kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11625
|
ตอบ: 11/12/2012 4:32 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
นาข้าวแปลงนี้เป็นนาข้าวแบบ อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของต้นข้าว
พันธุ์ปทุม1 นาปี น้ำบริบูรณ์ นายืม ฯลฯ... ใช้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงที่ผ่าน การตรวจ
ปริมาณ/ชนิด ของสารอาหาร (อินทรีย์สาร) จากกรมวิชาการเกษตร .... ให้ปุ๋ยเคมี ทาง
ใบ/ทางราก สูตรและอัตราใช้ ตรงกับระยะพัฒนาการของต้นข้าว
นาข้าว สูตร ก.....ทำกับมือ
แรงบันดาลใจ :
พูด-พูด-พูด ในรายการวิทยุ ก็ว่า .................................. ทำเกษตรหลังไมค์
เขียน-เขียน-เขียน หนังสือ ก็ว่า ................................... ทำเกษตรบนแผ่นกระดาษ
ทีวี-ทีวี-ทีวี ครั้งสองครั้ง ก็ว่า ...................................... ทำเกษตรบนจอ
อ้าง-อ้าง-อ้าง คนทำสำเร็จ ก็ว่า ................................... ทำนาบนหลังคนอื่น
ตัดสินใจขอยืมแปลงนาท้ายไร่กล้อมแกล้มของคนรู้จักกัน เนื้อที่ 5 ไร่ ทำนาซะเลย สิ้นเรื่องสิ้นราว....
เงื่อนไข :
@ เจ้าของนา : ออกทุนค่ารถดำ, เลือกพันธุ์ข้าว, คุมน้ำ เข้า-ออก (ตามสั่ง), ให้ยืมเครื่องมือ. ออกทุนค่าเกี่ยว.
@ คนขอยืม : ออกค่าน้ำมันย่ำเทือก, ออกค่าปุ๋ยทางใบ-ทางราก, ค่าสารสมุนไพร, ค่ากำจัดวัชพืช, ค่าแรงงาน.
@@ ผลผลิตที่ได้ : เป็นของเจ้าของนา
ประวัติดิน :
- ทำนาข้าวมาตั้งแต่เจ้าของนาเกิด
- นาข้าว 3 รุ่นสุดท้ายที่ผ่านมา ไถกลบฟาง
- ใช้ยาฆ่า ยาคุมหญ้า
- ใช้ 46-0-0 สลับ 16-20-0 อย่างละ 1 กระสอบต่อไร่
- ใช้สารเคมีกำจัดแมลง
- ได้ข้าว 70-80 ถัง/ไร่
- ควบคุมน้ำ เข้า-ออก ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เพราะชลประทานดี
หน้าดินเรียบเสมอกันทั้ง 5 ไร่
- แต่ละกระทง (หมายถึง พื้นที่ในกรอบสี่เหลี่ยมคันนา) ไล่ระดับจากสูงไปต่ำเล็กน้อย พอให้ระบายน้ำจากกระทง
สูงไหลสู่กระทงต่ำได้ดี
ขั้นตอนดำเนินการ :
เตรียมแปลง...... (เริ่มหลังจากเกี่ยวข้าวเรียบร้อย)
- เกลี่ยฟางที่กองทับบนตอซังออกให้กระจายเสมอกันเพื่อฟางจะได้แห้งเท่าๆกัน.
ทิ้งฟางตากแดด 15 วันแดดจัด ฟางแห้งสนิท
- เอาน้ำเข้าลึกเสมอตาตุ่มหรือต่ำกว่า เพื่อล่อให้วัชพืชและพืชที่ไม่ต้องการทุกชนิดงอกขึ้นมา
- ทิ้งไว้ 10 วัน สำรวจแปลง เห็นชัดว่าฟางเริ่มเปื่อย ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าจากฟาง ตอซังเริ่มเขียวเพราะได้น้ำ วัชพืช/
หญ้า/เมล็ดข้าวร่วง เริ่มงอก
- ระดับน้ำ ณ วันนี้ลดลงเหลือเพียงติดผิวดิน (เจ๊าะแจ๊ะ)
หมายเหตุ : กรณีมีน้ำบริบูรณ์ สามารถสูบน้ำเข้านาได้ทันที และต้องการทำนาต่อโดยไม่เว้นช่วง ทำตามวิธีนี้ได้
เลย.....หากไม่มีน้ำหรือต้องเว้นช่วงการทำนา เว้นช่วงกี่เดือนก็สุดแท้ หลังเกี่ยวข้าวเสร็จ เริ่มด้วยเกลี่ยฟางพอ
สมควรก่อน, ไถดินด้วยผานสามให้ได้ขี้ไถใหญ่ๆ, ไถพลิกให้ฟางลงไปอยู่ไต้ดินขี้ไถ, ทิ้งขี้ไถตากแดดไว้อย่าง
นั้น, เมื่อถึงช่วงหรือฤดูกาลทำนาใหม่ก็ให้สูบน้ำเข้าระดับเหนือตาตุ่มหรือครึ่งหน้าแข้ง แล้วเริ่มทำตามขั้นตอนต่อ
ไปได้ ..... การไถกลบฟางแล้วทิ้งไว้ไต้ขี้ไถ ปล่อยตากแดดจนดินแห้ง จะช่วยให้ดินร่วนดี ตีเทือกจะได้ขี้เทือกดี
กับฟางไต้ขี้ไถก็จะถูกจุลินทรีย์ประจำถิ่นเข้าย่อยสลายด้วย.....การไถพลิกกลับดินเช่นนี้ไม่สามารถกำจัดวัชพืชได้
ตรงกันข้าม วัชพืชจะเจริญเติบโตดีกว่าเก่า เพราะได้รับการพรวนดินให้และได้ระยะพักตัว แต่งานนี้จะได้ฟางหรือเศษ
ซากต้นวัชพืชที่ถูกย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยบำรุงดิน....
ทำเทือก + กำจัดวัชพืช + ใส่ปุ๋ยรองพื้น :
ย่ำเทือกครั้งที่ 1 :
- ใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (3 ล) +16-8- 8 (10 กก.)/ไร่.....ผสมทั้งสองอย่างในน้ำ 100 ล.
ให้ละลายเข้ากันดี แล้วเดินสาดให้ทั่วแปลง
- สูบน้ำเข้าลึกเหนือตาตุ่ม แต่ต่ำกว่าครึ่งหน้าแข้ง
- ใช้อีขลุบหรือลูกทุบลงย่ำ .... ย่ำแบบประณีต 3 รอบต่อกระทง
- ย่ำแล้วทิ้งไว้ 7 วัน
หมายเหตุ : วิธีสาดปุ๋ยน้ำหมักฯ + ปุ๋ยเคมี สาดแรงๆ ให้กระจายตกลงพื้นทั่วแปลงสม่ำเสมอกันดีๆ ระหว่างที่ลูก
ทุบหรืออีขลุบวิ่งไปจะช่วยกวาดปุ๋ยน้ำหมักฯ + ปุ๋ยเคมี ให้กระจายตัวอีกครั้ง.....วัชพืชประเภทเกิดจากเมล็ด
เมื่อถูกย่ำจนเสียหายแล้วจะงอกอีกไม่ได้ (งอกได้ครั้งเดียว) แต่วัชพืชที่เกิดจากหัวหรือไหลงอกใหม่ได้ วัชพืช
ประเภทนี้ เมื่อใบถูกทำลายจะสร้างใบใหม่ขึ้นมา ระหว่างรอการสร้างใบใหม่จะกินอาหารจากหัวหรือไหลที่
สะสมไว้ ครั้นใบถูกทำลายหลายๆรอบ ก็ต้องกินอาหารที่สะสมหลายๆรอบเช่นกัน จนสารอาหารที่สะสมหมด ก็
จะแตกใบใหม่ไม่ได้ หัวหรือไหลจะเน่า เมื่อนั้นวัชพืชประเภทนี้จะหมดสิ้นไปเอง
ย่ำเทือกครั้งที่ 2 :
- สำรวจแปลงพบว่ามีหญ้าวัชพืชราว 1 ใน 4 ของจำนวนทั้งหมดเมื่อเทียบกับก่อนย่ำครั้ง 1 กับระดับน้ำลดลงเล็กน้อย
- สำรวจขี้เทือกด้วยการเดินย่ำให้ทั่วแปลง เพื่อดูว่า ขี้เทือกลึกเท่ากันทั่วแปลงหรือไม่ ถ้าบริเวณใดขี้เทือกลึกน้อย
กว่าบริเวณอื่นจนผิดสังเกตุ ให้สาดปุ๋ยน้ำหมักฯ (ไม่ + 16-8- 8 ) 1 ล. ผสมน้ำพอสาดสบายๆ เน้นสาดทับลง
เฉพาะบริเวณขี้เทือกตื้น เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์
- สำรวจการเน่าเปื่อยของฟาง ด้วยการหยิบขึ้นมาดม ถ้ามีกลิ่นเหม็นเน่า นั่นคือ ก๊าซไฮโดรเจน ซัลไฟด์ หรือก๊าซ
ไข่เน่า สาเหตุของอาการต้นข้าวเน่าตอซัง ปัญหานี้แก้ไขโดยการให้เวลาแก่จุลินทรีย์ นั่นคือ หมักดินนานขึ้น
ถ้าไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าแสดงว่า ไม่มีก๊าซไฮโดรเจน ซัลไฟด์.
- ลงมือย่ำครั้งที่ 2 ด้วยอีขลุบหรือลูกทุบเดิม ย่ำแบบประณีต 3 รอบต่อกระทง
- ย่ำแล้วทิ้งไว้ 7 วัน
ย่ำเทือกครั้งที่ 3
- สำรวจแปลงพบว่ามีหญ้าวัชพืชราว 1 ใน 10-20 ของจำนวนทั้งหมดเมื่อเทียบกับก่อนการย่ำครั้งที่ 1 ระดับน้ำ
ลดลงเล็กน้อย
- สำรวจขี้เทือกด้วยการเดินย่ำให้ทั่วแปลงอีกครั้ง เพื่อดูว่าขี้เทือกลึกเท่ากันทั่วแปลงหรือไม่ ถ้ายังมีบริเวณใดขี้
เทือกลึกน้อยกว่าบริเวณอื่นอยู่อีก คราวนี้ไม่ต้องใส่เพิ่มปุ๋ยน้ำหมักฯ แต่เตรียมแผนการหมักต่อให้นานขึ้น เพื่อให้
เวลาแก่จุลินทรีย์ทำการย่อยสลายดินให้
- สำรวจการเน่าเปื่อยของฟาง เพื่อพิสูจน์ทราบก๊าซไฮโดรเจน ซัลไฟด์.
- ลงมือย่ำครั้งที่ 3 ด้วยอีขลุบหรือลูกทุบเดิม ย่ำแบบประณีต 3 รอบต่อกระทง
- ย่ำแล้วทิ้งไว้ 7 วัน
หมายเหตุ :
- ก่อนลงมือย่ำเทือกรอบที่ 3 ให้วิเคราะห์จำนวนต้นวัชพืชตั้งแต่ก่อนลงมือย่ำครั้งแรกกับก่อนลงมือย่ำครั้งที่ 3 ว่า
จำนวนวัชพืชลดลงมากน้อยเพียงใด ถ้ายังพอมีและต้องการให้เทคนิคการย่ำเทือกเป็นการทำลายวัชพืชได้ผลอย่าง
แท้จริง ก็ให้เน้นการย่ำครั้งที่ 3 ให้ประณีตยิ่งๆขึ้น หาไม่แล้วจะต้องย่ำครั้งที่ 4 ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน
- ชาวนาทั่วไป ทั้งทำนาแบบไถกลบฟาง และทำนาแบบเผาฟาง หลังจากปล่อยน้ำเข้าแล้วจะไถดินด้วยรถไถ
โรตารี่ก่อน 1-2 รอบ ทิ้งไว้ 7 วัน แล้วจึงย่ำเทือกด้วยอีขลุบหรือลูกทุบ
- การย่ำเทือกด้วยอีขลุบหรือลูกทุบ ก็ย่ำรอบเดียวในแต่ละกระทง ย่ำไม่ทั่ว (ไม่ประณีต) เหตุนี้ นอกจากดิน
จะไม่แหลกละเอียดเป็นขี้เทือก (เลน) แล้ว บรรดาหญ้าวัชพืชที่ยังอยู่ในดิน ก็จะงอกขึ้นมาใหม่ เลยต้องใช้ยาฆ่า
ยาคุม
สิ่งที่ได้จากงานนี้ :
- คนงานที่ทำเทือกเล่าให้ฟังว่า ไม่ไถก่อน แต่ให้ย่ำเทือกดิบๆเลยจะได้ผลรึ .... ให้ย่ำซ้ำครั้งละ 3 รอบต่อกระทง
น่าจะสิ้นเปลืองน้ำมัน สิ้นเปลืองแรงงาน และเสียเวลา แต่ไม่กล้าแย้งเพราะนั่นเป็นคำสั่ง กระทั่งย่ำครบ 3 ครั้ง
แล้ว จึงมาบอกแล้วยอมรับว่า ได้ขี้เทือกดีกว่าไถก่อนแล้วจึงย่ำ ชนิดเทียบกันไม่ได้เลย.....
- ย่ำเทือก 3 รอบ ห่างกันรอบละ 1 อาทิตย์ เท่ากับใช้เวลา 2 อาทิตย์
หมายเหตุ : หากจะเพิ่มรอบในการย่ำอีกเป็น 4-5 รอบ ก็จะช่วยกำจัดหญ้าวัชพืชได้เด็ดขาดแน่นอนยิ่งขึ้น และเมื่อมี
การควบคุมหญ้าวัชพืชจากแหล่งอื่นไม่ให้เข้ามาในแปลงได้ นาข้าวรุ่นต่อๆไปก็จะกำจัดพืชได้ง่ายขึ้น หรืออาจทำ
เทือกเพียงรอบเดียวแล้วดำเลยก็ได้ ...... นาข้าวที่ผ่านการไถกลบฟางมาแล้ว 2-3 ครั้ง ก่อนลงมือทำต่อด้วยวิธีไถ
กลบฟางอีก ให้นึกถึงภาพขี้เทือกรุ่นที่แล้วว่า มีความลึกมากน้อยเพียงใด ถ้านารุ่นที่แล้วได้ขี้เทือกลึกครึ่งหน้าแข้งแล้ว
ให้หยุดการไถกลบฟาง เพราะหากไถกลบฟางลงไปอีก จะทำให้ขี้เทือกลึกถึงหัวเข่า ส่งผลให้การดำ การเข้าไปทำงาน
ในแปลง ทำได้ยาก กับตอนเกี่ยวข้าวดินไม่แห้งทำให้รถเกี่ยวลงไม่ได้ ดังนั้น ขี้เทือกรุ่นใหม่นี้ควรใช้เพียงเศษซาก
รากเหง้ากอข้าวก็พอ ส่วนฟางก็เอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น รุ่นหน้าค่อยว่ากันใหม่......
- ย่ำเทือกครั้งที่ 3 แล้วสำรวจแปลงพบว่า หญ้า/วัชพืช/ข้าวงอก มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับก่อนย่ำครั้งแรก
พิสูจน์กลิ่นฟาง เพื่อดูก๊าซไฮโดรเจน ซัลไฟด์. เป็นครั้งสุดท้ายก่อนลงมือดำ
- ขี้เทือกลึกประมาณครึ่งหน้าแข้งตามต้องการ (.....ขี้เทือกสำคัญที่สุด ขี้เทือกลึกครึ่งหน้าแข้ง ข้าวจะโตดีกว่าขี้เทือก
ลึกแค่ตาตุ่ม .....ถ้าขี้เทือกยังลึกไม่ถึงครึ่งหน้าแข้ง ให้ใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 เปล่าๆ 2 ลิตร/
ไร่ ใม่ต้อง +ปุ๋ยเพิ่ม แล้วหมักดินต่ออีก 7-10 วัน ก็จะดีขึ้นด้วยจุลินทรีย์ที่ใส่เพิ่ม.....)
- ดินมีกลิ่นหอม
- เนื้อดินมีเศษฟางปนมาก
- ไม่ต้องไถ
- ไม่ต้องยาฆ่าหญ้า
ได้เทือกชั้นดีสำหรับนาข้าว
การกำจัดวัชพืชขณะต้นข้าวอยู่ในแปลง :
- กำจัดวัชพืชในแปลงนาใช้วิธีถอนด้วยมือ เมื่อต้นข้าวโตถึงระยะแตกกอ พร้อมถอนแยกข้าวปนส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งจะมอง
เห็นต้นวัชพืช และลักษณะต้นข้าวปนชัดเจน
วัชพืชบนคันนาขึ้นหนาแน่น......ใช้วิธีตัดด้วยเครื่องตัดหญ้า ทิ้งหญ้าลงในแปลงให้เน่าเปือย หรือเอาไปเลี้ยงสัตว์
- วัชพืชบนคันนาขึ้นไม่หนาแน่น..... เมื่อวัชพืชเริ่มออกดอก ใช้ไม้เรียวฟาดก้านดอกให้หัก ป้องกันดอกแก่กลายเป็นผล
แล้วปลิวเข้าไปอยู่ในเนื้อนา
หมายเหตุ : ไม่มียาฆ่าหญ้าใดในโลกที่ใช้ตามอัตากำหนดข้างขวดแล้วฆ่าหญ้าได้ตายสนิท 100% อย่างก็แค่ใบไหม้
เท่านั้น ไม่ช้าไม่นานก็งอกใหม่ โตและงามกว่าเก่า.....ไม่มีจุลินทรีย์ใดในโลกที่ฆ่าหญ้าข้าวนกในขณะที่ต้นหญ้าข้าวนก
ยังเขียวอยู่ได้ แต่ถ้าหญ้าข้าวนกนั้นตายแล้ว นั่นแหละจุลินทรีย์จึงจะย่อยสลายได้ เป็นการย่อยสลายเศษซากพืชตาม
ปกตินั่นเอง.....หญ้ากับต้นข้าวเป็นพืชตระกูลเดียวกัน เมื่อต้นข้าวสัมผัสกับยาฆ่าหญ้าแล้ว แม้ว่าใบจะไม่ไหม้เหมือน
หญ้า แต่ต้นข้าวก็ชงักการเจริญเติบโตไปด้วยอย่างน้อย 7-10 วัน ซึ่งจะส่งผลเสียแต่พัฒนาการของต้นข้าวด้วย....การ
ถอนควบคู่กับการระวังเมล็ดหญ้าจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่แปลงนา จึงเป็นมาตรการกำจัดหญ้าวัชพืชที่ได้ผลที่สุด
การดำนาด้วยเครื่องดำนา :
- ข้าวสายพันธุ์แตกกอดี ดำห่าง 30 x 30 ซม. .... ข้าสายพันธุ์แตกกอไม่ดี ดำห่าง 20 x 20 ซม.
เตรียมดำซ่อมบริเวณที่ น้ำลึก + ขี้เทือกลึก เพราะตัวจับต้นกล้าของเครื่องดำนาปักกล้าลงไม่ถึงพื้น
การดำซ่อมควรทำให้เสร็จสิ้นภายใน 3-5 วัน เพื่อให้ต้นข้าวโตทันกัน เป็นรุ่นเดียวกัน
หมายเหตุ : ต้นข้าวสายพันธุ์แตกกอดี แม้จะปลูกห่างแต่เมื่อแตกกอออกมาแล้ว ต้นข้าวแต่ละกอจะชิดกันเอง ใน
ขณะเดียวกัน หากต้นข้าวสายพันธุ์แตกกอดีแล้วดำชิด เมื่อต้นข้าวแตกกอออกมาจะเบียดชิดกัน.....ต้นข้าวที่ขึ้น
ห่างจะได้รับแสงแดดเต็มที่ ส่งผลให้การสังเคราะห์อาหารดี ต้นจะสมบูรณ์แข็งแรง ให้ผลผลิตดี และโรคแมลง
น้อย ในขณะเดียวกัน ต้นข้าวที่ขึ้นชิดจนเบียดกัน จะได้รับแสงแดดไม่เต็มที่ ส่งผลให้การสังเคราะห์อาหารไม่ดี
ต้นจะไม่สมบูรณ์แข็งแรงเท่าที่ควร ให้ผลผลิตไม่ดี และโรคแมลงมาก
การบำรุง :
ระยะกล้า + เตรียมความพร้อมต้น :
- ให้น้ำ 200 ลิตร + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + ไบโออิ 100 ซีซี. + 18-38-12 (1 กก.) + ยูเรีย จี. 500 กรัม +
สารสมุนไพร 1 ลิตร......ให้ครั้งที่ 1 เมื่อกล้าอายุ 20 วัน ให้ครั้งที่ 2 เมื่อกล้าอายุ 30 วัน และให้ครั้งที่ 3
เมื่ออายุกล้า 40 วัน
- สำหรับเนื้อที่ 5 ไร่
ฉีดพ่นให้เปียกใบมากๆ
หมายเหตุ : ปกติการใช้ น้ำ 100 ล. + ปุ๋ยทางใบ 100 ซีซี. + อื่นๆ ด้วยการปรับหัวฉีดให้เป็นละอองละเอียด
มากๆ ฉีดตามลมแบบโฉบผ่าน พอให้สัมผัสใบนั้น จะได้เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่..... หากปรับเปลี่ยนมาเป็นใช้ น้ำ
200 ล. +ปุ๋ยทางใบ และอื่นๆอัตราเดิม ปรับหัวฉีดให้เป็นละอองไม่ต้องละเอียดมาก ฉีดตามลมแบบให้สัมผัส
ใบจนเปียกโชก แล้วให้ได้เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เท่ากัน แม้น้ำที่ใช้ผสมมากขึ้นแต่เนื้อปุ๋ยเท่าเดิม จึงช่วยให้ต้นข้าวได้
รับปุ๋ยเต็มที่หรือได้รับมากกว่าฉีดแบบโฉบผ่าน.....ทั้งนี้ ปุ๋ยทางใบจะผ่านปากใบได้ดี ในสภาพที่ใบเปียก นั่นเอง
ระยะแตกกอ + ใส่ปุ๋ยแต่งหน้า/กระทุ้งแตกกอ :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 (2 ล.) + 16-8-8 (10 กก.) ผสมน้ำตามความสดวกในการทำงาน
- ฉีดลงดินผ่านต้นข้าวให้ทั่วทุกตารางนิ้ว มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (ปุ๋ยน้ำชีวภาพฯ อัตราใช้ขนาดนี้ถูกใบข้าว ไม่เป็น
อันตรายต่อต้นข้าว)
ควบคุมระดับน้ำเหนือตาตุ่มเล็กน้อย ถ้าน้ำมากต้นข้าวจะสูงแข่งกับน้ำ (....น้ำน้อยๆ อาจถึงระดับหน้าดินแห้ง
ต้นข้าวจะแตกกอได้ดีกว่าน้ำมากๆ .... นาดำแตกกอดีกว่านาหว่าน....ข้าวนาดำต้นใหญ่ รวงใหญ่ โรคน้อย .....
ข้าวนาหว่านต้นเล็ก รวงเล็ก โรคมาก....ข้าวนาดำ ต้นได้รับแสงแดดเต็มที่ เมล็ดลีบน้อย น้ำหนักดี เมล็ดแกร่งใส
ไม่เป็นท้องปลาซิว แต่ข้าวนาหว่าน ต้นได้รับแสงแดดไม่เต็มที่ เมล็ดลีบมาก น้ำหนักไม่ดี เมล็ดไม่แกร่งใส เป็น
ท้องปลาซิวมาก)
ระยะตั้งท้อง + สารลมเบ่ง :
- ให้น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + ไทเป 100 ซีซี. + 0-52-34 (1 กก.) + ยูเรีย จี. 500 กรัม +
สารสมุนไพร 2 ล.
- สำหรับเนื้อที่ 5 ไร่
ฉีดพ่นให้เปียกใบโชกๆ
เริ่มให้เมื่อลักษณะต้นข้ามกลม
ควบคุมระดับน้ำเหนือตาตุ่มเล็กน้อย ถ้าน้ำมากต้นข้าวจะสูงทำให้ออกรวงน้อย
หมายเหตุ : การใช้ 0-52-34 +เพิ่มในฮอร์โมนไข่ไทเป จะช่วยให้ต้นหยุดการเจริญเติบโตทางสูง แต่จะเจริญ
เติบโตทางข้างแทน ทำให้ต้นข้าวไม่ล้ม......มีนกอีแอ่นถลาลม แมลงปอ บินโฉบฉวัดเฉวียนอยู่เหนือแปลงข้าว
แสดงว่ามีแลงแม่ผีเสือ จึงสุ่มสำรวจก็พบว่า หนอนกอ กำลังเกิดแต่ยังไม่ระบาดตัดสินใจใช้ สารสกัดกลอย
เดี่ยวๆ ฉีดพ่น 3 ครั้ง ห่างกันวันเว้นวัน คราวนี้ทั้งนกทั้งแมลงปอ ย้ายไปโฉบเฉี่ยวเหนือนาแปลงข้างๆ แสดงว่า
แม่ผีเสืออพยบหนีไปที่นั่น
ระยะออกรวง + สร้างเกสร :
- ให้น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + เอ็นเอเอ 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + สารสมุนไพร 2 ล.
- สำหรับเนื้อที่ 5 ไร่
ฉีดพ่นให้เปียกใบมากๆ
- เริ่มให้เมื่อต้นข้าว 1 ใน 4 ของทั้งแปลง เริ่มแทงหางแย้หรือหางปลาทูขึ้นมาให้เห็นยาวประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ หรือ 1 ซม.
- ให้ 1 ครั้ง
- เอ็นเอเอ.ช่วยให้เกสรสมบูรณ์ ผสมติดดี ทำให้ได้เมล็ดข้าวมากกว่าไม่ได้ให้
ควบคุมระดับน้ำเหนือตาตุ่มเล็กน้อย ถ้าน้ำมากต้นข้าวจะสูง สารอาหารที่ได้รับจะไปเลี้ยงต้นมากกว่าเลี้ยงดอก
หมายเหตุ : ให้ เอ็นเอเอ 1 ครั้ง จะช่วยให้ได้ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น 15-25% เมื่อเทียบกับไม่ได้ เนื่องมาจาก
จำนวนดอกโดยเกสรมีการผสมติดมากขึ้นนั่นเอง......ช่วงที่ต้นข้าวออกรวงเต็มที่ กำลังรอการผสมเกสร เรียกว่า
ตากเกสร ไม่ควรฉีดสารใดๆ เพราะจะทำให้เกสรเปียก ผสมไม่ติดได้
ระยะน้ำนม + สร้างแป้ง/เพิ่มน้ำหนัก :
- ให้น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู 200 ซีซี. + ไบโออิ 50 ซีซี. + ยูเรก้า 50 ซีซี. + สารสมุนไพร 2 ล.
- สำหรับเนื้อที่ 5 ไร่
ฉีดพ่นให้เปียกใบมากๆ
- ให้ 3-4 ครั้ง แบ่งช่วงการให้ตามความเหมาะสม โดยให้ครั้งสุดท้ายก่อนเกี่ยว 10-15 วัน
- ควบคุมระดับน้ำเหนือตาตุ่มเล็กน้อย
- ก่อนเกี่ยว 10-15 วัน สูบน้ำออกเพื่อให้ดินแห้ง และลดความชื้น
หมายเหตุ : ระยะน้ำนมนี้หากใบข้าวไม่เขียวเข้มจริง หรือต้องการให้ใบข้าวเขียวเข้มขึ้นไปอีก ให้เพิ่ม ยูเรีย จี ลง
ไป 500 กรัม ต่อการให้ทางใบในบางครั้ง หรือให้ทุกครั้ง ตามอัทธยาศรัย.....การให้ น้ำ 200 ล. + น้ำส้มสายชู
200 ซีซี. + นมสด 200 ซีซี. 1 ครั้ง ก่อนเกี่ยว 5-7 วัน สามารถช่วยลดความชื้นในข้าวเปลือกได้ 3-5% ....
เกี่ยวข้าว + รับเงิน (เข้าบ้าน หรือ ใช้หนี้) :
- มีผู้สนใจมาดูประมาณ 100 คน มีชาวบ้าน 2-3 คนที่มาเข้ามากระซิบ ลุงครับ-ผู้พันครับ คนนั้นเป็นเกษตรจังหวัดฯ
คนโน้นเป็นเกษตรอำเภอฯ ข้างหลังนั่นเกษตรตำบลฯ ปลอมตัวเป็นชาวบ้านมาดู เห็นแล้วร้อง อื้อฮือ เลยครับ.... คิด
ในใจ ทำต้องปลอมตัวมาด้วย (วะ) น่าจะเข้ามาคุยกัน ขอเทคนิคนาข้าว หรือไม่ก็เอาเกษตรกรชาวนามาเรียนรู้ที่นี่ซะก็ได้
สงสัย กลัวเสียเหลี่ยม
- ได้ข้าว 127 ถัง
- วันนั้นถ้าส่งขายที่โรงสีจะได้เกวียนละ 6,000 แต่มีคนสนใจขอซื้อไปทำข้าวพันธุ์ ให้ราคาเกวียนละ 9,000 โดยไม่
ต้องตากแดด ลดความชื้นก่อน.....คนที่รับซื้อไป พอถึงบ้าน เช้าวันรุ่งขึ้นเท่านั้น มีคนมาขอซื้อต่อ (รู้ข่าวจากรายการ
วิทยุ) ทันที ให้ราคาเกวี่ยนละ 12,000 ขาดตัวไม่พอขาย
หมายเหตุ : ก่อนเกี่ยว ถ้าให้แคลเซียม โบรอน. จะทำระแง้คอรวงเหนียว เครื่องเกี่ยวจะสลัดเมล็ดไม่ค่อยหลุด.....ก่อน
เกี่ยวควรตรวจสอบ "อายุเก็บเกี่ยว" ประจำสายพันธุ์ให้แน่นอน แล้วลงมือเกี่ยวตามกำหนดนั้น หรือตรวจสอบด้วยการ
สุ่มตัวอย่างมาแกะดูแป้งในเมล็ดก่อน หาไม่แล้วข้าวจะแก่เกิน กรอบและร่วงง่าย......ผลจากการให้แม็กเนเซียม. ทั้งทาง
รากและทางใบ สม่ำเสมอ จะทำให้ข้าวใบเขียวถึงวันเกี่ยว ลักษณะเหมือนต้นข้าวยังแก่ไม่จัด แบบนี้ให้สุ่มตรวจสอบเมล็ด
ล่างสุดของรวง 5-10 รวง ในแต่ละกระทง ถ้าเป็นเมล็ดเต็ม แข็งแกร่ง ถือว่าแก่แล้ว ให้เกี่ยวได้ แต่หากยังเป็นน้ำนม
แสดงว่ายังแก่ไม่เต็มที่ ให้เลื่อนวันเกี่ยวออกไป.....สังกะสี. ที่ให้ทั้งทางรากและทางใบ คือผู้ช่วยสร้างแป้ง ทำให้คุณ
ภาพเมล็ดข้าวดี
หมายเหตุ : ข้อความในหมายเหตุทุกหมายเหตุ เป็นทั้งข้อมูลเดิมที่เคยมี กับข้อมูลใหม่ได้รับมา
จาก สมช.ที่ทำตามแนวทางนี้ แล้วแจ้งผลมาให้ทราบ จึงเป็นข้อมูล UP DATE ที่สุด ณ วันนี้
เกษตรานุสติ + ชาวนารอด ประเทศไทยรอด :
- ปุ๋ยน้ำหมักระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า. ไม่ใช่ของวิเศษ ที่ใช้แล้วต้องได้ผลเหมือนลุงคิมใช้ เพราะในธรรมชาติ
ของต้นข้าวต้องมี ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก อื่นๆประกอบด้วย....ดินคุณดินลุงคิม-น้ำคุณน้ำลุงคิม-อากาศอุณหภูมิ
บ้านคุณอากาศอุณหภูมิบ้านลุงคิม-อื่นๆของคุณของลุงคิม ไม่เหมือนกัน ผลการใช้ปุ๋ยจึงออกมาไม่เหมือนกัน เพราะฉนั้น
ต้อง ทัมใจ อย่าเล็งผลเลิศ อย่าเป็น คิมมิสซึ่ม ที่แน่ๆ คือ ให้ดีกว่าไม่ได้ให้หน่อยนึงก็แล้วกัน
- ต้นข้าวไม่รู้จัก ยี่ห้อ รู้จักแต่ส่วนผสมในเนื้อปุ๋ยเท่านั้น เพราะฉนั้น ใช้ปุ๋ยยี่ห้อไหนก็ได้ ที่มีส่วนผสมตรงกับความ
ต้องการที่แท้จริงของต้นข้าว
- ลุงคิมก็ โกหก คนเป็นเหมือนกัน (ชอบด้วย) เพระฉนั้น อย่าเชื่อลุงคิม แต่จงเชื่อตัวเอง เชื่อคนในกระจก....หรือทั้ง
ตัวเอง ทั้งคนในกระจก ก็เชื่อไม่ได้ ล่ะ
- นาข้าว เทือก คือตัวบ่งชี้ดิน เทือกดี = ดินดี -- เทือกไม่ดี = ดินไม่ดี......ดินดี ใส่ปุ๋ยเคมีน้อย = ข้าวดี -- ดิน
ไม่ดี ใส่ปุ๋ยเคมีมาก = ข้าวไม่ดี.....งานวิจัยของ IRRI ระบุ ข้าวต้องการปุ๋ยเคมีเพียง 20 กก.ธาตุหลัก เท่านั้น ที่เหลือ
ต้องการธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน และอื่นๆ ..... นาข้าวใส่ปุ๋ยเคมี 20 กก.ธาตุหลัก ได้ 100 ถัง ครั้นใส่ปุ๋ยเคมี 100 กก.
ซึ่งมากกว่า 5 เท่า แล้วทำไมไม่ได้ 500 ถัง
- ได้ผล/ไม่ได้ผล จงวิเคราะห์ที่ 6 ปัจจัยพื้นฐาน โดยเอามาจับกับหลัก สมการเกษตร จากนั้น ปรับ/แก้ ให้ตรง
กับต้นข้าว แล้วจะพบคำตอบว่า ใช่/ไม่ใช่ อย่างแน่แท้
จงอย่าปักธงหวังเอาผลผลิตมากๆ แล้วเพิ่มต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี-สารเคมี แต่จงรอเวลาให้ดินคืนสภาพดีเสียก่อน แล้วจะได้
ผลผลิตเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ ต้นทุนน้อยนิด.....ต้นพืชไม่รู้จักต้นทุน หากต้องการผลผลิตที่ดีทั้งปริมาณและคุณภาพ จำเป็นต้อง
ให้เขาได้กินสารอาหารที่ เพียงพอ-ถูกต้อง-เหมาะสม เท่านั้น
นาข้าวหรือเกษตรอินทรีย์ที่ล้มเหลว เป็นเพราะในอินทรีย์นั้นไม่มีสารอาหารพืชหรือมีน้อยจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ของพืช ..... พิจารณาซิ อินทรีย์ที่ว่านั้น ทำมาจากอะไร ? กรรมวิธีในการทำเป็นอย่างไร ? มีสารอาหารชนิดใด ?
มีปริมาณเท่าได ? ใช้เท่าใด ? ใช้อย่างไร ? หาไม่แล้วจะกลายเป็น อินทรีย์-อินทรีย์ อินทรีย์ตกขอบ
- เตรียมใจให้พร้อมสำหรับการพบกับสารพัดสารพันปัญหา พบปัญหาแล้วแก้ไขแบบ เลยตามเลย-ไหนก็ไหน ไปก่อน
แล้วเตรียมป้องกันสำหรับนารุ่นหน้า ...... ทำเถอะ ทำแล้ว 3 รุ่นนั่นแหละ จึงจะเห็นทาง
- สำคัญสุดเหนืออื่นใจ คือ เปิดใจ รับข้อมูลข่าวสาร อย่า SHUT IN ตัวเอง อย่าคิดว่า รู้แล้ว-รู้แล้ว อย่างเด็ด
ขาด.....มิตรที่ดีที่สุด คือ ตัวเอง และ ศัตรูที่ภัยที่สุด คือ ตัวเอง.....
...................................................เอวัง..............................................
. |
|