูปขวาบน ก็มาเจอทางวกวนตรงนี้ อ้อลืมบอก ตรงที่ผ่านทางหักเลี้ยวขึ้น 45 องศา จนปัญญาที่จะหยุดรถลงไปถ่ายรูป เพราะต้องเร่งเครื่องชิดขวาเพื่อสปริ้นท์เลี้ยวหักศอก 45 องศาขึ้นมา พอขึ้นสุดทางก็เลี้ยวขวาอีกที เฮ้อ รอดผ่านมาได้ ...คงต้องขี่มอเตอร์ไซด์มาซักครั้ง น่าจะพอจอดรถถ่ายรูปได้ แต่คงยาก ขนาดชาวเขาชำนาญกว่าเรายังเร่งเครื่องบิดสุดขึ้นมาเต็ม ๆ แล้วชาวเราคงไม่ไหวแน่
รูปขวา จากทางที่แสนดี ก็มาเจอทางที่แสนแดง ใกล้ข้ามาแล้วครับ อีกแค่ชั่วอึดใจพระพุทธก็ถึงแล้ว (อึดใจพระพุทธนานแค่ไหนหว่า)
เอ้าถึงซะที จะเห็นอย่างที่ผมบอกไว้ว่า บนดอย วีโก้ หมดสิทธิ์ จะเห็น นิสสัน อีซูซุ มาสด้า ...10 โมงเช้า ยังใส่ต้องเสื้อกันหนาวกันอยู่เลย
นี่แหละครับเพื่อนตัวน้อย ๆ ของผม ดูรอยยิ้มซีครับ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ยอดมัคคุเทศที่แสนแสบ ...แสบจริง ๆ ด้วย .คอยติดตามอ่านก็แล้วกัน ...คำกล่าว ทักของพวกเขา ....อาโป อาโป ...มีข้าโหนมาแจ่เร้อป่า ...นึกว่าจะทักอะไร ...มีขนมมาแจกรึเปล่า ...เตรียมมาแล้ว ยกให้ทั้งถุง เอาไปแบ่งกันเลย ...
มาถึงบ้านวัดจันทร์ ก็ต้องแวะไปไหว้พระที่วัดจันทร์ก่อนละครับ โบสถ์ที่นี่แปลกครับ ดูให้ดี ๆ ช่องกระจกเป็นรูปแว่นตา เรบ์แบน นะครับ ใครนะชั่งคิดทำ
แวะไปหาเจ้าของบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ก่อน เค้าจะให้พักที่บ้านเค้าอย่างที่เคยมา แต่ผมขออยู่แบบเงียบสงบ สบาย ๆ คือ บ้านหลังนี้ อยู่ห่างจากพ่อหลวงบ้านมานิดเดียวเอง มุมมอง มองได้รอบ .......ขอตัวไปอาบน้ำก่อน มีน้ำอุ่นให้ด้วยนะจ๊ะ กินข้าวกินปลาเสร็จ
ขอตัวพักผ่อน
แม้จะอยู่บนดอย แต่ผมก็ยังมีโอกาสได้ใส่บาตรนะครับ เมียพ่อหลวงเตรียมของไว้ให้ผมเรียบร้อย ดูศรัทธาของเค้าซีครับ ใส่ทีของกินเป็นชามกะละมัง แค่บ้านเดียวก็ฉันไม่หมดแล้ว ...อาจารย์ (หลวงพ่อ) บอกว่า ถ้าว่าง แวะไปคุยกันหน่อยนะ ก็บอกว่า ครับ ...ไปคุยกับอาจารย์แค่หน่อยเดียวของท่าน ผมต้องเอากาวทาก้น ถ้าคุยกันไม่หน่อยจะขนาดไหน
โรงเรียนบ้านวัดจันทร์ครับ ตอนที่ผมไปครั้งแรก ไม่มีใครพูดไทยกับผมเลย ผมต้องใช้ภาษาใบ้ คุยไปคุยมาชักสงสัยว่า เราพูดไทยไป เค้าตอบเป็นภาษากะเหรี่ยง ก็นึกว่า ทำไมเค้ารู้เรื่องที่เราคุยหว่า ก็เลยถามว่า ผมคุยภาษาไทย ทำไมรู้เรื่อง เค้าบอกว่า เค้าเรียนหนังสือไทย พูดไทยมาทำไมเค้าจะไม่รู้เรื่อง ...เออเฮ้ย ยังงี้ก็มีด้วยว่ะ...เด็กหรือคนที่เรียนหนังสือไทย จะพูดไทยชัดทุกคน นอกจากคนที่ไม่ได้เรียน ก็ต้องแปลไทยเป็นไทย มีหลายคนที่จบ ปญ.ตรี ทำงานที่โครงการหลวง อย่างลูกสาวพ่อหลวงบ้านที่ผมไปพัก จบ ปวส. การบริหารจัดการจากเชียงใหม่ กำลังเรียน ปญ.ตรี
ที่ผมไปครั้งแรก ๆ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องปั่นไฟ ผมไปครั้งนี้ เมื่อยกฐานะเป็นอำเภอแล้ว มีไฟฟ้า มีอุปกรณ์ ไอที เพียบพร้อม ที่บ้านพ่อหลวง มีวิทยุแบบทหาร สำหรับใช้ในราชการ สามารถ จูนคลื่น ฟังเสียงลุงคิม(บ่น)ทางอากาศบนยอดดอยได้ด้วย เย้
โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ครับ อยู่ในความดูแลของ ออป. องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
ต้นกระเช้าสีดา กับดอกไม้ในสวนของโครงการ ที่นี่เป็นโครงการปลูกสนภูเขาครับ สนภูเขาที่นี่ โตเร็ว ปีเดียวก็สูงเกือบสองเมตร ผมเคยเอาไปปลูกที่ ภูเรา นครปฐม ปีกว่าแล้ว ต้นสูงแค่ฟุตเดียว เสียดาย น้ำท่วมตายเสียฉิบ
มีดอกไม้ ย่อมมีผึ้งมาตอมดูดน้ำหวาน ดูเพลิน ๆ ก็น่ารักดีครับ
อ่างเก็บน้ำในโครงการหลวงครับ
มีนกกินปลาด้วย นกกินปลาที่นี่สีสันสวยงามครับ ลองโพสต์ไปลงหน้าจอคอมดูซีครับ สวยน่ารักดีออก
ลูกอะไรไม่รู้ ลูกท้อหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่เจ้ามัคคุเทศเล็ก ๆ ตัวแสบ มันบอกว่า อาโป หวาดีน้า กีด้า (หวานดีนะ กินได้) ลองกินแล้ว โคตรเปรี้ยวอย่าบอกใครเลย กินเสร็จ มันหัวเราะชอบใจกันใหญ่เลย เออ ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เจ้าปกากะญอน้อย
ตอนนี้ผมก็พาคุณจากปาย ขึ้นมาถึงบ้านวัดจันทร์แล้วนะครับ อ่านแล้วไม่ค่อยมีสาระอะไรซักเท่าไหร่ ก็เป็นเรื่องเล่านี่ครับ จะเอาอะไรล่ะ
............ แค่เพิ่งมาถึงเอง ยังมีต่ออีกครับ .................
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 10/09/2012 12:15 am ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร -ตอน ข้าวดอย ร้อยเขา พันทุ่ง |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม
..(และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน)
เกษตรสัญจร นครปฐม ปาย บ้านวัดจันทร์
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เล่าต่อเลยนะครับ
บทที่ 5 ชมวิวข้าวบนดอย ร้อยเขา พันทุ่ง หมื่นลี้
แถมด้วย สปริงเกลอร์ โอเวอร์เฮดในนาข้าว บนดอย รูปที่ 32 - 35
บอกตามตรงว่าผมมองดูรูปภาพชุดนี้แล้ว มันสวยจนอธิบายไม่ถูก ยิ่งถ้าใครได้ไปเห็นของจริงแล้วบอกได้เลยว่า มองดูไม่เบื่อจริงๆ มันมองไกลไปสุดสายตา ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ทุ่งนาข้าวดอย เขียวขจีเต็มไปหมด เกิดจินตนาการได้ไม่มีที่สิ้นสุด
ภาพชุดนี้เป็นภาพวันที่ ผู้ใหญ่บ้าน ลงดอยไปทำธุระที่ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เลยชวนผมร่วมเดินทาง (นั่งรถเที่ยว) จากบ้านวัดจันทร์ เข้า อ.สะเมิง ผมก็เลยได้เห็นอะไรที่มันสวยสดงดงามบนยอดดอย ชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และได้รู้ว่า ชนเผ่า คือ ชาวเขาชาวดอยทุกเผ่า มีจำนวนคนไม่น้อยเลย และศูนย์รวมใจของพวกเขาที่เหนียวแน่นที่สุด คือ พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ และราชวงศ์ และหากมีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาพร้อมที่จะลงดอยทันที การส่งสัญญาณ ไม่ใช่มือถือ ไม่ใช่วิทยุ แต่เป็นสัญญาณจากการตีเกราะ เคาะโกรว ไม่มีใครรู้รหัสนอกจากพวกชนเผ่ากันเอง
เส้นทางจากวัดจันทร์ ถึงสะเมิงสายนี้เดิมเป็นเส้นทางลูกรังเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านใช้สัญจร เมื่อยกฐานะ บ้านวัดจันทร์ขึ้นเป็นอำเภอ ก็จำเป็นที่ต้องมีทางสัญจรที่ดีและสะดวกกว่าเดิม อย่างน้อยก็ต้องราดยาง และรถวิ่งสวนทางกันได้
1.
1-ออกจากวันจันทร์ตั้งแต่ไก่โห่ ภาพยามรุ่งอรุณ พระอาทิตย์กำลังขึ้น บนยอดดอย ใครนึกมโนภาพอย่างไรก็นึกเอาเองนะครับ มันสวยจนอธิบายไม่ถูก
2.
2-ภาพจริง ๆ มันดูสวยกว่านี้ พระอาทิตย์กำลังขึ้น แสงกระทบยอดหญ้าบนสันดอย จะคาอย ๆ สว่างขึ้น ๆ ๆ สีสันมันนุ่มดูสบายตาบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะปรับหน้ากล้องไม่ดี เลยดูมืดไปหน่อย
3.
3-ขนาดอยู่บนยอดดอย ก็ยังมีชุมชนอาศัยเป็นที่อยู่ จำนวนไม่น้อยหลังคาเรือนเลยนะครับ ใช้เป็นที่ทำกิน กว่าจะขึ้น กว่าจะลง แต่ละครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พวกเขาเหล่านี้ช่างอดทนกันจริง ๆ
4.
4- เส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคด ขึ้นๆลงๆตัดไปบนยอดดอย มองไปมีแต่ต้นข้าวเขียวขจี จะเห็นกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่ทางซ้ายของสันดอย เอาไว้พักหลบร้อน ....มีคนถามผมว่า ทำไมเค้าไม่ทำไว้บนสันดอย จะได้ดูวิวสวย ๆ ... ผมตอบให้ก็ได้ ถ้าทำบนสันดอย เวลาลมแรง ๆ พัดมา มันก็ปลิวไปตามลมไปน่ะซี เพราะลมมันพัดจากทางขวาของรูปมาทางซ้าย แสดงว่าชาวเขาเค้าไม่โง่ เค้าทำห่างสันดอยหลบลมลงมาตั้งไกล
5.
5-กระต๊อบหลังนี้ก็เหมือนกัน มีหลายหลังนะครับ ที่เห็นเขียว ๆ นั่นข้าวดอยทั้งนั้นแหละครับ ปลูกข้าวบนพื้นราบก็ว่าแย่แล้ว แต่นี่ปลูกบนดอยที่ลาดเอียง เวลาเกี่ยวข้าวเสร็จ ตีข้าวแล้ว ตอนแบกขึ้น แบกลงนี่ซิ คงมันสุด ๆ แต่เค้าก็ทำมาจนชินแล้ว
6.
6-เห็นความมานะพยายามของคนปลูกข้าวที่ดอยลูกนี้แล้ว ยอมรับจริง ๆ ...ผมแอบถามเจ้า โชเล่ ลูกผู้ใหญ่เพื่อนซี้ที่ไปด้วยว่า ...มีลูกชาวดอย ตกเขาตายบ้างมั๊ย ...มีน้อ..(มีน้อย)... แล้วคนแก่ที่ดูแลช่วยตัวเองไม่ได้ เค้าเอาไปนั่งริมเหวแล้วผลักให้ตกเขาตายหรือเปล่า ..พู่บ้าๆ น่ามาโคกูเท่ อาโพ่เม่ปาว้าบ้าโคเก่ ..โคดอค้าเล้โจตา (พูดบ้า ๆ นั่นมันคนกรุงเทพ เอาพ่อแม่ไปไว้บ้านคนแก่(บ้านพักคนชรา) คนดอยเค้าเลี้ยงจนตาย....) ฟังกะเหรี่ยงพูดแล้วแสบถึงทรวง เพราะมันมีแบบที่เค้าพูดจริง ๆ
7.
7-มันเป็นทางคดเคี้ยว ขึ้นเขา ลงดอย ตลอด ทางกว้างพอสมควร ดูจากคนตัวเล็ก ๆ สองคนนั่นก็ได้ แล้วต้นไม้แต่ละต้นก็ไม่ใช่ต้นเล็ก ๆ แล้วผู้ใหญ่บอกว่า แต่ก่อนเป็นป่าทึบ มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ต่อมาก็มี....?.... (ในเรื่อง แฮรี่พ๊อตเตอร์ เค้าเรียกว่า ...คุณก็รู้ว่าใคร) มาตัดกันรุ่นต่อรุ่น มันก็กลายเป็นเขาหัวโล้น เมื่อชนเผ่ามีจำนวนมากขึ้น มันก็กลายเป็นทุ่งข้าวบนดอย
8.
8-มาเจอตรงนี้ รอยตัดไม้(ป่า) เผา เหลือแต่ตอดำ ๆ แล้วก็ปลูกข้าว...ดินก็แห้ง แต่ข้าวมันแตกกองามดีจัง ทุกชีวิตที่อยู่บนดอย ต้องปรับสภาพให้ต้องอยู่รอดให้ได้ มิฉะนั้น ตาย นี่แค่ได้น้ำจากน้ำค้างและเมฆนะครับ ส่วนชาวนาพื้นราบ ไม่ต้องที่อื่น คนข้างสวนที่นครปฐม ปล่อยน้ำท่วมข้าวสูงเป็นคืบ ...เคยฟังลุงคิมพูดกรอกหูอยู่บ่อย ๆ ว่า ปลูกข้าวแค่มีน้ำเจ๊าะแจ๊ะก็พอ แต่นี่อยู่บนดอย ไม่มีน้ำซักแหมะ อาศัยน้ำค้างตอนกลางคืน กับเมฆที่พัดผ่าน ข้าวยังแตกกองามดี....ลุงคิมแกเป่าปี่ สีซอให้ใครฟังก็ไม่รู้
อีกไม่นานเกินรอ ข้าวดินจะสู้ข้าวดอยไม่ได้ ในเรื่องคุณภาพ และราคา เพราะคนดอยเริ่มรู้แล้วว่า คนพื้นราบชอบกินข้าวกล้องอินทรีย์ ปลอดสารพิษ เค้าเริ่มที่จะปลูกข้าวพื้นเมืองทุกสายพันธุ์ แต่สีเป็นข้าวกล้องออกมา เอามาขายแถวศูนย์การค้าในกรุงเทพ ใครเป็นคน
ขาย ลูกหลานคนดอยที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพครับ เรียนจบแล้งกลับขึ้นดอย ไปทำงานกับ โครงการหลวงเพื่อหาประสบการณ์ แล้วออกมาทำของตัวเอง ติดขัดอะไร อย่างไร อาจารย์ของพวกเขาคือ อาจารย์ในโครงการหลวง
9.
9-ตรงนี้ก็อีกแห่งที่มีร่องรอยการตัดไม้เผาป่าแล้วปลูกข้าว ...ผมถามเพื่อนว่า หลังเกี่ยวข้าวแล้ว เค้าเผาฟางมั๊ย แล้วเค้าจะปลูกอะไรต่อ เพื่อนบอกว่า ไม่เผา ปล่อยให้ตากน้ำค้างเอาไว้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรอีกนะครับว่า ฟางเปื่อยกลายมันก็กลายเป็นปุ๋ยอย่างดี ...กะเหรี่ยงไม่เผาฟาง แต่คนทำนาพื้นราบเผาฟาง ไม่อย่างนั้น รถไถ รถตีดิน ไถและตีดินไม่ได้ ฟางมันติด แต่ไม่คิดที่จะหาวิธีทำยังไงถึงจะย่อยสลายฟาง หรือไม่ก็คิดว่า ทำเครื่องมืออย่างไรจึงจะตีดิน หรือไถได้โดยฟางไม่ติด ...เครื่องเกี่ยวข้าวยังทำได้ทำไมไม่คิดทำเครื่องตีดินนี้บ้าง
หมดข้าวดอยก็ข้าวโพด หมดข้าวโพดก็ถั่วเหลือง หรือไม่ก็ งา (งาขาว งาดำเรานี่แหละ ไม่มีงาดอยหรอกครับ) งา ปลูกบนดอยต้นเท่าข้อมือ สูงท่วมหัว ....
มีใครรู้บ้างว่า การเก็บเกี่ยวงา เค้าเก็บกันตอนไหน ...เพื่อนสมาชิกที่ปลูกงาต้องรู้แน่ ๆ แต่คนที่ไม่เคยปลูกอยากจะปลูก จะได้รู้เอาไว้ เค้าจะตัดต้นงาเมื่อ ฝักงาแก่หรือสุกจากฝักล่างสุดขึ้นไป 7 ฝัก ตัดกองรวมไว้ ประมาณไม่เกิน 3 วัน ฝักที่อยู่เลยฝักที่ 7 ขึ้นมาถึงฝักบนสุดจะแก่ พร้อมกันหมด พร้อมที่จะเอาไปนวด .....ถ้าปล่อยให้ฝักแก่เลยฝักที่ 7 ขึ้นไป ฝักล่างจะแตก ไล่ขึ้นไปตามลำดับ สุดท้ายจะไม่ได้เมล็ดงา ได้แต่งวง เท็จจริงผมไม่ยืนยัน แต่ผมฟังมาอย่างนี้ ผมไม่ได้บอกให้เชื่อ อยากรู้ต้องลองปลูกดูว่าจริงหรือไม่จริง
แล้วพันธุ์งาดี ที่เค้านิยมปลูกกันได้มาจากที่ไหน ....อ.ตาคลี นครสววรค์ครับ สายพันธุ์อะไร จำชื่อไม่ได้ เอาไว้รอให้เจอเพื่อนที่ตาคลีก่อน จะถามให้ ...ทำไมผมมีเพื่อนแยะจัง ขอตอบว่าปาก และ ใจ ครับ เพื่อนแต่ละคน เก่ง ๆ ทั้งนั้น เก่งแบบชาวบ้าน เก่งแบบ
เงียบ ๆ
ผมจะบอกว่า น้ำมันงาดิบ โดยฝีมือการหีบของกะเหรี่ยงนี่สุดยอด เวลาผัดผัก ทอดหมู ทอดไก่ ตอนที่กระทะร้อน ๆ หยดลงไปซักสองสามหยด โฮ๊ย น้ำลายหก มันแสนที่จะหอม อร่อยชวนกิน น้ำมันหอยขว้างทิ้งไปได้เลย แล้วถ้ามีอาการปวด ๆ บวม ๆ เอาทาบริเวณที่ปวด บวม มันจะค่อย ๆ ซึมเข้าผิวหนัง อาการมันจะทุเลาได้ ต้องน้ำมันงาดิบขนานแท้นะครับ ที่กรอกใส่ขวดขายตามตลาดน่ะ วัดครึ่งนึงกรรมการครึ่งนึงทั้งนั้นแหละ ใน 1 ลิตร มีน้ำมันแท้ผสมซัก 300 ซีซี. ก็บุญโขแล้ว ผมได้เป็นของฝากตอนขากลับมาสองขวดแม่โขง ผมมานั่งนึก งาเมล็ดเล็กนิดเดียว กว่าจะหีบหรือบีบออกมาได้แต่ละหยด มันง่ายซะเมื่อไหร่ แล้ว 1 ขวดแม่โขงมันใช้เวลาแค่ไหน
10.
10-ระหว่างทางเจอ หนุ่มดอย(ม้ง)ย้ายถิ่น ดูเรียบง่ายดี ของส่วนตัวทุกอย่างเสื้อผ้า ข้าวสารอาหารแห้ง เทียน ไฟแช็ค มีดพร้า เก็บใส่กระชุ แบกเดินด้วยพลังสองตีน ....ให้โชเล่ถามว่า สูจะไปทางไหน ..เค้าบอกว่าจะไป อ.แม่แจ่ม ดูแผนที่แล้ว โอ้โฮ กี่วันจะถึงวะเนี่ย เลยบอกว่า เราจะไปสะเมิง ให้ขึ้นรถแล้วไปลงที่บ่อแก้ว แล้วเดินอ้อมดอยอินทนนท์ไปแม่แจ่มเอาเอง ...พวกไม่พูด แต่ปลดของลงจากบ่า แล้วยกขึ้นท้ายรถ ...โช่เล่ส่งขวดเหล้าป่าให้ พวกยกขึ้นดื่มยังกะกินน้ำหน้าตาเฉย เสร็จแล้ว อ้าปากแลบลิ้นพ่นไฟ เอ๊ยไม่ใช่ ระบายลมออก ฮ่า ยาวๆ ...เสร็จสรรพ นอนท้ายรถเอาผ้าใบคลุมตัว เราเดินทางต่อ ...นั่งชมวิวท้ายรถก็มีหวังแข็งตาย ก็ดูเค้าซะก่อนว่า แค่เดินอยู่บนยอดดอย ใส่เสื้อกันหนาวอย่างหนาแค่ไหน
11.
11-มันเป็นเส้นทางที่เหนือคำบรรยาย จากตรงนี้มองไปทางทิศใต้สุดสายตา ดอยอินทนนท์อยู่ตรงไหนหว่า มองไม่เห็นเพราะเส้นทางยังอีกยาวไกลเหลือเกิน แล้ว อ.แม่แจ่มไปทางนี้ต้องอ้อมหลังดอยดอยอินทนนท์ไปอีก ใจถึงจริง ๆ
12.
12-ผ่านกระท่อมหลังนี้ ดูวิวดี บอกโชเล่ให้จอดรถ หวังว่าจะพักกินข้าว หนุ่มพเนจรบอกว่า ไปข้างหน้ามีดีกว่านี้ แน่ะ แสดงว่าหมอช่ำชองแถบนี้ เราก็ไปกันต่อ
13.
13-มาถึงจุดนี้ข้าวดูสวย กำลังออกรวง ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า นาบริเวณนี้ได้ข้าวดี เพราะนำฝนจะไหลลงทางนี้ไปข้างล่าง จะพัดเอาปุ๋ยธรรมชาติลงไปด้วย เรียกว่า ธรรมชาติอุ้มสมจริง ๆ ผมจะลงไปถ่ายรูปใกล้ ๆ ผู้ใหญ่บอกว่าคนดอยเค้าถือ ระยะที่ข้าวกำลังออกรวงเค้าจะไม่เข้าไปรบกวน ย่าอะไร(ภาษากะหรี่ยง)ฟังไม่ถนัด คนไทยเรียกว่า แม่โพสพ
14.
14- หนุ่มดอยพเนจร เคาะกระจกหลัง ชี้ไปข้างหน้า ให้ดูกระท่อมกลางดงข้าวหลังนี้ โชเล่ก็จอดรถ
15.
15-หนุ่มดอยพเนจรส่งภาษากับโชเล่ ๆ บอกว่า กระท่อมหลังนี้แหละเหมาะที่จะหยุดพักกินข้าว มันเหมาะจริง ๆ ซะด้วย มันเยี่ยมมากเลย จอร์ช
กินข้าวเสร็จ อากาศเย็นสบาย ๆ หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน น่าจะได้ซักงีบ แต่เกรงใจผู้ใหญ่ฯ ที่จะต้องรีบไปธุระ เลยเดินทางต่อ
16.
16-ลงมาถึงพื้นราบ(แต่ยังอยู่บนดอยนะ)มีนาข้าว คล้ายนาดำ แต่โชเล่บอกว่า เป็นนาหยอด ข้าวพันธุ์อะไรหว่า ต้นค่อนข้างสูง กำลังตากเกสร
17.
17-อย่าคิดว่า หุ่นไล่กามีแต่คนไทย กะเหรี่ยงก็มี ข้าวแปลงนี้ใกล้จะเกี่ยว เจ้าของเลยผูกหุ่นไว้ไล่นก จะไล่ได้แค่ไหนยังสงสัยอยู่
18.
18- ผ่านมาถึง HomeStay บนดอย กระท่อมหลังนี้ มีสนภูเขาบังด้านหลัง ดูเก๋ย์ดีแฮะ มีสนภูเขาขึ้นได้งามขนาดนี้ คิดดูเอาเองว่าอากาศมันร้อนหรือหนาว
เจ้าของคงออกไปไร่ไปนากันหมดเพราะไม่มีคนอยู่ ปลูกข้าวไว้เกือบจะรอบบ้าน
19.
นี่แหละข้าวดอยพันธุ์แท้ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นพันธุ์ น้ำรู หรือเปล่า ถามโชเล่ก็บอก ไม่รู้ ต้องถามแม่ ...ผมก็เลยบอก ..ถ้าย้อนกลับไปถามแม่ตอนนี้ก็คงไม่ต้องไปถึง สะเมิง อีกอย่างหนึ่ง โชเล่น่าจะต้องเรียนรู้ถึงชื่อของพันธุ์ข้าวต่างๆ ได้แล้ว เพราะวันข้างหน้า โชเล่อาจจะเป็นผู้นำชุมชนต่อจากผู้ใหญ่ มัวแต่ถามแม่ ก็เหมือนเด็กที่ยังไม่อดนม เลี้ยงไม่โต (ผมจะบอกว่า เกิดแม่ตายแล้ว จะไปถามใครก็ไม่กล้า)
โชเล่อาจฟังสำนวนไทยไม่เข้าใจได้แต่นั่งยิ้ม ผู้ใหญ่เลยส่งภาษากะเหรี่ยงให้ฟัง โชเล่ยิ้มเจื่อน ๆ ผงกหัวยอมรับ ....ผู้ใหญ่เสริมมาว่า บอกมันหลายหนแล้วมันไม่ค่อยสนใจ ...ดีว่าคนบอกเป็นผม มันถึงยอมรับฟัง เป็นคนอื่นโดยมันต่อยเอาแน่ ๆ ....รวงข้าวที่เห็น อ่อนช้อย ระแง้ถี่ เมล็ดเต่งเต็มรวง เนื้อในเมล็ดน่าจะดี
20.
20-นี่ก็อีก มันดูสวยบอกไม่ถูก ต้นแข็ง ก้านแข็ง รวงงุ้ม น้ำหนักข้าวน่าจะดี
21.
22.
23.
21 23 สามรูปนี่ก็ดูดี รูปเบลอไปหน่อย ก็ดูให้เห็นเป็นข้าวดอยก็แล้วกันนะ
24.
25.
24-25- สองรูปนี้กำลังเกี่ยวกันเลย เกี่ยวแล้วก็มัดวางบนตอซังเพื่อตากให้แห้ง ผู้ใหญ่กับโชเล่ลงไปคุย ผมฟังไม่รู้เรื่องเค้าร็อก คงจะถามสารทุกข์สุกดิบกันตามธรรมเนียม และจะได้ข้าวมากน้อยแค่ไหน ปลูกไว้แยะมั๊ย เห็นเค้ามองแล้วชี้มือมาที่ผมแล้วก็ยิ้ม ๆ แล้วส่งภาษคุยกัน ผมเดาเอานะ คงจะถามว่า ผมเป็นใคร หน้าตาดูดี มีเมียหรือยัง อะไรทำนองนั้น...มั๊ง
26.
26-นี่ก็เป็นการตีหรือฟาดข้าว ตีใส่กระพ้อมใหญ่เลย แทบจะไม่มีตกหล่น พอใกล้จะเต็มก็โกยใส่กระสอบปุ๋ย
27.
27-กว่าจะได้เมล็ดข้าวออกมาสีสวยงามแบบนี้ เหนื่อยทั้งกายและใจมาตลอดอย่างน้อย ๆ ก็สามเดือนขึ้นไป
28.
28-อันนี้เป็นโรงสีขนาดเล็กของชุมชน ใครจะเอาข้าวกล้อง หรือข้าวไม่กล้อง สั่งได้ ...ชุมชนที่ผมอยู่มีอยู่เครื่องหนึ่ง ตั้งเอาไว้เป็นโบราณวัตถุอยู่ที่วัด น่าจะเอาออกมาให้คนปิดทองเวลามีงานวัดจริง ๆ
29.
29-พระร่วงตรัสไว้ว่า เมืองไทยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ยังเป็นคำกล่าวที่เป็นจริงโดยแท้ เป็นทางน้ำไหลลงดอย แสดงว่ามีปลา เพราะมีไซมีลอบมาวางดักปลา ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ ได้ปลาตัวขนาดหัวแม่มือซักสี่ห้าตัวก็พอหม้อแกงแล้ว
30.
30-มาถึง ต.บ่อแก้ว หนุ่มดอยพเนจรก็ลาจากไปตามทางของตน รู้สึกว่า โชเล่จะได้เพื่อนใหม่อีกคน
เห็นยิ้มแย้มแจ่มใส มีการแบ่งอาหารบางส่วน พร้อมกับแบ่งเหล้าป่าให้อีกขวดโค๊ก 500 ซีซี. ครับมิตรภาพบนดอยเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ขอให้มีความจริงใจ มีน้ำใจ ต่อกัน
31.
31-บรรยากาศหลังเขายามบ่ายแก่ ๆ(บ่ายสองโมงครึ่ง)ที่บ่อแก้ว เริ่มขมุกขมัว เดินทางต่อ จากนี่ไปสะเมิงอีกประมาณ 30 กม. ถนนดีขึ้นหน่อยเพราะลาดยาง แต่ก็ ขรุขระนะครับ
32.
32-ระหว่างทางผ่านแปลงนาข้าวสาลี เห็นมีคนเดินเข้าไปทัก ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือภาษากะเหรี่ยง เค้าไม่ยอมคุยด้วย
33.
33-พวกเดินหนีไปซะเฉย ๆ งั้นแหละ เลยไม่รู้ว่าเป็นนาของใคร
34.
34-เพิ่งเคยเห็น รวงข้าวสาลีเป็นอย่างนี่เอง ไอ้เม็ดขาว ๆ ฝอย ๆ ที่เห็นเป็นละอองน้ำครับ ละอองน้ำจากอะไร เราไปดูกัน
35.
35- ละอองน้ำจากเจ้าพญานาคพ่นน้ำตัวนี้แหละครับ เฮอะ คนดอยใช้ สปริงเกลอร์ รดน้ำข้าวสาลี ทึ่งจริง ๆ อยู่นานไม่ได้ ต้องรีบไปธุระของผู้ใหญ่ก่อนจะมืดค่ำ เลยไม่มีข้อมูลและรายละเอียดใด ๆ เลย ลุงคิมคิดอย่างไรครับ
ถึงสะเมิง บ่ายสามโมงครึ่ง โชเล่ส่งผู้ใหญ่ไปทำธุระ จากนั้นก็ไปเติมน้ำมันรถ แล้วก็เติมใส่ถัง 200 ลิตรท้ายรถให้เต็มด้วย ต้องใช้ยางยืดมัดติดกับรถให้แน่นหนา ป้องกันการกระเด็น กระดอน หกแห้ง ระเหยหาย
ขาไป ออกจากวัดจันทร์ หกโมงเช้า มาถึงสะเมิง บ่าย สามโมงครึ่ง ระยะทาง ไม่ถึง 100 กม ใช้เวลา 9 ชั่วโมงครึ่ง. ทางบนดอยนะคุณ นึกถึงหนุ่มดอยพเนจร เดินจากบ่อแก้วไปแม่แจ่ม ระยะทางก็พอ ๆ กับจากบ่อแก้วไปวัดจันทร์ เดินกี่วันจะถึง ยอมรับนับถือในความทรหดอดทนของคนอยู่บนดอยจริง ๆ
ขากลับ กินข้าวกินปลาเสร็จ ออกจากสะเมิง ประมาณ 5 โมงเย็น คงจะถึงบ้านวัดจันทร์ ไม่ตีสามก็ตีสี่ ...สองข้างทางมืด มีแสงไฟวอบ ๆ แวม ๆ เป็นบางแห่ง
ขากกลับ ผู้ใหญ่ขับ โชเล่ขอนอนเบาะหลัง ผมนั่งคุยกับผู้ใหญ่ซักพักใหญ่ ๆ ก็ของีบที่เบาะหน้า โชเล่มาเปลี่ยนขับแทนพ่อตรงกระต๊อบที่แวะกินข้าวเมื่อตอนกลางวัน มองไป มืดตึ๊ดต๋อ เค้ารู้ได้ยังไง พอฉายไฟขึ้นไป อ้อ ใช่ว่ะ ผู้ใหญ่บอก นอนค้างที่นี่ซักคืนเอามั๊ย ผมกำลังจะอ้าปากพูดว่า ขืนค้างที่นี่มีหวังแข็งตาย เจ้าโชเล่ โบกสองมือ พร้อมกับบอกว่า นอ ๆๆๆๆๆๆ ภาษากะเหรี่ยงหรือภาษาต่างประเทศไม่ได้ได้ถาม น่าจะเป็น โน ๆๆๆๆ ซะมากกว่า
อากาศบนยอดดอยยามค่ำคืน เย็นซาบซ่าเข้าทรวงอย่าบอกใคร ทั้งน้ำค้าง และหมอก ไม่ต้องพูด ขับตามเส้นทางอย่างเดียว ....กลับถึงบ้านวัดจันทร์กี่โมงกี่ยามไม่รู้ พอถึงก็พรวดเข้าที่นอนใต้ผ้านวม หลับยาว........
ยา เม โต่ (ยังมีต่อครับ)
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 25/09/2012 8:57 pm ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร จากปาย สู่บ้านวัดจันทร์ ตอน เจอช้างเผือกในป่า |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม
..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน
เกษตรสัญจร นครปฐม ปาย บ้านวัดจันทร์ เล่าต่อเลยนะครับ
บทที่ 6 ธรรมชาติรอบที่พัก เจอช้างเผือกในป่า
ทุกครั้งที่ผมขึ้นมาบ้านวัดจันทร์ ผมจะเดินเที่ยวรอบ ๆ ใกล้บ้านที่ผมพัก เพื่ออาจจะเจอคนที่เคยรู้จัก ....เมื่อบ้านวัดจันทร์ยกฐานะเป็นอำเภอ อะไร ๆ ก็คงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ภาพเก่า ๆ ที่เป็นป่าแบบ VERGIN ร่มรื่นเงียบสงบ ร่มเย็น คงจะค่อย ๆ หมดไปพร้อมกับคนรุ่นเก่า เสียดายธรรมชาติที่จะต้องถูกทำลาย ผมเคยถามคนที่นี่ว่าอยากให้เปลี่ยนแปลงมั๊ย ส่วนมากเค้าจะบอกว่า อยู่กันมาแบบนี้ ก็สุขสบายดีอยู่แล้ว เมืองเข้ามา ป่าก็หมด ....
1.- แปลงนาขั้นบันได กว่าจะทำได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
2.-ลดหลั่นลงไปตามที่ราบตีนเขาตามลำดับ
3-เวลาที่ข้าวมันขึ้น จะมองดูเขียวขจี ลดหลั่นกันไป มองจากรูปก็งั้น ๆ แต่มองจากของจริง มันเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาเลย มันสวยจนบอกไม่ถูก
4- บ้านชาวปกากะญอ ทั่ว ๆ ไป
5- ทุกบ้านจะเลี้ยงหมูไว้อย่างน้อย 1 ตัว เพื่อใช้ในงานพิธีกรรม เห็นเสาที่ล่ามหมูแล้ว กลัวใจจริง ๆ
6- คลังเก็บอาหาร ยุ้งข้าวครับ มีทุกบ้าน พร้อมด้วยครกกระเดื่องสำหรับตำข้าวเอาไว้กิน
7- เดินผ่านบ้านนี้ กำลังตากกล้วย ..เค้าบอกว่า ...อาโป @ # $ & ! ...ภาษากะเหรี่ยง ผมแบมือยกไหล่ บอกใบ้ว่า ไม่รู้เรื่อง ...เค้าหัวเราะบอกมาว่า ......กีโก้ม๊า ...เค้าถามผมว่า กินกล้วยมั๊ย ..กล้วยดิบเปลือกเริ่มสีกระดังงา เค้าเอามาปอกเปลือก ผ่าเป็นท่อนตามยาว คลุกเมล็ดงา เคล้าเกลือนิดหน่อย ตากแดดให้แห้ง เป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง เก็บไว้กินยามหน้าหนาว โดยเอามาทอดกับน้ำมันงา น้องคนนี้อุตส่าห์ทอดเอาไปให้ผมชิมที่บ้านผู้ใหญ่ คุณลองนึกภาพดูซิว่า มันอร่อยแค่ไหน กล้วยแขกเทียบไม่ติด น่าจะตั้งชื่อเรียกว่า กล้วยคลุกงาแบบกะเหรี่ยง
8- กะเหรี่ยงจะทอผ้าเป็นกันทุกคน เอาไว้ใช้เอง เป็นผ้าฝ้าย เอาด้ายมาย้อมสีที่เป็นเอกลักษณ์ของชนชาวกะเหรี่ยง ส่วนลวดลายเป็นจินตนาการของแต่ละคน ผ้าฝ้ายแท้ ๆ หน้าหนาวห่มอุ่น หน้าร้อนห่มนอนสบาย ...ผมได้เป็นของฝากจากแม่หลวงเป็นผ้าขาวม้า 1 ผืน
9- ผมเดินอ้อมไปหลังเขา มีน้ำตกเล็ก ๆ ที่นี่จึงมีน้ำที่จะใช้ทำกสิกรรมได้ตลอดปี ตอนนี้หน้าฝนน้ำดูว่าแยะ พอเข้าหน้าแล้งน้ำจะน้อยลง ผมแนะนำให้พ่อหลวงทำฝายน้ำล้นแบบที่ในหลวงทรงแนะนำให้ทำ โดยให้เกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันทำ ได้ปรึกษาและตกลงว่าควรทำตรงจุดไหนบ้าง
10- ผมเดินไปเรื่อย ๆ เจอน้อง ๆ วันเรียน บอกว่าจะไปอาบน้ำตก ทางข้างหน้าจึงเป็นทาง อโคจร ไม่เหมาะที่จะไปต่อซะแล้ว โดยมารยาท ผมก็เลยต้องย้อนกลับทางเดิม
11- เจอนกอะไรไม่รู้จัก แต่ไม่ใช่นกหวีดแน่ ๆ ครับลุง สีสวยดีก็เลยเก็บรูปเอาไว้
12- ต้นอะไรไม่รู้จักอีกนั่นแหละ แปลกดี ลูกเหมือนกล้วย ผมกลัวออกลูกเป็นลิง เลยไม่กล้ากิน
13-เดินอ้อมไปอีกทาง ใกล้หมู่บ้านได้ยินเสียงเด็กส่งเสียงเจี๊ยวไปหมด คงเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน แค่เดินผ่านเข้าไป พวกนี้วิ่งออกมาดู เลยจับเรียงแถวขอถ่ายรูป อีกสองคนไม่ยอมเข้าแถว ดันปีนขึ้นต้นไม้ ....ไอ้มัคคุเทศตัวแสบที่หลอกให้ผมไปกินลูกอะไรไม่รู้ที่บอกว่า หวา กีด้า (หวาน กินได้) ที่จริงแล้ว โคตรเปรี้ยว หายตัวไปไหนไม่รู้
14-สองคนนี่ไม่ยอมตามออกไป โผล่หน้ามามองทางหน้าต่าง ซื่อ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
15- นึกว่ามีแค่ที่วิ่งออกไป ที่ไหนได้ มีอีกเกือบยี่สิบคน หมู่บ้านนี้มีเด็กเล็กไม่น้อยเลย หน้าตาบ้องแบ๊วดีเหมือนกัน
16- สองคนนี่ถ้าจะรักเรียน กำลังสนใจเรื่องเกี่ยวกับโลกและดวงดาว
17- เลยมาอีกแห่ง กลุ่มนี้เป็นเด็กโตขึ้นมาอีกนิด ครูที่สอนเป็นผู้ชาย ขี้อาย แอบอยู่หลังเด็กเห็นแต่หน้านิดนึง
18- เดินเลยไปที่โรงเรียนเด็กโต ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรเพราะเด็กนักเรียนโต แต่งชุดประจำเผ่า (เห็นหน้าตาดี)เลยขอถ่ายรูป ท่าทางแต่ละคนยังมีอาการ อาย ๆ
19- พอดีหัวหน้าชั้นเดินมาตาม เลยขอแจมด้วย บอกว่าไม่ต้องอายกล้อง เธอก็ยังอาย....ปกากะญอที่ยังไม่แต่งงานจะสรวมชุดขาว ลวดลายบนชุดจะแตกต่างกันไป หน้าตาแต่ละคน ธรรมชาติจริง ๆ
20- หัวหน้าเผ่า เอ๊ย หัวหน้านักเรียน ขอถ่ายเดี่ยว ได้เลย อาโปจัดให้ ย้ำด้วยว่า ต้องส่งรูปมาให้พวกหนูด้วยนะ ก็ได้อีกนั่นแหละ จะส่งมาให้ที่บ้านพ่อหลวง ...ไปรษณีย์ใช้เวลาสองอาทิตย์คงถึง ป่านนี้ได้รับแล้วมั๊ง ...ไอ้ที่คุณเคยนึกว่า คนป่าคนดอยหน้าตาคงจะบ้องแบ๊ว อันนั้นเป็นความคิดที่ แอ๊บแบ๊ว ของคนกรุง ขอให้คุณดูน้อง ๆ สาม สี่คนในภาพ แล้วคุณจะบอกไม่ได้เลยว่า น้อง ๆ แต่ละคนนี้ถ้าโตเต็มวัยแล้ว หน้าตาจะไม่สวย คำโบราณว่าไว้ ช้างเผือกอยู่ในป่า ย่อมเป็นจริงเสมอ
............. ยัง มี ต่อ ...........
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 27/09/2012 1:28 am ชื่อกระทู้: ถึงเวลา(จำใจ)ต้องจากลาบ้านวัดจันทร์ |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม ยายเฉิ่ม..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน
เกษตรสัญจร นครปฐม ปาย บ้านวัดจันทร์ เล่าต่อเลยนะครับ
บทที่ 7 ถึงวันที่ (จำใจ) ต้องจากลา
หลังจากกลับจากสะเมิง แม่หลวงบอกระยะนี้กลางคืนลมแรง อากาศเย็นเกรงว่าผมนอนที่กระต๊อบที่ผมพักตั้งแต่วันแรกที่มาถึงจะหนาวมาก ความไม่เคยชินผมอาจจะไม่สบาย จึงให้ผมย้ายมานอนที่บ้าน ผมก็เห็นดีด้วย เพราะที่กระต๊อบฝามันมีช่องลมพัดผ่านได้ ตอนดึกมันหนาวจริงๆ
กลางดึกคืนวันที่ 24 ก.ค. ผมได้ยินเสียงสัญญาณ ออดๆ ๆๆ จากวิทยุสื่อสารของพ่อหลวง เสียงโต้ตอบกันซักพัก พ่อหลวงก็มาสะกิดปลุก ส่งไมค์ให้ บอกว่า ส่งจากปาย พูดได้เลย.... วิทยุสื่อสารรุ่นใหม่ๆ ดีแฮะไม่ต้องกดปิดๆ เปิด ๆ ....ก็ได้ความว่า ....ผมต้องกลับกรุงเทพฯ ด่วน พ่อเข้าโรงพยาบาล อาการไม่ดีนัก ....ผมบอกพ่อหลวง....พ่อเฮาป่วยอาการหนัก เฮาคงต้องกลับพรุ่งนี้....พ่อหลวงบอกว่า ขอให้กลับตอนสายวันที่ 26 เพราะวันที่ 24-25 สองวันนี้ ระหว่างทางหมอกลงจัดมาก ไม่ชำนาญทาง จะมองทางไม่เห็น ขับรถอันตราย พรุ่งนี้จะให้โชเล่ตรวจสภาพรถให้พร้อมก่อนเดินทาง ...
ผมบอกมาทางปายว่า จะกลับวันที่ 26 ให้จองตั๋วเข้ากรุงเทพฯวันที่ 27 ....ทางปายบอกไปว่า เมื่อถึงปายให้เลยขึ้นไปรับลูกสาวที่ปางมะผ้าด้วย ....ชีวิตของผมคือ การเดินทางโดยแท้
เช้าวันที่ 25 ก.ค. ก็เป็นอันรู้กันว่า ผมจำเป็นต้องกลับกรุงเทพฯ เพราะพ่อป่วยหนัก บรรยากาศตอนเช้าวันนี้เลย เงียบๆ ซึมๆ กันไปหมด ..เจ้าโชเล่ ซัดเหล้าป่าเข้าไปหลายกรึ๊บ อัดแต่บุหรี่ยาขื่น พ่นควันโขมง.. ..พูดเสียงอ่อย ๆ
...สูอย่าเพิ่งทิ้งเฮา มีอีกหลายอย่างที่สูยังบอกเฮาไม่หมด สูต้องกลับมา มาดูข้าวที่สูบอกให้เฮาปลูก ทุกคนที่เห็นข้าวที่เฮาปลูกบอกว่า จะต้องได้ข้าวดีกว่าทุกปีที่เคยทำมา บ้านเฮายินดีต้อนรับสูทุกเมื่อ...
1- ยามรุ่งอรุณ ที่บ้านวัดจันทร์ 25 กค.55
2- ยังมีโอกาสได้ใส่บาตรก่อนกลับ วันนี้ท่านอาจารย์มาองค์เดียว บอกว่าตอนสาย ๆ ให้ไปหาที่วัดด้วย
3- ตอนสาย ๆ ผมชวนเจ้าโชเล่ไปหาท่านอาจารย์ที่วัด ...ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านบอกว่า... ไม่มีเครื่องรางของขลังจะให้ นอกจากธรรมะของพระพุทธเจ้า ฟังพระธรรมเทศนาซะเต็มอิ่ม เจ้าโชเล่ คงจะซึ้งมาก นั่งฟังน้ำตาซึม ผมก็ทำบุญติดกัณฑ์เทศน์ไปตามกำลัง....
ขากลับเดินผ่านแปลงนาข้าว แม่ยายของเจ้าโชเล่ เห็นดอกข้าวกำลังบาน ระยะที่เรียกว่า ตากเกสร กล้องจากมือถือราคาถูก กลางสายหมอก ถ่ายมาได้แค่นี้แหละ อยู่บนนี้ถ้าไม่ปรับมือถือให้ยิงขึ้นดาวเทียม หมดสิทธิ์ใช้ เพราะ NO SIGNAL ไม่มีสัญญาณ
4- เดินผ่านหน้าโครงการหลวง ผมเดินชมบรรยากาศอ่างเก็บน้ำตามสบาย โชเล่บอกขอแยกกลับไปก่อน จะไปตรวจดูรถให้เรียบร้อย ผมบอกว่า น้ำมันคงไม่ต้องเติมเพราะเหลือประมาณครึ่งถัง ช่วยดูระบบไฟกับแตรรถให้ด้วย ...ฝีมือการตรวจสภาพรถเจ้าโชเล่ ใช้ได้ทีเดียว ขากลับขับนิ่มกว่าขามา แถมดันเติมน้ำมันมาให้เต็มถังให้เงินก็ไม่เอา ทำเอาผมไม่สบายใจเพราะน้ำมันมีค่ามาก เค้าต้องลงไปซื้อจากสะเมิง ไม่ก็ต้องมาซื้อที่ปาย
5- ขึ้นไปบนยอดเนินที่เค้ากำลังจะสร้างอะไรไม่รู้ มองฝ่าสายเมฆและหมอกออกไปเหมือนเมืองในเทพนิยาย และขอบอก บนเขาแต่ละลูกที่มองเห็นลิบ ๆ นั่นน่ะ มีชุมชน มีผู้คนอาศัยอยู่นะครับ แดนสุขาวดีจริง ๆ
6- ค่ำวันนี้ มีรายการ เซอร์ไพร้ส์ โดยที่ผมไม่รู้ตัวมาก่อน เป็นงานเลี้ยงส่งเล็ก ๆ ด้วยน้ำใจไมตรีจิตมิตรภาพ เรียบง่ายสไตล์กะเหรี่ยงผสมคนเมืองตามค่านิยม ที่เปลี่ยนแปลง
7- คนที่เจ้ากี้เจ้าการจัดรายการเซอร์ไพร้ส์ให้ผมในคืนนี้ ในมือถือแก้วเหล้าป่า ผสมน้ำแดง ..น้องสาวเจ้าโชเล่ ลูกสาวพ่อหลวง จบ ปวส.บริหารจัดการ จากเชียงใหม่ โอนย้ายมาจาก พนักงานชั่วคราว อบต. เวียงเหนือ อ.ปาย ปัจจุบันเจ้าพนักงาน อบต.บ้านวัดจันทร์ เต็มตัว ....คำพูดภาษาไทยสั้น ๆ ...ถ้าไม่ได้พ่อ หนูคงไม่มีวันนี้ ....นั่งคุยกันหลากหลายเรื่อง ประมาณ 3 ทุ่มพ่อหลวงบอกให้ผมเข้านอนได้แล้วเพราะพรุ่งนี้จะต้องขับรถเดินทาง....
8.-ประมาณ 7 โมงเช้าวันที่ 26 ผมขับรถลุยหมอกจากบ้านวัดจันทร์ลงมาที่ปาย ระยะทาง 75 กม ใช้เวลา 4 ชั่วโมง
9.-แม่หลวงและญาติพี่น้องรวมทั้งเมียเจ้าโชเล่ กับน้อง ๆ มายืนส่ง ส่วนเจ้าโชเล่ แอบไปยืนหัวโด่อยู่ข้างต้นไม้โน่น เรียกก็ไม่ยอมมา .รู้ทีหลังว่า กลัวกลั้นน้ำตาไม่อยู่ จะเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายชาวปกากะญอ ..ผู้หญิงกะเหรี่ยงที่แต่งงานแล้วจะใส่ชุดเสื้อผ้าสีบนดำ ล่างแดงแบบนี้ละครับ ถ้าชุดสีขาวไม่ว่าจะแก่จะสาวแสดงว่ายังไม่ได้แต่งงาน ลืมถามไปว่า ถ้าเป็นแม่หม้ายเค้าแต่งตัวยังไง
บนขาวล่างแดงหรือเปล่าหว่า
ด้วยความเป็นห่วง พ่อหลวง อุตส่าห์เอา มอโตเรอล่า 245 แสนรัก (ราคา 6000) ให้มา บอกเอาติดรถ แล้วเปิดเครื่องไว้ เผื่อฉุกเฉิน... ทางวัดจันทร์จะรู้พิกัดว่าอยู่ตรงไหน บอกวิธีใช้งานคร่าว ๆ ว่าต้องทำยังไงบ้าง เมื่อถึงให้ผมเอาไปฝากไว้ที่ปาย ถ้ามีธุระเข้าปาย จะมาเอาไปเอง
11- ระหว่างทางที่ขับรถลงเขา จอดรถลงไปยิงกระต่ายหนเดียว มองย้อนกลับไปที่บ้านวัดจันทร์ อยู่ตรงไหนไม่รู้ ได้แต่ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
.....ยังมีต่อครับ .....
เพราะเมื่อถึงปายแล้วต้องขึ้นไปรับลูกสาวที่ปางมะผ้า อยู่ห่างปายไปอีก 45 กม. วันนี้ขับรถกันมันจริง ๆ ...และ เรื่องปลูกข้าวดอย ตามแนวลุงคิม ยังไม่ได้เล่าเลย
.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 02/10/2012 2:35 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
cherm สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 17/11/2011 ตอบ: 237
|
ตอบ: 27/09/2012 9:20 am ชื่อกระทู้: ชอบจัง |
|
|
สวัสดีค่ะ ลุงคิม
สวัสดีค่ะ ทิดแดง และ สมช.
ยัยเฉิ่ม ชอบอ่านจัง่ค่ะ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
ยัยเฉิ่ม จะเป็นชาวนา |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
cherm สาวดาม
เข้าร่วมเมื่อ: 17/11/2011 ตอบ: 237
|
ตอบ: 27/09/2012 12:58 pm ชื่อกระทู้: สงสัย และสงสัย |
|
|
สวัสดี ค่ะ ลุงคิม
สวัสดี ค่ะทิดแดง
ยัยเฉิ่ม
อ่านกระทู้ของทิดหลายรอบ ก็ให้นึกสงสาร กระเหรี่ยงปกากะญอเป็นยิ่งนัก
ที่คงต้องสูญชาติพันธ์ เพราะมีแต่แม่หญิง จำต้องไปแต่งงานกับชายชนเผ่าอื่น
หรืออีกนัยหนึ่ง ช่างภาพคิดอะไรอยู่ ถึงมีแต่แม่หญิืง
ลุงคิม คิดเหมือนยังเฉิ่ม ไหมค่ะ
ยัยเฉิ่ม จะเป็นชาวนา
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 29/09/2012 10:27 am ชื่อกระทู้: ตอบข้อสงสัย |
|
|
"โอ๊ะ มื่อ โซ เปอ ยัยเฉิ่ม "---สวัสดี ยัยเฉิ่ม...
ตอบข้อสงสัยที่ว่า " ให้นึกสงสาร กระเหรี่ยงปกากะญอเป็นยิ่งนัก
ที่คงต้องสูญชาติพันธ์ เพราะมีแต่แม่หญิง จำต้องไปแต่งงานกับชายชนเผ่าอื่น
หรืออีกนัยหนึ่ง ช่างภาพคิดอะไรอยู่ ถึงมีแต่แม่หญิืง "
ยัยเฉิ่มนี่ เจาะลึกจริง ๆ ....แต่อย่าลืมว่า ที่นี่คือรายการ สีสันชีวิตไทย ก็จะต้องเป็นรายการชีวิตที่มีสีสัน... และกระทู้นี้เป็นกระทู้เรื่อง เกษตรสัญจร ....มันก็ต้องมีอะไร ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ต้นไม้ ใบหญ้า ธรรมชาติ และผู้คน แล้วก็ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย คงไม่มีใครชอบดูต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งหรอกนะ
ดูหน้าตาน้อง ๆ แต่ละคนซีครับ เค้าอยู่บนดอย แต่หน้าตามันสดชื่นอิ่มเอิบเพราะบรรยากาศบนดอยมันเอื้ออำนวย แต่ละคนสวยแบบธรรมชาติ Vergin Innocence เครื่องแต่งตัวบ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละเผ่าพันธุ์ เห็นปุ๊บ บอกได้ปั๊บเลยว่า นี่ กะเหรี่ยง นี่เย้า นี่ม้ง นี่อาข่า นี่ลีซอ นี่มูเซอ ....ดูหน้าตาน้องปกากะญอซีครับ คิ้วโก่งยังกะศรพระราม ตาดำยังกับตาเนื้อทราย แก้มแต้มสีธรรมชาติแดงเหมือนสีลูกท้อสุก ริมฝีปากแดงอมชมพูยังกับสียอดอ่อนของกัลปังหา เวลาเค้าไปเล่นน้ำตก วี๊ดว๊ายกระตู้วู๊ ยังกับเหล่านางกินรีลงเล่นน้ำ ...
ความจริงตั้งใจจะเขียนเรื่อง เกษตรสัญจรภาคพิเศษ - รวมชนเผ่าเหล่าสาวชาวดอย ...ยัยเฉิ่มมา ตีปลาหน้าไซ ทำให้ปลาตื่นซะก่อน ก็เลยจำต้องเผยโฉมสาวกะเหรี่ยงดอยให้ดูอีกซักคน
สาวกะเหรี่ยวเต็มร้อยเค้าห้ามนุ่งสั้นแบบนี้ แต่นี่....เค้าอยากนุ่งสั้นกว่านี้ แต่กฏเค้าห้าม ก็เลยได้แค่นี้ ...นึกว่าจะมีแต่พื้นราบ บนดอยก็มีนะฮ๊า
แถมให้อีกรูปเป็น ออเดิร์ฟ จากซ้าย เย้า...อาข่า....ปกากะญอ....ม้ง
ทีนี้ถ้าจะเอารูปชายงามกะเหรี่ยงมาลง ก็เกรงว่า เว็ปลุงคิมจะล่มอีก เลยไม่กล้า
มีแถมอีกหน่อย (แถมจัง)
ลุงคิมเคยบอกว่า.....
1. สาวม้ง อีก้อ มูเซอ (ไทยภูเขาทุกชาติพันธุ์)
2. สาวญี่ปุ่น,
3. สาวเกาหลี
4. สาวจีนประเทศจีน
5. สาวจีนในประเทศไทย
6. สาวเวียดนาม
ทั้ง 6 สาวนี้เป็น เชื้อชาติ หรือ ชาติพันธุ์เดียวกัน....
จัดลำดับจาก 1 ถึง 6 หมายถึง ความสวย จากสวยน้อย ไปหาสวยมาก .....
สรุป : สาวเวียดนามสวยที่สุด
เรามาดูพร้อมกันตามลำดับความสวยมากที่สุดไปหาสวยน้อยที่สุด
ตามกระแสข่าวบอกว่า มีเอเยนต์หลายรายในเวียดนามได้ประกาศขายสาวๆ ไปเป็นภรรยาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ไร้คนเคียงข้าง
ในโฆษณาประกาศขายสาวนี้ ก็จะระบุข้อมูลที่ดึงดูดความสนใจหนุ่มๆ มากมาย เช่น ขายสาวเวียดนามราคา 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.8 แสนบาท) การันตีว่ายังซิง แน่นอน
นอกจากนี้ถ้าหากสั่งซื้อแล้ว พร้อมส่งไปถึงที่ภายใน 90 วันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่ม และที่น่าฮือฮากว่านั้น คือ ถ้าหากสาวคนไหนชิ่งหนีไปซะก่อนในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ทางเอเยนต์ก็จะจัดส่งคนใหม่ไปให้ อู้วว้าว !
บังเอิญผมไม่ชำนาญภาษาเวียตนาม ดี๋มได๋เด๋ว ดิ่วดี่ด๊อดแด๊ก ...ใครสนใจโทรไปได้เลยตามเบอร์ที่เห็น หากสนใจในรายละเอียดเพิ่มเติม ต้องถาม คิมวางซุก ผู้ชำนาญการฝ่ายต่างประเทศครับ
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 02/10/2012 10:35 pm ชื่อกระทู้: ลงเขาจากบ้านวัดจันทร์ เข้าปาย ขึ้นปางมะผ้า |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม
..และ สมช.สีสันชีวิตไทยทุกท่าน
เกษตรสัญจร นครปฐม ปาย บ้านวัดจันทร์ เล่าต่อเลยนะครับ
บทที่ 8 ลงเขาจากบ้านวัดจันทร์ เข้าปาย ขึ้นปางมะผ้า
วันที่ 26 กค. 55 ผมออกจากบ้านวัดจันทร์ 7 โมงเช้า ขับรถตามทางเลี้ยวลดคดเคี้ยว ขึ้นเขาลงดอย ลงมาถึงปาย 11 โมงเศษ ใช้เวลา 4 ชั่วโมงกว่า ๆ จอดพักกินราดหน้าที่ปายแล้ว ลุยขึ้นปางมะผ้าต่ออีก 45 กม.
1. ดูแผนที่คร่าว ๆ อีกครั้งว่า บ้านวัดจันทร์ และปางมะผ้าอยู่ตรงไหน (จากเส้นทาง 1265 มาต่อ 1095 ไปทางแม่ฮ่องสอน) ..จากปายไปปางมะผ้า เส้นทางไม่สูงไม่ชัน (เพราะมันสูงอยู่แล้ว เกือบ 1700 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง)ทางคดเคี้ยวมีน้อยหน่อย แต่ หมอกครับ เดี๋ยวดูจากรูปก็รู้ว่า ขนาด ตอนเที่ยงหมอกขนาดไหน...45 กม.ใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงคงถึง ....ก่อนอื่นต้องแวะบอกที่ปายให้ส่งข่าวไปที่บ้านวัดจันทร์ก่อนว่า ผมมาถึงปายแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ..กำลังจะขึ้นไปรับลูกสาวที่ปางมะผ้า
ลงมาที่ปาย มือถือใช้ได้ตามปกติแล้ว แต่โทรไปบ้านวัดจันทร์ไม่ได้ No Signal โทรไป ปางมะผ้าได้ ก็โทรบอกลูกสาวว่าตอนนี้กำลังจะออกจากปายให้เตรียมตัวให้พร้อม ไปถึงแวะคุยซักประเดี๋ยว จะกลับปายเลย ...จะมีเวลาไปดูแปลงข้าวสาลีที่ปลูกคั้นน้ำซักแป๊บนึงมั๊ยเอ่ย
2. ออกจากปายประมาณเที่ยง ขับรถมาซักพัก ก็มาถึงตรงนี้ จอดรถฉี่ ดูจากป้ายบอกทาง เหลืออีก 20 กม.จะถึงปางมะผ้า ก็เท่ากับว่า ขับรถมาได้ 25 กม.แล้วซินี่ เวลายังไม่ถึงบ่ายโมง ดูหมอกตอนเที่ยงบนยอดดอยนะครับ
3 4 . บรรยากาศยามบ่ายโมงกว่า ๆ บนยอดดอย ที่ดูครึ้ม ๆ ไม่ใช่หมอกนะครับ แต่จะเป็นเมฆที่ลอยผ่านยอดดอย เวลาเราอยู่ข้างล่าง จะเห็นว่าเมฆลอยผ่านยอดดอยเป็นแบบนั้นแหละครับ
5. ตรงนี้ เป็นบริเวณที่ภูเขาและป่าทั้งผืน มันยุบตัวลงมา จะเรียกว่าดินถล่มก็ได้ มีใครตายบ้างหรือเปล่าไม่รู้
6 7 บรรยากาศบนดอย ก่อนถึง ปางมะผ้า จะขมุกขมัวแบบนี้แหละ เย็นสบาย ๆ
8 มาถึงช่องเขาตรงนี้ มองลงไปจะเห็น อ.ปางมะผ้าอยู่ตรงหน้าลิบ ๆ อีกประมาณ สิบกิโลแม้ว
9- บ่ายโมงสี่สิบห้า มาถึงปางมะผ้า ระยะทาง 45 กม.ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที นี่คือตลาดหน้าอำเภอปางมะผ้า จุดพักรถครึ่งทางระหว่างปายกับแม่ฮ่องสอน รถที่จอดเป็นของชาวเรามีไม่เท่าไหร่หรอกครับ ส่วนใหญ่เป็นของชาวเขา อย่างขี้หมูขี้หมาก็ต้อง Four Wheel ทั้งนั้นแหละ และทางขึ้นเขาบางช่วง ต้องใช้โซ่พันล้อ ถือเป็นเรื่องธรรมดา
10- แม่ค้าที่นี่ เป็นที่ชุมนุมหลายชนเผ่าครับ แม่ค้าที่ขายเป็นเผ่า ลีซอ หนุ่มเสื้อแดง มูเซอ ชายเสื้อเขียวหิ้วผัก จีนยูนนาน ....รู้ได้ยังไง ...มาสัมผัสบ่อย ๆ แล้วฟังสำเนียงพูด แล้วดูที่ชุดแต่งกายจะรู้ครับ
11- แม่ค้าเจ้านี้ ไทใหญ่ครับ ขายเห็ดตับเต่า ขวามือสุดคือ หางหวาย(ต้นหวายอ่อน)แกงแบบไทใหญ่อร่อยครับ มันมีรสออกขม ๆ ....ส่วนในถุงก๊อปแก๊ปคือข้าวกล้อง ข้าวเจ้า ลืมผัว ถุงละ 5 กก 150 บาท เลยไปจะเห็นแตงร้าน ลูกโตเท่าฟักเขียวบ้านเรา แตงร้านชาวดอยกินกรอบอร่อยครับ เอามาตำส้มตำ ต้องเอาไส้ออกก่อนนะพี่ แล้วที่กองสีน้ำตาล ๆ นั่นเห็ดหูหนูป่าครับ ใส่แกงจืด อร่อยโคตร..
12- นี่ก็ไทใหญ่ ขายแตงร้าน กับยอดอ่อนของ ?...จำชื่อไม่ได้ คล้ายๆ ยอดมะพร้าวอ่อน แต่เค้าบอกว่ากินอร่อยมาก ทำอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกงเผ็ดแทนหน่อไม้ได้เลย ที่นั่งถัดแม่ค้าไทใหญ่ไป ใส่เสื้อสีลายแดงเขียว เป็นกะเหรี่ยงอีกกลุ่มหนึ่ง ขายข้าวก่ำ กับน้ำผึ้ง ผู้ชายที่เห็นด้านหลังเป็น ม้ง ครับ
13- รายนี้สุดเจ๋ง มูเซอดำ ขายลูกนก ขนยังไม่ขึ้น ผมถามผู้ชำนาญการกินของแปลกว่า เอามาทำอะไรกินได้ เค้าบอกว่า เอามาลาบ (สับ ๆๆๆๆ ให้ละเอียด) ผสมเครื่องปรุงต่าง ๆ ห่อใบตอง เอาย่างไฟ เค้าเรียกว่า แอ๊บนก คือทำคล้าย ๆ งบ หรือห่หมก ของไทยเรานี่แหละ ....กรรมของลูกนกจริง ๆ
14- ตัวนี้เค้าบอกว่า ตุ๋น แก้หนาวดีจังเลย ผมเห็นสีมันสวยดี ว่าจะแอบอุ้มกลับมาด้วย เผลอแพล๊บเดียวหายไปไหนก็ไม่รู้
ดูเวลาแล้ว บ่ายสองโมงครึ่ง คงไม่มีเวลาจะไปดูแปลงข้าวสาลีที่สมเด็จฯท่านทรงให้ชนเผ่าปลูกที่ปางมะผ้า ต้องไปอีกเกือบ 10 กม. ไม่อยากให้มืดค่ำกลางทางเพราะหมอกลงจัด จำต้องออกจากปางมะผ้ากลับปาย
15- กลับถึงปายประมาณ 16 นาฬิกา บ่ายสี่โมงเย็นกว่า ๆ ท้องฟ้าที่ปายยังสว่างสดใส อะไรไม่สำคัญ มองเห็นรุ้งกินน้ำ แสดงว่าฟ้าเปิด
16- 27 กค.55 9.00 น.นั่งเครื่องนกแอร์(10 ที่นั่ง)จากปาย มาลงเชียงใหม่
17- สนามบินปาย ยาวประมาณ 1500 เมตร มุมซ้ายเป็นทิศใต้ มุมบนขวาเป็นทิศเหนือ สนามบินอยู่ห่างบ้านพักที่ปายประมาณ 2 กม. บินจากปายถึง เชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมง
18 19 ประมาณ 10 โมงเช้านิด ๆ มาถึงเชียงใหม่ โต๋เต๋ รอเวลาเครื่องออก ก็นั่งนกแอร์ต่อ ออกจากเชียงใหม่ บ่ายโมง ถึงกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) บ่ายสองโมงนิด ๆ ก็ไปดูพ่อที่ รพ.ก่อน ...พ่อนอนอยู่ห้อง ไอซียู ทำความสะอาดล้างมือเปลี่ยนชุด ขออนุญาตหมอเข้าไป .... กระซิบข้างหูพ่อ ....พ่อ แดง นะ มาแล้วนะ ...คุณปู่ ผึ้งนะ เสียงพ่อครางในลำคอ อืม์....... พอกลางดึกวันที่ 31 กค. พ่อก็สิ้นลมด้วยอาการอันสงบ อายุ 95 ปี เศษ
.
ก็คงจบเกษตรสัญจร นครปฐม ปาย บ้านวัดจันทร์ ลงแค่นี้
เนื้อหาสาระอาจไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เล่าสู่กันฟัง ...ความจริงยังไม่จบดี เพราะยังไม่รู้ผลว่า การปลูกข้าววิธีใหม่หรือแบบใหม่ ที่ชาวดินไปแนะนำให้ชาวดอยทำ จะได้ผลออกมาดีมากน้อยแค่ไหน ...
คิดว่ากลาง ๆ เดือนตุลาคม คงรู้ผล และผมเชื่อว่า ผมคงไม่ต้องซื้อข้าวของโชเล่ เพราะบอกแล้วว่า หากเกี่ยวแล้วให้สีเป็นข้าวกล้อง บรรจุใส่ถุงละ 1 กก. เอาให้ ชลธิชา น้องสาวแต่งชุดปกากะญอ ลงไปขายที่บู๊ท ชนเผ่า หน้าบิ๊กซีหรือโลตัส เชียงใหม่ ไม่ก็ที่ ไนท์บาร์ซ่า กก.ละ 6070 บาทพอแล้ว ขายไม่ได้ ขายไม่หมดจะขึ้นมาโก่งตูดให้เตะ ....
.ผมได้อะไรจากงานนี้ ... การแบ่งปันในสิ่งที่ผมมี และความสุขที่เงินไม่สามารถหาซื้อได้.แล้วก็ได้ความจริงใจและมิตรภาพ มีคำกล่าวว่า.... อันรักแท้นั้นยากหา สุดจะคว้ามาเชยชม.... แต่มิตรแท้ที่นิยม ยิ่งยากหากว่ารักแท้....
หากคิดว่าอ่านสนุก ก็ติดตามอ่าน....
เกษตรสัญจร 2 ....ไปดูกะเหรี่ยงปลูกข้าวบนดอย
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 22/10/2012 8:10 pm ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร ภาคพิเศษ |
|
|
สวัสดีครับ ลุงคิมและเพื่อน สมช. ทุกท่าน
บทที่ 9 เกษตรสัญจร ภาคพิเศษ เรื่องไร้สาระที่น่าอ่าน
ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก เป็นแต่ว่าผมมีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง แล้วมันเป็นเรื่องที่เกิดหลังจากวันที่ผมเดินทางกลับลงดอยไม่กี่วัน น่าจะเป็นเรื่องที่นำมาปะติดปะต่อกับตอนท้ายของ เกษตรสัญจร ภาค 1 ได้ เลยนำมาต่อท้ายไว้ตรงนี้ ....ก็คิดว่าดูเพลิน ๆ เพื่อการเรียนรู้สิ่งแปลก ๆ อ่านแล้วหรือดูแล้วไม่ถูกอารมณ์ก็ขออภัยทุกท่านด้วยก็แล้วกัน
รูปที่ 1 ขอสวัสดียามเช้า ด้วยภาพน่ารัก นกบนกิ่งท้อ อ้าปากหายใจยามเช้า สังเกตให้ดีจะมีควันออกมาจากปากด้วย
รูปที่ 2 ก็มีรูปลูกนกเล็ก ๆ น่ารัก มาทักทาย ขอสวัสดีด้วยนะครับ อย่าเอาไปซื้อหวยล่ะ แทงไม่ถูกจะมาด่าผม
มีเพื่อน สมช.บางท่านที่อ่าน เกษตรสัญจร ปาย บ้านวัดจันทร์ ถามหลังไมค์ว่า ที่ผมไปอยู่บ้านกะเหรี่ยง แล้วผมฟังเค้าพูดกันรู้เรื่องหรือ .....ผมเคยบอกไว้แล้วว่า ถ้าเค้าพูดคุยกันเองเป็นภาษากะเหรี่ยง ผมฟังได้ แต่ไม่รู้เรื่องครับ แต่ภาษา ใบ้ กับภาษา ใจ ครับ ใช้ได้ทุกสถานที่ทั่วโลก แล้วกะเหรี่ยงเค้าฟังภาษาไทย รู้เรื่องมั๊ย เค้าฟังภาษาไทยรู้เรื่องยิ่งกว่ารู้ครับ เพราะเค้าอยู่ ณ ที่ตรงนี้มาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย เป็นคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง และเด็กรุ่นใหม่หลายคน จบปริญญาตรี ทำงานราชการ ทำงานในโครงการหลวง
กำลังเรียน ปญ.โท ปญ.เอก ก็มี เพื่อนของผมเป็นพ่อหลวง คือผู้ใหญ่บ้าน ถ้าพูดและเขียนไทยไม่ได้คงเป็นพ่อหลวงไม่ได้ ....กะเหรื่ยงบ้านวัดจันทร์เป็น กะเหรี่ยง มูเส่คี หมายถึงเป็นเจ้าของต้นน้ำแม่แจ่ม อาศัยอยู่บริเวณนี้มานานเกินกว่าร้อยปีแล้ว
ชาวชนเผ่าบนดอยมีหลากหลายชนเผ่า กะเหรี่ยงมากที่สุด กระจายอยู่ตามดอยตะเข็บชายแดนตั้งแต่ เชียงรายไปจนถึงแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน ....เข้ามาอยู่ในเมืองทุกจังหวัดมีมั๊ย ขอบอกว่า มีทุกชนเผ่า แยะเลย เข้ามาทำอะไร ....โอ๊ยน้องท่าน มีหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่มาเรียนในมหาวิทยาลัย จนถึงมาทำการค้าขาย.....
แถววัดหลักสาม ถนนเพชรเกษม บางแค กับแถวบางเลน นครปฐม มีชาวปลัง หรือชาว ลั๊วะ ลงจากดอย มาอาศัยทำมาหากินอยู่นับเป็นพันคน และสิ่งที่พวกเขารวมทั้งชนเผ่าอื่น ๆ ทุกชนเผ่าเทิดทูนที่สุดคือ ชาติ ศาสนา และโดยเฉพาะ องค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้าวิกฤตการเกิดเมื่อไหร่ เค้าจะตีเกราะสัญญาณ แบบที่เค้ารู้กัน เมื่อนั้นทุกชนเผ่าพร้อมที่จะลงจากดอย ทำไมใช้การตีเกราะ โบราณจังเลย ...ขอบอก โทรโข่ง เสียงดังไปได้ไม่ไกล เสียงก้อง ฟังไม่รู้เรื่อง... วิทยุสื่อสาร.... มือถือ บางจุดรับสัญญาณไม่ได้ นอกจากจะยิงขึ้นดาวเทียม และ มือถือก็มีไม่ทุกคน ...ตีเกราะแรง ๆ โป๊กเดียว ในบรรยากาศที่เงียบ จะดังไปทั้งขุนเขา เสียงก้องไปไกลเป็นสิบกิโล .....คนรุ่นใหม่เคยเห็นมั๊ยครับว่ารูปร่างของเกราะมันเป็นยังไง
สักวันหนึ่งเมื่อสัญญาณ อื่น ๆ ถูกตัดขาด เกราะโบราณจะถูกนำกลับมาใช้
รูปที่ 3 นี่คือเกราะแบบโบราณทำจากไม้ไผ่ ในที่เงียบ ๆ อาจตีเสียงดังไกลไปได้ประมาณ 1 กิโลเมตร ทำไม่ยาก มีกระบอกไม้ไผ่ ตัดหัวท้ายให้ติดปล้องเอาไว้ เจาะรูตามรูป หาไม้มาตีก็เกิดเสียงแล้ว
รูปที่ 4 รูปนี้เป็นเกราะโบราณ แกะจากท่อนซุงโตขนาด 1 ฟุตหรือ 12 นิ้ว แรงคนๆ เดียวอย่าคิดว่าจะแบกไหว ข้างในขุดเนื้อไม้ออกเป็นรูกลวงลึกสุดเอื้อมเกือบถึงรอยที่กลึงเป็นวงกลม เค้าขุดยังไงรู้มั๊ยครับ......เมื่อขุดแล้วก็เจาะรูด้านข้างสองข้าง เพื่อเป็นที่สะท้อนเสียงดังออกมา ไม้ตีวางพิงอยู่ข้างเสา จะเห็นรอยสึกที่ถูกตีเห็นเนื้อไม้แหว่งอยู่ตรงปลาย ตีแต่ละครั้งถ้าเป็นการประชุมลูกบ้าน ก็ตีเพียงเบา ๆ พอได้ยินในหมู่บ้าน แต่....ความโง่ + ความไม่รู้ + ความอยากลองของผม ว่าเสียงมันจะดังซักแค่ไหน .. ผมเลยลองตี กดเต็มแรง รัวโป๊ก ๆๆๆๆๆๆๆ เสียงมันดังก้องดีจริง ๆ ....ผลคือ แป๊บเดียว หมู่ชนกะเหรี่ยงในหมู่บ้านทุกรุ่น ต่างวิ่งหน้าตาตื่น ถือมีดถือไม้แม้กระทั่งเจ้าโชเล่ถือดาบวิ่งมาหน้าตาตื่น ...สู ๆๆ เม อา รา ...สู เป อา ราป่า คา เคาะโกรว ทามา โพ่โหลปาหนา (สูมีอะไร สูเป็นอะไรหรือเปล่า ใครเคาะโกรว- (ตีเกราะ) ทำไม พ่อหลวงไปไหน)
ผมก็ตกใจว่ามันอะไรกันหว่า ถึงมากันพร้อมเหรียง ...บอกว่าไม่มีอะไร ผมอยากทดลองว่าตีแล้วเสียงมันจะดังแค่ไหน ....เจ้าโชเล่แทบจะเข่าอ่อน ถอนหายใจเสียงดัง เฮ้อ แล้วก็หันไปส่งภาษาบอกลูกบ้าน คนแก่ลูกเด็กเล็กแดงรวมทั้งนักเรียนที่มากันเพียบพร้อม คงบอกว่าผมทดลองตีเกราะ .ทุกคนถอนใจ โล่งอก เฮ้อ....บางคนชี้มือมาที่ผม แล้วหัวเราะ ผมเลยนั่งคุกเข่ายกมือขึ้นพนมแบบหนังจีนก้มหัว ทำนองว่า ขอโทษ .แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับ ..อะไรไม่ว่า มีเสียงมือถือดังกริ๊งกร๊างไปหมดคงจะสอบถามกันละว่า มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็มีเสียงตีเกราะเคาะไม้ดังกลับมาอีกด้วย ...เจ้าโชเล่ ต้องตีเกราะส่งสัญญาณกลับไป กี่โป๊กจำไม่ได้ .....ไม่ลองก็ไม่รู้อ่ะนะ ..
วันนั้น .ผมกลายเป็นตัวตลกในหมู่บ้าน ไม่โดนเค้าด่าก็บุญโขแล้ว ตกเย็นที่บ้านพ่อหลวง เป็นที่ชุมนุมผู้เฒ่าผู้แก่ รวมทั้งเพื่อน ๆ เจ้าโชเล่ คุยกันเสียงโหวกหวก คุยไปหัวเราะไป ....ก็คงจะคุยกันละว่า ...กูกำลังทำไอ้นั่นไอ้นี่อยู่ พอได้ยินสัยงรัวเกราะ กูคว้าอะไรได้ก็แจ้นมาเลย บางคนออกท่าออกทาง ...พ่อหลวงกลับมาจากธุระ ผลักไหล่ผมหัวเราะก๊าก ...ผมก็ถามว่า ได้ยินแล้วรู้เรื่องหรือยัง เค้าบอกว่าได้ยินเสียงตีเกราะ ก็งงว่ามีอะไรเกิดขึ้น พอสักพัก เจ้าโชเล่โทรไปบอก หัวเราะซะท้องแข็ง....เค้าบอกว่า ก็ดีเหมือนกัน เป็นการซ้อมความพร้อมเพรียงเพราะไม่ได้มีเรื่องให้ตีแบบนี้มานานแล้ว แล้วก็บอกให้ผมเอาดอกไม้ธูปเทียนพร้อมกับเหล้า ไปขอขมาที่แขวนเกราะเสีย เพราะตีเล่นโดยไม่มีเหตุ แล้วบอกว่าเกราะอันนี้เป็นของปู่ แกรับทอดมาจากพ่อ ....
ผมเลยบอกโชเล่ว่า ขอถ่ายโทษด้วยการเลี้ยงเหล้า(ต้มเอง) แล้วบ้านใครมีไก่ ผมขอซื้อห้าหกตัว จะทำอะไรกินกันก็ตามแต่ ...เค้าบอกว่า มีเหล้าให้กินแล้ว เรื่องไก่ไม่ต้องซื้อ เอามาแค่บ้านละตัวก็พอ
.....และที่ผมบอกว่า ทุกชนเผ่าบนดอยเทิดทูนที่สุดคือ ชาติ ศาสนา และโดยเฉพาะ องคพระมหากษัตริย์ ขอให้คุณดู ธงชาติไทย กับธง ภปร.ที่แขวนอยู่หน้าบ้าน ติดไว้ทุกบ้านครับ บ้านคุณมีติดไว้หรือเปล่า ..บ้านผมมีครับ อย่างน้อยก็เพื่อจะบอกว่า ข้าคือไทย พ่อแม่ข้าคือไทย
รูปที่ 5 คุณคิดว่า ไอ้เจ้าลูกแบบนี้ในเมืองไทยมันจะมีปลูกบนดอยสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1400 เมตรมั๊ยครับ พืชเมืองหนาวทุกอย่างที่ปลูกบนดอย ถ้าไม่ได้พ่อหลวงภูมิพลแล้วจะได้มาจากใคร ใครหน้าไหนจะมาแนะนำชาวเขาชาวดอยมีกินมีใช้อยู่เป็นสุขสบายด้วยพระมารมี
ผมเคยถามพ่อหลวงว่า การที่มีใครเอาเงินมาแจก กับการเอาพืชเมืองหนาวมาให้ปลูก คนที่นี่ชอบจะเอาอย่างไหน พ่อหลวงตอบไม่ต้องคิด เอาต้นไม้ เพราะเงินกินเดี๋ยวก็หมด แต่ต้นไม้ปลูกเอาไว้ เก็บกินได้ถึงลูกหลาน และคนที่แจกเงิน กับคนที่รับเงิน คือคนที่ไม่ฉลาด
.ว๊าว นี่คือคำพูดของกะเหรี่ยงนะครับ แทนที่จะพูดว่า คนที่แจกเงินกับคนที่รับเงินคือคนโง่ แกเปลี่ยนคำว่า โง่ เป็น ไม่ฉลาด ฟังแล้ว แสบซึ้งเข้าถึงทรวง ....ยังครับผมยังไม่ได้เอารูปที่ชนเผ่ามาประท้วงที่หน้าทำเนียบมาให้ สมช.ได้ดูกัน
ทีนี้ พูดถึงภาษากะเหรี่ยง กะเหรี่ยงมีหลายเผ่าพันธุ์นะครับ กะเหรี่ยงวัดจันทร์เป็นเผ่า มูเส่คี ตามที่บอกมาข้างต้น กะเหรี่ยงไม่มีภาษาเขียน เช่นเดียวกับมอญ แต่ไทใหญ่มีภาษาเขียนครับ
กะเหรี่ยง มอญ จะใช้ตัวหนังสือของไทใหญ่ในการสื่อสาร แต่เด็กรุ่นใหม่ ใช้ภาษาและตัวอักษรไทยรวมถึงภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นที่แต่ละคนชอบอยากจะเรียน
ภาษาพูดของกะเหรียงเท่าที่ผมพอจะ ดำน้ำ ไปได้
เซกวา กวอ ..........................ผ้าทอมือลายแบบกะเหรี่ยงสีแดง
กรอ..................................ธงชาติไทย
กอแล................................กระด้งฝัดข้าว
สะกั๊วะ................................ตะกร้า กระบุงใส่ผลผลิต
กระแถะ..............................คันไถที่ใช้แรงควาย
เคาะโกรว............................กระดึงผูกควาย, เกราะที่ใช้ตีบอกสัญญาณ
นอตอบือ.............................ไม้นวดข้าว(ไม้ตีข้าว)
เหม่เจเคาะ...........................ข้องใส่ปลา
ตุ่ม...................................โอ่งน้ำ
ปลาเด๊าะหย่ะโพ่....................เครื่องมือจับปลา
อาบูอือ ย่า...........................ชอบคุณ
โอ๊ะ มื่อ โซ เปอ.....................สวัสดีครับ ค่ะ .....(ใส่ชื่อ หรือไม่ใส่ ตามใจคุณ).
"ซะ คือ เลอะ เน่ สิ ยา บะ นา" ....ยินดีที่ได้รู้จัก
บังเอิญ สมุดที่จดอะไร ๆ เอาไว้ ผมลืมไว้ในห้องพระที่ปาย วันที่กลับ ก่อนออกเดินทางกราบพระแล้วลืมถือติดมือมาด้วย ก็เลยมีแค่นี้เอง
รูปที่ 6 รู้จักและเคยเห็นมั๊ยครับ ดอกทองกวาว สมัยก่อนนู้น ถนนจากลำพูนถึงเชียงใหม่สองข้างทางจะมีต้นทองกวาวปลูกไว้เป็นแถว เวลาหน้าหนาวมันจะออกดอกสีแดงสวยงามมาก แต่ปัจจุบัน มีแต่ป่าคอนกรีต ไม่มีให้ดูอีกแล้ว ...เหมือนถนนพุทธมณฑลสาย 4 จากปากทางแยกถนนเพชรเกษมถึงศาลายา จะมีต้นชัยพฤกษ์หรือต้นคูณปลูกเอาไว้สองข้างทาง ประมาณเดือนมีนาคมมันจะออกดอกเหลืองสวยงามอร่ามสุดสายตา ปัจจุบันไม่มีอีกเหมือนกัน .....รัฐบาลไทย ไม่เคยอนุรักษ์อะไร ๆ ที่ดี ๆ ไว้เลย ....แม้กระทั่ง ส้มบางมดที่อร่อยที่สุดในโลก ก็สูญพันธุ์ ....เก่งอย่างเดียว คอรัปชั่น มีหลายคนที่ผมเห็น จะตายก็ไม่ตาย รู้เรื่องทุกอย่างแต่พูดไม่ได้ ถูกทอดทิ้งให้ทรมานรอความตาย
ในฐานะที่เราเป็นฃาวพุทธ ผมได้รับรูปที่ทางวัดจันทร์ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 55 เป็นงานทำบุญทอดผ้าป่าวันเข้าพรรษาของชาวกะเหรี่ยงบ้านวัดจันทร์ มาให้ดูกัน อาจจะไม่ใช่เป็นการซื้อบุญที่ยิ่งใหญ่ของวัดแถวรังสิตว่าถ้าอยากได้บุญมากต้องทำบุญด้วยเงินมาก ๆ ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนเหมือนกัน งานบุญที่วัดจันทร์ เป็นแค่งานเล็กแต่มากด้วยน้ำใจและศรัทธา ....วัดกับบ้าน เป็นความผูกพันเฃื่อมโยงเป็นที่ยึดเหนี่ยวหลาย ๆ อย่างของคนในทุกชุมชน
รูปที่ 7 ขบวนแห่ กองผ้าป่า มาจากทางทิศใต้มุ่งสู่วัดจันทร์ อยู่ขวามือ ด้านหลังคนถ่ายเป็นทิศเหนือ เข้าตลาด ป้ายบอกทางที่เห็น มีทางแยกซ้ายไป อ.สะเมิงกับอ.แม่แจ่ม ไปทางตะวันออก ตะวันตกไปบ้านสันม่วง ต้องขึ้นดอยไปอีกหน่อย(สำหรับคนที่นี่) เป็นภูเขากั้นเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอน
รูปที่ 8 9 ทุกคนมารวมกันถวายองค์ผ้าป่าที่หน้าวัดจันทร์ด้วยความศรัทธา ....ถ้าพ่อผมไม่ตาย (วันที่ 31 กค.) ผมคงได้อยู่ร่วมทำบุญด้วยกับเขา
รูปที่ 10 กำลังฟังท่านอาจารย์เทศน์บนศาลา
รูปที่ 11 12 ตอนกลางคืน มีการนั่งสมาธิ
รูปที่ 13 นั่งสมาธิแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์
รูปที่ 14 งานบุญก็จบลงด้วยการเวียนเทียน ...ผมก็ขออานิสสงส์ผลบุญแผ่มาถึง ลุงคิม และเพื่อน สมช.ทุกท่านด้วยนะครับ
รูปที่ 15 ยานพาหนะที่ใช้งานได้สารพัดประโยชน์ ...ขึ้นดอยไหวหรือ ... ถ้าเป็นดอยที่เส้นทางไม่ชันมากจนเกินไป ยิ่งกว่าไหวครับ แล้วตอนลงเขามันไม่ไหลลงพรวดพราดหรือ ไม่ครับ เพราะที่ตัวสาลี่เค้าดัดแปลงติดเบรค (เท้า) เอาไว้ที่ล้อหลัง บางคันมีเบรคมือด้วย (เอาชุดเบรคเก่าของรถมาใช้ )
อ่านแล้วอาจจะบอกว่า ไม่เห็นเกี่ยวกับเกษตรตรงไหนเลย .....ต่างคนต่างมอง เข้าทำนอง สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นแต่โคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย ......
บอกได้เลยว่า บ้านวัดจันทร์เป็นอำเภอใหม่ ถ้าผมอายุน้อยกว่านี้ ผมจะเข้าไปขุดทองที่นั่น รับซื้อ ขาย สินค้าเกษตร ..ขายวัสดุก่อสร้าง ขายอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือจะเอางานสบาย ปั้นน้ำเป็นตัว ทำโรงน้ำแข็งหลอด และทำน้ำดื่มบรรจุขวด ...หาซื้อที่ดิน สร้างเกสต์เฮ้าหรือไม่ก็ทำโฮมสเตย์ แม้กระทั่งรับซื้อของเก่า อย่าดูถูกขายของเก่านะครับ คนที่ปายหลายคน วิ่งรถรับซื้อของเก่า ถอยรถปิคอัพป้ายแดงด้วยเงินสดมาแล้วหลายคน ....
.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DangSalaya เมื่อ 21/11/2012 9:10 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 12/11/2012 12:12 am ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร ภาคพิเศษ บ้านวัดจันทร์ 2 |
|
|
สวัสดีครับ ลุงคิมและเพื่อน สมช. ทุกท่าน
บทที่ 10 เกษตรสัญจร ภาคพิเศษ บ้านวัดจันทร์ 2 เรื่องไร้สาระที่น่าอ่าน
ผมไป อ.ปาย ขับรถขึ้นเขา ขึ้น ๆ ล่อง ๆ มาตั้งแต่ปี 2548 ได้พบปะผู้คนทั้งชาวดินและชาวดอย หลากหลายชนเผ่า ก็เลยพอรู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งที่ปาย และพื้นที่ข้างเคียงพอสมควร
ในบรรดาชนเผ่าหลายเผ่านั้น บังเอิญผมได้รู้จักชาวกะเหรี่ยงโดยบังเอิญ คุยไปคุยมาก็ถูกคอ และรู้ใจกันมากกว่าชนเผ่าอื่น ๆ ก็เลยคบกันมาตั้งแต่ประมาณปลายปี 2549 ก็ได้ไปมาหาสู่กันตามแต่เวลาจะมี แต่สุดท้ายดันไปสนิทถูกคอกับลูกชายมากกว่าพ่อ เพราะว่าพ่อเป็นพ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้าน มีงานทั้งงานหลวงงานราษฎร์ค่อนข้างจะแยะ เวลาไปเที่ยวไปหาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาคุยกันซักเท่าไหร่ ก็เลยสนิทกับลูกชายเพราะคุยกันถูกคอ
การที่เขียนเรื่องเกษตรสัญจร ไปดูกะเหรี่ยงปลูกข้าวบนดอย ก็เนื่องด้วย ได้เห็นวิธีการปลูกข้าวบนดอยของชาวกะเหรี่ยง ประกอบกับได้ฟังรายการลุงคิม พูดย้ำเรื่องนาข้าว ก็ได้แต่ฟัง แต่ไม่มีโอกาสที่จะลงมือทำ ฟังแล้วก็เก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้ ตามที่ลุงบอกว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง ...จากการที่เห็นกะเหรี่ยงปลูกข้าวด้วยวิธีหยอดเมล็ดเป็นหลุม และวิธีโรยเมล็ดเป็นแถว ก็เห็นว่า ใช้เมล็ดพันธุ์มากจนเกินไป ก็อยากจะลองของทำตามวิธีที่ลุงคิมพูด โดยคิดว่า ถ้าหยอดแบบใช้เมล็ดข้าวน้อย ๆ หยอดแบบห่าง ๆ จะได้ผลดีหรือไม่
เรื่องเกษตรสัญจร ก็เป็นการนำสิ่งที่ได้พบเห็นมาเช่าสู่กันฟัง จะเป็นเรื่องที่มีสาระหรือไร้สาระ ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อน สมช. จะคิด เป็นเรื่องของ นานาจิตตัง เพราะแต่ละคนก็มีความชอบและความไม่ชอบที่แตกต่างกัน ....
ความจริงเกษตรสัญจร ภาค 1 นี้ น่าจะจบ แต่ก็มีเรื่องที่ต้องทำให้เขียนต่อ เพราะในเกษตรสัญจร ภาค 2 อยากจะให้เป็นที่รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการปลูกข้าวบนดอย โดยเฉพาะ เมื่อมีเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวกับข้าว ผมก็จำต้องนำมาต่อในเกษตรสัญจร ภาค 1
มีเรื่องที่นำเสนอต่อครับ มาดูรูปกันเลย
รูปที่ 1 เป็นรูปพระบรมธาตุ คู่บ้านวัดจันทร์ครับ
รูปที่ 2 เป็นงานฉลองพระบรมธาตุของวัดจันทร์ ....ไม่เห็นจะมีอะไรโดดเด่น ....เป็นการแสดงศรัทธาที่ชาวกะเหรี่ยงและชนเผ่าอื่น ๆ ที่อยู่บนดอยมีต่อพระพุทธศาสนาไงล่ะครับ
รูปที่ 3 กลุ่มหนุ่ม สาว กะเหรี่ยงในงานวันฉลองพระบรมธาตุครับ เอกลักษณ์ของสาวกะเหรี่ยงคือ ถ้าใส่ชุดขาว หนูยังไม่มีครอบครัวจ้า และในเรื่องของ คดีข่มขืน ไม่มีครับ ถ้ามีและจับได้ โดนยางน่องชนิดที่พิษงูจงอางชิดซ้าย สะกิดแค่ปลายเข็ม จะหลับสบายไม่ต้องตื่น
รูปที่ 4 5 โบสถ์วัดจันทร์หลังเก่า ชำรุดทรุดโทรม จึงได้รื้อและใช้โครงสร้างเดิม ยกจั่วให้สูงขึ้น กำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ
รูปที่ 6
รูปที่ 7
รูปที่ 8
รูปที่ 6 7 ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ กำลังซ่อมแซมใหม่
รูปที่ 8 ลายกนกใบระกา ซ่อมใหม่
รูปที่ 9 ป้ายโครงการหลวงวัดจันทร์ ครับ
รูปที่ 10 บรรยากาศบริเวณสวนสนวัดจันทร์ครับ
รูปที่ 12 อ่างเก็บน้ำบนดอย ในโครงการหลวงครับ
รูปที่ 13 สวนดอกไม้ในโครงการ จะเห็นว่า ขนาดบนดอยเค้ายังติดท่อสปริงเกลอร์ใช้งานกันเลยครับ ขืนลากสายยางเดินรดน้ำมีหวัง เปลี่ยวดำ (มิวนอเนีย) แข็งตายก่อนที่จะรดน้ำเสร็จ
รูปที่ 14 บ้านพักในโครงการ 1 หลังมี 5 ห้อง 5 เตียง หน้าเทศกาลท่องเที่ย (High Season) ยกทั้งหลังคืนละ 500.- นอกฤดูท่องเที่ยว คืนละ 300 ไม่มีแอร์นะครับ ...เ จ้าหน้าที่ดูแลบอกว่า เคยมีสาว (แก่) ไฮโซ มาถาม ไม่มีแอร์หรือยะ ..จะบ้ารึ นอกจากโง่แล้วยังเซ่ออีกต่างหาก อากาศหนาวจะตายห่ะ จะเอาห้องแอร์
รูปที่ 15 ป้ายอำเภอกัลยานิวัฒนา หรือ ต.บ้านวัดจันทร์เดิม เสาไม้ที่เห็น เป็นไม้สนจ้า เลขที่เห็นไม่ได้ใบ้หวยนะครับ แต่เป็นตัวเลขที่บอกว่า เป็นอำเภอที่ 878 ของประเทศไทย ยังไง ๆ ก็ขอให้มีโชคก็แล้วกัน
รูปที่ 16 ป่าสนกลางสายหมอก ที่มองเห็นอย่าคิดว่าต้นเล็กนิดเดียวนะ ก็โตประมาณเสาที่เอามาทำป้ายอำเภอนั่นแหละ
รูปที่ 17 ระบบ อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด ยิงผ่านดาวเทียม
รูปที่ 18 ชาวบ้านวัดจันทร์บอกว่า เมื่อความเจริญเข้ามา ป่าก็จะค่อยหดหายไป ชาวชนเผ่าส่วนใหญ่ 90 % ไม่อยากให้ตั้งเป็นอำเภอ เพราะอะไร คิดเอาเองครับ
.ผมมีรูปให้ดู
รูปที่ 19 วันชุมนุมชนเผ่า ยื่นข้อเรียกร้อง ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
คราวนี้ก็ขอจบแค่นี้ก่อน ...ผมมีรูปงานชุมนุมชนเผ่า (ชาวดอยทุกเผ่า) ที่หน้าทำเนียบเป็นเรื่องน่าคิดครับ
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 24/11/2012 9:51 am ชื่อกระทู้: ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม และเพื่อน สมช.สีสันชีวิตไทย ทุกท่าน
บทที่ 11 เกษตรสัญจรภาคพิเศษ ตอน ผู้สืบทอดเจตนารมณ์
มีเรื่องบนดอยมาเล่าให้ฟังต่อครับ
รูปที่ 1 ระยะนี้ เดือน พย. อากาศบนดอยเรียกว่าเพิ่งจะเริ่มหนาว ถ้าหนาวจัดต้อง ธันวา มกรา เวลาดึก ๆ ออกมา ฉี่ แทบจะต้องเด็ดทิ้ง....นี่ขนาดเพิ่งจะเริ่มหนาวนะครับ อย่าว่าแต่คนเลย ดูนกซีครับ หายใจออกมาควันออกปากก็แล้วกัน
รูปที่ 2 มองจากยอดดอยลงมา หมอกหนาทึบมองไม่เห็นพื้น ทำไมหมอกไม่อยู่บนยอดดอย มาอยู่กลาง ๆ ดอย ....เป็นเพราะความร้อนจากดินขึ้นมา มาเจอความเย็นจากยอดดอย จะมาพบกันที่ครึ่งทาง อย่าลืม หรือจำได้หรือเปล่าว่า ระหว่างทางขึ้นมาที่ปาย ประมาณ กม.ที่ 42 หรือ43 จะมีบ่อน้ำร้อน โป่งเดือด ร้อนขนาดต้มไข่สุก และก่อนถึงปายประมาณ 10 กม. จะมีบ่อน้ำร้อนท่าปาย ร้อนขนาดหนังลอกก็แล้วกัน แสดงว่ามีแนวภูเขาไฟที่ยังไม่ระเบิดอยู่ใต้ดินครับ
รูปที่ 3 บนดอยเรียกว่า ตูบน้อยคอยรัก อีสานเรียกว่า เถียงนา แต่อันนี้ใหญ่กว่า เอาไว้สำหรับ คนที่ออกมาทำไร่ทำนาใช้เป็นที่นักพักผ่อนหลับนอน กินอาหาร นั่งเสวนากัน และที่สำคัญ ตอนกลางคืนใช้เป็นที่พักสำหรับคนเดินทางต่างถิ่นแดนไกลที่ผ่านไปผ่านมา และไม่มีคนรู้จักในหมู่บ้านที่จะขอเข้าไปพักพิง เป็นการเอื้ออาทรด้วยน้ำใจ ...
มันเข้าตำราโบราณของไทยที่ว่า ศาลา นารี วิถี คงคา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ นารีตรงนี้หมายถึงหญิงที่ยังไม่แต่งงานนะครับ ใครจะชอบใครจะจีบก็ได้ ใครโชคร้ายก็ได้ไปครอง
รูปที่ 4 สามคนนี้นั่งกินอาหารอย่างมีความสุข ....ตูบ หรือศาลาหลังนี้สร้างเสร็จใหม่ ดูไม้ท่อนที่นำมาทำยังสดใหม่ ไม้แบบนี้ ทำเสาบ้าน ทำคานพื้นกระท่อม ดี๊ดี เหนียว ทน ต้นตรง ใบคล้ายใบตองตึง แต่เล็กกว่า โตขนาดเสาเข็ม 3.5 นิ้ว โตที่สุดไม่เกิน 6 นิ้ว เค้าเรียกชื่อต้นอะไรผมก็ลืม ผมอยากด๊ายอยากได้ แต่ขนมาไม่ได้ ให้ใช้ได้ในพื้นที่ แบบไม่สนภูเขา ก็เลยสร้างกระต๊อบเอาไว้นั่งเล่น นอนแล่นที่ปายนั่นแหละ
หน้าเทศกาลชาวบ้านจะสร้างขึ้นหลายหลัง หลังคามุงแฝกหรือหญ้าคา ตั้งเป็นหย่อม ๆ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว อยู่ฟรีก็จริง แต่ปัจจุบัน เค้าจะมีตู้รับบริจาค (บางคนก็ให้มากน้อยตามกำลัง แต่บางคนก็เมิน) พื่อขอน้ำใจสำหรับ
1. ค่าเก็บกวาดขยะและขวดเหล้าเบียร์ที่คนกรุงทำตัวว่า กูเป็นผู้ดี แต่สันดานทราม ทิ้งเอาไว้
2. เพื่อเป็นค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน
3. หลังหมดหน้าเทศกาลแล้ว ตูบพวกนี้เอาไปทำอะไร เค้าก็รื้อเอาไม้ไปทำประโยชน์อย่างอื่นซีครับ
และคนที่เข้าพักจะกินเหล้าเมายาไม่ว่ากัน อย่าส่งเสียงดังหรือเคาะกะโหลก ตีกะลา ทำลายความสงบเงียบทำให้บรรยากาศเสียสมดุล เป็นเรื่องเลยนะ
เรื่องศาลาสำหรับคนเดินทางนี้ ไฮโซอยู่ไม่ได้ครับ ต้องโรงแรมไม่ก็เกสต์เฮาส์ และถ้าเป็นบรรยากาศใกล้อำเภอ ขนาดกางเต็นท์นอนยังเสียเงิน (เลยว่ะ)
และในช่วง High Season แบบนี้ ศาลานี้ใครมาก่อนจองได้ก่อน ..ถ้าทีมของคุณมีน้อยคน ทีมอื่นจะมาอาศัยด้วยย่อมได้ แต่ห้องน้ำ ....กลางทุ่ง การอาบน้ำ ถ้ามีบ่อน้ำใกล้ ๆ ก็โชคดีไป แต่ส่วนมากจะมีบ่อเล็ก ๆ พอใช้น้ำได้
และขอบอก ถ้ามีสองทีมงานมาอยู่ร่วมกัน อย่ามาแสดงความเป็นเจ้าของ หรือทะเลาะกันให้กะเหรี่ยงเห็นหรือได้ยินเป็นอันขาด
1. สถานเบา โดนอัปเปหิให้ออกจากสถานที่ทันที
2. สถานหนัก .....สงบเงียบแบบไร้ร่องรอย
รูปที่ 5 6 อาหารป่าแบบง่าย ๆ ปลาในน้ำเหมือง(ลำธาร) เผา น้ำพริกกะเหรี่ยงตำมาแห้ง ๆ เอาน้ำใส่เป็นน้ำจิ้มได้เลย ผักหญ้าหาเอารอบศาลาที่พัก ตามด้วยปูภูเขาเผา สองตัวนี้แผ่นปิดใต้ท้องเล็กเป็นปูตัวผู้ครับ ถ้าปูตัวเมีย แผ่นปิดใต้ท้องจะใหญ่ ปูภูเขาเนื้อแน่น เปรียบเหมือนสาวกะเหรี่ยง ปูเนื้อแน่น แน่นแค่ไหน แน่นคับกระดองยังไงล่ะคุณ
รูปที่ 7 ของหวานล้างปากหลังอิ่มข้าว ...พืชผักผลไม้ กะเหรี่ยงไม่เคยหวง อยากได้อยากินขอได้เลย อย่าขโมยหรือหยิบฉวยเอาเอง กะเหรี่ยงไม่ชอบ บอกได้แค่นี้แหละ ขึ้นชื่อว่าการลักขโมย ใครที่ไหนก็ไม่ชอบนะครับ
รูปที่ 8 เค้าเรียกประตูป่า หรืออะไรซักอย่าง สำหรับเป็นทางให้เทวดาผ่าน เด็กสองคนพี่น้องนี้ กำพร้า พ่อแม่ไปทำงานแล้วหายสาบสูญ ปัจจุบันอยู่กับญาติ เค้านำดอกไม้มาบูชา เพื่อขอพรต่อเทวดาและสายน้ำ ขอให้พาพ่อแม่เค้ากลับมาด้วยเถิด (ที่รู้เพราะ คนส่งรูปเค้าบอก จะเห็นช่อดอกไม้เสียบอยู่บนกองดิน) ก็ขอภาวนาให้เค้าพบพ่อแม่สมดังคำภาวนาในเร็ววันด้วย ....จะยากดีมีจน อยู่กับใครก็ไม่อบอุ่นเหมือนอยู่กับพ่อกับแม่
เรื่องนี้ผมรู้ดี เพราะผมเลี้ยงหลาน ลูกของน้องสาวไว้คน
คนนี้แหละครับ เลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ ผมเป็นลุง แต่มันเรียกผมพ่อ ตามลูกของผม เวทนามันครับ ไปไหนไปด้วย....กัมมุนา วัตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนเกิดมาด้วยผลของกรรม
พ่ออยู่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางอ่าวไทยโน่น แม่เดินสายขายของงาน ธงฟ้า เหนือจรดใต้ แทบไม่มีวันหยุด ที่ผมเคยบอกว่า ผมไปอีสานก็ไปกับแม่มันนี้แหละ
...เวลาพ่อแม่มันมาหา มันดีใจสุดๆ ไม่สนเราเลย มันเป็นธรรมชาติครับ และมะม่วงในจานที่มันถือ (เมื่อ 22 เมย. 55) ด้วยความอนุเคราะห์จากคนชื่อ คิม ซา กัสส์ ที่หน้ามหิดล ลูกขนาดนี้ เมล็ดที่เห็นในจาน เป็นซากจากที่มันกินเหลือ คนเดียวกินหมดลูก ที่เหลืออีก 1 ลูกมันบอกว่า ..พ่อเก็บไว้ให้หนูนะ อร่อยมาก ๆ เลย ....
เสียงลูกสาวแหวมาเลย ....เฮ่ย ๆๆ เจได ตัวกินหมดไปลูกแล้ว พี่ยังไม่ได้กินเลยนะ ...50 / 50 เด้ ....
คราวนี้เป็นเสียงผมบ้าง... หาร 3 โว๊ย (กรู คนเอามาเพิ่งได้ดูดเนื้อติดเมล็ดไปจิ๊ดเดียวเอง)....ลุงคงชื่นใจนะครับ ได้บุญหลาย ๆ เด๊อ
รูปที่ 9 10 ปี่กะเหรี่ยง ถ้าทำสาม - สี่ อันเอามาเรียงกันแล้วเป่าจะเป็นเสียงเพลงได้ไพเราะดีไม่น้อย สำหรับผม เคยลองเป่า ๆ เสียงที่ออกคงจะเป็นทำนอง เป่าเรียกผีหรืออย่างไรไม่รู้ เพราะเป่าทีไรหมาหอนทุกที
รูปที่ 11 อยู่ในสิ่งแวดล้อมด้วยธรรมชาติ ย่อมจะมีธรรมชาติเป็นอาหารตา ผีเสื้อแสนสวย(ความจริงตัวแสบ)กับดอกไม้ ดอกอะไรลืมชื่อ นึกไม่ออกติดอยู่ที่ริมฝีปาก
รูปที่ 12 ไม้กระดกอันนี้ เล่นกันยันลูกบวชเลยคุณเอ๊ย เผลอ ๆ อยู่ไปยันลูกของลูกไอ้เจ้าคนที่กำลังเล่นโน่นแหละ อาจจะไปถึงหลานซะด้วยซ้ำ ความสุขความสนุกของเด็กทุกหมู่เหล่ามีเหมือนกันครับ
รูปที่ 13 นี่และครับคือการสืบทอดเจตนารมณ์ ที่คนกรุงคงไม่มีแน่ ๆ แต่มีเป็นอย่างอื่น...เด็ก ๆ ช่วยกันเกี่ยวข้าวในแปลงนาของโรงเรียน ปลูกกันเอง ดูแลกันเอง เกี่ยวกันเอง ดูจากรวงแล้วอาจจะบอกว่า ไม่เห็นจะมีข้าวซักเท่าไหร่เลย....คุณครับ อันนั้นไม่ใช่เป้าประสงค์ แต่สิ่งที่ชุมชนต้องการ คือ ให้ไอ้เจ้าตัวเปี๊ยกพวกนี้ได้เรียนรู้ ว่าการปลูกข้าว ทำยังไง การดูและข้าว ทำยังไง การเกี่ยวข้าว ทำยังไง เป็นการให้เด็กได้เรียนจากของจริง นี่คือการสืบทอดเจตนารมณ์ เมื่อเค้าทำบ่อย ๆ เมื่อโตขึ้น เค้าจะรู้ได้เองว่า ทำยังไงถึงจะดีที่สุดเพื่อให้ได้ข้าวจำนวนมาก ....เหมือนอย่างเพื่อนกะเหรี่ยงในเกษตรสัญจร 2 เค้าได้รู้แล้วว่า การหยอดข้าวแบบห่าง ๆ จะใช้เมล็ดพันธุ์น้อยลง แต่จะได้ผลผลิตมากกว่า เมื่อควบคุมหญ้าไม่ให้ขึ้น
ในแปลงนาได้ การหยอดห่างข้าวจะแตกกอดี ต้นจะใหญ่ขึ้น รวงก็จะมากขึ้น มันก็จะได้ผลผลิตมากขึ้น
รูปที่ 14 15 ตัวแค่นี้ ทำได้แค่นี้ เมื่อเค้าโตพอรู้ความซัก 6 - 7 ขวบ ไม่อดตายแล้วครับ คุณเห็นแล้วอย่าคิดแต่เพียงว่า ดูแล้วน่ารัก แต่ให้มองลึกลงไปกว่านั้นว่า ลูกของคุณ หรือแม้กระทั่งว่า ตัวคุณเองทำได้หรือเปล่า คุณคิดว่า มันทำยากมั๊ยเนี่ย (เห็นกระทะทองแดง เอ๊ย กระทะต้มข้าวหมู ที่เอามาต้มน้ำสมุนไพรขม ๆ สูตรพิสดารอยู่ใต้แกลลอนน้ำมันเครื่องสีเหลืองใช่นี่หว่า)
ดูแล้วทำไม่ยาก ที่ว่างหน้าบ้านจัดสรรทำได้สบาย ขุดดินทำให้เหมือนแปลงนากะเหรี่ยงคิดได้ยังไงครับว่า การขุดดินลึกเหมือนแปลงนา ทำให้การเก็บน้ำหรือทำให้ดินอุ้มน้ำดีกว่าพื้นเรียบ ๆ การฝึกคือเอาผักปลูกไปก่อน วันหน้าค่อยปลูกข้าว มีแม่คอยบอกคอยสอนอยู่ข้างหลังหนูเสื้อสีส้ม รดน้ำมากไปนะ รดน้ำน้อยไปนะ เด็กก็จะค่อยจดค่อยจำ ผักแปลงน้อย ๆ แค่นี้ เหลือกินครับ กินไม่ทัน กินไม่หมด เอาไปไหน ก็เอาไปตลาดซีครับ พวกผู้ดีตีนแดงทำอะไรไม่เป็นมีแยะ ซื้อลูกเดียว ผมคิดว่านะ ถ้าเกิดวิกฤต เกิดสงคราม ข้าวยากหมากแพง เด็กกรุงเทพ โดยเฉพาะ เด็กคอนโด เด็กไฮโซ จะกลายเป็นเด็กโลโซ และเด็กอดโซ คุณจะไปหา KFC หรือหาอาหารสำเร็จรูปจากซูเปอร์มาเก็ตได้จากที่ไหน เวลาเกิดวิกฤต ฝรั่งมันเอาชีวิตรอด ถกตูดหนีกลับบ้านกลับเมืองมันไปแล้ว
รูปที่ 16 ร่วมด้วยช่วยกัน สารพัดผักปลูกในแปลงเดียวกัน หยิบฉวยถอนได้ทันที ไม่ต้องเดินไกลหลายแปลง
สิ่งต่าง ๆ ที่นำเสนอในเกษตรสัญจร เป็นสิ่งละอันพันละน้อย ให้เห็นชีวิตของผู้คนบนดอยที่ห่างไกล เงินบนดอยมีค่า แต่ถ้ามีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ เงินก็เก็บเอาไว้ทำอย่างอื่น น่าจะเป็นแนวคิดสำหรับคนติดดินได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ มีที่ดินน้อยปลูกผักใส่ถุง ใส่กระถางตั้งเรียงชิดติดกันเอาไว้ รดน้ำรดปุ๋ย ไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้ว ไม่เห็นยาก มีผักปลอดสารพิษกินเอง ปลูกแข่งกันกับคนในครอบครัว คอยลุ้นว่าเมื่อไหร่ของชั้นมันจะโต ปูเสื่อนั่งกินข้าวในวันหยุดข้างแปลงผัก เด็ดผักสด ๆ จากแปลงจิ้มน้ำพริก โอ๊ย ประหยัด มีความสุขจะตาย หรือใครว่าไม่จริง
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
wit สาวดอง
เข้าร่วมเมื่อ: 28/11/2012 ตอบ: 34
|
ตอบ: 29/11/2012 10:19 am ชื่อกระทู้: |
|
|
แอบเข้ามาอ่าน จบแล้วได้ความรู้และความคิดหลายๆอย่าง ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆนะครับ รอติดตามตอนต่อไปอยุ่เด้อครับ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 02/12/2012 6:31 pm ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร ภาค 1 บทที่ 12 สูตรอาหารกะเหรี่ยง |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม และเพื่อน สมช.สีสันชีวิตไทย ทุกท่าน
เกษตรสัญจรภาค 1 บทที่ 12 ตอน สูตรอาหารกะเหรี่ยงรสเด็ดจัดจ้าน
ผมได้สูตรอาหารบางอย่างมาจากเพื่อชาวกะเหรี่ยง ขอนำเสนอหากใครคิดอยากทำกินเอง จะลองดูก็ได้ แต่ถ้าสูตรกะเหรี่ยงแท้ ๆ
ต้องรสเด็ด เผ็ดจัดจ้าน เวลากินสบาย แสบร้อนปากหน่อย แต่เวลาถ่าย แสบก้นน้ำตาร่วง
1- น้ำพริกกะเหรี่ยง - มุซ่าโต่
มุซ่าโต่ ภาษากะเหรี่ยง แปลว่าน้ำพริก ซึ่งเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้เลย ทุกมื้อจะต้องมีรายการอาหารนี้ ก็เหมือนคนไทย ต้องมีน้ำพริก
กะปิ คนเหนือก็ต้องมีน้ำพริกอ่องหรือน้ำพริกหนุ่ม....
ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่า กินน้ำพริกแล้วจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีความอดทนสูง ทนต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลัง
ตามความเชื่อของบรรพบุรุษของกะเหรี่ยง ชาวกะเหรี่ยงจะจัดรายการน้ำพริกให้กับลูกหลานและฝึกให้ลูกหลานกินน้ำพริกตั้งแต่ยัง
เยาว์วัย ความเชื่อดังกล่าวจะแท้จริงประการใดนั้น ยังไม่มีลูกหลานกะเหรี่ยงคนไหนเลยที่จะปฏิเสธที่จะกินน้ำพริก หรือ มุซ่าโต่
เมื่อใดที่คุณมีโอกาสเข้าไปในหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงก็ลองสัมผัสกับรสของน้ำพริกกะเหรี่ยงดูนะครับ เสียวแสบก้นจัง อี๊ย์
ส่วนประกอบสำคัญของน้ำพริก มุซ่าโต่
1.พริกสดกะเหรี่ยง 10 เมล็ด (สำหรับผม 2 เมล็ดก็แสบก้นแทบแย่แล้วละครับ)
2.กระเทียม 1 หัว
3.หอมแดง 1 หัว
4.เกลือ 1ช้อนกาแฟ
5.ผงชูรส ครึ่งช้อนกาแฟ
6.ถั่วเน่าแผ่น 1 แผ่น
7.มะเขือเทศ 2 ลูก
8.ผักชีกะเหรี่ยง หรือ พอซิมึ และตะไคร้
วิธีทำ น้ำพริกหรือ มุซ่าโต่
1. นำพริกสด กระเทียม หอมแดง ถั่วเน่าแผ่น และมะเขือเทศ มาเผาไฟให้สุก
2. ทำตามขั้นตอนที่บอกนี้อย่าข้ามขั้นนะครับ
2.1 ใช้ครกตำเกลือเม็ดให้ละเอียด(ห้ามใช้เกลือป่น เกลือเม็ดคือเกลือทะเล เกลือป่นคือเกลือสินเธาว์)
2.2 นำพริกสด กระเทียม หอมแดง ถั่วเน่าแผ่น และมะเขือเทศ ที่เผาไว้แล้วนำมาตำให้ละเอียด โดยเอารายการที่บอกใส่ครกแล้ว
ตำเรียงตามลำดับ อย่าใส่มั่วเป็นอันขาด ถ้าใส่มั่ว รสจะเพี้ยน
เหมือนอย่างกับว่า คุณจะทำน้ำปลาพริกมะนาว เอาไว้จิ้มหรือคลุกข้าวกินหรือใส่ต้มยำ หรือใส่ยำทุกชนิด จำไว้เลยว่า....
ถ้าคุณตำพริก ตักขึ้นใส่ถ้วย เอาน้ำปลาใส่ลงไปก่อน แล้วบีบมะนาวตาม คุณจะได้รสน้ำปลาพริกมะนาวที่ ม ป ส ป ร ม ด (ไม่
เป็นสับปะรดหมา แด..ก.ไก่)
คุณจะต้องตำพริก แล้วใส่เกลือเม็ดลงไปนิดนึง(เกลือเม็ดนะครับ ห้ามเกลือป่น) ตักขึ้นใส่ถ้วย แล้วให้บีบมะนาวลงไปก่อน แล้ว
จึงใส่น้ำปลาตาม เปรี้ยวหรือเค็มนำชอบ จะทำน้ำจิ้มหรือปรุงรสต้มยำน้ำใสก็สูตรนี้แหละ ...
แล้วไอ้ต้มยำที่ใส่น้ำพริกเผา ใส่นมสดน่ะ ไม่รู้ว่าไปเอาสูตรมาจากไหน เพราะ(โคตร)พ่อแม่ปู่ย่าตายายของผมไม่เคยสอนว่า ให้ใส่
น้ำพริกเผาหรือใส่นมสด แต่ถ้าใส่พริกแห้งเผา แล้วฉีกใส่ต้มยำ แบบต้มโคล้งอันนี้ใส่ได้ น้ำแกงจะหอมกลิ่นพริกเผา
แล้วขอบอกเลยว่าน้ำพริกทุกชนิดถ้าจะให้อร่อย ต้องใส่ครกตำ ไม่ใช่ใช้เครื่องปั่น การใช่เครื่องปั่นกลิ่นของสารในเครื่องปรุงจะ
ไม่กระจายออกมาบางครั้งกลิ่นจะเหม็นเขียว แต่ถ้าใส่ครกตำ อันนี้แน่นอนว่า กลิ่นของเครื่องปรุงจะหอมฟุ้งตั้งแต่ยังไม่ได้แกง
3. ใส่ผงชูรสลงไป และโรยหน้าด้วยผักชีกะเหรี่ยง ...บางคนดัดจริต..ชั้นไม่กินไม่ใส่ผงชูรส ..กินก็ตาย ไม่กินก็ตาย สำหรับผมเอา
กินอร่อยไว้ก่อน ...นอกจากคนที่แพ้ผงชูรส ไม่ว่ากัน
4. ใช้ช้อนตักน้ำพริกออกจากครกใส่ถ้วย พร้อมรับประทาน โดยนำผักตามฤดูที่ลวกแล้วมาจี้มกินพร้อมกับข้าวสุกร้อน ๆ แซ่บใสย่ำซ่า
หมายเหตุ* คนที่ชอบกินตะไคร้อาจจะซอยตะไคร้ใส่ลงไปและตำพร้อมๆกับส่วนประกอบอื่นๆ
2. น้ำพริกกะเหรี่ยง อีกสูตรหนึ่ง (เครื่องปรุงสด ไม่เผานอกจากกะปิ)
เครื่องปรุง
กะปิเผา พริกขี้หนูแห้ง มะขามเปียก หอม กระเทียม เกลือ
วิธีทำ
โขลกกะปิ พริกขี้หนู หอม กระเทียมให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือกับน้ำมะขามเปียก
ตักใส่ถ้วย ใช้จิ้ม เนื้อ ปู กุ้ง ผักดิบ ผักสด
ผักดองก็ได้ แซ่บ ซ่า...
3 แกงไก่ใส่หัวบุก ..... "พอ ชอ เต่ ลอ คื่อ"
เครื่องปรุง
1. หัวบุกที่สับเป็นก้อนๆ
2. เนื้อไก่สับเป็นชิ้น
เครื่องแกง
1. ตะไคร้
2. กระเทียม
3. หอมแดง
4. ขมิ้น
5. พริกขี้หนูแห้ง
6. กะปิ
7. เกลือ
ปริมาณแล้วแต่ผู้ทำจะกะเอาเอง โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
วิธีทำ
1. ตั้งหม้อแกงเทน้ำมันลงนิดหน่อย
2. คั่วเครื่องแกงกับเนื้อไก่
3. พอได้ที่เทนํ้าลงไปพอปริมาณ
4. รอให้นํ้าเดือดใส่หัวบุกลงไปตั้งไฟให้ร้อนรอจนหัวปุกเปื่อยเป็นใช้ได้ ใครกินผงชูรสก็ใส่ลงไป ใครไม่กินก็ไม่ต้องใส่
4. แกงหางหวายใส่หมู.... "เง่ ข่า ดื่อ เดอ เทาะ ญ่า"
เครื่องปรุง
1. หางหวาย (กรุงเทพจะมีขายหรือเปล่า)
2. เนื้อหมู
เครื่องแกง
1. ตะใคร้ตัดเป็นท่อน ๆ
2. นํ้ามันพืช
3. พริกขี้หนู
4. กะปิ
5. เกลือ
6. ข่าที่ซอยเป็นชิ้น
7. ผักชี
นำเครื่องแกงทั้งหมดใส่ครกโขลก - ตำให้ละเอียด
วิธีทำ
1. ซอยเนื้อหมูให้เป็นชิ้น ๆ
2. ตั้งหม้อแกงเทนํ้ามันลงนิดหน่อย
3. คั่วเครื่องแกงกับเนื้อหมู
4. พอได้ที่เทนํ้าลงไปแล้วตามด้วยหางหวาย
5. ตั้งไฟให้ร้อนรอจนสุกแล้วโรยหน้าด้วยผักชี
5 แกงเย็นปลา... " ญ่า โพ จื่อ ที"
เครื่องปรุง
1. ปลาขาว(ปลาตะเพียน)จากแหล่งนํ้าธรรมชาติ
2. เกลือป่น
3. ตะไคร้หั่นเป็นท่อน
4. หอมแดงซอยเป็นชิ้น
5. ข่าซอยเป็นชิ้น
6. พริกแห้งลนไฟ
7. บะเกอะเออ (ทำมาจากผักกาดขมซอยตากแห้ง)
8. ลูกมะกอก
9. ใบผักชี
10. นํ้าเปล่า
วิธีทำ
1. นำปลามาย่างให้สุก
2. นำเครื่องปรุงที่เตรียมไว้คลุกให้เข้ากัน
3. ใส่เนื้อปลาลงไป
4. เติมนํ้าเปล่าลงไป
5. นำใบผักชี ที่ซอยมาโรยหน้า
6 - แกงเบือ ...."ต่า คอ พ้อ"
เครื่องปรุง
1. ข้าวสาร
2. หน่อไม้
3. หางหวาย
4. เนื้อไก่หรือเนื้อหมู
เครื่องแกง
1. กระเทียม
2. ตะไคร้
3. ข่า
4. ขมิ้น
5. กะปิ
6. เกลือ
โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
วิธีทำ
1. เอานํ้าใส่ลงไปในหม้อที่ตั้งไว้เทลงไปพอประมาณ
2. นำข้าวสารใส่ลงไปในหม้อแกง
3. ในระหว่างที่ต้มนํ้ากับข้าวสาร ตั้งกระทะอีกที่หนึ่งเทนํ้ามันลงไปนำเครื่องแกงที่โขลกคั่ว กับเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ที่เตรียมไว้
4. พอข้าวที่ต้มเริ่มเดือดนำเนื้อหมูที่คั่ว กับเครื่องแกงใส่ลงไปแล้วรอจนสุก
7 แกงข้าวคั่ว.... "ต่า เค่อ"
เครื่องปรุง
1. เนื้อไก่ หรือ เนื้อหมู
2. ข้าวคั่ว
3. ดอกงิ้ว
เครื่องแกง
1. กระเทียม
2. ตะไคร้
3. ข่า
4. ขมิ้น
5. กะปิ
6. เกลือ
โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้เข้ากัน
วิธีทำ
1. นำเครื่องแกงมาคั่วให้เข้ากัน
2. นำเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ใส่ลงไป
3. เมื่อคั่วเข้าที่แล้วเทนํ้าลงไปรอจนเดือด
4. ใส่ข้าวคั่วลงไปแล้วรอจนสุก
8 นํ้าพริกถั่วเน่า.... " มื้อซ่าโต่ทะน่อเคาะ"
เครื่องปรุง
1. ถั่วเน่า
2. พริกแห้ง
3. กระเทียม
4. เกลือ
5. ผักชี
วิธีทำ
1. นำพริกแห้ง กระเทียม เกลือ โขลกให้ละเอียด
2. นำถั่วเน่าคลุกให้เข้ากับเครื่องปรุงใส่นํ้าอุ่นนิดหน่อยโรยหน้าด้วยผักชี กินกับผักสดทุกชนิด
9 อาหารรับรองแขก(คนไทย) 1 ....แกงป่าไก่
10 อาหารรับรองแขก(คนไทย) 2 แกงเขียวหวานไก่
สองอย่างนี้ รสชาติเหมือนของไทย แต่หอมเครื่องปรุง ส่วนรสจัดจ้าน(เผ็ด)มาก ๆ อร่อยเข้มข้นด้วยกะทิ คนไทยตักคลุกข้าว
ช้อนเดียว คนกะเหรี่ยงคนละหนุบคนละหนับ แพล๊บเดียวเกลี้ยงหม้อ ไก่กะเหรี่ยง(ไม่ใช่ไก่ชนนะครับ)กินอร่อยครับ
อาหารที่แนะนำ อร่อยทุกอย่าง แต่มีที่คุ้นลิ้นคนไทยอยู่สองอย่าง ลำดับที่ 9 กับ 10 ครับ
11 เห็ดครับเห็ด สีสันสดใสมาก ถ้าไปเจอมันขึ้นแถวกอหญ้ากองฟาง คงไม่กล้าเก็บกิน เห็ดพวกนี้จะขึ้นเองกับหญ้าและ
ฟางเก่า ๆ คล้าย ๆ เห็ดฟาง อันนี้เค้าใส่กระทงขายกระทงละ ยี่ สิ บ่า เค้าบอกว่ากินอร่อย
ข้อมูลใหม่ยังไม่มาไม่ถึง ก็ขอนำเสนอเท่าที่มี เพียงแค่นี้ก่อนครับ
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 01/03/2013 9:02 am ชื่อกระทู้: Re: ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ |
|
|
DangSalaya บันทึก: | สวัสดีครับลุงคิม และเพื่อน สมช.สีสันชีวิตไทย ทุกท่าน
บทที่ 11 เกษตรสัญจรภาคพิเศษ ตอน ผู้สืบทอดเจตนารมณ์
มีเรื่องบนดอยมาเล่าให้ฟังต่อครับ
ผมติดค้าง ชื่อดอกไม้ดอกที่นำเสนอในรูปนี้ว่า เป็นดอกอะไร ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นดอกอะไร ดอกผักเสี้ยนฝรั่งครับ .....ผมได้เมล็ดจากเพื่อนมาแยะเลย มี 3 สี ม่วง ขาว ชมพู ....ปลูกที่ นครปฐมจะขึ้นมั๊ยเอ่ย....ต้องลองดู
รูปที่ 11 อยู่ในสิ่งแวดล้อมด้วยธรรมชาติ ย่อมจะมีธรรมชาติเป็นอาหารตา
ผีเสื้อแสนสวย (ความจริงตัวแสบ) กับดอกไม้ ดอกอะไรลืมชื่อ นึกไม่ออก
ติดอยู่ที่ริมฝีปาก
. |
ดูแต่รูป ไม่มีคำอธิบายนะครับ....
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 31/03/2013 9:46 pm ชื่อกระทู้: ข่าวจากยอดดอย |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ตอนที่ 12 มีข่าวคราวจากเพื่อนกะเหรี่ยงบนดอย...ส่งรูปมาให้ดูครับ
รูปที่ 1 รุ่งอรุณที่ยอดดอย บ้านวัดจันทร์
รูปที่ 2...
รูปที่ 3 บ้านเราร้อนตับแทบแตก...บนยอดดอย 18 องศาเซลเชียส
รูป 4
รูป 5
รูปที่ 4 - 5 ชาชาบอกว่า เป็นแปลงทดลองปลูกสตรอเบอรี่ที่โครงการหลวง บ้านวัดจันทร์ครับ
รูปที่ 6 ดอกอะไร....ไม่ทราบครับ
รูป 7
รูป 8
รูปที่ 7 - 8 แปลงนาข้าวในศูนย์ทดลองครับ
รูปที่ 9 มีคำบรรยายว่า .." กล้วยไม้ช้างเผือก ที่พ่อเอาไปฝากจากปายค่ะ "
รูปที่ 10 ....เอื้องสายที่บ้านค่ะ..
รูปที่ 11 แปลงทดลองกล้วยไม้ตัดดอกที่โครงการหลวง บ้านวัดจันทร์
รูปที่ 12 ...บ้านใหม่ของพี่โชเล่ที่พ่อออกแบบให้ค่ะ ทำคล้าย ๆ บ้าน "จันทร์สว่าง" ของพ่อ ที่ปาย ค่ะ...พี่โชเล่ชอบใจมาก บอกว่า อยู่สบายจริง ๆ รอแต่ว่า พ่อจะได้ขึ้นมาอีกเมื่อไรเท่านั้น....ทุกคนคอย ทุกคนคิดถึงค่ะ ....
รูปที่ 13 ดอกเอื้องสายบนต้นไม้หลังบ้านค่ะ....
ครับมีรูปส่งมาแค่นี้ ....เป็นการส่งข่าวจากยอดดอยให้คนอยู่นครปฐมได้รับรู้... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 11/04/2013 11:28 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ตอนที่ 12 มีรูปฝากจากบนดอยมาให้ดูกันก่อนจะถึงวันปีใหม่สงกรานต์ครับ
รูป 1
รูป 2
รูป 3
รูป 4
รูป 5
รูปที่ 1 5 บ้านของคนที่อยู่บนดอย ซึ่งมักจะถูกจับข้อหา ตัดไม้ทำลายป่า เพราะเอาไม้มาสร้างบ้านเพียงเท่าหลังที่เห็น 1 ครอบครัวก็จะตัดไม้มาทำบ้านเพียงครั้งเดียว ก็อยู่กันไปจนกว่ามีจะผุพัง ซึ่งก็จะซ่อมแซมกัน จนซ่อมไม่ไหวถึงที่สุดนั่นแหละจึงจะมีการตัดไม้มาทำกันใหม่
ขึ้นชื่อว่าบ้าน มันอยู่กันมาจนชิน แม้จะหลังเล็กนิดเดียว แต่มันให้ความอบอุ่น ซึ่งแต่ละหลังตามในรูป อายุไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป....ตัดเอามาทำบ้านอยู่อาศัย มันทำลายป่าตรงไหนวะ
รูป 6
รูป 7
รูปที่ 6 7 เคล็ดลับของความอร่อยจากอาหาร มันอยู่ที่ภาชนะนี่แหละครับ...ผมพูดจริง ๆ นะครับ...อย่างกรณีถ้วยชงชา บางบ้านจะมีคราบชาจับจนออกสีคล้ำ ...ถ้าคุณไปบ้านใครแล้วเห็นถ้วยชาแบบที่ว่านี้นะ อย่าได้บังอาจไปล้างหรือขัดให้ขาวสะอาดเชียงนะครับ โกรธกันยันลูกบวชเลยแหละ ความอร่อยของชาในครั้งต่อไปมันอยู่ที่ใบชาและคราบดำ ๆ คล้ำ ๆ นี่แหละครับ.....และที่ท่าดินแดง ฝั่งธนบุรี...มีร้านเป็ดพะโล้อยู่ร้านนึง ...โคตรอร่อสุด ๆ ..กรทะที่เขาใช้ต้มเป็นพะโล้ เป็นกระทะทองแดง เก่ามาก ก้นกระทะจะมีน้ำที่เหลือจากต้มพะโล้เป็ดติดก้นไว้ประมาณ 2 ชามก๋วยเตี๋ยวใหญ่ ๆ ....เจ้าของร้านบอกว่า กระทะใบนี้เป็นของ ก๋ง อายุกระทะว่า 75 ปี น้ำพะโล้ในกระทะจะมีติดก้นอยู่อย่างนั้นไม่เคยแห้ง ไม่เคยล้าง ตลอดเรื่อยมาตั้งแต่ก๋ง
รูปที่ 8 แกะเอาเนื้อปู มันปู ก้ามปู(สับจนละเอียด) คลุกกับน้ำพริกเครื่องปรุงคล้าย ๆ ห่อหมก แล้วคลุกกับผักซอยชิ้นเล็ก ๆ ยัดใส่กระดองปู เอาขึ้นย่างไฟอ่อน ๆ เวลามันเดือดน้ำเครื่องปรุงหยดลงในไฟ เสียงดัง ฉี่ ฉ่า ควันที่ลอยขึ้นมาเข้าจมูก ลองขยายภาพดูชัด ๆ ซีครับ มันกำลังเดือดเป็นฟองปุด ๆ ..โฮ้ย เจ้าประคุณลุนช่อง มันหอมจนน้ำลายไหล แต่ขอโทษ พริกกะเหรี่ยงมันโคตรเผ็ด รสจัดจ้าน
รูปที่ 9 การสืบทอดวิธีการทำอาหารจากรุ่นสู่รุ่น ...ยายสอนหลานว่า ตำขนมจีน แบบไหนถึงจะอร่อย ...ยังไง ๆ คนที่เหยียบกระเดื่องอย่าปล่อยลงมาตอนนี้ล่ะ
รูป 10
รูป 11
รูปที่ 10 11 กรรมวิธีในการสกัดน้ำสมุนไพรจากข้าวที่หมัก เพื่อให้ออกมาเป็น...ตาตั๊กแตน ชนิด พ่นไฟติด ...เพียง 1 จอกเล็ก ๆ เมื่อผ่านริมฝีปากมันจะร้อนซ่าจากปลายลิ้น ร้อนวาบผ่านลำคอลงสู่กระเพาะ มันร้อนจนคุณสัมผัสได้เลยก็แล้วกัน จิบน้ำชาร้อน ตบตูด ความอบอุ่นจะแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายภายในไม่กี่วินาที.... แต่ถ้าเอามาจิบที่กรุงเทพฯตอนนี้นะครับ ไม่วัดโสม ก็วัดธาตุทอง หรือวัดไหนก็ได้ใกล้บ้านคุณ....
รูปที่ 12 คำพังเพยที่ว่า ฝอยจนลิงหลับ คงไม่จริงซะแล้ว ....ไอ้เจ้าตัวนี้ มันแอบกินน้ำสกัดสมุนไพรจากข้าวเข้าไป ไม่ต้องฝอยก็หลับได้(คาขวด)เหมือนกัน.....
รูปที่ 13 หัวขิงอ่อน ดอกขิง ต้นขิงอ่อน รวมไปถึงดอกข่าอ่อน และต้นข่า เป็นสมุนไพรที่ให้ความอบอุ่นต่อร่างกายที่ขาดไม่ได้ครับ
รูป 14
รูป 15
รูปที่ 14 15 เห็นตับเต่าขาว หรือเห็ดตีนแร่ด ดอกใหญ่แค่ไหน เทียบกับคนที่นั่งดูเอาเองครับ ถามว่ากินอร่อยมั๊ย ...ไปลองเสาะหามากินดูแล้วคุณจะรู้ได้ด้วยตัวคุณเองว่า ความอร่อยมันล้ำลึกแค่ไหน....
ขออนุญาตประชาสัมพันธ์นิดนึง ลุงคิมคงไม่ว่า เพราะเป็นของหน่วยราชการ
ก้อนเชื้อเห็ดตีนแรด (เห็ดจั๋น หรือเห็ดตับเต่าขาว) สอบถามได้ที่ สาขาพืชผัก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 053 - 873380 - 053-878596
รูปที่ 16 เห็ดห้า หรือบ้านเราเรียก เห็ดตับเต่า อาหารโปรดและมีราคาของคนเหนือและคนดอย...มันอร่อยตรงไหนผมไม่รู้ เพราะผมไม่ชอบ มันลื่น ๆ บอกไม่ถูก
รูปที่ 17 ต้องนี่ครับของจริง เห็ดโคนป่า ...ดอกเดียวกินได้ทั้งหมู่บ้าน...จะใช้หม้อ ไซส์ไหนต้มได้หมดครับเนี่ย
รูปที่ 18 .. ไม่ใช่ฟืน ไม่ใช่หลัว(ภาษาเหนือแปลว่า ฟืน) ให้ทายคงทายไม่ถูก ...หนังควายตากแห้ง เตรียมเอามา จี่ (เผา) เผาจนดำปี๋ เอาแช่น้ำ พอนิ่ม ๆ ก็ขูดเอาที่ไหม้ดำ ๆ ออก ลักษณะจะเหมือนขาหมูเผา แล้วขูดที่ไหม้ ๆ ออกนั่นแหละ ช้ำให้นิ่ม เอาไปทำอาหารได้หลายอย่าง ใส่แกง ยำ ....พูดแล้วก็เกิด กิเลส ติดที่ปลายลิ้น
รูปที่ 19 เรียบ ง่าย ไสตล์กะเหรี่ยง ..บุ๊ปเฟ่ต์ กลางดง กลางดอย ....ยี๊...สกปรก....เออน่า ขออย่าให้ไปติดน้องฝนอยู่บนดอย ก็แล้วกัน คุณจะหิวจนไส้กิ่ว ท้องแขวน ไม่กินก็ไม่มีใครเค้าว่า หมดแล้วหมดเลย ไม่มี Spare.
รูปที่ 20 น้ำพริกส้มมะขามเปียกใส่ปลาร้าปลาหมอทั้งตัว... ปลานิลทาเกลือนึ่ง ...ผักลวก ...แค่นี้น่ะเหรอ....แค่นี้แหละครับอย่าให้ Said
รูปที่ 21 ..มาพูดยั่วน้ำลายอยู่ได้...ไปไหนกันหมด กรูหิวแล้วโว๊ย....
รูปที่ 22 อยากกินก็ตัดเอาเลย มีดวางไว้ให้แล้ว แต่ห้ามตัดทั้งเครือนะ เหลือไว้ให้คนอื่นมั่ง ....นี่คือ สังคมแห่งการแบ่งปัน(ของจริง)ครับ ไม่ได้โพสต์เพื่อจะถ่ายรูปมาโชว์ ดูรอยที่ถูกตัดเอาไปกินก็ได้
รูปที่ 23 ทางสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับด้วยดอกไม้ หอมยวนชวนจิตไซร้ ไป่มี ...ใครเป็นสถาปนึก ใครเป็นวิศวเกิน ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากที่คนดอยจะทำกันเอง
รูปที่ 24 แม้จะทำนาขั้นบันได แต่คนดอย ก็ไม่โง่ที่จะปลูกข้าวอย่างเดียวหรอกครับ อันนี้คือ พื้นที่ปลูกผักแบบขั้นบันไดข้างแปลงนาบนดอย เอาไว้กินเองของชุมชน ใครก็มาเก็บได้ การเก็บไปเพียงเพื่อกิน มื้อละสองกำมือต่อครอบครัว ก็กินไม่หมดแล้วมั๊งครับ
รูปที่ 25 อย่าคิดว่า 1 วันในเมืองกรุงจะมี 3 ฤดู บนดอยก็มีครับ ..ฝนตก...แดดออก....หมอกลง...
รูปที่ 26 ไม่มีอะไรที่คนบนดอยทำไม่ได้ ...เฮดเดอร์ รุ่น อนุรักษณ์ ธรรมชาติ เสียงคงไม่แพ้ Formular 1
รูปที่ 27 สูตั้งเรียนให้เก่ง ๆ นะ จะได้ไปอา รถไฟความเร็วสูงมาขนผักจากบ้านเฮาไปขายเมืองกรุง ปู๊นนนนนน.............
รูปที่ 28 ..นี่แหละครับของจริง สี่ตีนเดินมา หลังคามุงกระเบื้อง มันขึ้นไปทางไหนวะนั่น
รูปที่ 29 ตู้น้ำเย็นธรรมชาติ รูปนี้ถ่ายที่วัด แหง๋ ๆ
รูปที่ 30 สุภาษิตกะเหรี่ยงบอกว่า... อยู่อย่างจน จะไม่มีวันจน.. ตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงเด๊ะเลย....อยู่อย่างพอเพียง ....
รูปที่ 31 ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ...ไก่มันมีเดือยที่แข้ง ...แล้วเดือยงู มันอยู่ตรงไหนครับลุ๊งงงง
ดูแล้ว เอาไปแทงหวยนะครับ ของหาดูได้ยาก(มาก ๆ )
คงจะมีต่อนะครับ
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11656
|
ตอบ: 12/04/2013 6:34 am ชื่อกระทู้: |
|
|
DangSalaya บันทึก: |
รูป 14
. |
ที่มาของเรื่อง :
จาก : (02) 885-4141
ข้อความ : ฉันใช้ ไบโออิ ไทเป ยูเรก้า อย่างละ 1 ฝา เอ็ม 150 ผสมน้ำ 1.5 ล. กระบอกฉีดน้ำในสวน ฉีดให้กับเห็ดภูฐาน ตอนเย็น วันเว้นวัน เห็ดออกดอกมาก ดอกใหญ่ เนื้อหนา คนกินบอกมาว่า กินเห็ดภูฐานของฉันแล้ว หน้าอกใหญ่ขึ้น ลุงคิมคิดว่า เพราะฮอร์โมนตัวไหนในปุ๋ย 3 สูตรนี้ ที่ทำให้หน้าอกใหญ่ ฉันไม่กล้าบอกใคร เขาจะหาว่าลามกคะ ....
สมช.สายวิทยุ สภาพสตรี โทรมา (ฟังน้ำเสียงแล้ว เหมือนว่ามีอายุอยู่สักหน่อย) ส่งข่าวมาเล่าให้ฟังว่า..... เธอเพาะเห็ดภูฐาน แล้วใช้ "น้ำ 1.5 ล. (ขวดน้ำดิ่มทำเป็นฟ็อกกี้ฉีดพ่นน้ำ) + สหประชาชาติ" (ไบโออิ 1 ฝา เอ็ม 150 + 1 ไทเป 1 ฝา เอ็ม 150 + ยูเรก้า 1 ฝา เอ็ม 150) ฉีดใส่ดอกเห็ด ตอนเย็น วันเว้นวัน ดอกโต ดอกใหญ่ เนื้อหนา น้ำหมักดี รสชาดดี ดอกดก รอบเก็บมากขึ้น .... น้องสาว 1 คน กับคนซื้ออีก 1 คน กินเห็ดภูฐานเจ้านี้แล้ว "อกใหญ่ อกโต เต่งตึง อวบอั๋นอึ๋ม" ขึ้นมาเห็นชัด....
เรื่องนี้ เท็จ/จริง ไม่สำคัญ.... วิเคราะห์แบบหมอโบราณ ท่านบอกว่า ได้ผลเพราะลางเนื้อชอบลางยา....ไม่ได้ผลเพราะไม่ถูกกับยา .... ที่แน่ๆไม่เป็นอันตราย
ประสบการณ์ตรง :
- ที่พนมสารคาม ฉะเชิงเทรา .... ใช้ "น้ำ 20 ล. + ยูเรก้า 1.5-2 ซีซี." ให้กับเห็ดฟาง ตอนเย็น วันเว้นวัน เห็ดฟางดอกใหญ่ขนาดกำปั้นมือ ดอกตูม ดีด้วย
- ที่เชียงราย.... ใช้ "น้ำ 20 ล. + ยูเรก้า 1.5-2 ซีซี." ให้กับนางรม ตอนเย็น วันเว้นวัน เห็ดนาฟ้าดอกใหญ่ขนาดฝาบาตร
หมายเหตุ :
ส่วนผสมใน ไทเป. ไบโออิ. ยูเกร้า. ล้วนแต่เป็นสารอาหารสำหรับต้นไม้ต้นพืชนี่นา แล้วเห็ดก็ใช้สารอาหารตัวเดียวกันนี้ด้วยเหรอ
นี่ไงที่ว่า ก. จะเผาตำราทิ้งซะให้หมด เพราะมันนอกตำราจนไม่รู้จะนอกขนาดไหนแล้ว .... ว่ามั้ย
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 12/04/2013 7:18 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
kimzagass บันทึก: | DangSalaya บันทึก: |
รูป 14
. |
ที่มาของเรื่อง :..........สมช.สายวิทยุ ...."น้ำ 1.5 ล. (ขวดน้ำดิ่มทำเป็นฟ็อกกี้ฉีดพ่นน้ำ) + สหประชาชาติ" (ไบโออิ 1 ฝา เอ็ม 150 + 1 ไทเป 1 ฝา เอ็ม 150 + ยูเรก้า 1 ฝา เอ็ม 150) ฉีดใส่ดอกเห็ด ตอนเย็น วันเว้นวัน ดอกโต ดอกใหญ่ เนื้อหนา น้ำหมักดี รสชาดดี ดอกดก รอบเก็บมากขึ้น .... น้องสาว 1 คน กับคนซื้ออีก 1 คน กินเห็ดภูฐานเจ้านี้แล้ว "อกใหญ่ อกโต เต่งตึง อวบอั๋นอึ๋ม" ขึ้นมาเห็นชัด....
เรื่องนี้ เท็จ/จริง ไม่สำคัญ....สำคัญที่ ..ผู้หญิงกินเห็ดพ่นด้วยสูตร สหประชาชาติ แล้ว อกใหญ่ แล้วถ้าผู้ชาย อกสามศอก กินแล้ว อึ๋ม จะใหญ่ขึ้นหรือป่าวครับลุง จะได้เปลี่ยนจากกิน ไวอากร้า มากินเห็ด หุหุ....
. |
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
pimmy หนาวดึ่ง
เข้าร่วมเมื่อ: 27/03/2013 ตอบ: 7
|
ตอบ: 17/04/2013 4:56 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เรื่องทิดเขียนอ่านสนุกมาก ป้าชอบ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 22/04/2013 11:25 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
pimmy บันทึก: | เรื่องทิดเขียนอ่านสนุกมาก ป้าชอบ |
ถ้าป้าพิมอยากดูและศึกษาวิธีการที่กะเหรี่ยงปลูกข้าวบนดอย กรุณาดูจาก เกษตรสัญจรภาค 2 ครับ
นอกจากนี้ เกษตรสัญจร ทุกภาคจะมีเกร็ดแปลก ๆ สิ่งละอันพันละน้อย สอดแทรกเอาไว้ ...บางเรื่องอาจจะไร้สาระ แต่บางเรื่องก็มีประโยชน์นะครับ
และบางกระทู้ เช่น 2879, 2936 และ 2945 ...ทำใช้เอง ผสมคู่กันกับ 30-10-10 ของลุงคิม รับรอง ไปโลด ...นอกจากนี้ ถ้าอยากฟังเสียงลุงคิมที่ออกอากาศทางรายการวิทยุไปแล้ว ไปเปิดฟังได้ที่กระทู้ 3267 ครับ
ขอบคุณ แต่อย่าชม กรุณา ติ เพื่อจะได้แก้ไขให้สมาชิกได้รับประโยชน์มากที่สุด
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
noo-ring สาวดอง
เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013 ตอบ: 64
|
ตอบ: 22/08/2013 11:48 am ชื่อกระทู้: ไม่มีรูปลงให้ดูต่อหรือจ๊ะ |
|
|
สวัสดีจ้าลุง พี่ทิดแดง
สาวกะเหรียงบนดอย ไม่มีรูปสวย ๆ ส่งมาให้ลงต่อหรือจ๊ะ ......พี่ตุ๊ดตู่บอกว่า พี่ทิดขึ้นดอยเพิ่งจะกลับลงมา ....สงสัยว่าจะ แอบไป ต่อตีน ต่อมือ ต่อแข้งต่อขา มาหรือเปล่าจ๊าาาาาา.....หุหุ... |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
DangSalaya หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011 ตอบ: 1864
|
ตอบ: 28/08/2013 11:51 am ชื่อกระทู้: เกษตรสัญจร 1 กะเหรี่ยงปลูกข้าวบนดอย |
|
|
สวัสดีครับลุงคิม...และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
เกษตรสัญจร 1 กะเหรี่ยงปลูกข้าวบนดอย
ตอนที่ 13 กะเหรี่ยงดอยเข้ากรุง ครั้งหนึ่งในชีวิต
มาแล้วครับ ตามคำเรียกร้อง (หลังไมค์) ..คือว่า เกษตรสัญจรชุดนี้ ถ้าคนบนดอยเค้าไม่ส่งข้อมูลให้ผม ๆ ก็ไม่มีอะไรจะเขียนลง ถือว่าเป็นการคุยกัน เป็นการเล่าสู่กันฟัง จะว่ามีสาระก็มี จะว่าไม่มีสาระมันก็มี ....นานาจิตตังครับ
ในเกษตรสัญจร 3 บทที่ 12 ตอนที่ 1 ผมได้เกริ่นเรื่องไว้ว่า ขาไปมี 5 คน ขากลับกลายเป็น 6 คน คนที่เพิ่ม 1 คนในขากลับก็คือ ชาชา น้องสาวเจ้าโชเล่ เพื่อนกะเหรี่ยง ขอถือโอกาส ติดรถลงมาเที่ยว กรุงเทพฯ ด้วย.....
ชุดนี้ เป็นเรื่องเล่า ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต ของเด็กสาวกะเหรี่ยง บนดอยสูง เรียนจบ ปวส. ได้ทำงานที่ อบต. บ้านวัดจันทร์ แล้วก็มีโอกาสมาเที่ยว กทม. โดยมาพักทั้งที่ กรุงเทพฯ และ นครปฐม
เนื่องจากเป็นการเล่าสู่กันฟังเมื่อ ชาชา มาเที่ยวกรุงเทพฯ กลับไปแล้วส่งรูปมาให้ผมทางอีแมว พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ ภาษาและตัวหนังสือที่ใช้จึงเป็นภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน
ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผมขึ้นไปชุมชนกะเหรี่ยงบ้านวัดจันทร์ ผมไปพักที่บ้านเค้า อยู่นานจะเป็นเดือนมั๊ง ได้รับความสะดวกสบายทุกอย่างทั้งอาหารการกินและที่อยู่หลับนอน โดยเค้าไม่ยอมรับค่าตอบแทนใด ๆ จากผมแม้แต่น้อย มันเป็นเสมือนเค้าบอกว่า ผมให้เค้ามากกว่าที่เค้าให้ผม ก็เป็นในทำนองเดียวกันว่า เค้าให้ผมมากกว่าที่ผมให้เค้า...
..เมื่อเค้ามาพักที่บ้านผม (ทั้งที่กรุงเทพฯ และนครปฐม) ผมก็ต้องให้เค้าได้รับความสะดวกสบายทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน คนนำเที่ยวก็จะเป็น ผึ้ง ลูกสาว ตะรอน ๆ ตามประสาผู้หญิง...
ขากลับเค้าบอกให้จองตั๋วรถทัวร์ไปลงเชียงใหม่ เพื่อต่อรถขึ้นไปลงที่ปาย แล้วให้พี่ชายมารับที่ปาย .....ปกติผมจะจองตั๋วรถทัวร์ของนครชัยแอร์ ซึ่งไม่ยาก โทรศัพท์จอง บอกรายละเอียดตามที่เค้าถาม เค้าจะบอกว่าเราจะต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง แล้วเราก็ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ เซเว่น บอกข้อมูลให้พนักงาน เค้าก็จะออกสลิปมาให้ เก็บสลิปอันนั้นไว้ให้ดี เพราะสลิปนั้นคือตั๋วสำหรับใช้เดินทาง วันเดินทางไปบอกรายละเอียดตามที่เราแจ้งที่ห้องจำหน่ายตั๋ว เพื่อยืนยันว่า เรามาแล้ว จากนั้นรอขึ้นรถ
แต่ผมกับผึ้งคิดกันว่า จะทำให้เป็นรายการ Surprise สำหรับ ชาชา คือควรจะให้เค้าได้รับบางอย่างที่ประทับใจ ที่เรียกได้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เค้าคาดไม่ถึง ซึ่งเค้าจะจดจำไปเล่าขานกับหมู่ญาติไปอีกนานแสนนาน .....อย่างน้อยเป็นการตอบแทนน้ำใจที่พ่อ แม่ พี่ น้องของเค้า มีต่อผม....รายการ Surprise จะเป็นอะไร ติดตามไปก่อนครับ
เมื่อเค้ากลับไปถึงบ้านแล้ว ก็ส่งรูปกลับมาให้ผมผ่าน อีแมว มาเป็นกะตั๊ก ผมคัดเลือกรูปเพียงบางส่วนฝากมาให้เพื่อน ๆ ได้ดูกัน ถ้าผมต้องการคุยกับใคร ผมก็จะบอกไปทางอีแมวว่า ให้โทรกลับมาหา ผมโทรขึ้นไปไม่ได้ เพราะไม่มีสัญญาณ แต่เค้าโทรมาหาผมได้ เพราะเค้ายิงผ่านดาวเทียม .....โอ้หนอ 3 G ?
รูปที่ 1 ยามดึกที่นครปฐม ขณะที่เครื่องบิน ๆ ผ่านพระจันทร์.. เข้าใจถ่ายจริงๆ แฮะ...
เค้าบอกว่า ที่บ้านเค้า ไม่เคยมีใครได้เห็นภาพแบบนี้
รูปที่ 2 รุ่งอรุณฟ้าสางที่นครปฐม
(3)
(4)
รูปที่ 3 4 นกกวักตัวนี้เชื่องครับ ไม่กลัวคน เดินท่อม ๆ อยู่ในสวน มันก็ป้วนเปี้ยน
หากินของมันตามประสา ...ผมเคยบอกแแล้วว่า สวนผม ไม่ใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง
นกและแมลงที่เป็นประโยชน์แยะ มีคนแอบมาดักนก แอบมายิงนก ถ้าผมเจอ ผมไล่
ตะเพิดหมด ...นก แมลงพวกนี้เป็นเพื่อนผมครับ ช่วยจับหนอนจับแมลงร้าย ๆ กินหมด
รูปที่ 5 ดอกอะไรผมก็เรียกชื่อไม่ถูก เป็นไม้เลื้อย ขึ้นรกรุงรัง ปกติจะฟันทิ้ง
รูปที่ 6 มีอารมณ์สุนทรีเหมือนกันนะ...มีคำอธิบายว่า ...เป็นโน๊ตบุ๊คความเร็วสูงรุ่นใหม่ค่ะ
รูปที่ 7 มีคำอธิบายสั้น ๆ ว่า ...รักหมามากกว่าเมีย....เอากะกะเหรี่ยงซีเอ้า...สุด
แสบจริง ๆ เจ้า ชาชา
(8 )
(9)
(10)
รูปที่ 8 10 คงจะไปเที่ยววัดพระแก้วกันแน่ ๆ
รูปที่ 11 เที่ยววัดพระแก้วเสร็จ คงมาข้ามเรือที่ปากคลองตลาด แล้วมาเดินเที่ยว
เขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากหน้าวัดกัลยาณ์ มาถึงสะพานพุทธ ....ทำไมผมรู้ ....
ก็ผมเกิดที่นี่ บ้านผมที่กรุงเทพฯอยู่ใกล้วงเวียนใหญ่
รูปที่ 12 เค้าไปถ่ายมาจากมุมไหนไม่รู้นะ แต่ข้อความตามประกาศ มันกินใจดี
(13)
(14)
รูปที่ 13 14 มีคำอธิบายว่า ....ได้ยินจากข่าวว่า กรุงเทพฯรถติด ได้เห็นกับตา
จึงรู้ว่า ทั้งที่รถติด กับสาเหตุที่ทำให้รถติด(รูปที่ 14)เพราะอะไร...
รูปที่ 15 ยามย่ำสนธยา ...นกกาจะกลับคืนรัง ....มีคำอธิบายว่า ...กลับอยู่บ้าน
บนดอยดีกว่า....ฝีมือถ่ายรูปของกะเหรี่ยง ไม่เบาทีเดียว
(16)
(17)
รูปที่ 16 17 มีคำอธิบายว่า ...บ้านบนดอย มีแต่ความร่มรื่น ไม่เร่งรีบ เงียบสงบ
อากาศเย็นสบาย ถึงเวลา มีดอกไม้สวย ๆ ให้ดู มีเงินเท่าไหร่ ก็หาซื้อไม่ได้
รูปที่ 18 เค้าบอกว่า เป็นภาพที่เค้าประทับใจมาก.....ก็ไม่รู้ว่าเค้าไปถ่ายมาจาก
แถวไหน กระท่อมน้อยริมคลอง เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน
รูปที่ 19 เป็นของฝากจากเจ้าโชเล่ พี่ชายของ ชาชา ..ใส่กล่องห่ออย่างมิดชิด..
ชาชาบอกว่า พี่โชเล่ อาหล้า รี มาฝ่าอาปา (พี่โชเล่เอา
เหล้า รี มาฝาก)
.เราก็หลงดีใจ คิดว่าคงจะเอารีเยนซี่มาฝาก ...
แกะออกมาดู ทุกคน กร๊าก เลย จากเหล้ารี กลายเป็นเหล้าตราลิง ....
แสบจริง ๆ ...
....ชุดนี้ก็หมดแค่นี้ครับ....อาบูอือย่า
....ขอบคุณ (ที่ติดตามอ่าน) ยังมีต่อครับ.....
. |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|