ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป |
ผู้ส่ง |
ข้อความ |
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11657
|
ตอบ: 10/09/2010 9:28 am ชื่อกระทู้: แคนตาลูป........................ประสบการณ์ตรง |
|
|
การปลูกแคนตาลูป
แคนตาลูป เป็นพืชที่ชอบ อากาศอบอุ่นถึงร้อน อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับการเจริญเติบโต อยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับ การงอกของราก แคนตาลูป อยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส ความแตกต่างของ อุณหภูมิระหว่าง กลางวันกับกลางคืน มีอิทธิพลต่อ ความหวาน และคุณภาพของ แคนตาลูป ถ้าความแตกต่าง ยิ่งมากจะทำ ให้ความหวาน และคุณภาพยิ่งสูง แต่สภาพที่หนาวเย็น จะทำให้ผลแคนตาลูปไม่โต การเจริญเติบโตจะชะงัก แคนตาลูปเป็นพืชที่ ชอบแสงแดด ตลอดวัน ฉะนั้นในการเลือกพื้นที่ ปลูกควรเป็นพื้น ที่โล่งแจ้ง และไม่เคยปลูกพืช ตระกูลแตงมาก่อน ควรเป็นดินร่วน ปนทรายระบายน้ำ ได้ดี มีความเป็น กรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 6.0-6.8
การเตรียมเมล็ดพันธุ์และการหยอดเมล็ดแคนตาลูป
พื้นที่ปลูก 1 ไร่ เตรียมเมล็ดพันธุ์อัตรา 0-100 กรัม นำเมล็ดเมล็ดพันธุ์บรรจุลงในถุงพลาสติก หรือถุงซิบที่เจาะรูพรุน หรือถุงเน็ต ลงแช่ในน้ำสะอาดนาน 4-6 ชม. จากนั้นนำเมล็ดออกมาสลัดน้ำทิ้งใช้ผัาขนหนูที่เปียกพอหมาดๆ ห่อ และนำไปบ่มในอุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส โดยใช้หลอดไฟขนาด 40-60 W. บ่มนาน 24 ชม. เมล็ดแคนตาลูปจะเริ่มงอกรากยาวประมาณ 0.5 ชม. ก็สามารถนำไปหยอด ลงในถุงดินหรือถาดเพาะกล้าต่อไป
การเตรียมถุงดินสำหรับเพาะเมล็ด
ใช้ดินร่วน 2-3 บุ้งกี๋ ปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้ว 1 บุ้งกี๋ ปุ๋ย 0-46-0 กำมือ ผสมให้เข้ากัน กรอกลงในถุงพลาสติกขนาด 4 & times; 4 นิ้ว หรือ 4 & times; 6 นิ้ว โดยเจาะรูที่ก้นถุงทั้ง 2 ข้าง เพื่อระบายน้ำ และนำถุงดินไปวางเรียงในแปลงเพาะ ขนาดกว้าง 1.0-1.5 เมตร โดยวางเรียงประมาณ 12-15 ถุงต่อแถว จากนั้นรดน้ำถุงดินให้ชุ่ม นำเมล็ดที่งอกราก แล้วหยอดลงไปถุงละ 1 เมล็ด หลังหยอด 2-3 วัน เมล็ดจะเริ่มชูใบเลี้ยงขึ้นมา ช่วยแกะเอาเปลือกของเมล็ดออกด้วย รดน้ำต้นกล้าทุกเช้าเย็น อายุต้นกล้าที่เหมาะสม 10-12 วัน มีใบจริง 2-4 ใบ ก็สามารถย้ายลงปลูกในแปลงได้
การเตรียมแปลงปลูกแคตาลูป
ไถดินตากไว้ 1-2 อาทิตย์ จากนั้นไถพรวนให้ละเอียดทำการยกร่องแปลง โดยใช้ปุ๋ยคอก (ขี้ไก่ 800-1,000 กก./ไร่) ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 50 กก./ไร่ ฟูราดาน 2-3 กก./ไร่ ถ้าสภาพดินที่มี pH ต่ำ ควรใช้ปูนขาวอัตรา 100-200 กก./ไร่ การเตรียมแปลงถ้าเป็นแบบขึ้นค้างให้ห่างกัน 1.2-1.5 เมตร ความกว้างของร่องน้ำ 60-70 ซม. หลังแปลงกว้าง 80-90 ซม. ใช้พลาสติกคลุม(พลาสติก 2 สี สีบรอนซ์และสีดำ) แล้วทำการเจาะหลุมปลูกห่างกัน 40-45 ซม.
ถ้าเป็นแปลงแบบเลื้อย ใช้ขนาดแปลงกว้าง 3-4 เมตร เตรียมแปลงคู่ (แบบเดียวกับแตงโม) ร่องน้ำกว้าง 60-70 ซม.
การย้ายปลูก
หลังเตรียมแปลงเสร็จก่อนย้ายปลูก 1-2 วัน ให้ฉีดพ่นยาต้นกล้า หรืองดการให้น้ำต้นกล้า เพื่อให้ต้นกล้าชะงักการเจริญเติบบโต (Harddening) ใช้ระยะปลูก 40-45 ซม. รดน้ำหลุมให้ชุ่ม แล้วนำต้นกล้าปลูกลงไปหลุมละ 1 ต้นหลังปลูกเสร็จรดน้ำตามอีก 1 รอบ
การดูแลรักษาแคนตาลูป
การให้ปุ๋ย
ครั้งที่ 1 หลังปลูก 7-10 วัน ให้ยูเรีย อัตรา 1 ช้อนแกงต่อนำ 10 ลิตร รดที่โคนต้น ระวังอย่าให้ถูกใบ
ครั้งที่ 2 หลังย้ายปลูก 20-30 วัน ให้ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25 กก./ไร่ โดยวิธีฝังระหว่างต้นหรือโรยที่ร่องน้ำ
ครั้งที่ 3 หลังย้ายปลูก 40 วัน ให้ปุ๋ย 13-13-21 หรือ 14-14-21 อัตรา 25 กก./ไร่ โดยวิธีฝังระหว่างต้น หรือโรยตามร่องน้ำ
ครั้งที่ 4 เพิ่มปุ๋ยโปแตส เพื่อเพิ่มความหวานและสีสรร อาจใช้ปุ๋ยยูเรียผสมในอัตรา 1:1 โดยหว่านตามร่องน้ำก่อนการเก็บ 1-2 สัปดาห์
การให้น้ำ
ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้แคนตาลูปเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ อย่าให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการติดผล ซึ่งจะทำให้ผลแคนตาลูปอาจไม่โต การให้น้ำไม่สม่ำเสมอนอกจากระทำให้การเจริญเติบโตชะงักแล้ว อาจทำให้ผลปริแตกได้
การไว้ผลและการตัดแต่งกิ่ง กิ่งแขนงที่เกิดตั้งแต่ข้อที่ 1 จนถึงข้อที่ 8 ให้ตัดแต่งออกให้หมด และเริ่มไว้ผลข้อที่ 9-10,11-12 ให้เลือกผลที่ดีที่สุดไว้ 1 ผล แล้วทำการห้อยผลไว้กับราวไม้เพื่อป้องกันมิให้ผลวางกับพื้น ซึ่งจะทำให้ผลเน่าเสียหายได้ ส่วนกิ่งแขนงตั้งแต่ข้อที่ 13 ขึ้นไป ให้ตัดแต่งออกให้หมดและทำการเด็ดยอดข้อที่ 30-35
การเก็บเกี่ยว
ให้เลือกเก็บเกี่ยวผลคนตาลูปที่สุกไม่น้อยกว่า 80% ขึ้นไป และใช้หลักในการพิจารณาเก็บแคนตาลูป ดังนี้
นับอายุ หลังจากดอกบานแล้วประมาณ 30-35 วัน
สังเกตรอยแตกปริของขั้วผล
สังเกตจากสีผิว ถ้าเป็นพันธุ์ผิวเรียบ ผิวจะเป็นมันเรียบสีนวลตามสายพันธุ์ แต่ถ้าเป็นพันธุ์ที่มีตาข่าย จะสังเกตเห็นตาข่าย นูนเด่นชัดเจน
สังเกตจากกลิ่น ถ้าเป็นแคนตาลูปพันธุ์ที่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกกลิ่นจะเริ่มหอมขณะเดินไปแปลงจะได้กลิ่น
โรค-แมลงและการป้องกันกำจัด
โรคราน้ำค้าง เกิดในสภาพอากาศที่อุณภูมิต่ำ ความชื้นสัมพันธ์สูง ป้องกันกำจัดด้วยสารเคมีพวกดาโคนิล, ริดโดมิล, เอพรอน 85
โรคเหี่ยว ป้องกันโดยไม่ปลูกซ้ำ พื้นที่เดิม
โรคราแป้ง เกิดในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ ความชื้นสัมพันธ์ต่ำ ป้องกันกำจัดโดยใช้ยาอาฟูกาน
โรคไหม้ เกิดในสภาพอากาศอุณหภูมิต่ำ ความชื้นสัมพันธ์สูง เกิดทั้งที่ใบและลำต้น ป้องกันโดยฉัดพ่นสารประเภทดูดซึม เช่น คาร์เบนดาซิม, เบนเลท, ท๊อบซินเอ็ม
เพลี้ยไฟ ดูดกินน้ำเลี้ยงเป็นพาหะของไวรัส ป้องกันโดยใช้ยาดูดซึมพวก คาร์โบฟูราน รองก้นหลุม ฉีดยาพ่นยาพวกคาร์โบซันแฟน ,เมทโธมิล
แมลงเต่าแตง ระบาดโดยกัดกินใบ ป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี พวกคาร์บาริล หรือสารดูดซึม ในกลุ่มของไดโครโตฟอส
หนอนกัดกินใบและผลอ่อน ป้องกันโดยใช้ยากลุ่มเมทโธมิล หรือกลุ่มโมโนโคร โตฟอส
http://www.vegetweb.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%9B/
www.vegetweb.com/การปลูกแคนตาลูป/ -
พันธุ์แคนตาลู๊ปลูกผสมสายพันธุ์ต่าง ๆ
- ซันเลดี้ 227 (SUNLADY) เป็นพันธุ์ติดผลดก ปลูกง่าย ผลเป็นรูปทรงกลมรี น้ำหนัก 1-1.5 กก./ผล สุกผิวสีครีมออกขาว ผิวเรียบ มีสีส้ม กลิ่นหอม รสหวาน กรอบ ฉ่ำน้ำ ฤดูปลูกที่เหมาะสม คือ ฤดูร้อน-ฝน
- เจดดิว 233 (JAD DEW) เป็นพันธุ์เบาติดผลดก ปลูกง่าย ทนทานต่อโรคไวรัส ผลมีลักษณะกลมหนัก 1.3 กก. ผิวเรียบ หรือบางครั้งมีตาข่ายเล็กน้อย เนื้อสีเขียว กลิ่นหอม รสหวานอร่อย ฤดูปลูก ปลายฝนต้นหนาว
- สกายร็อคเก็ต 221 (SKY ROCKET) เป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรคราน้ำค้าง และราแป้งได้ดี ติดผลดกอายุปานกลาง ผลกลมมีตาข่าย ผิวสีเขียวเข้มถึงเทา ใกล้สุกผิวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองป่นเขียว เนื้อสีเขียวกลิ่นหอม รสหวาน อร่อย น้ำหนักผล 1-1.5 กก.
- ฮันนีเวิลด์ 235 (HONEY WORLD) เป็นพันธุ์กลุ่มฮันนีดิว ผลกลมรี ผิวขาวนวล มีตาข่ายเล็กน้อย เนื้อสีเขียวอ่อน ความหวานสูง น้ำหนักผล 1.7-2 กก. ฤดูที่เหมาะสม คือ ปลายฝน ต้นหนาว
- เอ็มเมรัลด์ สวีท 1225 (EMERALD SWEET) เป็นพันธุ์ที่มีผลเป็นตาข่ายทรงกลมสวย มีเปอร์เซ็นต์น้ำตาล 15-19 บริกซ์ ปลูกง่าย ทนทานโรค น้ำหนักผล 1.5-2 กก. ผิวสีเทาเขียว เนื้อสีเขียว รสชาติอร่อยอายุการเก็บเกี่ยวหลังดอกบาน 40-50 วัน
- นิวชาร์ม 1238 (NEW CHARM) เป็นพันธุ์ที่ปลูกง่ายติดผลง่าย ผลทรงยาวรี น้ำหนักผล 1.5-2.2 กก. ผิวเรียบ หรือมีลายตาข่ายเล็กน้อย สีส้มกรอบหรือฉ่ำน้ำความหวาน 13-16 บริกซ์ อายุการเก็บเกี่ยวหลังดอกบาน 40 วัน
- ศรีทอง 1382 (GOLDEN LADY) เป็นพันธุ์ใหม่ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นมาผิวสีเหลืองทองสวย เนื้อสีขาวนวล ความหวานสูง 14-18 บริกซ์ สามารถปลูกได้ทุกฤดู อายุ 65-70 วัน
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ. เชียงใหม่ 50290 โทร. 0 53873938- 9
http://www.it.mju.ac.th/dbresearch/organize/extention/book-veget/book07.html
www.it.mju.ac.th/dbresearch/organize/.../book07.html -
แคนตาลูป ผลไม้โปรดของใครหลายๆคน
เงินลงทุน :
ประมาณ 26,000 บาท (รวมค่าแรงและค่าวัสดุ)
รายได้ :
45,000 บาท : 4,500 กิโลกรัม : ไร่ (ราคาเฉลี่ย 10 15 บาท : 1 กิโลกรัม)
วัสดุ/อุปกรณ์ :
จอบ เสียม เครื่องสูบน้ำ สายยาง เครื่องฉีดพ่นสารเคมี กรรไกรตัดแต่งกิ่ง
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ :
ร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การเกษตรทุกแห่ง
วิธีการปลูก :
1. เตรียมดิน โดยไถดินให้ลึก 30-40 ซม. ตากดินไว้เช่นนั้นประมาณ 710 วัน แล้วไถพรวนให้ร่วน หว่านปูนขาวในอัตรา 100-200 กิโลกรัม : ไร่ พร้อมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม : ไร่ และปุ๋ยสูตร 151515 อัตรา 500 กิโลกรัม : ไร่
2. ทำแปลงปลูกขนาดกว้าง 1 ม. ด้านที่ปลูกพืช คลุมด้วยพลาสติก อีกด้านหนึ่งคลุมด้วยตาข่ายพลาสติก เพื่อให้พืชสามารถเกาะเลื้อยไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าเป็นแปลง แบบขึ้นค้างจะใช้ระยะความห่างระหว่างต้น 50 ซม. ระยะความห่างระหว่างแถว 1.2 1.5 ม. ส่วนการปลูกแบบเลื้อยจะใช้ระยะความห่างระหว่างต้น 70 100 ซม. ระยะความห่างระหว่างแถว 3 4 ม.
3. วิธีการเตรียมต้นกล้าแคนตาลูป ที่เพาะไว้
3.1 นำดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้วโรยด้วยปุ๋ยสูตร 0460 แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
3.2 กรอกดินผสมลงในถุงปลูก (สีดำ)
3.3 นำเมล็ดหยอดตรงกลางถุง ๆ ละ 1-2 เมล็ด ประมาณ 3 4 วัน เมล็ดจะเริ่มชูใบเลี้ยงขึ้นมา ควรแกะเปลือกเมล็ดออกแล้วรดน้ำเช้า เย็น
3.4 เมื่อต้นกล้าอายุ 10 12 วัน และมีใบแท้ 2 3 ใบ ต้องย้ายต้นกล้าไปปลูกในแปลง ตามข้อ 2
4. วิธีการย้ายที่ปลูก
4.1 ก่อนย้ายไปปลูก 1 2 วัน ต้องงดให้น้ำต้นกล้า เพื่อให้ต้นกล้าชะงักการเจริญเติบโตชั่วคราว
4.2 ควรรดน้ำในหลุมปลูกให้ชุ่มก่อน เลือกนำต้นกล้าที่แข็งแรงลงปลูกหลุมละ 1 ต้น หลังจากปลูกเสร็จควรรดน้ำให้ดินปลูกชุ่มชื่นอีกครั้ง
4.3 ต้องให้น้ำต้นกล้าอย่างสม่ำเสมอเช้า เย็น โดยเฉพาะหลังการติดผล หากขาด น้ำจะทำให้ผลไม่โตและอาจทำให้ผลกรอบปริแตก
4.4 การให้ปุ๋ยหลังย้ายปลูก 7-10 วัน ใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 1 ช้อนแกง : น้ำ 10 ลิตร แล้วรดน้ำที่โคนต้น 20-30 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัม : ไร่ โดยใส่ปุ๋ย ระหว่างต้น 40 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 14-14-21 อัตรา 25 กิโลกรัม : ไร่ และก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิต 1-2 สัปดาห์ ให้หว่านปุ๋ยโปแตสเซียมผสมปุ๋ยยูเรีย อัตรา 1 : 1 เพื่อเพิ่มความหวานและสีสันของผลน่ารับประทานยิ่งขึ้น
5. วิธีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและแมลง
- โรคเหี่ยว ควรหลีกเลี่ยงการปลูกซ้ำพื้นที่เดิมที่เคยปลูกพืชตระกูลแตงชนิดอื่น
- โรคราน้ำค้าง ป้องกันด้วยสารดาโคนิล ริโดมิล หรือเอพรอน 35
- โรคไหม้ กำจัดด้วยสารพวกคาร์เบนดาซิมและเบนเลท
- แมลงเต่าทองและหนอน กำจัดด้วยสารพวกโมโนโครโตฟอส
- เพลี้ยไฟ กำจัดด้วยสารพวกคาร์โปซัสแฟนและเมทโธมิล
วิธีตัดแต่งเพื่อการเก็บเกี่ยว :
ควรตัดแต่งกิ่งแขนง ตั้งแต่ข้อที่ 18 ออกให้หมด โดยเริ่มไว้ดอกหรือผลแคนตาลูป ตั้งแต่ข้อที่ 910 และ 1011 ข้อละ 1 ผล ส่วนแขนงที่เกิดตั้งแต่แขนงที่ 13 ขึ้นไปตัด แต่งออกให้หมด เพื่อให้ผลที่เก็บไว้มีการเจริญเติบโตได้ดี เมื่อผลมีขนาดเท่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดให้เลือกผลที่ดีที่สุดไว้เพียงผลเดียว และห่อผลให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันแมลงเลือกเก็บเกี่ยวแคนตาลูปสุกไม่น้อยกว่า 80% โดยพิจารณา ดังนี้
1. นับอายุหลังจากดอกเริ่มโรยไม่ต่ำกว่า 3035 วัน
2. สังเกตรอยแตกปริของขั้วผลสีผิว ถ้าเป็นพันธุ์ที่มีตาข่ายจะสังเกตเห็นตาข่ายนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
3. มีกลิ่น พันธุ์ที่มีกลิ่นหอม เมื่อสุกจะได้กลิ่นแตงสุก
ตลาด/แหล่งจำหน่าย :
ตลาดสด/ผลไม้ ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ขายส่งพ่อค้าคนกลางที่มารับในสวน
ข้อแนะนำ :
ชนิดพันธุ์ที่ควรปลูก ได้แก่
1. พันธุ์หวานสีทอง (นัมเบอร์วัน) ผิวสีเหลืองสวยงาม น้ำหนักผล 22.5 กิโลกรัม อายุเก็บเกี่ยว 7075 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก
2. พันธุ์โลว์แลนด์ (LOWLAND) แข็งแรง ทนต่อโรคราน้ำค้าง ปลูกได้ตลอดปี อายุเก็บเกี่ยว 7075 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก
3. พันธุ์อะโรม่า (AROMA) แข็งแรง ทนต่อสภาพอากาศร้อนและโรคราน้ำค้างได้ดีกลิ่นหอม รสหวาน ผลผลิตสูง น้ำหนักผลประมาณ 1 กิโลกรัม อายุเก็บเกี่ยว 6570 วัน หลังการย้ายลงแปลงปลูก
4. พันธุ์ซันเลดี้ (ปลูกไม่ได้ในฤดูหนาว)
http://www.thaismefranchise.com/?p=3614
www.thaismefranchise.com/?p=3614 -
เด็กวิทยาลัยเกษตรฯสระแก้ว เจ๋ง ปลูก 'แคนตาลูปชีวภาพ' ไม่พอขาย
วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วเป็นหนึ่งใน 76 สถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่เข้าร่วม โครงการสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กับ สำนักงานคณะ กรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยวิทยาลัยฯดังกล่าวได้เปิดหลักสูตร การเรียนการสอนครอบคลุมการผลิตพืช และสัตว์ มีทั้งหลักสูตรครบวงจร (ระยะยาว) หลักสูตรเฉพาะทาง (ระยะกลาง) และหลักสูตรสนองปัญหา (ระยะสั้น) มีหนึ่งหลักสูตรที่โดดเด่น น่าสนใจ คือ การปลูกแคนตาลูปแบบครบวงจรโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งได้มีการสนับสนุนให้นักศึกษาปลูกแล้วได้ผลดี ผลิตได้ไม่ทันความต้องการของตลาด ทำให้นักศึกษามีรายได้ระหว่างเรียนด้วย
นายปิยะกฤต แก้ววิมล นักศึกษาแผนกวิชาพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว เล่าว่า วิทยาลัยฯได้ส่งเสริมให้ นักศึกษาปลูกแคนตาลูปแบบครบวงจรโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการ รวม 84 คน แบ่งเป็น 12 กลุ่ม ๆ ละ 7 คน สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันปลูกในพื้นที่ 4 ไร่ สำหรับแคนตาลูปที่ปลูกมี 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ซันเลดี้ และพันธุ์วีนัส ซึ่งเบื้องต้นต้องเตรียมแปลงปลูกโดยไถให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วไถแปรให้ละเอียด ทำการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักในแปลงปลูกคลุกเคล้าให้เข้ากัน ยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร พร้อมวางระบบน้ำหยดและคลุมพลาสติกลงบนแปลงปลูกด้วย
การปลูกกำหนดระยะห่างระหว่างแถว 1.2-1.5 เมตร ระหว่างต้น 40-50 เซนติเมตร พื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกได้ถึง 2,500-3,000 ต้น โดยใช้ต้นกล้าอายุ 7-10 วัน เมื่ออายุ 20-25 วัน ต้นแคนตาลูปจะเริ่มเลื้อยขึ้นค้าง สมาชิกต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ มีการฉีดพ่นปุ๋ยน้ำ สารชีวภาพและสารไล่แมลงวันเว้นวันเพื่อป้องกันเพลี้ยไฟและไรแดง เมื่ออายุ 35-38 วัน แคนตาลูปจะติดผลโดยต้องไว้ผลจำนวน 1 ผล/ต้น ที่แขนง 9-12 และต้องเด็ดยอดแตงเเคนตาลูปทิ้งเมื่อ 40-45 วัน เพื่อลดการแย่งอาหาร เมื่ออายุ 60-75 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายได้ หนึ่งปีสามารถผลิตได้ 4 รุ่น
ก่อนเก็บผลผลิตส่งจำหน่าย 10-12 วัน ต้องใส่ปุ๋ยน้ำเพื่อเร่งความหวานให้กับแคนตาลูปผ่านระบบน้ำหยดทุก 2-3 วัน ปกติจะได้ผลผลิตประมาณ 2,500-3,000 กิโลกรัม/ไร่ มีต้นทุนเฉลี่ย 26,800 บาท/ไร่ หรือประมาณ 9 บาท/กิโลกรัม ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 20-25 บาท จะมีรายได้เฉลี่ย 37,500-45,000 บาท/ไร่ ขณะที่ปลูกโดยใช้สารเคมีจะมีต้นทุนถึง 35,300 บาท/ไร่ ตลาดรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 15 บาท
นายปิยะกฤต ยังบอกอีกว่า ถึงแม้การปลูกแคนตาลูปแบบใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีจะให้ผลผลิตสูง แต่ถ้ามองถึงเรื่องคุณภาพแล้วสู้การปลูกแบบเทคโนโลยีชีวภาพไม่ได้ เพราะผลผลิตจากแปลงที่ใช้สารชีวภาพจะไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อน มีความปลอดภัย ทั้งยังมีกลิ่นหอมรสชาติหวานกรอบ หวานชื่นใจ ไม่หวานจนแสบคอ เป็นที่ถูกใจผู้บริโภคและตลาดต้องการสูง ซึ่งขณะนี้วิทยาลัยฯยังผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
อนาคตสมาชิกได้มีแผนการผลิตเพื่อป้อนตลาดทั้งปี พร้อมทำการแปรรูปเป็นไอศกรีมแคนตาลูปเพื่อเพิ่มมูลค่าด้วย สำหรับการเข้าร่วมโครงการนี้ นอกจากจะช่วยให้มีรายได้ระหว่างเรียนและช่วยลดภาระของผู้ปกครองแล้ว ยังได้รับองค์ความรู้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้หลังจบการศึกษา นายปิยะกฤต เล่าด้วยสีหน้าภูมิใจ
อย่างไรก็ตาม หากสนใจเกี่ยวกับ การปลูกแคนตาลูปโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ สามารถสอบถามได้ที่ แผนกวิชาพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว ต.ผ่านศึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โทรศัพท์ 0-3724-3484, 0-3724-3486
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=168542&NewsType=1&Template=1
http://www.phtnet.org/news51/view-news.asp?nID=400
www.phtnet.org › ข่าวเกษตรประจำวัน -
ประสบการณ์ตรง :
สมาชิก "คุณติ๋ม" ประจวบคีรีขันธ์ (086) 276-3989 บนเนื้อที่ 1 ใน 3 ไร่ ปลูกแบบหมุนเวียนเพื่อ "พักดิน-ปรับปรุงดิน" ด้วยปรัชญาการเกษตร "ทำน้อยได้มาก - ทำมากได้น้อย".......
ลุงคิมครับผม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/09/2010 10:40 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Yuth-Jasmine สาวดี่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010 ตอบ: 384
|
ตอบ: 13/09/2010 8:19 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เจ้าของชื่อ "ติ๋ม" ชนัตร์พร เภาด้วง 1005 หมู่ 16 ต.อ่าวน้อย
จ.ประจวบคีรีขันธ์. ส่งทาง ปณ.มาให้ชิม......ขอบคุณมากๆ
ให้เห็นเต็มหน้าจอ ผลนี้หนัก 2.2 กก. สนนราคาหน้าสวน
กก.ละ 40 บาท
สวนเล็กๆ ขนาดไร่กว่าๆ คนมีกะตังค์ยังไป ชม-ชิม-ซื้อ เพราะ
ความอร่อย รู้รสแล้วสั่งซื้อเพิ่มเอาไปเป็นของฝาก ไม่ใช่คนละ
1-2 กก.นะ บางรายซื้อ 40-50 กก. ยังมี ถ้าของเขาไม่ดีจริง
ใครจะกล้าซื้อไปฝากคนอื่นล่ะ.....นี่แหละ ของดีมีที่ไหน คนกิน
ซอกแซกไปถึงที่
เนื้อหนา แน่น กรอบ หอม หวาน....เพราะ "ธาตุรอง/ธาตุเสริม/
แตลเซียม โบรอน" เป็นหลัก สวนนี้ใช้ผลิตภัณท์ของสปอนเซอร์
รายการภาคเช้าครบวงจร....ผลผลิตเพิ่ม (คุณภาพ-ปริมาณ) ต้น
ทุนลดสุดๆ....ขนาดนี้ แปลงข้างบ้านยังไม่ยอมทำตามเลย
ลองคิดดู.... เนื้อที่ 2 ไร่ แบ่งเป็น 4 โซนๆ ละครึ่งไร่ ลงแคนตาลูป-
แตงโม. หมุนเวียนไปตลอดทั้งปีได้ไหม ? |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
ott_club หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 20/07/2009 ตอบ: 718
|
ตอบ: 13/09/2010 8:25 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
เนื้อหนาดีครับ แต่เห็นรูปแล้วจะรู้รสชาติได้ไงครับลุง _________________ อ๊อด ระยอง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Yuth-Jasmine สาวดี่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010 ตอบ: 384
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Yuth-Jasmine สาวดี่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010 ตอบ: 384
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Yuth-Jasmine สาวดี่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010 ตอบ: 384
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Yuth-Jasmine สาวดี่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010 ตอบ: 384
|
ตอบ: 16/09/2010 7:47 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
แคนตาลูปในกระถาง บนดาดฟ้า
ที่มา http://rooffarm.exteen.com/
ดิน
รองพื้นกระถางด้วยใบไม้แห้ง เถาแตงหรือซากวัชพืชย่อยสลายง่าย
หลีกเลี่ยงใบมะม่วง (ปลูกกันจนจบยังไม่ผุพัง) เติมด้วยดินผสมปุ๋ยคอก
ส่วนผสม 9:1 แล้วเติมใบไม้แห้งตามด้วยดินส่วนผสมดังกล่าวอีกชั้นหนึ่ง
โดยให้ได้ปริมาณ 90% ของกระถาง รดน้ำต่อเนื่อง 1 อาทิตย์ สุดท้ายตามด้วย
น้ำปูน เนื่องจากปูนขาวอาจหาได้ยากสามารถใช้ปูนแดงกินหมากแทนได้
โดยใช้ปูนแดงกินหมาก 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ถัง รดให้ชุ่มดิน ปุ๋ยคอก
ใบไม้หรือเครื่องปลูกทุกชนิดต้องผ่านการตากแดดให้แห้งเสมอ
กระถาง
ที่ใช้อยู่หน้ากว้าง 10 นิ้ว หรือ 11 นิ้ว หรือ 12 นิ้ว สำหรับ 10 นิ้ว
รู้สึกได้ว่าเล็กไปหน่อย แต่ก็ได้ผลใหญ่ใกล้เคียงกัน ก้นกระถางต้องหนุนด้วยเบี้ย 3 ตัว
รูกระถางจะต้องระบายน้ำและอากาศได้ดี
การปลูก
นำเมล็ดพันธุ์ห่อผ้าชุ่มน้ำพักไว้ 3-4 วัน แก้ดูถ้าเห็นปลายแหลมของเมล็ดแตกและมีรากโผล่มา
ให้นำเมล็ดไปเรียงในกระถางดินที่เตรียมไว้ให้ห่างกัน 1 ถึง 2 นิ้ว
แล้วโรยทับด้วยดินร่วน ดินในกระถางต้องระบายน้ำได้ดี รดน้ำแล้วไม่อุ้มน้ำมาก
เมล็ดแตงถ้าฉ่ำน้ำจะเน่าเสียง่ายมาก พอต้นโผล่พ้นดินก็ให้น้ำได้เต็มที่
เมื่อต้นกล้ามีใบจริงใบแรกและเริ่มมีใบที่สอง ก็ย้ายลงกระถางได้เลย
ก่อนย้ายกล้าลงกระถางควรให้ต้นกล้าขาดน้ำ พอย้ายลงกระถางแล้ว ให้รดน้ำทันที
ต้นกล้าจะดูดน้ำฟื้นตัวไม่เฉา ถ้าต้นกล้าฉ่ำน้ำก่อนย้ายลงกระถางต้นกล้าจะอ่อนแอ
พอย้ายแล้วมักจะตาย การย้ายกล้าควรย้ายในตอนเย็น
ระหว่างเติบโต
หลังจากย้ายต้นกล้าลงกระถางได้ 3-4 วัน ให้ปุ๋ยยูเรีย 1 ช้อนโต๊ะละลายน้ำ 1 ถัง ให้รดตอนเช้า
ในขณะที่กระถางยังชื้นจากการรดน้ำตอนเย็น หลังจากมีใบจริง 4-5 ใบ แล้วให้ปุ๋ยยูเรียผสมปุ๋ยเร่งดอกผล
โดยใช้ปุ๋ยส่วนผสมนี้ 1 ช้อนชาฝังขอบๆกระถาง 2 ข้าง พอติดผลเท่าผลมะนาวแล้วให้ใช้ปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยเร่งดอกผล
ผสมกัน 1:1 จำนวนหนึ่งช้อนชาโรยขอบกระถาง โรยอาหารกระต่ายอัดเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ แล้วโรยปิดบนด้วยดินผสมปุ๋ยคอก
เนื่องจากดินในกระถางขาดแร่ธาตุหลายอย่าง และไม่สามารถวิเคราห์ได้ ในอาหารกระต่ายมีส่วนผสมสารอาหาร
และแร่ธาตุหลายอย่าง และเมื่อรับน้ำแล้วอาหารเม็ดจะฟูพองใหญ่ขึ้นเป็น 10 เท่า เมื่อแยกทดลองดู 2 รอบแล้ว
ปรากฏว่าที่ใส่อาหารกระต่ายลูกจะโตกว่ามาก เนื้อหนาไส้ตันทุกลูก ส่วนที่ไม่ใส่อาหารกระต่ายลูกจะเล็กและไส้จะกลวง
แต่เนื่องจากอาหารเม็ดนี้ยังไม่ผ่านการย่อยสลายจึงอาจเกิดราสีน้ำตาลที่ผิวดินบ้าง
แต่เพียงไม่กี่วันราก็จะสลายไปพร้อมกับผลแตงที่พองโตอย่างรวดเร็วพอผลแตงเริ่มแตกลายให้ใส่ปุ๋ย อาหารกระต่าย
และดินผสมปุ๋ยคอกอีกรอบในช่วงนี้ผลแตงจะขยายตัวขึ้นอีกระยะหนึ่ง และน้ำหนักจะเพิ่มเนื้อจะหนาจนเหลือไส้เล็กๆ
การดูแลผล
เมื่อต้นมีใบ 5-6 ใบ ก็จะเริ่มมีดอกตัวผู้ ตามด้วยแขนงดอกตัวเมียออกมาตามซอกใบ
ให้ไว้ผลตัวเมียระหว่างข้อใบที่ 8-15 สัก 2-3 ผล (ข้อใบนับจากโคนต้นขึ้นมา) ส่วนแขนงอื่น
ให้ตัดทิ้งให้หมด (ดอกตัวผู้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวด้วย) พอผลโตเท่าลูกมะนาวให้ตัดเหลือผลที่ลักษณะดี ไม่บิดเบี้ยวไว้เพียงผลเดียว
(ยกเว้นสายพันธุ์เล็กที่อาจเก็บไว้ได้ 2-3 ผล) ขณะที่ดอกตัวเมียบานและเริ่มติดผล กระทั่งโต
เท่าผลส้มในช่วงนี้ต้องคอยระวังอย่าให้ผลไปเบียด เสียดสีกับหลัก ต้น หรือใบ เพราะบางพันธุ์
ค่อนข้างจะถือตัว มันจะแป้ว เบี้ยว หรือผิวจะด่างเสียหายได้ เมื่อผลโตกว่าลูกมะนาวแล้ว ต้องใช้เชือกแขวนผลไว้กับค้าง
เพราะแต่ละวันมันจะโตและหนักเป็นเท่าตัว ต้นจะรับน้ำหนักผลไม่ไหว
ถ้าเป็นแคนตาลูปหลังติดผล 30-35 วัน ส่วนเมล่อน 45-55 วัน
(ถ้าฝนตกมากเวลาสุกจะยืดออกไปมากเป็น 10-20 วัน) ได้เวลาลูกจะเปลี่ยนสีหรือขึ้นลายนูนชัดเจนขึ้น
ใบจะขรุขระแข็งและกรอบใบหรือขอบใบล่างๆจะแห้งบ้าง จุกของผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองจางๆ
แคนตาลูปจะได้กลิ่นหอมขั้วจุกอาจปริและหลุดร่วงได้ ส่วนเมล่อนโดยมากจะเก็บกลิ่น (ผ่าแล้วจึงได้กลิ่น)
พอถึงระยะนี้แล้วอย่าเพิ่งเก็บผล มิฉะนั้นจะมีบางต้นที่ยังไม่เข้าที่ ให้รดด้วยปุ๋ยเร่งดอกผลหรือ
โปรแตสเซียมในอัตรา 2 ช้อนโต๊ะต่อถัง ต่อจากนั้นให้น้ำแค่ประคองไม่ให้ต้นเฉาหลังให้ปุ๋ยและลดน้ำ 6-7 วัน
วันสุดท้ายไม่ต้องให้น้ำ ตกเย็นใบเฉาให้ตัดผลในตอนเย็น ผึ่งไว้ 3-7 วัน
เนื้อจะฉ่ำ
ข้อควรระวัง
แตงไม่เหมือนผลไม้อย่าบ่ม ปิด หรืออบในที่อุณหภูมิสูง อุณหภูมิ 4 -28 องศา
แตงจะพัฒนาสุกได้ดี แต่ถ้าเก็บในที่ร้อน ไส้แตงจะบูดและเน่าเสียได้
เมื่อฉ่ำได้ที่แล้วสามารถเก็บรักษาในตู้เย็นชั้นล่างได้นาน
โดยเฉพาะถ้าห่อกระดาษเช่นกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ จะรักษาความชื้นและเก็บได้นาน
ห้ามใส่ถุงพลาสติก เพราะจะทำให้ชื้นแฉะและเน่าเร็ว
การให้น้ำ
ปลูกในกระถางน้ำจะแห้งเร็ว ต้องให้น้ำด้วยฝักบัวเช้าเย็น
ตอนเย็นใบจะตกเล็กน้อย พอรดน้ำแล้วจะงามเข้าที่ควรรดน้ำตอนเย็นแค่ชื้นๆ
แต่ตอนเช้าต้องให้ฉ่ำทั้งกระถาง ถ้าให้น้ำขาดตอน เช่นตอนเช้าไม่ได้รด
ตอนเย็นให้โรยน้ำที่ต้นและใบ ส่วนโคนต้นแค่ชื้นเล็กน้อย
ถ้าเห็นว่าแห้งมากแล้วไปให้น้ำเต็มที่จะทำให้ผลปริแตกและเสียไปเลย
กระถางใดรดน้ำตอนเช้าพอตอนเย็นแห้งจนเหลือแค่ไอชื้นข้างใน
รากจะลงลึกถึงก้นกระถาง ใบจะหนาเขียวเข้ม ผลจะใหญ่สมบูรณ์
ในทางกลับกันกระถางใดรดน้ำตอนเช้าแล้ว ตอนเย็นในกระถางยังฉ่ำอยู่
แสดงว่าเครื่องปลูกไม่โปร่งพอ รากลงได้แค่ครึ่งกระถางใบจะซีดบาง ผลไม่โต
บางต้นรากส่งน้ำไม่พอก็เฉาตายทั้งๆที่ไม่ขาดน้ำ
เพิ่มเติม
ระยะที่แตงเริ่มติดผล ให้ตัดใบล่างๆออก 4-5 ใบ ใบล่างๆนี้จะเกะกะ
เสียหายง่ายและเน่าโรยเร็ว ใบไม่มีขั้วใบให้หลุดได้
พอต้นแก่ใบล่างจะหักโรยเน่าได้ง่าย ต้นแก่แผลเน่าจากก้านใบมีปัญหา
บางครั้งเน่าลามเข้าไปในต้นได้พอต้นสูงยาวจนอยู่ตัวแล้ว ให้ตัดยอดทิ้ง
โดยนับใบให้เหลือ 18-20 ใบ (ถ้าปลูกในโดม รับแสงน้อย คายน้ำน้อย
แนะนำให้เหลือ 22-25 ใบ)บางครั้งถ้าขาดดินสำรอง ถ้าซื้อดินถุงมาต้องตากให้แห้งก่อนเติม
เคยฝนตกมากดินพร่องไปมาก ซื้อดินมาเติมทันที ปรากฏว่าหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง
จำนวนเกือบครึ่งที่เติมดิน รากติดเชื้อ ต้นและใบเหลืองเฉา
ลูกที่ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวต้องทิ้งหมดช่วงที่ดอกตัวเมียเริ่มบาน
ถ้ามีผึ้งมาตอมมากจะผสมเกสรได้ดี แต่ถ้าไม่มีแมลงเลย
ต้องนำดอกตัวผู้มาฉีกกระเปาะโคนกลีบดอกจะเห็นกลุ่มเกสรสีเหลือง
ให้นำดอกตัวผู้ละเลงที่เกสรตัวเมียขณะที่ดอกตัวเมียกำลังบาน
อาจมีนกกระจอกยกพวกมาจิกฉีกกลีบดอกออก แล้วจิกกินแค่ยอดเกสรตัวเมีย
ถ้ามันเริ่มมาแล้วจะมาทุกวันจนไม่มีดอกตัวเมียที่สมบูรณ์เหลืออยู่
และไม่สามารถมานั่งเฝ้าและไล่มันทั้งวันได้
ให้สังเกตในตอนเย็นว่าดอกตัวเมียใดกลีบดอกเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองแล้ว
วันรุ่งขึ้นดอกนั้นจะบาน ให้นำแผ่นถุงพลาสติกที่ตัดได้ขนาด 3 นิ้ว คูณ 3 นิ้ว
มาจับจีบแม็กล้อมดอกไว้ให้ปลายเป็นปากแตร พอตอนเช้าดอกบานและผสมเกสรแล้ว
ตอนเย็นหรือวันรุ่งขึ้นก็เอาที่ล้อมไว้ออกได้ ดอกบานข้ามวันมันจะไม่จิกกินยังมีการเพิ่มปุ๋ยน้ำชีวภาพ
จากเศษพืชผัก-ผลไม้ แต่ใช้น้อยมาก ผสมน้ำจางๆ 4-5 วัน รดครั้งหนึ่ง ทั้งหมดดังกล่าวคือขั้นตอนที่ทำได้ผลพอดีพอควร
เกิดจากการลองผิดลองถูกจนได้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น
เนื่องจากไม่มีพื้นฐานทางการเกษตร และอาจผิดหลักทางวิชาการ
ควรต้องแก้ไขปรับปรุงอีกมาก ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยจากสวนแตงท่าพระคำถามหรือคำแนะนำ
หากท่านใดมีข้อชี้แนะ, คำแนะนำหรือ ติชม ขอเชิญที่email: rooffarm@gmail.com |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11657
|
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11657
|
ตอบ: 16/09/2010 8:52 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
วิธีการปลูกเมล่อน
วิธีการปลูกเมล่อน แตงเทศ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกว่า เมลอน หรือ แคนตาลูป เป็น
พืชอีกชนิดหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมบริโภคกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีรสชาติดี เนื้อ
นุ่ม หวานฉ่ำและมีกลิ่นหอม
สีของเนื้อผลยังมีหลากหลาย ทั้งขาว ครีม เหลือง เขียว ส้มและแสด จึงชวนให้รับ
ประทานมายิ่งขึ้น จัดเป็นทั้งผลไม้และผัก ขึ้นกับลักษณะของการนำไปใช้บริโภค ซึ่ง
มีทั้งใช้บริโภคสดในรูปผลไม้ หรือใช้เป็นส่วนประกอบในสลัดผัก
นอกจากนี้ยังใช้ประกอบของหวานและเครื่องดื่มหลายชนิด อาทิเช่น ฟรุ๊ตสลัด
ไอศกรีม น้ำแข้งใส และน้ำผลไม้ปั่น เป็นต้น แตงเทศ จึงมีราคาดีที่สุดในบรรดาพืช
วงศ์แตงเดียวกัน
การขายแตงเทศนิยมขายกันตามน้ำหนักของผล ซึ่งมีตั้งแต่ราคากิโลกรัมละ 20
บาท ไปจนถึง กิโลกรัมละ 80-100 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์ของแตงเทศซึ่งมี
อยู่มากมายหลายชนิด นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่ใช้ระยะเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวสั้นเมื่อ
เปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นบางพันธุ์มีอายุการเก็บเกี่ยวไม่เกิน 65 วัน หลังหยอด
เมล็ดเท่านั้น จึงจัดเป็นพืชที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้อย่างดีในเวลาอันรวดเร็ว
ข้อเสียของแตงเทศคือมักอ่อนแอ ไม่ค่อยทนทานต่อโรคและแมลงและสภาพ
อากาศที่ร้อนจัด หนาวจัด หรือมีฝนตกชุกเกินไป การปลูกแตงเทศให้ได้ผลดี
ประการแรก จึงควรเลือกชนิดและพันธุ์ของแตงเทศที่มีอยู่มากมายให้เหมาะสมกับ
สภาพแวดล้อมของพื้นที่และฤดูกาลที่จะปลูก ชนิดและพันธุ์ แตงเทศเป็นพืชที่มีถิ่น
กำเนิดในต่างประเทศ ในแถบทวีปแอฟริกา นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยนานแล้ว
เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์แตง และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo L. ซึ่งมีอยู่
หลายวาไรตี้ (variety) หรือ ชนิด (group) แต่ที่ปลูกที่เป็นพืชเพื่อการบริโภคมี
อยู่ 3 วาไรตี้ ได้แก่
1. วาไรตี้ แคนตาลูปเพนซิส (Cantaloupensis) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า C. melo
L. var. cantaloupensis มีชื่อเรียกทั่วไปว่า ร็อคเมลลอน (Rock melon)
เพราะผลมีผิวแข้ง ขรุขระ แต่ไม่ถึงกับเป็นร่างแห
2. วาไรตี้ เรติคูลาตัส (Reticulatus) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า C. Melo L. var.
reticulatus มีชื่อเรียกทั่วไปว่า เน็ดท์เมลอน (netted melon) มัสค์เมลอน
(muskmelon) หรือ เปอร์เซียนเมลอน (persian melon) เป็นชนิดที่ผิวนอกของ
ผลลักษณะขรุขละเป็นร่างแหคลุมทั้งผล และผลมีกลิ่นหอม เนื้อผลเป็นสีเขียว หรือ
สีส้ม
3. วาไรตี้ อินอะดอรอส (Inodorous) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า C. melo L. var.
inodorous ผิวของผลเรียบ และมักไม่มีกลิ่นหอม ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงพันธุ์
แตงเทศโดยการผสมภายในกลุ่มและการผสมข้ามระหว่างกลุ่มจนได้พันธุ์แตงเทศที่
มีลักษณะผสมกันระหว่างกลุ่มต่างๆ และเป็นพันธุ์ลูกผสม (F1 hybrid) มากมาย
สำหรับพันธุ์ที่มีปลูกในประเทศไทยโดยการปรับปรุงพันธุ์ของบริษัทเมล็ดพันธุ์ภาย
ในประเทศและวางจำหน่ายในท้องตลาด เป็นที่รู้จักกันดีและเป็นพันธุ์ที่สามารถปรับ
ตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยได้ แตงเทศเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบ
ร้อนของทวีปแอฟริกา จึงไม่ชอบอากาศหนาวเย็นจัด แต่ชอบอากาศอบอุ่น แต่ไม่
ร้อนจัด อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการปลูกแตงอยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียสในเวลา
กลางวัน และ 18-20 องศาเซลเซียส ในเวลากลางคืน ดังนั้นฤดูกาลที่เหมาะสม
สำหรับการปลูกแตงเทศในประเทศไทยจึงเป็นปลายฤดูฝนหรือฤดูฝนหนาว ในเขตที่
อากาศไม่หนาวจัด เช่นภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคตะวันออก รวมทั้งภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉลียงเหนือที่อากาศไม่หนาวจัดจนเกินไป
หากแตงเทศกระทบกับอากาศหนาวเย็นจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโตได้ตั้งแต่ระยะ
ต้นกล้า การออกดอกติดผลจะล่าช้า และถ้าอากาศยิ่งหนาวจัด ต่ำกว่า 15 องศา
เซลเซียส ต้นแตงเทศจะหยุดการเจริญเติบโต ในทำนองกลับกันต้นแตงเทศก็ไม่
ชอบอากาศที่ร้อนจัดเกินไป ถ้าอุณหภูมิเกินกว่า 30 องศาเซลเซียส แตงเทศมักจะ
สร้างแต่ดอกตัวผู้ ไม่มีดอกตัวเมีย หรือถ้ามีดอกตัวเมียแต่จะร่วงง่ายไม่ติดผล
ปัญหาจากสภาพแวดล้อมของอากาศที่สำคัญสำหรับการปลูกแตงเทศอีกประการ
หนึ่งคือฝน
ถ้าแตงเทศถูกน้ำฝนบ่อย มักจะเกิดโรคราน้ำค้างระบาดตามมา เนื่องจากแตงเทศ
เป็นพืชที่มีใบกว้างใหญ่และมีขน เมื่อสัมผัสกับน้ำฝนจะเกิดหยดน้ำค้างบนใบอยู่
เสมอ ไม่แห้งง่าย จึงเป็นสภาพที่อำนวยให้เกิดการเข้าทำลายของเชื้อราน้ำค้างบนใบ
ได้ร่วมกับสภาพอากาศที่เย็นและชื้นหลังฝนตก โรคนี้จะระบาดมากในฤดูฝน เป็นโรค
สำคัญที่ทำความเสียหายมากสำหรับพืชในวงศ์แตง โดยเฉพาะกับแตงเทศจะอ่อนแอ
ต่อโรคนี้มาก
ดังนั้นในการปลูกแตงเทศในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเหมาะสมนั้น จะต้องมีการดูแล
รักษา ให้น้ำ ปุ๋ย และการป้องกันกำจัดโรคแมลงอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ จึงจะได้
ผลดี ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกแตงเทศ ควรเป็นดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำ
ได้ดี ควรหลีกเลี่ยงการปลูกแตงเทศในพื้นที่ที่เป็นดินเหนียวจัด ที่มีการระบายที่ไม่ดี
ทำให้มีโอกาสเกิดโรคเน่าในระบบรากได้ง่าย และยังเป็นที่สะสมของโรคทางดิน
ติดต่อไปยังฤดูต่อไป รวมทั้งยากต่อการลดความชื้นในดินก่อนเก็บเกี่ยว อย่างไรก็
ตามถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการปลูกแตงเทศในดินชนิดนี้ควรยกแปลงให้สูง 30-
40 ซม. มีร่องน้ำกว้างเพื่อการระบายน้ำที่ดี และไม่ควรปลูกซ้ำที่เดิมในฤดูติดกัน
ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดินควรอยู่ที่ 6.0-6.5 ถ้ามีค่าต่ำกว่านี้แสดงว่าดิน
มีสภาพเป็นกรด ต้องทำการปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง ของดินให้สูงขึ้นด้วยปูนขาว
มิฉะนั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเน่าของระบบรากในดิน
ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่แนะนำให้ปลูกแตงเทศซ้ำในพื้นที่เดิมในฤดูติดกัน ควรปลูก
พืชในวงศ์อื่นคั่น 1-2 ฤดู ก่อนที่จะกลับมาปลูกในที่เดิมอีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยง
การระบาดของโรคทางดินที่อาจสะสมอยู่จากการปลูกในฤดูที่ผ่านมา การเพาะย้าย
กล้า ปกติการปลูกพืชในวงศ์แตงมีเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่ จึงสะดวกที่จะหยอดเมล็ด
ลงในหลุมในแปลงปลูกได้โดยตรง จำนวนหลุมละ 2-4 เมล็ด แล้วจึงถอนแยกให้
เหลือต้นที่แข้งแรงเพียง 1 ต้นเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันนี้วิธีการดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมแล้วเพราะเป็นวิธีที่สิ้นเปลืองเมล็ด ที่
ปัจจุบันเป็นเมล็ดพันธุ์ลูกผสมซึ่งมีราคาแพง ดังนั้นการเพาะเมล็ดในกะบะเพาะหรือ
ถุงเพาะเมล็ดก่อนแล้วจึงย้ายปลูกจึงเป็นวิธีที่แนะนำให้ปฏิบัติมากที่สุด เมล็ดพันธุ์ที่
ซื้อจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ มักมีความงอก ความบริสุทธิ์สูง และปลอดจากเชื้อโรคที่ติด
มากับเมล็ด สามารถนำมาเพาะได้ทันที แต่ในกรณีที่ไม่แน่ใจในเปอร์เซ็นต์ความงอก
ของเมล็ดและต้องการกระตุ้นให้เมล็ดงอกได้ดีและเร้วขึ้น
ให้แช่เมล็ดในน้ำหรือน้ำอุ่น สูงพอท่วมหลังเมล็ด ประมาณ 6 ซม. หุ้มด้วยผ้าเปียก
น้ำหมาดต่ออีก 1 คืน สังเกตว่าเมล็ดมีรากขาวเริ่มออกมาแล้วจึงค่อยนำไปเพาะต่อ
ในวัสดุเพาะ แล้วจึงรดด้วยสารละลายป้องกันกำจัดเชื้อราเจือจาง ในการเพาะกล้า
แตงเมศ เริ่มจาก
การเตรียมวัสดุเพาะกล้า ปัจจุบันวัสดุเพาะกล้าที่ให้ผลดีที่สุดได้แก่ พีทมอส ซึ่งเป็น
วัสดุที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาแพงกว่าวัสดุเพาะกล้าภายในประเทศทั่ว
ไป มีลักษณะเบา อุ้มน้ำ ได้ดี แต่มีช่องว่างให้มีอากาศที่จำเป็นสำหรับการงอกของ
เมล็ดและการเจริญเติบโตของต้นกล้าหลังงอก ในพีทมอสนี้ยังมีธาตุอาหารในรูป
ของอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายตัวแล้วให้กับต้นกล้าได้ใช้ในการเจริญเติบโตในระยะ
หนึ่ง นอกจากนี้พีทมอสยังมีคุณสมบัติที่ดีและมีประโยชน์มากสำหรับการเพาะกล้า
อีกประการหนึ่งคือ ปลอดจากเชื้อโรคทางดินต่างๆ จึงเป็นวัสดุปลูกที่ให้ผลดีที่สุดใน
ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามถ้าต้องการประหยัด อาจใช้วัสดุปลูกภายในประเทศที่มี
คุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับพีทมอส เช่น ขุยมะพร้าวที่ร่อนเอาเส้นใยออกไปแล้ว ผสม
กับปุ๋ยคอกและทรายหยาบที่ร่อนเอาเม็ดกรวดออกไปแล้ว ในอัตรา 1 : 1 : 1 โดย
ปริมาตร หรือในสถานที่ที่หาดินร่วนได้ง่าย อาจเพิ่มดินร่วนที่ผ่านการตากแดดฆ่าเชื้อ
และนำมาย่อยจนละเอียดดีแล้วอีก 1 ส่วน เพื่อช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นกล้าอีก
ทางหนึ่ง เมื่อคลุกเคล้าวัสดุปลูกที่ต้องการใช้ให้เข้ากันดีแล้ว ทำการกรอกวัสดุปลูก
ลงในกระบะเพาะกล้า หรือถุงพลาสติกเพาะกล้า ทำการหยอดเมล็ดลงในกระบะหรือ
ถุงเพาะหลุมละ 1 ต้น ให้ลึกประมาณ 2 ซม. กลบเมล็ดด้วยวัสดุเพาะชนิดเดียวกัน
รดน้ำให้ชุ่ม ก่อนนำไปวางไว้ในที่ร่ม รำไร ไม่ให้โดนแสงแดดจัดโดยตรง ในระหว่าง
การอนุบาลต้นกล้าแตงเทศ จะต้องรักษาความชื้นในวัสดุปลูกให้สม่ำเสมอ คงที่ ถ้า
วางไว้นอกโรงเรือน ในที่กลางแจ้งควรใช้ฟางข้าวคลุมเหนือผิววัสดุปลูกเพื่อช่วยเก็บ
ความชื้น ไม่ให้ระเหยออกไปจากวัสดุปลูกอย่างรวดเร็วจนทำให้วัสดุปลูกนั้นแห้งเร็ว
เกินไป รอจนกระทั่งเมล็ดเริ่มงอกและมีใบจริงสีเขียวจึงค่อยๆ ทะยอยเปิดฟาง
ข้าวออกให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีละน้อย ตามอายุการเจริญเติบโต
มิฉะนั้นต้นกล้าจะมีปล้องที่ยึดยาวหาแสงทำให้ลำต้นผอมบาง ไม่แข้งแรง และอย่า
ลืมว่าควรเพิ่มปริมาณน้ำที่ให้แตฃก่ต้นกล้าให้มากขึ้นเมื่อต้นกล้าโตขึ้นตามลำดับ
ขนาดของกระบะเพาะกล้าในปัจจุบันมีหลายขนาด สามารถเพาะกล้าให้เมล็ดงอกได้
ดีพอกัน แต่การเลืกกระบะที่มีขนาดใหญ่กว่าจะได้เปรียบตรงที่มีปริมาณวัสดเพาะต่อ
ต้นกล้าและได้ระยะห่างระหว่างต้นกล้าด้วยกันมากกว่าของกระบะที่มีขนาดเล็กกว่า
ทำให้ได้ต้นกล้าภายหลังการงอกที่ได้จากกระบะเพาะที่มีขนาดเล็กกว่า ขนาดของ
ต้นกล้าที่แข้งแรงพอที่จะย้ายปลูกได้ คือที่ใบจริงประมาณ 2-3 ใบ
การเตรียมแปลงปลูกและย้ายกล้า แตงเทศเป็นพืชที่มีราคาแพง โดยเฉพาะพันธุ์ที่มี
รสชาติดี เป็นที่ต้องการของตลาด จึงคุ้มค่ากับการปลูกทั้งในแปลงเปิดที่ลงทุนต่ำ
และในโรงเรือนที่ลงทุนสูง
การปลูกภายนอกโรงเรือน ก่อนอื่นควรมีการเก็บตัวอย่างดินจากแปลงที่จะปลูกไป
ตรวจเพื่อให้ทราบคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมี (โครงสร้างดิน ความเป็น
กรด-ด่าง ความเค็ม และปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในดิน) การเตรียมพื้นที่ควรเริ่มต้น
ด้วยการไถดะในระดับความลึกไม่น้อยกว่า 60 ซม. ซึ่งเป็นความลึกที่อย่างน้อย
ต้องมีให้รากแตงชอนไซหาอาหารได้สะดวก จากนั้นจึงทำการไถแป เพื่อย่อยดินให้
ละเอียด แต่ถ้าในกรณีที่เนื้อดินเป็นดินเหนียวจัดไม่ควรย่อยดินให้ละเอียดมากเกิน
ไปแล้ว จึงใส่ปูนขาวตามคำแนะนำของผลการวิเคราะห์ดิน(ถ้ามี) ต่อมาให้ทำการใส่
ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก ในอัตรา 1,500-2,000 กก.ต่อไร่ ทำการ
พรวนดินอีกครั้งเพื่อคลุกเคล้าให้ปุ๋ยคอกผสมกับดินให้ทั่ว ยกแปลงสูง 30 ซม.
หรือ 40 ซม. สำหรับฤดูฝน กว้างประมาณ 1-1.20 ม. มีความยาวตราความยาว
ของพื้นที่สำหรับการปลูกแบบแถวคู่ เว้นร่องน้ำกว้าง 0.80 ม. ก่อนปลูกใส่ปุ๋ยรอง
พื้นด้วยปุ๋ยเคมี 15-15-15 จำนวน 50 กก./ไร่ โดยโรยเฉพาะบนแปลง และพรวน
ดินเพื่อพลิกปุ๋ยลงสู่ดินล่าง หากต้องการป้องกันวัชพืช ควรคลุมแปลงด้วยพลาสติก
คลุมแปลงกลบชายพลาสติกด้วยดินข้างแปลงให้เรียบร้อย เจาะรูบนพลาสติกเป็ฯ 2
แถว ตามความยาวแปลง ระหว่างแถวห่างกัน 80 ซม. และระหว่างหลุมในแถวห่าง
กัน 0.5 ซม. ในพื้นที่ 1 ไร่ หรือ 1,600 ตร.ม. จะสามารถปลูกได้ 3,200 ต้น
สำหรับในพื้นที่ที่หาฟางข้าวได้ง่ายอาจใช้ฟางข้าวคลุมแปลงแทนการใช้พลาสติก
เพื่อการประหยัด ยกเว้นในฤดูฝนควรหลีกเลี่ยงการใช้ฟางคลุมดิน เพราะเสี่ยงต่อ
การเกิดโรคเน่าที่โคนต้นและระบบรากจากเชื้อราที่ติดมากับฟาง
การปลูกในโรงเรือน ในการปลูกแตงเทศในโรงเรือนช่วยให้สามารถปลูกแตงเทศได้
ในฤดูฝนโดยที่ไม่ต้องกลัวการระบาดของโรคทางใบ แต่ก็ต้องใช้การลงทุนที่สูงกว่า
จึงควรใช้เป็นวิธีการปลูกแตงเทศพันธุ์ที่มีราคาแพง เพื่อผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลง
ทุน วิธีการปลูกในโรงเรือนนั้นสามารถปลูกลงในดินหรือปลูกในวัสดุปลูกที่อยู่ใน
ภาชนะหรือกระถาง แต่การปลูกลงในกระถางจะมีข้อดีกว่าตรงที่ สามารถใช้ระยะ
ปลูกที่ชิดกว่าการปลูกลงดินและเป็นวิธีนี้ยังช่วยให้สามารถปลูกแตงเทศต่อเนื่องใน
ฤดูติดกัน เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องของการระบาดของโรคทางดินเนื่องจากปลูกใน
กระถางที่ใช้วัสดุปลูกที่มีความสะอาดหรือผ่านการฆ่าเชื้อให้ปลอดภัยมาแล้ว ใน
กรณีที่ปลูกมนกระถางขนาด 12 นิ้ว ให้วางกระถางแบบแถวคู่ ภายในแถวคู่ที่ระยะ
ห่างระหว่างกระถางในแถว 50 ซม. ระยะห่างภายในแถวคู่ 80 ซม. และระยะ
ระหว่างแถวคู่เท่ากับ 1.5 ม. ในโรงเรือนที่มีพื้นที่ 360 ตร.ม. จะปลูกได้ 1,000
ต้น วัสดุปลูกที่ใช้สามารถใช้ได้หลายชนิด ถ้าใช้วัสดุจากต่างประเทศ ได้แก่ พีทมอ
ส หรือ ภูมิส สามารถใช้วัสดุ ชนิดใดชนิดหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว หรือ ถ้าใช้วัสดุ
ภายในประเทศ เช่น ขุยมะพร้าว ถ่านแกลบ ทราย ให้นำผสมกันเสียก่อน ในอัตรา
เช่น ขุยมะพร้าว : ถ่านแกลบ : ทราย : ในอัตรา 1 : 1 : 1 เป็นต้น ไม่ควรใช้ขุย
มะพร้าว แกลบดิบ ทราย หรือถ่านแกลบ เพียงอย่างใด อย่างหนึ่งแต่เพียงอย่าง
เดียว เพราะวัสดุภายในประเทศเหล่านี้โดยตัวเองเพียงอย่างเดียว ยังไม่เหมาะ
สำหรับการปลูกพืช เมื่อเตรียมแปลงและหลุมปลูก หรือ กระถางบรรจุวัสดุปลูกเรียบ
ร้อยแล้ว ให้ทำการย้ายต้นกล้าแตงเทศที่เตรียมไว้ลงปลูก หลังปลูก รดน้ำให้ชุ่มเพื่อ
ให้ความชื้นแก่ต้นกล้าและให้ดินกระชับรากต้นกล้า
ในกรณีของการปลูกในโรงเรือนต้องวางระบบน้ำหยดและติดตั้งหัวน้ำหยดที่แต่ละ
กระถางปลูก การปฏิบัติดูแลรักษา แตงเทศเป็นพืชที่ต้องการการปฏิบัติเป็นพิเศษ
แตกต่างจากพืชอื่นๆ ในหลายขั้นตอน นับตั้งแต่การให้น้ำและใส่ปุ๋ย การขึ้นค้าง การ
ตัดแต่งกิ่ง
การผสมเกสรและการไว้ผล และการดูแลรักษาระหว่างการพัฒนาของผล ที่ถูกต้อง
เหมาะสมจึงจะให้ผลผลิตที่ดี ในต้นแตงเทศหนึ่งต้นจะปล่อยให้ติดลูกเพียงหนึ่งผล
เพื่อต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ผล ดังนั้น หากมี
การดูแลรักษาที่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้ไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นแตงเทศนั้นเลย
ทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง
การขึ้นค้าง แตงเทศเป็นพืชที่มีลำต้นเป็นเถาเลื้อย ในการใช้ระยะปลูกชิดแบบ
ปัจจุบันจึงต้องบังคับให้เถาแตงเลื้อยขึ้นด้านบนโดยการจัดค้างให้เถาแตงได้เกาะ
โดยหลังจากปลูกได้ประมาณ 14 วัน ต้องมีการปักค้างให้กับต้นแตงเทศ ไม้ค้างควร
มีความสูงจากผิวดินหลังการปักลงดินแล้วไม่น้อยกว่า 1.80 ซม. ในกรณีปลูก 2
แถว อาจผูกไม้ค้าง 2 ฝั่ง เข้าหาเป็นกระโจมเพื่อเพิ่มความแข้งแรงให้มากขึ้นก็ได้
และระหว่างไม้ค้างที่ปักในแนวตั้งให้ยึดด้วยไม้ค้างตามแนวนอนทั้งบนและล่างอีก
ตลอดความยาวของแปลง ไม้ค้างที่ใช้อาจเป็นไม้ไผ่รวก ไม้กระถิน หรือ อื่นๆ ที่หา
ได้ง่ายในท้องถิ่นและมีราคาถูก ต้นแตงเทศทุกต้นต้องมีที่ยึดเกาะให้ลำต้นเลื้อย
หากไม่สามารถลงทุนซี้อไม้ค้างให้กับต้นแตงทุกต้นได้ สามารถลดต้นทุนโดยการ
ปักไม้ค้าง้ป็นช่วงห่างกัน 2-2.5 ม. และหาเชือกไนลอนหรือเชือกอื่นที่มีความแข้ง
แรงพอที่จะรับน้ำหนักต้นแตงเทศได้ผูกโยงที่บริเวณปลายของไม้ค้างแต่ละอันให้ตึง
และบนเส้นเชือกตำแหน่งที่ตรงกับต้นแตงเทศให้ผูกเชือกห้อยลงมายาวจรดดิน ใน
การเริ่มต้นให้ต้นแตงเกาะกับหลักหรือเชือกจะต้องช่วยบังคับโดยการผูกต้นแตงกับ
หลักหรือเชือก ทุกๆ ข้อเว้นข้อ ก่อนในระยะแรก ถ้าเป็นเชือกให้เวียนเชือกรอบต้น
แตงด้วย เพื่อเชือกสัมผัสและรับน้ำหนักและพยุงต้นแตงเทศไว้ได้ การเลี้ยงลำต้น
และกิ่งแขนง หลังจากปลูกแตงเทศได้ระยะหนึ่ง ต้นแตงเทศจะเริ่มมีการแตกกิ่ง
แขนงออกมา ให้ปลิดกิ่งแขนงที่เกิดขึ้นต่ำกว่าข้อที่ 8 และสูงกว่าข้อที่ 12 ออกเสีย
โดยปลิดแขนงออกตั้งแต่ยังมีขนาดเล็กและปล่อยกิ่งแขนงที่เกิดขึ้นระหว่าง ข้อที่
8-12 ไว้ให้เป็นที่เกิดของดอกตัวเมียที่จะติดเป็นผลต่อไป
ทำการแต่งกิ่งแขนงโดยตัดปลายยอดทิ้งให้เหลือใบเพียง 2 ใบ เท่านั้น คือใบที่
ใกล้กับข้อแรกที่จะเกิดดอกตัวเมียหรือดอกสมบูรณ์เพศ และใบที่ข้อถัดขึ้นไป
ปล่อยให้มีดอกตัวเมียหรือดอกสมบูรณ์เกิดขึ้นเพียงแขนงละ 1 ดอก เท่านั้น และ
เมื่อต้นแตงเทศเจริญเติบโตจนถึง 25 ข้อ ให้ตัดปลายยอดของต้นออกเสีย เพื่อ
หยุดการเจริญเติบโตทางด้านลำต้น นอกจากนี้ให้เด็ดใบล่างสุดออกอีก 3-5 ใบ ที่
ไม่ค่อยได้รับแสงแดดออกไ เพื่อทำให้ต้นโปร่งเพิ่มการถ่ายเทของอากาศ ไม่ให้เกิด
การสะสมของความชื้นที่ชักนำให้เกิดโรคราต่างๆ
การผสมเกสรและการไว้ผล แตงเทศเป็นพืชที่มีดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่กันคนละ
ดอกแต่เกิด อยู่บนต้นเดียวกัน หรือบางพันธุ์มีดอกเพศผู้และดอกสมบูรณ์เพศอยู่บน
ต้นเดียวกันก็มี โดยดอกเพศผู้จะเกิดก่อนและเกิดเป็นช่อที่มุมระหว่างก้านใบกับลำ
ต้น หรือ ลำต้นกับกิ่งแขนง ส่วนเพศเมียหรือดอกสมบูรณ์เพศจะเกิดทีหลังและเกิด
เป็นดอกเดี่ยว ที่ข้อแรกหรือข้อที่สองของกิ่งแขนง โดยปกติแตงเทศเป็นพืชผสม
ข้าม จำเป็นที่ต้องที่การผสมเกสรจากภายนอกโดยแมลงหรือมนุษย์จึงจะติดเป็นผล
ได้ ดังนั้นในการปลูกแตงเทศจึงจำเป็นต้องมีการช่วยผสมเกสรให้กับดอกตัวเมียหรือ
ดอกสมบูรณ์เพศ การผสมเกสรต้องกระทำเมื่อดอกบาน ในตอนเช้า ตั้งแต่เวลา
06.00-10.00 น. ในขณะที่อากาศยังมีอุณหภูมิไม่ขึ้นสูง หลังจากนั้นดอกตัวเมีย
จะหุบไม่รับการผสมอีกต่อไป วิธีการผสมเกสรทำโดย นำเด็ดดอกตัวผู้ที่บานในวัน
นั้นจากต้นใดก็ได้ นำมาปลิดกลีบดอกออกให้หมดเหลือแต่ละอองเกสรตัวผู้ที่สังเกต
เห็นว่ามีละอองเกสรตัวผู้เกาะติดอยู่เต็มไปหมด แล้วนำมาคว่ำและเตาะลงที่ยอด
ของดอกตัวเมียหรือดอกสมบูรณ์เพศ ที่บานในวันนั้นให้ทั่วโดยรอบดอก ทะยอ
ยผสมเกสรให้ดอกตัวเมียหรือดอกสมบูรณ์เพศที่เกิดอยู่บนกิ่งแขนงที่เกิดบนข้อที่
8-12 ซึ่งจะบานไม่พร้อมกันจึงต้องใช้เวลาหลายวัน จึงจะผสมครบทั้ง 5 ดอก เมื่อ
เริ่มติดเป็นผลอ่อนขนาดเท่าไข่ไก่ จึงทำการเลือกผลที่สมบูรณ์ที่สุดไว้เพียงผล
เดียว โดยดูจากผลที่รูปร่างสมบูรณ์ไม่บิดเบี้ยว และมีขั้วผลที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่
เหลือให้ปลิดทิ้ง หลังติดผล 2 สัปดาห์ให้เริ่มใช้เชือกผูกที่ขั้วผลโยงไว้กับค้างเพื่อ
ช่วยพยุงและรับน้ำหนักผลที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อไปจากนั้นให้รีบห่อผลด้วย
กระดาษหนัวสือพิมพ์ให้มิดชิดเพื่อป้องกันการเข้าทำลายของแมลงวันทอง การให้
น้ำ ต้นแตงเทศเป็นพืชที่มีใบใหญ่คายน้ำมากจึงต้องการน้ำมากในแต่ละวัน นับจาก
หลังจากย้ายปลูกแล้ว ความต้องการน้ำของต้นแตงเทศจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง
แตงเทศเริ่มออกดอกและติดผลจะเป็นช่วงที่แตงเทศมีปริมาณความต้องการน้ำสูงที่
สุด การให้น้ำแก่แตงเทศจึงต้องเพิ่มปริมาณการให้น้ำแก่ต้นเพิ่มมากขึ้นทุกสัปดาห์
จนถึงระยะออกดอกและติดผลจึงให้น้ำในปริมาณที่คงที่ได้ ปริมาณน้ำที่ต้องให้แก่
ต้นแตงเทศนั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ถ้าปลูกแตงเทศในช่วงที่อากาศร้อนจัด ในฤดู
ร้อนจัดและอากาศแห้งแล้ง ความต้องการน้ำของต้นแตงเทศในช่วงเริ่มต้นหลังย้าย
กล้าอาจอยู่ในช่วง 0.5-1 ลิตร/ต้น/วัน และในช่วงที่กำลังออกดอกและติดผลอาจ
สูงถึงวันละ 2-3 ลิตร/ต้น/วัน อย่างไรก็ตาม ความต้องการน้ำของแตงเทศสามารถ
เปลี่ยนแปลงไปใบฤดูกาลเดียวกัน ยังแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ สำหรับวิธีการให้
น้ำแก่แตงเทศ สามารถทำได้หลายวิธี เช่นการปล่อยน้ำเข้าข้างร่องปลูกและปล่อย
ให้น้ำซึมเข้าสู่แปลงจากด้านข้าง ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่สิ้นเปลืองน้ำและแรงงาน
ปัจจุบันนิยมใช้ระบบการให้น้ำแบบหยดซึ่งเป็นการให้น้ำแก่ต้นแตงที่ในบริเวณราก
ของต้นแตงแต่ละต้นโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดน้ำกว่า และยังสามารถผสมปุ๋ย
และสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชบางชนิดลงไปในระบบน้ำหยดได้ด้วย แต่ต้องใช้
การลงทุนสูงในครั้งแรกแต่สามารถเก็บไว้ใช้ในฤดูกาลปลูกต่อๆไป การให้ปุ๋ย . การ
ใส่ปุ๋ยให้แก่แตงเทศที่ถูกวิธีและประหยัดนั้น ก่อนการให้ปุ๋ยแก่ต้นแตงเทศควรมีการ
ตรวจวิเคราะห์ดิน เพื่อหาความอุดมสมบูรณ์ของดินเสียก่อนว่ามีอินทรีย์วัตถุ ธาตุ
ฟอสฟอรัส ธาตุโปแตสเซียม ธาตุแคลเซียม และแมกนีเซียม ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
อยู่ในปริมาณเท่าใดก่อน จึงค่อยกำหนดปริมาณปุ๋ยที่จะใส่ให้แก่ดินที่ปลูกนั้นอีก
ครั้ง เนื่องจากความอุมสมบูรณ์ของดินในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน คำแนะนำใน
การให้ปุ๋ยแก่ต้นแตงเทศต่อไปนี้ จึงเป็นคำแนะนำทั่วไปสำหรับแปลงปลูกพืชที่ไม่มี
ผลการตรวจวิเคราะห์ดิน
การให้ปุ๋ยเคมีทางดิน ในระหว่างการเตรียมดินก่อนปลูก ได้มีการใส่ปุ๋ยรองพื้นให้แก่
ต้นแตงเทศครั้งหนึ่งแล้ว แต่หลังการย้ายปลูกต้องมีการใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มเติมอีกเป็น
ระยะๆ ในช่วงก่อนออกดอก ช่วงกำลังออกดอกและติดผลอ่อน และช่วงก่อนผลแก่
ดังนี้ หลังย้ายปลูก 7 วัน ให้ใส่ปุ๋ย 15-15-15 ที่โคนต้นแตงเทศในปริมาณ 15
กรัม/ต้น หรือ 50 กก./ไร่ เมื่ออายุประมาณ 25 วัน และ 50 วัน หลังย้ายปลูก โรย
ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 50 กก./ไร่ และเมื่ออายุ 65 วัน หลังย้ายปลูกใช้ปุ๋ย 15-
15-15 อัตรา 50 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ย 0-0-60 อัตรา 25 กก./ไร่ หว่านลงที่ร่อง
ระหว่างแปลงปลูก ก่อนการให้น้ำผ่านทางร่องแปลง
การให้ปุ๋ยเคมีทางน้ำ หากมีการใช้ระบบน้ำหยดกับการปลูกแตงเทศแล้ว ควรที่จะใช้
วิธีการให้ปุ๋ยทางน้ำแก่ต้นแตงเทศ เพราะเป็นวิธีที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ยดีที่
สุด ทำได้โดยการติดตั้งปั๊มปุ๋ยเข้าที่ส่วนต้นทางของระบบน้ำหยดก่อนเข้าสู่แปลง
ปลูก และผสมปุ๋ยลงในถังผสมขนาดใหญ่ 80-200 ลิตร เป็นต้น เมื่อจุ่มสายดูดจาก
ปั๊มปุ๋ยลงในถังผสมปุ๋ยและปล่อยให้ปั๊มทำงานเพื่อดูดปุ๋ยเข้มข้นขึ้นไปผสมกับน้ำที่
กำลังผ่านเข้าไปในแปลงปลูกสู่ต้นพืช กลายเป็นน้ำปุ๋ยเจือจางหยดให้กับต้นแตงเทศ
แต่ละต้น ในความเข้มข้นดังนี้ ธาตุไนโตรเจน (N) 150-200 มก./ลิตร ธาตุ
ฟอสฟอรัส (P) 30-50 มก./ลิตร และธาตุโปแตสเซียม (K) 150-200 มก./
ลิตร ในช่วงหลังของการพัฒนาของผล ควรเพิ่มความเข้มข้นธาตุอาหารโปแตสเซียม
ให้มากขึ้นอีกเล็กน้อยและลดความเข้มข้นของไนโตรเจนที่ให้ไปพร้อมกับน้ำลง เพื่อ
เพิ่มความหวานให้แก่แตงเทศก่อนการเก็บเกี่ยว
ปัจจุบันปุ๋ยน้ำสำเร็จรูปที่อยู่ในรูปผงที่ละลายน้ำได้มีการนำมาจำหน่ายแล้ว มีมาก
มายหลายสูตรแตกต่างกันไปตามบริษัทผู้ผลิต ในช่วงแรกของการเจริญเติบโตทาง
ใบและลำต้นก่อนการออกดอกติดผล ควรใช้สูตรปุ๋ยที่ให้ธาตุไนโตรเจนสูง เช่น 20-
20-20, 21-11-21, 10-10-20 หรือสูตรใกล้เคียง เป็นต้น แต่ภายหลังเมื่อเริ่ม
ออกดอกติดผลแล้ว ควรเปลี่ยนมาใช้สูตรปุ๋ยที่มีธาตุโปแตสเซียมสูงขึ้น เช่น 14-7-
28, 12-5-40 หรือสูตรใกล้เคียง เป็นต้น ความเข้มข้นในถังปุ๋ยที่จะทำการผสม
เพื่อดูดไปผสมกับน้ำแล้วได้ความเข้มข้น สุดท้ายเท่ากับที่ต้องการให้กับต้นแตงเทศ
นั้น จะขึ้นกับอัตราการดูดปุ๋ยของปั๊มปุ๋ย และอัตราการไหลของน้ำเข้าสู่แปลงปลูกซึ่ง
จะแตกต่างกันไป ตามชนิดและขนาดของปั๊มปุ๋ยที่ใช้ และอัตราการไหลของน้ำเข้าสู่
แปลง คำนวณจากจำนวนหัวน้ำหยดและอัตราการหยดต่อหัว
ในการนี้บริษัทผู้ขายปุ๋ยสามารถให้คำแนะนำในการผสมได้
การเพิ่มความหวานในผลก่อนเก็บเกี่ยว ก่อนการเก็บเกี่ยว 1 สัปดาห์ให้ค่อยๆ ลด
ปริมาณการให้น้ำแก่ต้นแตงเทศลงทีละน้อย จนถึง 2 วันก่อนเก็บเกี่ยว ให้ลดน้ำลง
จนกระทั่งต้นแตงปรากฎเกิดอาการเหี่ยวในช่วงกลางวัน การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่ม
เปอร์เซ็นต์น้ำตาลในผลแตงเทศและลดปัญหาการแตกของผลแตงเทศก่อนการเก็บ
เกี่ยว แตงเทศที่จัดว่ามีความหวานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เป็นที่ต้องการของตลาด ควรมีค่า
ความหวานอยู่ที่ประมาณ 14 องศาบริกซ์ ขึ้นไป หรืออย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 12
องศาบริกซ์ ยิ่งมีค่ามากยิ่งหวานมาก และเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
การเก็บเกี่ยว เมื่อผลแตงสุกแก่ จะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก คือ ในพันธุ์
ที่ผิวมีร่างแหจะพบว่าร่างแหเกิดขึ้นเต็มที่คลอบคลุมทั้งผล ผิวเริ่มเปลี่ยนสีและอ่อน
นุ่นลง และในบางพันธุ์เริ่มมีกลิ่นหอมเกิดขึ้น เกิดรอยแยกที่ขั้วจนในที่สุดผลจะหลุด
ออกจากขั้ว ในการเก็บเกี่ยวผลแตงเทศเพื่อการจำหน่ายจึงต้องเก็บเกี่ยว ในระยะที่
พอดี หากเก็บเร็วเกินไปจะได้ผลแตงที่อ่อนเกินไป รสชาติยังไม่หวานและมีน้ำหนัก
น้อย หากเก็บเกี่ยวล่าช้าไป ผิวและเนื้อภายในจะอ่อนนุ่มเกินไปไม่เหมาะสำหรับการ
เก็บรักษาและการจำหน่าย อายุเก็บเกี่ยวของแตงเทศที่เหมาะสมนั้นขึ้นกับพันธุ์ ซึ่งมี
ทั้งพันธุ์เบา ที่มีอายุการเก็บเกี่ยว 60-65 วัน หลังหยอดเมล็ด หรือ 30-35 วัน หลัง
ดอกบาน, พันธุ์ปานกลางมีอายุเก็บเกี่ยว 70-75 วัน หลังหยอดเมล็ด หรือ 40-45
วัน หลังดอกบาน พันธุ์หนักที่มีอายุเก็บเกี่ยวเกินกว่า 80-85 วันหลังเพาะเมล็ดหรือ
50-55 วัน หลังดอกบาน
นอกจากการนับจำนวนวันแล้ว การเก็บเกี่ยวแตงเทศยังสามารถดูจากลักษณะภาย
นอกได้ด้วย แตงเทศที่เริ่มสุกแก่เก็บเกี่ยวได้จะเริ่มมีกลิ่นหอมในพันธุ์ที่มีกลิ่มหอม
และมีรอยแยกที่ขั้วผลเกิดขึ้นแสดงว่าผลแตงกำลังจะหลุดร่วงจากต้นโดยทั่วไปมัก
จะเก็บเกี่ยวเมื่อเกิดรอยแยกประมาณ 50% หรือครึ่งหนึ่งของรอบขั้วผล ซึ่งเป็น
ระยะที่ผิวของผลแตงยังไม่อ่อนนุ่มจนเกินไป สามารถเก็บรักษาหรือขนส่งไป
จำหน่ายในตลาดได้โดยไม่กระทบกระเทือน และอยู่ตลาดได้อีกระยะหนึ่ง
การเก็บรักษา แตงเทศเป็นผลไม้สามารถเก็บเกี่ยวในระยะที่ผลพัฒนาเต็มที่แต่ยังไม่
ถึงระยะสุกงอมและนำมาบ่นให้สุกก่อนการบริโภคได้เช่นเดียวกับมะม่วง กล้วยและ
มะละกอ ดังนั้นถ้าหากเก็บเกี่ยวแตงเทศที่แก่แล้วนำมาวางเก็บไว้ในสภาพอุณหภูมิ
ห้อง (ประมาณ 27-30 องศาเซลเซียส) ผลแตงเทศจะเกิดการสุกงอม เนื้อผลอ่อน
และเน่าเสียในที่สุด ในเวลาอันสั้น หากต้องการเก็บรักษาแตงเทศให้คงสภาพเดิมไว้
ให้นานที่สุด
เพื่อรอการจำหน่ายหรือขนส่งไปจำหน่ายในสถานที่ห่างไกล ควรจะต้องเก็บแตงเทศ
ในสภาพที่มีอากาศเย็น ประมาณ 2-5 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์สูง
ถึง 95% จะสามารถยืดอายุการเก็บรักษาแตงเทศออกไปได้นานถึง 15 วัน ใน
ระหว่างการขนส่งและวางจำหน่ายหากสวมผลแตงเทศไว้ในถุงตาข่ายโฟมจะช่วย
ป้องกันการกระแทกระหว่างกัน กันให้เกิดรอยซ้ำได้
โรคและแมลง
โรคราน้ำค้าง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราชนิด Pseudoperonospora ชนิด หนึ่งซึ่ง
ระบาดในสภาพอุณหภูมิต่ำและมีความชื้นสูง อาการของโรคเกิดขึ้นบนใบเป็นแผลสี
น้ำตาลอ่อน มีเส้นใยของเชื้อราสีขาวหม่นเกิดขึ้นที่ใต้ใบบริเวณที่ตรงกับแผล เมื่อ
อาการรุนแรง ทำให้ใบแห้ง และเถาตายได้ ในขณะที่กำลังออกดอกติดผล เป็นโรค
ที่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับการปลูกแตงเทศในฤดูฝนของประเทศไทยที่มีสภาพแวด
ล้อมที่อำนวยต่อการระบาดของเชื้อโรค
การป้องกันก่อนการเกิดโรคในฤดูฝน ควรมรการฉีดสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา จำ
พวกมาเน็บ หรือ ไซเน็บ เป็นระยะๆ ทุกสัปดาห์ ถ้าหากพบว่าเชื้อราเข้าทำลายแล้ว
ควรควบคุมอาการของโรคด้วยสารเคมีกำจัดเชื้อราที่มีฤทธิ์ดูดซึม เช่น ริโดมิล
สำหรับต้นที่มีอาการรุนแรงแล้ว ควรถอนต้นทิ้งแล้วนำมาเผาไฟเสีย เพื่อป้องกันการ
เชื้อโรคแพร่กระจายออกไปมากยิ่งขึ้น
โรคเหี่ยวจากเชื้อฟูซาเลียม (Fusarium wilt) เกิดจากเชื้อราชนิด Fusarium ที่
อยู่ในดิน ทำให้ต้นแตงเทศเกิดอาการใบเหลืองและเหี่ยวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเชื้อ
โรคเข้าทำลายในท่อน้ำท่ออาหาร การรักษาทำได้ค่อนข้างลำบากเพราะเชื้อโรคอยู่
ในดิน เมื่อพบว่ามีต้นเป็นโรคนี้ ควรถอนต้นที่เป็นโรคทิ้ง การปรับค่าความเป็นกรด -
ด่าง ของดินให้มีค่าสูงขึ้น จะช่วยชลออาการของโรคนี้ได้ ถ้าพบว่าเกิดโรคนี้อย่าง
รุนแรงในพื้นที่ปลูกใด้
ควรงดการปลูกพืชในวงศ์แตงนี้ซ้ำในที่เดิมในฤดูติดกัน
โรคใบด่างจากเชื้อไวรัส ต้นแตงเกิดอาการใบด่างเหลือง หยักเป็นคลื่น ใบเล็กลง
ยอดตั้งขึ้น ทำให้แตงชะงักการเจริญเติบโต ไม่ออกดอกและติดผล ถ้าพบว่าเริ่มมีต้น
แตงเทศเป็นโรคนี้ ควรรีบถอนต้นนั้นทิ้ง และนำไปเผาทำลาย ในการป้องกันการเกิด
โรคนั้นต้องหลีกเลี่ยงการปลูกพืชชนิดอื่นในวงศ์แตงในบริเวณใกล้เคียง และ
พยายามกำจัดแมลงศัตรูพืชที่เป็นพาหนะของโรคนี้ คือ แมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ และ
เพลี้ยอ่อน โดยการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลง เป็นระยะๆ แต่ต้องงดการฉีดก่อนการ
เก็บเกี่ยว
โรคราแป้งขาว (Powdery mildew) เกิดจากเชื้อชนิดหนึ่ง ระบาดในสภาพ
อุณหภูมิและความชื้นสูง อาการเกิดบนใบ และผล ทำให้ใบกรอบเป็นสีน้ำตาล อาจ
เกิดร่วมกับโรคราน้ำค้าง ป้องกันกำจัดได้ด้วยการฉีดพ่นกำมะถันผง หรือ สารป้องกัน
กำจัดเชื้อราเบนโนมิล (Benomy)
แมลงศัตรูที่สำคัญ
เพลี้ยไฟ (Thrips) เป็นแมลงที่มีขนาดเล็กมากเท่าปลายเข็ม ตัวอ่อนมีสีแดง ตัวแก่
เป็นสีดำ ดูดน้ำเลี้ยงที่ปลายยอดอ่อนของต้น ทำให้ยอดชะงักการเจริญเติบโต หด
สั้น บิดเบี้ยว ระบาดมาในสภาพอากาศร้อนและแห้งของฤดูร้อน โดยมีลมเป็นพาหนะ
พาเพลี้ยไฟเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น ป้องกันกำจัดได้ด้วยการปลูกพืชที่กันชนที่ต้าน
ทานเพลี้ยไฟ เช่น มะระ ล้อมรอบแปลง และ ฉีดพ่นด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง
แลนแนท
ด้วงเต่าแตง (Leaf beatle) เป็นแมลงปีกแข้ง ลำตัวยาวประมาณ 1 ซม. ปีกมีสี
เหลืองปนส้ม กัดกินใบแตงให้แหว่งเป็นวงๆ ถ้าระบาดและทำความเสียหายให้กับใบ
จำนวนมาก ให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดแมลง เซฟวิน 85 หรือ ตั้งแต่ก่อนย้ายปลูก
ให้หยอดสารเคมีกำจัดแมลงชนิดดูดซึม คือ คาร์โบฟูราน หรือฟูราดาน ที่ก้นหลุม
ก่อนย้ายปลูก ซึ่งจะมีฤทธิ์ป้องกันแมลงต่างๆ ได้ประมาณ 45 วัน แต่ไม่ควรใช้สาร
ชนิดนี้อีกในระหว่างการเจริญเติบโตและติดผล เพราะจะตกค้างในผลผลิต เป็น
อันตรายต่อผู้บริโภค
หนอนชอนใบ (Leaf minor) เป็นแมลงตัวเล็กที่ชอนไชอยู่ใต้ผิวใบ กัดกินเนื้อใบ
เป็นทางยาวคดเคี้ยวไปทั่วทั้งผืนใบ โดยทั่วไปไม่พบว่ามีการระบาดมากในพืชตระกูล
แตงเท่าใดนัก แต่ในกรณีที่มีการระบาดมาก และเกิดขึ้นในระยะแรกของการเจริญ
เติบโตจะทำให้พื้นที่ใบเสียหายส่งผลให้กระทบกระเทือนต่อการเจริญเติบโตและให้
ผลผลิตต่อไปของต้นแตงเทศ วิธีการกำจัดต้องใช้สารเคมีชนิดดูดซึมเท่านั้นจึงจะได้
ผล เช่น อะบาเมคติน เป็นต้น แต่ไม่ควรฉีดในระยะก่อนเก็บเกี่ยว
แมลงวันผลไม้ (Melon fruit fly) เป็นแมลงที่ทำความเสียหายแก่ผลไม้มากที่สุด
ชนิดหนึ่ง ตัวเมียจะวางไข่ในผลไม้ใกล้สุก ทำให้เกิดตัวหนอนชอนไชอยู่ในผล ทำ
ให้เกิดแผล เน่าเสียราคา วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันคือการห่อผลก่อนที่ผลไม้จะสุก
แก่
http://www.fsseeds.net/index.php?mo=3&art=365988
http://www.fsseeds.net/index.php?mo=12&catid=57180
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 16/09/2010 9:12 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11657
|
ตอบ: 16/09/2010 8:54 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
บังคับเมล่อนได้ต้นละผล..สูตรเกษตรกรญี่ปุ่น
แม้พื้นที่การเกษตรทั้งระบบในประเทศญี่ปุ่น จะมีเพียงร้อยละ 12.9 จากพื้นที่ทั้ง
หมด 3.78 แสน ตร.กม.เท่านั้น แต่เกษตรกรชาวญี่ปุ่นได้เน้นผลผลิตทางเกษตรให้
มีคุณภาพเป็นหลัก ขณะเดียวกันอีกหลายประเทศที่มีพื้นที่การเกษตรอย่างมหาศาล
กลับเน้นในเรื่องของปริมาณมากกว่า อย่าง นายอิชิซูกะ ชิเกโนบุ เกษตรกรชาวเมือง
ฮามามัตซึ จ.ชิซึโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีไร่ "เมล่อน" เพียง 2 โรงเรือน ปลูกได้
680 ต้น ได้บังคับให้เมล่อนออกผลผลิตเพียงต้นละ 1 ผลเท่านั้น ทั้งนี้เพราะต้อง
การให้ผลเมล่อนมีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ
ไร่เมล่อนของนายอิชิซูกะอยู่ในพื้นที่รวมกับเกษตรกรรายอื่นอีก 4 ราย มีพื้นที่ทั้ง
หมดประมาณ 4 ไร่ มีโรงเรือนที่หุ้มด้วยพลาสติกหนาสำหรับปลูกเมล่อน 8 โรง
เรือน โดยแบ่งรายละ 2 โรงเรือน แต่ละโรงเรือนสามารถปลูกเมล่อนได้โรงเรือนละ
340 ต้น ภายใน 1 ปีสามารถหมุนเวียนปลูกเมล่อนได้ปีละ 4 ครั้ง เท่ากับ 1 ปี เก็บ
ผลผลิตเมล่อนได้ 2,720 ผลเท่านั้น
นายอิชิซูกะ บอกว่า การปลูกเมล่อนในระบบโรงเรือนหรือระบบปิด นอกจากจะ
ป้องกันแมลงศัตรูพืชได้แล้ว ยังสามารถป้องกันแสงแดดได้อีกด้วย เพราะเมล่อน
เป็นพืชที่ไม่ต้องการแดดจัด นอกจากนี้โรงเรือนยังสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ด้วย
เพราะแต่ละโรงเรือนจะมีเครื่องควบคุมอุณหภูมิทำความร้อนและเย็นได้
สำหรับการปลูกเมล่อนตามแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นนั้น หลังจากทำร่องเสร็จแล้ว ก็จะ
เพาะเมล็ดพันธุ์ก่อน เมื่อเมล็ดงอกออกมาได้พอประมาณจึงคัดเอาเฉพาะต้นที่
สมบูรณ์มา 2 ต้น โดยต้นหนึ่งเป็นต้นหลัก แล้วนำกิ่งจากอีกต้นมาทาบกิ่ง หลังจากที่
ต้นเมล่อนเจริญเติบโตและออกดอก ก็จะนำเกสรดอกตัวผู้มาผสมกับเกสรดอกตัว
เมีย จำนวน 2 ดอก ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5-9 ดอกต่อ 1 ต้นนั้น จะตัดทิ้งทั้ง
หมด
จากนั้นให้รอจนเมล่อนออกผล 2 ผล แล้วเลือกเอาผลที่สมบูรณ์ไว้เพียงผลเดียว
ส่วนอีกผลก็ตัดทิ้งไป ทั้งนี้เพื่อให้ต้นเมล่อนออกผลที่มีคุณภาพดีที่สุด กระทั่งผลเม
ล่อนแก่และสุก ก็จะมีพ่อค้ามารับซื้อหรือมาประมูลถึงไร่ ในราคาขั้นต่ำตามที่รัฐบาล
กำหนด เฉลี่ยแล้วหากซื้อจากไร่ผลละ 2,000-2,500 เยน (คิดเงินไทยผลละ
760-800 บาท) โดยแต่ละผลจะมีน้ำหนักผลละ 1.5-1.8 กก.
คำนวณจากที่นายอิชิซูกะ ปลูกเมล่อน 2 โรงเรือน 680 ต้น หมุนเวียนปลูกปีละ 4
ครั้ง เท่ากับปลูกเมล่อนได้ปีละ 2,720 ต้น แต่มีรายได้ตกปีละประมาณ 2 ล้านบาท
"คนญี่ปุ่นจะบริโภคอาหารหรือผลไม้ จะเน้นที่คุณภาพ ต้องมีความอร่อย สะอาด
ปลอดสารพิษ ฉะนั้นไร่เมล่อนของผมจะต้องเน้นคุณภาพ หากเน้นที่ปริมาณแต่ไม่มี
คุณภาพคนญี่ปุ่นก็จะไม่ซื้อกิน ต้องพึ่งเทคโนโลยีมาช่วย จะปลูกเท่าไรก็ไม่ขาดทุน
เพราะรัฐบาลเป็นผู้กำหนดราคาให้ ที่สำคัญประเทศญี่ปุ่นยังขาดแคลนผลผลิตทาง
เกษตรอีกมาก มีเท่าไรก็ขายได้ เพราะปัจจุบันรัฐบาลต้องนำเข้าผลผลิตทางการ
เกษตรจากต่างประเทศจำนวนมาก ตรงนี้ไม่ต้องกลัว" นายอิชิซูกะ กล่าว
ด้านนายธงชาติ รักษากุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวหลังจากที่พาคณะไปดู
ไร่เมล่อนของนายอิชิซูกะว่า ต้องยอมรับว่า วงการเกษตรของญี่ปุ่น
พัฒนาไปในลักษณะเกษตรอุตสาหกรรม มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพราะชาวญี่ปุ่น
นั้นเน้นในเรื่องผลผลิตที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง ฉะนั้นเกษตรกรชาวญี่ปุ่นจะเน้นใน
เรื่องคุณภาพเป็นหลัก ในขณะที่อีกหลายประเทศมักเน้นในเรื่องของปริมาณ จึงทำ
ให้เกิดปัญหาในการส่งออกมาตลอด ถึงเวลาแล้วที่เกษตรกรไทยต้องเน้นในเรื่อง
ของผลผลิตออกมาให้มีคุณภาพ โดยทางกรมส่งเสริมการเกษตรต้อง
รณรงค์และแนะนำเกษตรกรในเรื่องนี้ต่อไป
แหล่งข้อมูล: คม ชัด ลึก
http://www.melonthai.com/?news+view+00000027
www.melonthai.com/?news+view+00000027 - |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Yuth-Jasmine สาวดี่
เข้าร่วมเมื่อ: 05/07/2010 ตอบ: 384
|
ตอบ: 20/09/2010 9:57 pm ชื่อกระทู้: Re: แคนตาลูป........................ประสบการณ์ตรง |
|
|
kimzagass บันทึก: | ประสบการณ์ตรง :
สมาชิก "คุณติ๋ม" ประจวบคีรีขันธ์ (086) 276-3989 บนเนื้อที่ 1 ใน 3 ไร่
ปลูกแบบหมุนเวียนเพื่อ "พักดิน-ปรับปรุงดิน" ด้วยปรัชญาการเกษตร "ทำน้อยได้
มาก - ทำมากได้น้อย".......
ลุงคิมครับผม |
พอดีได้มีโอกาส โทรศัพท์ ไปสอบถาม "พี่ติ๋ม" น่ะครับ
คุณพี่เธอใจดีมากครับ อธิบายชี้แจงข้อสงสัยดีมากครับ
แต่ทีนี้พูดกันทางโทรศัพท์ ถ้าจะหูพังเสียก่อน
อย่ากระนั้นเลย ผมเลยสอบถามคุณพี่เธอว่า
จะขอไปเรียนปลูก แคนตาลูป กับเธอได้ไหม
คุณพี่สามีเธอยินดีครับ บอกว่าช่วงต้นเดือนหน้า
ถ้าว่างมาได้เลย สัก ๒ วัน ๑ คืน กำลังสวย
(แต่ก่อนคุณพี่กับสามี ทำไร่อ้อยน่ะครับ)
ไว้ใกล้ถึงเวลา ก็จะโทรไปยืนยันกับคุณพี่เธออีกครั้งน่ะครับ
ว่าจะให้ไปเรียนได้วันไหน เลยฝากข่าว พี่ ๆ น้อง ๆ ท่านใด
ที่สนใจ หากว่างต้นเดือนหน้า (พยายามจะให้เป็น เสาร์ - อาทิตย์)
จะร่วมไปเรียนการปลูกแคนตาลูปด้วยกันก็ได้น่ะครับ
ยังไงจะส่งข่าวให้ทราบเป็นระยะ ๆ ครับผม
ไอ้ยู้ดดดด...ครับผม |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
somchai หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 21/07/2009 ตอบ: 1281
|
ตอบ: 21/09/2010 7:07 am ชื่อกระทู้: |
|
|
ลงชื่อไว้รอ 1 คน ครับผม ต้องเสาร์-อาทิตย์ เท่านั้น ถึงจะไปได้ครับ
สมชาย กลิ่นมะพร้าว |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
may-etc สาวดอง
เข้าร่วมเมื่อ: 02/06/2010 ตอบ: 87 ที่อยู่: จันทบุรี
|
ตอบ: 21/09/2010 12:05 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ช่วงนี้ งานไม่เสร็จตามแผนเลยสักกะอย่าง ยังไงฝากท่านพี่ช่วยศึกษาแทน ผู้น้อย
ขอจัดการสวนให้เข้าที่เข้าทางสักพัก จะไปขอความรู้จากพี่ด้วย เมื่อวานพึ่งได้กิน
มา หวานกรอบมากเลยค่ะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
Sap14 สาวดอง
เข้าร่วมเมื่อ: 28/03/2010 ตอบ: 21
|
ตอบ: 02/10/2010 9:22 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
ไปด้วยคนนะคุณยุทธ ส่งข่าวอีกนะว่าจะไปวันไหน
วิมค่ะ |
|
กลับไปข้างบน |
|
|
|