หน้า: 1/5
............... สับปะรด ................
ลำดับเรื่อง....
1. สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี
2. การคำนวนต้นทุน
3. การปลูกสับปะรด
4. การฉีดสารเอทธิฟอนบังคับการออกดอกในสับปะรด
5. ประโยชน์ของสับปะรด
6. แปลก! ผลเป็นสตรอเบอร์รี่ รสชาติเป็นสับปะรด
7. “สับปะรดภูเก็ต” ขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว
8. สับปะรดผลสด ผลไม้ทำเงินของเกษตรกร
9. แผนงานวิจัยและพัฒนาสับปะรด
10. ชนิดของสารที่ใช้บังคับให้สับปะรดออกดอก
11. การปลูกและการดูแลรักษา
12. พันธุ์และวิธีการขยายพันธุ์สับปะรด
13. การขยายหัวสับปะรด
14. แนะเก็บสับปะรดให้ถูกเวลา
15. ธาตุอาหารที่จำเป็นและการใช้ปุ๋ยเคมีในสับปะรด
----------------------------------------------------------------------------------------------------
|
สวนเพชรรุ่งเรือง ยืนหยัดปลูก 1. สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี สับปะรดแกะเนื้อกินได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก สร้างรายได้มาต่อเนื่องยาวนาน
พานิชย์ ยศปัญญา panit@matichon.co.th
เรื่องราวของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ซึ่งวิจัยโดยศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณชนนานพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ราวปีสองปีมานี่เอง ชื่อเสียงของสับปะรดพันธุ์นี้ ดังระเบิดเถิดเทิง
ในงานเกษตรมหัศจรรย์ วันเทคโนโลยีชาวบ้าน ครั้งที่ 2 ณ ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ บางแค เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ผู้จัดงานมีตัวอย่างไปแสดงเพียงน้อยนิด แต่ผู้เข้าชมงานมีความต้องการซื้อจำนวนมาก
หลังงานเลิก จึงขออาสาไปพิสูจน์แปลงปลูก เพื่อนำเรื่องราวมาให้ทราบกัน ใครสนใจก็แวะซื้อหาได้ ซึ่งจะระบุที่อยู่ เบอร์โทร.ไว้ ให้ทราบ
เริ่มต้นจากอาชีพรับจ้าง....ปัจจุบัน มีพื้นที่ปลูกกว่า 200 ไร่
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ออกเผยแพร่สู่เกษตรกรผู้ปลูกนานแล้ว แต่คนสนใจปลูกไม่มากนัก ทราบว่า บางคนปลูกแล้วไถทิ้ง แต่มีเกษตรกรอยู่รายหนึ่ง ที่เริ่มต้นจาก จำนวน 100 ต้น ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกอยู่ 20 ไร่ จำนวน 1.5 แสนต้น เกษตรกรที่ว่าคือ คุณรุ่งเรือง ไล้รักษา อยู่บ้านเลขที่ 136 หมู่ที่ 11 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เดิมคุณรุ่งเรือง เป็นคนอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เข้าไปอยู่ที่ตำบลหินเหล็กไฟเมื่อปี 2515 เขาเริ่มอาชีพรับจ้างทั่วไป จากนั้นเก็บเงินซื้อที่ดินภายในครอบครัวได้ 32 ไร่
เมื่อมีที่ดิน อาชีพเริ่มต้นคือทำพืชไร่ จนกระทั่ง ปี 2526 จึงปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียเพื่อส่งโรงงาน จากการทำงานอย่างจริงจัง คุณรุ่งเรืองเก็บเงินซื้อที่ดิน ทีละเล็กทีละน้อย ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกสับปะรดกว่า 200 ไร่
นอกจากปลูกสับปะรดอย่างจริงจังแล้ว คุณรุ่งเรือง ยังเป็นคนที่ใฝ่หาความรู้ เมื่อปี 2541 ราคาสับปะรดส่งโรงงานตกต่ำมากถึง 3 ปีซ้อน กิโลกรัมละ 1.60 บาท คุณรุ่งเรือง พยายามหาสายพันธุ์สับปะรดสายพันธุ์ใหม่มาปลูก เขาสอบถามไปหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นทางใต้ ทางเหนือ ทางตะวันออก แต่สุดท้ายมาพบที่ใกล้ๆ บ้านเขานั่นเอง คือสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี วิจัยโดยศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบุรี ตั้งอยู่ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ชื่อใหม่ของสถานที่แห่งนี้ อย่างเป็นทางการคือ "ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี" ยังขึ้นตรงกับสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คุณรุ่งเรืองได้ต้นพันธุ์สับปะรดลงปลูกที่แปลงของตนเอง จำนวน 100 ต้น จากนั้นเขาได้ขยายออกจนมีพื้นที่ปลูกมากขึ้น เพื่อนๆ คุณรุ่งเรืองที่ไปด้วยกัน 4 คน ขยายได้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่พื้นที่ปลูกมีอยู่ราว 1 งาน
หลังมีผลผลิต เกษตรกรรายนี้นำผลผลิตไปจำหน่ายที่ตลาดหัวหิน เขาขายได้กิโลกรัมละ 10 บาท ส่วนสับปะรดทั่วไปราคาไม่ถึง 2 บาท ช่วงนั้นการนำเสนอให้กับลูกค้า เป็นการปอกเปลือกอย่างสับปะรดทั่วไป ไม่ได้แกะตาอย่างทุกวันนี้ แต่ก็ได้รับความสนใจ เพราะจุดเด่นของสับปะรดพันธุ์นี้ อยู่ที่เนื้อสีเหลืองสวย รสชาติหวาน
มั่นใจ จึงขยายเพิ่ม
คุณรุ่งเรือง บอกว่า ตนเองได้ปลูกสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เปรียบเทียบกับสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียที่ส่งโรงงาน รวมทั้งขายผลสด โดยใช้ปัจจัยการผลิตเท่ากัน ผลที่ออกมา สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี รสชาติดีกว่า
เกษตรกรรายนี้ อธิบายคุณสมบัติของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ว่า ผลสวย มีเอกลักษณ์ตรงที่ปลายผลเจริญไม่เต็มที่ แต่ไม่ถือว่าเป็นข้อเสีย เพราะทรงผลสม่ำเสมออยู่แล้ว ตรงนี้อาจจะเป็นข้อดี ทำให้มีการปลอมปนไม่ได้
"สับปะรดเพชรบุรี เวลาสุก จะสุกพร้อมกันทั้งลูก แต่พันธุ์อื่นเริ่มสุกจากโคนผลก่อน ทำให้ความหวานไม่สม่ำเสมอ...สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เนื้อแห้ง กรอบ ไส้กรอบกินได้หมด เนื่องจากมีกรดน้อย จึงไม่กัดลิ้น" คุณรุ่งเรือง บอก
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง ที่ฮือฮามากคือ สับปะรดสายพันธุ์นี้ สามารถแกะเนื้อกินได้ ทีละตา โดยไม่จำเป็นต้องปอกเปลือก
เมื่อมีผลผลิต เจ้าของนำผลผลิตไปทดลองตลาด ปรากฏว่าผลตอบรับดี จึงปลูกเรื่อยมา รวมระยะเวลาปลูกจริงจังกว่า 10 ปีมาแล้ว
สับปะรดขยายพันธุ์โดย
หนึ่ง...หน่อดิน เป็นหน่อที่แตกชิดกับพื้นดิน เจริญเติบโตเร็ว
สอง...หน่ออากาศ อยู่ที่โคนขั้วผล เมื่อนำไปปลูกเจริญเติบโตและให้ผลผลิตเร็ว
สาม...หน่อตะเกียง อยู่ใต้ผล เจริญเติบโตรองจากหน่ออากาศและหน่อดิน
สี่...จุก ใช้ทำพันธุ์ได้ แต่ช้ากว่าส่วนอื่น
เจ้าของบอกว่า หน่อที่มีขนาดใหญ่ หลังปลูก 8 เดือน ให้ดอกได้ หน่อขนาดกลาง 9 เดือน ให้ดอกได้ หน่อขนาดเล็ก 10 เดือนให้ดอกได้
การนำหน่อลงปลูก เจ้าของจะคัดขนาดให้มีความใกล้เคียงกัน เช่น หน่อใหญ่ แยกต่างหาก หน่อกลาง แยกต่างหาก เพราะจะง่ายต่อการจัดการ เช่น การให้ปุ๋ย รวมทั้งการบังคับให้ออกดอก ในแปลงหากต้นต่างกัน มีต้นใหญ่ ต้นเล็ก การออกดอกจะไม่สม่ำเสมอ
เกษตรกรรายนี้ ปลูกสับปะรดเก็บผลผลิตครั้งเดียวแล้วไถปลูกใหม่ เพราะจะง่ายต่อการจัดการ เกษตรกรบางรายปลูกเก็บผลผลิต 1-2 ปี โดยอาศัยหน่อแตกขึ้นมาใหม่ๆ คล้ายๆ การปลูกอ้อย
คุณรุ่งเรือง อธิบายวิธีการเตรียมดินว่า เมื่อเก็บผลผลิตเก็บหน่อ จะตีป่นเปลือกและต้น พร้อมกับใส่ปุ๋ยหมักที่สั่งซื้อจากนครปฐม จำนวน 1 ตัน ทิ้งไว้ 3-6 เดือน บางคราวก็ปีหนึ่ง เมื่อถึงเวลาปลูกก็ไถแล้วยกร่อง โดยทำแปลงกว้าง 40 เซนติเมตร ส่วนทางเดินกว้าง 80 เซนติเมตร ปลูกสับปะรดแถวคู่ ระยะระหว่างต้น 28 เซนติเมตร ระหว่างแถว 40 เซนติเมตร ไร่หนึ่งปลูกได้ราว 8,000 ต้น
ตั้งแต่ปลูก จนบังคับให้ออกดอก หรือเรียกว่า "ฟอร์ซ" ใช้เวลา 8 เดือน ตั้งแต่ปลูก จนเก็บผลผลิตได้ ใช้เวลา 12-14 เดือน สับปะรดมีราคาแพงสุดในรอบปี อยู่ราวเดือนสิงหาคม
เจ้าของบอกว่า สามารถปลูกสับปะรดเดือนไหนก็ได้ ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าแล้ง แต่ปลูกหน้าแล้ง อย่างเดือนเมษายนดีที่สุด เพราะการจัดการง่าย เช่น การเตรียมดิน ปลูกแล้วก็ไม่ต้องรดน้ำ รอจนฝนตกต้นสับปะรดไม่ตาย
หลังปลูก เมื่อดินมีความชื้นบ้าง เจ้าของจะฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดวัชพืช ที่เรียกว่า "ยาคุมหญ้า"
หลังปลูกได้ 2 เดือน จึงให้ปุ๋ยทางใบ ที่ประกอบด้วย ยูเรีย 45 กิโลกรัม เหล็ก 5.6 กิโลกรัม สังกะสี 1.5 ขีด และโพแทสเซียม 1.5 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1,500 ลิตร ฉีดพ่นให้ 5 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 เดือน
ส่วนผสมอย่างเหล็กและสังกะสี เขามีจำหน่ายตามร้านเคมีเกษตร ไม่ใช่ว่าสังกะสีไม่มีแล้วไปตัดสังกะสีมุงหลังคามาใช้ ผู้สนใจใช้ตามอย่างเกษตรกรรายนี้ ไปถามตามร้าน เขาสามารถบอกได้
ผ่านการให้ปุ๋ยทางใบครั้งสุดท้ายได้เดือนหนึ่ง ใส่ปุ๋ยทางดินที่โคนต้น จำนวนต้นละ 1 ช้อนกาแฟ สูตร 16-16-16
เมื่อปลูกได้ 10 เดือน ก็ถึงเวลาบังคับให้สับปะรดออกดอกพร้อมกันทั้งสวน เมื่อก่อนนิยมใช้ถ่านแก๊ส ผสมน้ำหยอดที่ยอดสับปะรด ปัจจุบันเกษตรกรบอกว่า ช้า ไม่ทันใจ
วิธีการใหม่ในการบังคับ ที่เกษตรกรเรียกว่า ฟอร์ซ ประกอบด้วยสารอีทีฟอน 900 ซีซี ยูเรีย 27 กิโลกรัม โบรอน 7 ขีด ผสมน้ำ 1,500 ลิตร ฉีดพ่นไปที่ต้นสับปะรด เจ้าของพ่นให้ราว 2 ครั้ง ห่างกัน 5 วัน แต่ครั้งหลังไม่ผสมโบรอน หลังจากฟอร์ซไป 1 เดือน จะเริ่มมีดอกโผล่ออกมา เมื่อดอกโผล่ได้ 3 เดือน สับปะรดก็เริ่มสุกแก่ เก็บผลผลิตจำหน่ายได้
พื้นที่ปลูกสับปะรดของคุณรุ่งเรือง 20 ไร่ มีจำนวน 1.5 แสนต้น เจ้าของจะฟอร์ซทีละ 5,000 ต้น ห่างกัน 1 สัปดาห์ ก็จะมีผลผลิตเก็บอย่างต่อเนื่อง
การดูแลรักษา ก่อนเก็บผลผลิตเป็นเรื่องสำคัญ
เจ้าของแนะนำว่า หลังสับปะรดออกดอกได้ 2 เดือน เจ้าของให้ปุ๋ยทางใบ สูตร 7-12-34 เป็นปุ๋ยเกล็ด โพแทสเซียมซัลเฟต จำนวน 7.5 กิโลกรัม และอาหารเสริมไมเทค (มีธาตุอาหาร 12 ชนิด) ผสมน้ำ 1,500 ลิตร ฉีดพ่นให้ 2 ครั้ง
การห่อผลเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อผลสับปะรดอายุได้ 3 เดือน ก่อนเก็บราว 1 เดือน นั่นเอง ต้นทุนการห่อนั้นเจ้าของบอกว่า ตกผลละ 15 สตางค์
"ต้องห่อ ไม่รู้ว่าแดดจะแรงเมื่อไหร่ ลงทุน 15 สตางค์ ดีกว่าเสียไป 40-50 บาท กระดาษที่ใช้ เป็นหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ มติชน ก็ได้ กระดาษหนาๆ ไม่ดี เพราะซื้อมาเป็นกิโลฯ กระดาษหนาเปลือง" คุณรุ่งเรือง บอก
พื้นที่แถบคุณรุ่งเรืองทำสวนอยู่ เป็นดินทราย แต่เป็นเรื่องประหลาด ผืนดินแถบนั้น มีไว้สำหรับปลูกสับปะรดจริงๆ เพราะผลผลิตที่ได้รสชาติหวานล้ำลึก
ตลาดไปได้ดี
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เป็นพืชพรรณที่เยี่ยมยอด ผลผลิตมีรสชาติดี แต่การปลูกและดูแลรักษาต้องดีพอสมควร
มีสิ่งดีๆ แล้ว ดูแลรักษาไม่ดี สิ่งที่มีอยู่ก็คงมีค่าไม่มาก อย่างเช่น นักฟุตบอล มีรองเท้ายี่ห้อเดียวกับ เวย์น รูนีย์ นักเตะสุดฮ็อต ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ คริสเตียโน โรนัลโด้ ของรีลมาดริด แต่ไม่ฝึกซ้อม ก็คงไม่มีประโยชน์
กรณีการนำสับปะรดพันธุ์นี้ไปปลูกก็เช่นกัน หากดูแลไม่ดี ผลอาจจะมีขนาดเล็กลง รสชาติก็หวานสู้ที่เดิมไม่ได้
โดยรวมแล้ว สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ได้ผลผลิตต่อไร่ 7 ตัน สับปะรดปัตตาเวียได้ผลผลิตมากกว่า แต่เมื่อจำหน่ายแล้ว สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ได้เงินมากกว่า
เจ้าของเล่าว่า ก่อนฟอร์ซ ผู้ปลูกสับปะรดจะรู้เลยว่า สับปะรดที่ตนเองปลูกอยู่จะได้น้ำหนักผลเท่าไร อย่างต้นสับปะรดมีน้ำหนัก 3 กิโลกรัม เมื่อมีผลออกมา จะได้น้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม หากต้นสับปะรดมีน้ำหนัก 4 กิโลกรัม เจ้าของจะได้น้ำหนักผล 2 กิโลกรัม เอาสองหารน้ำหนักต้นนั่นเอง ที่ได้ตัวเลขแบบนี้ การดูแลต้องดีพอสมควร
สิ่งหนึ่งที่เป็นผลพลอยได้ค่อนข้างดี ในการปลูกสับปะรดก็คือ การจำหน่ายหน่อ พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกสับปะรด 8,000 ต้น เมื่อเก็บผลผลิต เจ้าของจะแต่งใบ เพื่อให้หน่อเจริญเติบโต หลังจากเก็บผลผลิตแล้ว 2 เดือน จึงเก็บหน่อจำหน่ายได้ สับปะรด 1 ต้น ให้หน่ออยู่ที่ 3-5 หน่อ
การซื้อขายสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ปัจจุบันนี้ คุณรุ่งเรือง บอกว่า ซื้อง่าย ขายคล่อง เมื่อปี 2541-2542 จำหน่ายได้กิโลกรัมละ 10 บาท ปัจจุบันขายได้เพิ่มขึ้น
สำหรับผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ผลผลิตมีจำหน่ายเป็นช่วงๆ ที่ตลาด อ.ต.ก. สอบถามได้ที่ร้าน "พรหมภัสสร" ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฟ้า และที่ตลาด บอง มาร์เช่ ร้าน "เมตตา"
สำหรับ คุณรุ่งเรือง ติดต่อได้ตามที่อยู่ และเบอร์โทร. (085) 299-6701 ส่วนกรุงเทพฯ ติดต่อที่ คุณกุ้ง ลูกสาวคุณรุ่งเรือง โทร. (085) 185-4261 และ คุณติ๊ก (084) 426-2676
แปลงปลูกสับปะรดของคุณรุ่งเรือง มีชื่อว่า "สวนเพชรรุ่งเรือง" การเดินทางไปสวนแห่งนี้ไม่ยาก
ไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านอำเภอเมืองเพชรบุรี บ้านลาด ท่ายาง ก่อนเข้าชะอำ มีถนนบายพาสไปปราณบุรี เลี้ยวไปตามบายพาส จะไปพบสี่แยก ทางที่จะไปตำบลหนองพลับ น้ำตกป่าละอู วัดห้วยมงคล หลวงปู่ทวดใหญ่ที่สุดในโลก
เลี้ยวขวาไปสักพัก มีสี่แยก หากเลี้ยวซ้ายเข้าวัดห้วยมงคล ให้เลี้ยวขวาไป จะพบที่ทำการ อบต.หินเหล็กไฟ สวนเพชรรุ่งเรือง อยู่เลยไปนิดเดียว เขามีป้ายบอกชัดเจน ส่วนหลังคาบ้านสีเขียว
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี....แกะผลกินได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก
กรมวิชาการเกษตรวิจัยสับปะรด "พันธุ์เพชรบุรี" หรือที่รู้จักกันว่า "สับปะรดไต้หวัน" มีลักษณะเด่น บริเวณปลายผลคอดเล็ก ตาค่อนข้างใหญ่และนูนเล็กน้อย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกกินได้ทันทีไม่ต้องปอก รสหวาน หอมแรง และเนื้อกรอบ กำลังได้รับความนิยมอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ได้ให้มีการพัฒนาพันธุ์สับปะรดกว่า 10 ปี จนกระทั่งได้สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี หรือที่เรียกกันว่า สับปะรดไต้หวัน ที่กินได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งปอกเปลือกเหมือนเช่นสับปะรดทั่วไป ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากตลาดอย่างมาก
ลักษณะพิเศษของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรีดังกล่าวคือ สามารถแกะผลย่อย หรือตา (fruitlet) ออกจากกันได้ง่าย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกมากินได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก อีกทั้งแกนผลยังสามารถกินได้ รสหวานอมเปรี้ยว มีปริมาณกรดต่ำ กลิ่นหอมแรง เนื้อกรอบ สีเนื้อเหลืองอมส้มสม่ำเสมอ ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ภูเก็ต และสวี 17.7% และ 23.2% ตามลำดับ สามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เป็นพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Queen เช่นเดียวกับพันธุ์ภูเก็ต สวีหรือตราดสีทอง มีทรงพุ่มปานกลาง ใบค่อนข้างสั้น หนามลักษณะเป็นตะขอม้วนขึ้นไปหาปลายใบ มีช่อดอกแบบรวม (Spike) ดอกเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน กลีบดอกสีน้ำเงินปนม่วง
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี มีลักษณะผลรวม ทรงเจดีย์ คือด้านล่างของผลใหญ่ บริเวณปลายจะคอดเล็ก ตาบริเวณปลายผลติดกับจุกไม่พัฒนา 2-3 รอบ ผลขนาดปานกลาง น้ำหนักเฉลี่ย 1.00 กิโลกรัม ผลกว้างเฉลี่ย 11.9 เซนติเมตร ผลยาวเฉลี่ย 19.0 เซนติเมตร ตาค่อนข้างใหญ่และนูนเล็กน้อย โดยมีอายุการเก็บเกี่ยวราว 126 วัน มีสีเปลือกผลแก่สีเขียว ผลสุกสีเหลืองอมส้ม (Yog 17 A-B) สีเหลืองอมส้ม (Yog 16 A-B)
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เดิมเป็นพันธุ์ของประเทศไต้หวัน ในชื่อพันธุ์ Tainan 41 ในปี 2530 โดย คุณสณทรรศน์ นันทะไชย เป็นผู้นำพันธุ์มาจากบริษัทส่งออกสับปะรด
คุณดนัย นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี บอกว่า อีกไม่นานนัก อาจจะมีสับปะรดสายพันธุ์ใหม่ จากศูนย์ออกเผยแพร่
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน
2. การคำนวนต้นทุน |
|
|
|
|
1. ค่าใช้จ่าย |
|
|
|
|
1.1 ค่าแรงงาน |
|
|
|
|
|
ค่าเตรียมดิน |
บาท |
|
|
|
ค่าปลูก |
บาท |
|
|
|
ค่าดูแลรักษา |
บาท |
|
|
|
ค่าเก็บเกี่ยวและขนส่ง |
บาท |
|
|
1.2 ค่าวัสดุ |
|
|
|
|
|
ค่าพันธุ์ |
บาท |
|
|
|
ค่าปุ๋ย |
บาท |
|
|
|
ค่ายาปราบศัตรูพืชและวัชพืช |
บาท |
|
|
|
ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น |
บาท |
|
|
|
ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร |
บาท |
|
|
1.3 ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ (ถ้ามี) |
บาท |
|
|
1.4 ค่าเช่าที่ดิน |
บาท |
|
|
ผลผลิตที่คาดว่าจะได้ |
ตัน |
|
|
ราคาที่คาดว่าจะขายได้ |
บาท/ตัน |
|
|
|
|
|
ผลการคำนวณตามต้นทุนของท่าน |
ต้นทุนรวม |
0.00 |
บาท คิดเป็น |
0.00 |
บาท/ไร่ |
รายได้ |
0.00 |
บาท คิดเป็น |
0.00 |
บาท/ไร่ |
กำไร |
0.00 |
บาท คิดเป็น |
0.00 |
บาท/ไร่ |
|
ผลการคำนวณตามต้นทุนมาตรฐาน |
ต้นทุนรวม |
0.00 |
บาท คิดเป็น |
0.00 |
บาท/ไร่ |
รายได้ |
0.00 |
บาท คิดเป็น |
0.00 |
บาท/ไร่ |
กำไร |
0.00 |
บาท คิดเป็น |
0.00 |
บาท/ไร่ |
|
|
3. การปลูกสับปะรด
สับปะรดเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจำพวกไม้เนื้ออ่อนที่มีอายุหลายปี สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี ปลูกได้ในดินแทบทุกแห่งในประเทศไทย มีช่อดอกที่ส่วนยอดของลำต้น ซึ่งเมื่อเจริญเป็นผลแล้วจะเจริญต่อไปโดยตาที่ลำต้น จะเติบโตเป็นต้นใหม่ได้อีก สับปะรดแบ่งออกตามลักษณะความเป็นอยู่ได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ พวกที่มีระบบรากหาอาหารอยู่ในดิน หรือ
เรียกว่าไม้ดิน พวกอาศัยอยู่ตามคาคบไม้หรือลำต้นไม้ใหญ่ ได้แก่ ไม้อากาศต่าง ๆ ที่ไม่แย่งอาหารจากต้นไม้ที่มันเกาะอาศัยอยู่ พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ประดับและพวกที่เจริญเติบโตบนผาหินหรือโขดหิน ส่วนสับปะรดที่เราใช้บริโภคจัดเป็นไม้ดิน แต่ยังมีลักษณะบางประการของไม้อากาศเอาไว้ คือ สามารถเก็บน้ำไว้ตามซอกใบได้เล็กน้อยมีเซลล์พิเศษสำหรับเก็บน้ำเอาไว้ในใบ ทำให้ทนทานในช่วงแล้งได้
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
สับปะรดต้องการอากาศค่อนข้างร้อนอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 23.9-29.4 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนที่ต้องการอยู่ในช่วง 1,000-1,500 มิลลิเมตรต่อปี แต่ต้องตกกระจายสม่ำเสมอตลอดปี และมีความชื้นในอากาศสูง สับปะรดขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ที่ระบายน้ำดี แต่ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินปนลูกรัง ดินทรายชายทะเล และชอบที่ลาดเท เช่น ที่ลาดเชิงเขา สภาพความเป็นกรด-ด่าง ของดินควรเป็นกรดเล็กน้อย คือ ตั้งแต่ 4.5-5.5 แต่ไม่เกิน 6.0
พันธุ์ที่ปลูกมากในประเทศไทย
พันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 5 พันธุ์ โดยถือตามลักษณะของต้นที่ได้ขนาดโตเต็มที่ และแข็งแรงสมบูรณ์เป็นบรรทัดฐานดังนี้คือ
1.พันธุ์ปัตตาเวีย
พันธุ์นี้รู้จักแพร่หลายในนามสับปะรดศรีราชา และชื่ออื่น ๆ เช่น ปราณบุรี, สามร้อยยอด ปลูกกันมากเพื่อโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งปลูกที่สำคัญคือ ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี เพชรบุรี ลำปาง และการปลูกกันทั่ว ๆ ไป เพื่อขายผลสด เพราะมีรสหวานฉ่ำมีน้ำมาก
ลักษณะทั่ว ๆ ไป
คือ มีใบสีเขียวเข้ม และเป็นร่องตรงกลางผิวใบด้านบนเป็นมันเงา ส่วนใต้ใบจะมีสีออกเทาเงิน ตรงบริเวณกลางใบมักมีสีแดงอมน้ำตาล ขอบใบเรียบมีหนามเล็กน้อยบริเวณปลายใบ กลีบดอกสีม่วงอมน้ำเงิน ผลมีขนาดและรูปทรงต่างกันไป มีน้ำหนักผลอยู่ระหว่าง 2-6 กิโลกรัม แต่โดยปกติทั่วไปประมาณ 2.5 กิโลกรัม เปลือกผลเมื่อดิบสีเขียวคล้ำ เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้มทางด้านล่างของผลประมาณครึ่งผล ก้านผลสั้นมีไส้ใหญ่เนื้อเหลืองอ่อนแต่จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มในฤดูร้อน รสชาติดี
2. พันธุ์อินทรชิต
เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ปลูกกันกระจัดกระจายทั่วไป แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ลักษณะทั่ว ๆ ไป
คือขอบใบจะมีหนามแหลมร่างโค้งงอสีน้ำตาลอมแดง ใบสีเขียวอ่อนไม่เป็นมัน ขอบใบทั้ง 2 ข้างมีแถบสีแดงอมน้ำตาลตามแนวยาว ใต้ใบจะมีสีเขียวออกขาวและมีวาวออกสีน้ำเงินกลีบดอกสีม่วงเข้ม ผลมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย รสหวานอ่อน มีตะเกียงติดอยู่ ที่ก้านผล เปลือกผลเหนียวแน่นทนทานต่อการขนส่ง เหมาะสำหรับบริโภคสด
3. พันธุ์ขาว
เป็นพันธุ์พื้นเมือง เกษตรนิยมปลูกพันธุ์นี้ร่วมกับพันธุ์อินทรชิต เข้าใจว่าจะกลายพันธุ์มาจากพันธุ์อินทรชิต แหล่งปลูกที่สำคัญคือ ฉะเชิงเทรา
ลักษณะทั่ว ๆ
มีใบสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวใบไม้ ทรงพุ่มเตี้ยใบแคบและสั้นกว่าพันธุ์อินทรชิต ขอบใบมีหนามโค้งงอเข้าสู่ปลายใบ โคนกลีบดอกสีม่วงอ่อน ปลายกลีบสีม่วงอมชมพู เนื้อผลสีเหลืองทอง รสหวานอ่อน ผลมักมีหลายจุก คุณภาพของเนื้อไม่ค่อยดีนัก ผลมีขนาดปานกลาง น้ำหนักเฉลี่ย 0.85 กิโลกรัม มีลักษณะเป็นทรงกระบอก มีตาลึกทำให้ผลฟ่ามง่าย
4.พันธึภูเก็ตหรือสวี
ปลูกกันมากในสวนยางจังหวัดภูเก็ต ชุมพร นครศรีธรรมราช และตราด โดยปลูกระหว่างแถวยาวรุ่นที่ยังมีอายุน้อยเพื่อเก็บผลขายก่อนกรีดยาง มีชื่ออื่น ๆ อีกเช่น พันธุ์ชุมพร พันธุ์สวี พันธุ์ตราดสีทอง
ลักษณะทั่ว ๆ ไป ใบสีเขียวอ่อนและมีแถบสีแดงในตอนกลางและปลายในขอบใบมีหนามสีแดงแคบและยาวกว่าพันธุ์อินทรชิตและ พันธุ์ขาวกลีบดอก สีม่วงอ่อน ผลมีขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ที่กล่าวมาตาลึกเปลือกหนา เนื้อหวานกรอบสีเหลืองเข้ม เยื่อใยน้อย มีกลิ่นหอม เหมาะสำหรับบริโภคสด เป็นที่นิยมมากในภาคใต้
5.พันธุ์นางแลหรือน้ำผึ้ง
ปลูกมากในจังหวัดเชียงราย
ลักษณะทั่ว ๆ ไป
คล้ายคลึงกับพันธุ์ปัตตาเวีย แต่มีรูปร่างของผลทรงกลมกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย ตานูน เปลือกบางกว่าและรสหวานจัดกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย ผลแก่มีเนื้อในสีเหลืองเข้ม มีเยื่อใยน้อยเหมาะสำหรับบริโภคสด เป็นที่นิยมมากในภาคเหนือ ผลมีเปลือกบางมาก ขนส่งทางไกลไม่ดีนัก
เปรียบเทียบลักษณะที่สำคัญของพันธุ์สับปะรดในไทย
ลักษณะที่ดี |
ลักษณะที่ไม่ดี |
1. พันธุ์ปัตตาเวีย
คุณสมบัติในการบรรจุกระป๋อง นับว่าดี ทนทานต่อความแห้งแล้ง
และขาดน้ำได้ดีกว่าพันธุ์อื่น ๆ
ขอบใบเรียบ เนื้อในสีเหลือง
เนื้อฉ่ำ รสหวาน |
ไม่พบตะเกียง ไม่ทนต่อโรคมาก
และต้นเน่าไม่ทนต่อโรคผลแกน
รูปทรงของผลขนาดใหญ่ไม่ดี
|
2. พันธุ์ภูเก็ต
รูปร่างทรงกระบอกสม่ำเสมอดี
รสชาติดี เนื้อหวานกรอบ มีกลิ่นหอม
เนื้อสีเหลืองจัด ตอบสนองสารเร่งดอกได้ดี
การบรรจุกระป๋องไม่ค่อยดีนัก |
ผลดีขนาดเล็ก ตาลึก
เนื้อมีช่องว่างเป็นโพรง ในมีหนามมาก
หน่อมากเกินไปจนเป็นกอ
|
3. พันธุ์นางแล
ผลมีเปลือกบางมาก รสหวานแหลม
เนื้อมีเยื่อใยน้อยสีเหลืองจัด
ขอบใบมักเรียบ |
ผลมีขนาดเล็ก ทรงกลม
ผลย่อยนูนพอง ขนส่งทางไกลไม่ค่อยดี
|
4. พันธุ์อินทรชิต
ทนต่อดินเหนียวและการระบายน้ำเลว
ทนต่อโรคเน่า เปลือกผลหนา
ทนต่อการขนส่ง เนื้อสีเหลือง
ตอบสนองต่อสารเร่งดอกได้ดี |
ไม่ค่อยทนแล้ง ผลขนาดเล็ก ตาเล็ก
ตาลึกใบหนามาก เนื้อมีเยื่อใยมาก
มีหลายจุก
|
|
พันธุ์ที่ใช้สำหรับปลูกเป็นไม้ประดับ
สับปะรดที่ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับนี้ เป็นสับปะรดที่กลายพันธุ์มาจากสับปะรดที่ปลูกบริโภคผล ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
1.อินทรชิตแปลง กลางใบสีส้มอ่อนเจือชมพู ขอบใบสีน้ำตาลเข้ม หนามสีน้ำตาลเข้ม
2.แดงบางคล้า กลางใบสีเขียวสลับแดง โคนใบสีส้ม ขอบใบสีเหลืองอมแดง หนามสีแดงปนส้ม
3.เหลืองบางคล้า กลางใบสีครีม-เหลือง ขอบใบสีเขียว หนามสีเขียว
4.แดงปัตตาเวีย กลางใบสีเขียวอมแดง ขอบใบสีแดง ผิวใบเรียบเป็นแถบสีขาว-ชมพู ขอบใบเรียบหรือมีหนามสีแดงที่ปลายใบและโคนใบ
5.สับปะรดด่างสามสีและด่างธรรมดา กลางใบเขียว ขอบใบสีครีมและครีมแกมชมพู หนามสีเขียวและชมพูแดง ให้ผลสีแดงสวยงาม
6.สับปะรดแคระ ลักษณะคล้ายสับปะรดอินทรชิตย่อส่วนผลขนาดเล็กสูงเพียง 1.5-2 นิ้ว ผลสีขาวครีม กลิ่นหอม ติดผลนาน 6 เดือน ซึ่งใช้ตัดผล (ดอก) ขายได้ด้วย |
ส่วนขยายพันธุ์และการขยายพันธุ์
ส่วนต่าง ๆ ที่ใช้ในการขยายพันธุ์สับปะรด มีดังนี้
1. หน่อดิน เกิดจากตาที่อยู่ในบริเวณลำต้นใต้ดิน ซึ่งจะเริ่มแทงขึ้นมาพ้นผิวดินหลังจากเกิดการสร้างดอกแล้ว มีจำนวนน้อย รูปทรงเล็กเรียว ใบยาวกว่าหน่อข้าง
2. หน่อข้าง เกิดจากตาที่พักตัวอยู่บนลำต้นในบริเวณโคนใบ หน่อข้างเหล่านี้จะมีน้ำหนักต่างกันไปตั้งแต่ 0.5-1 กิโลกรัม ให้ผลเมื่อมีอายุ 14-18 เดือน ใช้ขยายพันธุ์ได้ดี
3. ตะเกียง เกิดจากตาบนก้านผลที่อยู่ในบริเวณโคนผล ตะเกียงมีน้ำหนักเฉลี่ยทั่วไปอยู่ระหว่าง 0.3-0.5 กิโลกรัม ให้ผลเมื่อมีอายุ 18-20 เดือน
4. จุก เติบโตขึ้นเหนือผลสับปะรดหลังจากดอกโรยไปแล้วจุกจะมีน้ำหนักทั่วไปตั้งแต่ 0.075-0.2 กิโลกรัม ให้ผลตามธรรมชาติเมื่ออายุ 22-24 เดือน
เมื่อเก็บผลสับปะรดก็จะปลิดจุกออกจากผล และหลังจากเก็บเกี่ยวผลไปแล้วประมาณ 6 สัปดาห์ ก็จะปลิดหน่อออกจากต้น หน่อที่มีขนาดเหมาะแก่การขยายพันธุ์คือ มีความยาวประมาณ 50-75 เซนติเมตรหลังจากเก็บหน่อ, ตะเกียงหรือจุกมาแล้ว ให้นำมาผึ่งแดดโดยคว่ำยอดลงสู่พื้นดิน ให้โคนแผลได้รับแสงแดดจนรอยแผลแห้งรัดตัวเป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วย แล้วนำมามัดรวมกันเป็นกองเพื่อรอการปลูกหรือนำไปขายต่อไป ก่อนปลูกต้องลอกกาบใบล่างออก 3-4 ชั้น เพื่อให้รากแทงออกมาได้สะดวกและเร็วขึ้น
การใช้ส่วนขยายพันธุ์หลายชนิดปลูกแยกเป็นแปลง ๆ เป็นการดีเพราะสามารถทยอยเก็บผลสับปะรดได้หลายรุ่นตลอดปี
|
การเตรียมดิน
เนื่องจากสับปะรดเป็นพืชหลายฤดูกว่าจะรื้อแปลงปลูกใหม่กินเวลานานถึง 4-5 ปี ซึ่งจะเก็บผลได้ถึง 3 ครั้ง แต่การเก็บผลในรุ่นที่ 3 มักจะลดลงอย่างมากถ้าหากมีการปฏิบัติดูแลรักษาไม่เพียงพอ จึงนิยมเก็บผลเพียง 2 ครั้ง ก็รื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่
ดังนั้นการเตรียมดินต้องเตรียมอย่างดี การปรับระดับให้เรียบเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะทำให้ไม่มีน้ำท่วมขัง การไถดินให้ลึกจะช่วยให้การระบายน้ำและอากาศในดินเป็นไปอย่างสะดวก เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติทุกครั้งที่รื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่
การเตรียมดินสำหรับการปลูกสับปะรดนั้น หากเป็นที่เปิดใหม่มักใช้รถไถดันรากไม้ใหญ่ ๆ ให้โผล่ขึ้นมาแล้วจุดไฟเผา ต่อจากนั้นไถดินให้ลึก 20-30 เซนติเมตร ไถพรวนอีก 2-3 ครั้ง จนซากต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปล่อยทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้เศษซากพืชเน่าสลายในดิน แล้วปรับระดับให้เรียบเสมอ แล้วจึงไถดินให้ลึกถึงระดับ 40-50 เซนติเมตร เป็นการเปิดหน้าดินให้ลึกเพื่อระบายน้ำและอากาศ
หากดินเป็นแปลงสับปะรดเก่า ใช้รถแทรกเตอร์ลากพรวน จานไถกลับไปมาจนต้นและใบแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไถกลบเศษต้นและใบสับปะรดนั้นลงในดินปล่อยเอาไว้สัก ระยะหนึ่งเพื่อให้เน่าเปื่อยเป็นอินทรีย์วัตถุและเป็นการปรับโครงสร้างของ ดินให้ดีขึ้น แล้วจึงไถดินให้ลึก 40-50 เซนติเมตร และใช้พรวนจานไถอีกครั้งเมื่อใกล้ระยะเวลาที่จะปลูก
การปลูกเพื่อส่งโรงงานบรรจุกระป๋อง
จะร่นระยะปลูกและเพิ่มจำนวนหน่อพันธุ์ที่ใช้ปลูกให้มากขึ้นเป็นการจำกัดขนาดของผลไม้ใหญ่เกินไป และไม่ให้มีส่วนเกินที่ไร้ประโยชน์เพิ่มขึ้น คือ ใช้ระยะต้นในแถวคู่ห่างกัน 22 เซนติเมตร ระยะแถว 45 เซนติเมตร เว้นทางเดินระหว่างแถวกว้าง 75 เซนติเมตร ซึ่งต้องใช้หน่อพันธุ์มากถึง 12,000-13,000 หน่อต่อไร่
ลักษณะของผลสับปะรดที่โรงงานต้องการ
ผลต้องไม่แก่จัดเกินไป ผลทรงกระบอก แกนเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 4-6 นิ้ว หรือมีน้ำหนักผลอยู่ระหว่าง 0.8-.3.0 กิโลกรัม ลักษณะผลเช่นนี้จะได้ราคาดี
การควบคุมและกำจัดวัชพืช
ในปัจจุบันนิยมใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมากกว่าใช้แรงคน เพราะประหยัดและรวดเร็วกว่า หากทำการควบคุมวัชพืชได้ดี สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าเดิมถึง 1 ใน 4 เท่าตัว การใช้แรงงานคนกำจัดวัชพืชโดยถากด้วยจอบ ต้องทำไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งต่อ 1 ฤดูปลูก การใช้จอบจะรบกวนระบบรากของสับปะรดทำให้การเจริญเติบโตของต้นและคุณภาพของผลผลิตต่ำกว่า ใช้สารเคมี
สารเคมีกำจัดวัชพืชที่นิยมใช้ในแปลงสับปะรด ได้แก่ ไดยูรอน เช่น คาร์แมกซ์ ซึ่งเป็นสารเคมีคุมวัชพืชใบกว้างได้ผลดี ใช้ฉีดพ่นก่อนวัชพืชจะงอก และโบรมาซิล เช่น โบรมิกซ์ ซึ่งเป็นสารเคมีฆ่าวัชพืชใบแคบได้ผลดีใช้ฉีดพ่นในแปลงสับปะรด เมื่อมีวัชพืชงอกขึ้นมาแล้วหรือจะใช้ทั้ง 2 ชนิดผสมกันโดยใช้โบรมาซิล 363 กรัม และไดยูรอน 363 กรัม ผสมน้ำฉีดพ่นในเนื้อที่ 1 ไร่ ฉีดทันทีหลังจากปลูกสับปะรดแล้ว สามารถควบคุมวัชพืชทั้งชนิดใบแคบและใบกว้างอื่น ๆ ได้นานถึง 4 เดือน
ในแปลงสับปะรดที่ปลูกแซมในสวนยางพารา หรือสวนไม้ผลอื่น ๆ ไม่แนะนำให้ใช้โบรมาซิล เพราะถ้าใช้ซ้ำซาก จะเกิดการสะสมในดินโดยสารเคมีจะจับตัวกับเม็ดดิน เมื่อน้ำพัดพาไปจะเกิดอันตรายกับพืชอื่น ๆ ได้ ให้ใช้อะทราซิน เช่น เกสาพริม หรืออะมีทริน เช่น เกสาแพกซ์ ผสมกับไดยูรอน แทน
การใช้สารเคมีกำจัด วัชพืช ควรผสมสารจับใบลงไปประมาณ 0.1-0.3% โดยริมาตร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น อาจพ่นซ้ำอีก 1 ครั้ง เมื่อพบว่าวัชพืชงอกขึ้นมา โดยพ่นหมดทั้งแปลง หรือเฉพาะจุดก็ได้
ข้อควรระวัง ภายหลังจากการใช้สารเคมีเร่งดอกสับปะรดแล้วห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชจนกว่าจะเก็บผลเสร็จสิ้น
การใช้สารเคมีเร่งการออกดอกในสับปะรด
เนื่องจากสับปะรดมีอายุการออกดอกค่อนข้างช้า และไม่สม่ำเสมอซึ่งมีผลไปถึงการเก็บผลด้วย แต่ในบรรดาพืชมีดอกทั้งหลาย สับปะรดนับว่าเป็นพืชที่ใช้สารเคมีเร่งให้ออกดอกก่อนกำหนดได้ง่าย
สารเคมีที่ใช้เร่งดอกสับปะรด ที่นิยมใช้กันมากได้แก่
1.เอทธิฟอน
เป็นสารเคมีที่ให้ก๊าซเอทธิลินโดยตรง เมื่อเอทธิฟอนเข้าไปในเนื้อเยื่อสับปะรด จะแตกตัวปล่อยเอทธิลินออกมา เอทธิลินเป็นตัวชักนำให้เกิดการสร้างตาดอกขึ้น ซึ่งจะทำให้เก็บผลได้ก่อนกำหนดประมาณ 2 เดือน
เอทธิฟอน มีชื่อการค้าหลายชื่อ แต่ที่นิยมคือ อีเทรล (39.5% เอทธิฟอน) โดยใช้ในอัตรา 8 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร และเติมปุ๋ยยูเรียอีก 300 กรัม ผสมให้เข้ากันดีแล้วใช้หยอดยอดหรือฉีดพ่น ต้นละ 70-80 ซีซี หยอด 2 ครั้ง ห่างกัน 5-7 วัน สารนี้เมื่อผสมน้ำแล้วต้องใช้ทันทีอย่างช้าไม่เกิน 2 ชั่วโมง มิฉะนั้นสารเคมีจะลดประสิทธิภาพลงเวลาที่เหมาะสมในการหยอด คือ ตอนเช้ามืด และต้นสับปะรดต้องมีลักษณะพร้อมที่จะออกดอก หากฝนตกมาภายใน 2 ชั่วโมงหลังการใช้สารนี้ให้ทำซ้ำอีกครั้ง ให้เร็วเท่าที่จะทำได้
ปริมาณการใช้เอทธิฟอนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและขนาดต้นสับปะรด ถ้าต้นสมบูรณ์มากให้ใช้ปริมาณมากขึ้นหรือหากจำเป็นต้องหยอดยอดในตอนกลางคืนช่วงที่มีอากาศร้อนอบอ้าว ให้ใช้ปริมาณมากขึ้นอีกเท่าตัว
4. การฉีดสารเอทธิฟอนบังคับการออกดอกในสับปะรด
2.ถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์ (บางที่เรียกว่าถ่านเหม็น)
การใช้แคลเซียมคาร์ไบด์ เร่งดอกสับปะรดเป็นที่นิยมกันมากเพราะหาง่ายและราคาไม่แพง แต่การใช้จะได้ ผลดีนั้น ต้นสับปะรดจะต้องมีลักษณะพร้อมที่จะออกดอก คือ มีอายุระหว่าง 7-8 เดือน หรือมีโคนต้นที่อวบใหญ่ ประมาณน้ำหนักของต้น 2.5 กิโลกรัมขึ้นไป หรือมีใบ 45 ใบขึ้นไป จึงใช้สารเร่งดอกได้ผล
การใช้แคลเซียมคาร์ไบด์ เพื่อเร่งดอกสับปะรดนั้น ปัจจุบันมีชนิดเกล็ดสำเร็จรูปเพื่อให้ใช้ได้ง่าย โดยใช้อัตรา 200-250 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ปล่อยให้เดือดเต็มที่แล้วนำไปหยอดสับปะรดต้นละ 70-80 ซีซี (ถ้าเป็นแปลงสับปะรดตอหยอดต้นละ 80-90 ซีซี) ทำการหยอด 2 ครั้งห่างกัน 5-7 วัน ควรทำในเวลาเช้ามืดหรือตอนเย็นเพราะถ้าทำในตอนกลางวันจะได้ผลไม่ดีนัก หากฝนตกมาภายใน 2 ชั่วโมงหลังการใช้สารนี้ ให้ทำซ้ำอีกครั้ง ให้เร็วเท่าที่จะทำได้
หลังจากหยอดสารเร่งประมาณ 40-45 วัน จะเริ่มเห็นสับปะรดเป็นจุดแดงอยู่ภายในยอด ต่อมา 60-70 วัน จะเห็นผลสับปะรดขนาดเล็กทรงกลมสีแดงโผล่ขึ้นจากยอด อาจมีดอกสีม่วงอยู่ด้วยดอกจะเริ่มบานจากฐานไปยอดลูก ประมาณ 90 วัน ดอกสีม่วงจะแห้ง แล้วเข้าสู่ช่วงการขยายขนาดผลซึ่งจะขึ้นอยู่กับความชื้นและธาตุอาหารที่ต้นสับปะรดได้รับในระหว่างการเจริญ เติบโตของผล (ปัจจุบันมีปัญหาขาดแรงงานในการหยอดแก๊ส จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้)
การหยอดสับปะรด
การใช้แคลเซีมคาไบด์หยอดยอดสับปะรด
การเก็บเกี่ยว
ในประเทศไทยการปลูกสับปะรดสามารถทำได้เกือบตลอดปีดังนั้นการเก็บผลสับปะรดก็ สามารถทําได้เกือบตลอดทั้งปีเช่นกัน แต่ที่สับปะรดให้ผลชุกที่สุดมี 2 ช่วง คือ ช่วงสับปะรดปี ซึ่งจะเก็บผลได้มากกว่าสับปะรดทะวายประมาณ 3 เท่า ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน และช่วงสับปะรดทะวาย ซึ่งออกในเดือนตุลาคมถึงธันวาคม
การสังเกตผลแก่ของสับปะรด พิจารณาได้จากลักษณะภายนอกผลดังนี้
ผิวเปลือก จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเขียวอมเหลืองอมส้ม หรือเขียวเข้มเป็นมัน
ใบเล็ก ๆ ของตาย่อย จะเหี่ยวแหห้ง เป็นสีน้ำตาลหรือชมพู
ตาย่อย จะนูนเด่นชัดเรียกว่าตาเต็ม ร่องตาจะตึงเต็มที่ขนาดของผลไม่เพิ่มขึ้นอีก
ดมกลิ่น ผลสับปะรดแก่จะส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัว
ความแน่นของผล จะลดลงเมื่อใช้นิ้วดีดหรือไม้เคาะเพื่อฟังเสียง ถ้าเสียงโปร่งแสดงว่ายังไม่แก่ ถ้าเสียงทึบ (หรือแปะ) แสดงว่าแก่จัดได้ที่แล้ว
การเก็บผลเพื่อบริโภคผลสด
ใช้มีดตัดที่ก้านผลให้เหลือขั้วติดผลไว้บ้างและคงให้มีจุกติดอยู่กับผลเพื่อป้องกันการเน่าของผล อันเนื่องจาก แผลที่เกิดจาก การปลิดจุกหรือขั้วผลออก หลังจากตัดผลแล้วให้ใช้มีดฟันใบต้น เดิมออกเสียบ้าง เพื่อให้หน่อได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ และเหลือหน่อดินไว้แทนต้นเดิม 1-2 หน่อเท่านั้น ส่วนหน่อที่เหลือก็ขุดหรือปลิดออกจากต้นนำไปปลูกขยายเนื้อที่หรือจำหน่าย ต่อไปได้ พันธุ์ภูเก็ต จะนิยมปลิดจุกตั้งแต่ผลมีอายุประมาณ 2 เดือน ส่วนพันธุ์อินทรชิตและ พันธุ์ขาว จะตัดจุกทิ้งประมาณ 1/2 ส่วน ในเวลาที่เก็บผลจำหน่าย
การเก็บผลเพื่อส่งโรงงานอุตสาหกรรม
ก็จะปลิดผลออกจากก้านเท่านั้น หรืออาจจะปลิดจุกออกด้วย
การเก็บผลสับปะรดให้ได้คุณภาพดี
ควรเก็บ 3 ครั้ง
ครั้งแรก จะเก็บได้ประมาณ 20-25% ของผลทั้งหมดในแปลง
ครั้งที่สอง เก็บหลังจากครั้งแรกประมาณ 5 วัน จะเก็บได้ประมาณ 40-60% ของผลทั้งหมด
ครั้งสุดท้าย เก็บหลังจากครั้งที่สองประมาณ 5-7 วัน โดยเก็บผลที่เหลือทั้งหมด
การไว้หน่อสับปะรด
หลังจากเก็บผลรุ่นแรกหมดแล้ว ให้ปฏิบัติดังนี้
1. เก็บหน่ออุ้มลูก ซึ่งจะเกิดพร้อม ๆ กับผลสับปะรด ออกไปจากแปลงปลูก
2. ฟันใบทิ้งไปเสียบ้าง โดยฟันให้เหลือใบสูงจากพื้นดินเพียง 1 คืบ ถ้าเป็นช่วงฝนแล้งให้ฟันใบให้สูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย การฟันใบนี้ช่วยให้หน่อแตกใหม่เร็วขึ้น หลังจากเก็บหน่ออุ้มลูกและฟันใบออกแล้วสามารถเก็บหน่อได้อีก 2-3 ครั้งเพื่อนำไปขยายพันธุ์ได้ แต่ถ้าจะไว้หน่อเอาไว้พร้อม ๆ กันในช่วงเดียวกัน หลังจากเก็บหน่อครั้งสุดท้ายไปแล้ว
โรค-แมลงศัตรูและการป้องกันกำจด
ปกติสับปะรดมักปลูกซ้ำที่เดิมอยู่ตลอดปีเพียงพืชเดียวโดด ๆ จึงเป็นโอกาสที่โรค-แมลงศัตรูจะระบาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆตลอดจนโรคมีโอกาสปรับตัวให้เข้ากับสภาพการปลูกและการดูแลรักษา ซึ่งปฏิบัติซ้ำซากตลอดมา
โรคแมลงศัตรูที่สำคัญที่ทำความเสียหายให้กับสับปะรดมีดังนี้
1.โรคยอดเน่าหรือต้นเนา
เกิดจากเชื้อรา 2 ชนิด ทำความเสียหายร้ายแรงให้กับสับปะรดที่ปลูกในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำเลว หรือในช่วงฝนตกชุก และระบาดรุนแรงมากเป็นพิเศษในพื้นที่ที่มีสภาพเป็นด่างคือระดับความเป็นกรด-ด่างของดินสูงกว่า 5.5 ขึ้นไป
เชื้อราพักอยู่ในดินได้เป็นเวลาหลายปี เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมก็เข้าทำลายสับปะรดได้อีก
อากร
ในแปลงสับปะรดที่มีอายุ 2-3 เดือน อาการเริ่มแรกจะเห็นใบสับปะรดเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นเขียวอมเหลืองซีด
ปลายใบงอเกิดรอยย่นบริเวณตัวใบ ใช้มือดึงส่วนยอดจะหลุดติดมือโดยง่าย โคนใบที่เน่าจะมีสีขาวอมเหลือง และมีขอบสีน้ำตาล ส่งกลิ่นเหม็นเฉพาะตัว สำหรับสับปะรดที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป หากดินฟ้าอากาศไม่เหมาะสมก็อาจเกิดโรคนี้ได้ โดยจะแสดงอาการที่ส่วนยอดเท่านั้น ซึ่งเป็นเพราะว่าส่วนยอดมีความอ่อนแอมากที่สุด สับปะรดที่เกิดโรคนี้มักจะไม่ตาย แต่ทำให้เกิดอาการเตี้ยแคระออกผลล่าช้าหรือไม่ติดผลเลยก็ได้ ในฤดูฝนจะสังเกตอาการได้ยาก มักพบว่าใบตรงกลุ่มกลางต้นจะล้มพับลงมา ทั้ง ๆ ที่ใบเริ่มจะเปลี่ยนสีเขียวเล็กน้อย การเน่าจะมีกลิ่นเหม็นเฉพาะตัว
การป้องกันกำจัด
1. ปรับปรุงการระบายน้ำในแปลงปลูกให้ดี เช่น ไถดินให้มีความลึกมากขึ้น การยกแปลงให้สูง การปรับระดับพื้นที่ให้ลาดเอียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้น้ำขัง จะช่วยลดความเสียหายลงได้มาก
2. ควรใช้หน่อหรือตะเกียงปลูก เพราะว่าการใช้จุกปลูกจะมีโอกาสเน่าเสียหายได้ง่าย เพราะจุกมรอยแผลที่โคนขนาดใหญ่กว่า เมื่อเทียบ กับหน่อหรือตะเกียง
3. ปรับระดับความเป็นกรด-ด่างของดินให้ลดต่ำกว่า 5.5 โดยใช้กำมะถันหรือปุ๋ยที่มีฤทธิ์ตกค้างเป็นกรด เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต
4. ก่อนปลูกจุ่มหน่อพันธุ์ให้ชุ่มในสารเคมีป้องกันเชื้อราที่แนะนำไปแล้วในเรื่อง "การเตรียมหน่อพันธุ์ก่อนปลูก" หลังปลูกไปแล้วควร
ป้องกันโรคนี้โดยการใช้สารเคมีดังกล่าวฉีดพ่นที่ยอดทุก ๆ 2 เดือน
2.โรคผลแกน
เกิดจากเชื้อรา 2 ชนิด โรคนี้จะพบมากในสับปะรดที่แก่จวนจะเก็บผลได้แล้ว สับปะรดที่ผ่านช่วงแล้งและร้อนเป็นระยะเวลานาน ๆ สลับกับฝนตกในช่วงผลใกล้จะแก่ จะเกิดโรคนี้ได้มาก รวมทั้งการใช้ปุ๋ยยูเรีย ติดต่อกันในอัตราที่สูงมีแนวโน้มทำให้เกิดโรคนี้ได้
อาการ
ลักษณะอาการภายนอกผลไม่ค่อยแตกต่างจากสับปะรดที่ปกติ แต่เนื้อภายในผลจะแข็งเป็นไต มีบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เกิดอาการเป็นหย่อม ๆ หรือแพร่กระจายทั่วทั้งลูกก็ได้ ทำให้ความหวานลดลง สับปะรดที่มีผลขนาดใหญ่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผลที่มีขนาดเล็ก
โรคผลแกน
การป้องกันกำจัด
1. โดยลดปริมาณปุ๋ยยูเรีย ให้ใช้ตามอัตราที่แนะนำ
2. ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 15 วัน
ตั้งแต่ผลสับปะรดอยู่ได้ 90 วัน จนก่อนเก็บเกี่ยวผล 1 เดือน
3. ฉีดพ่นด้วยสารเตตรามัยซิน อัตรา 250 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ในช่วงที่ผลสับปะรดเริ่มพัฒนาจนถึงก่อนเก็บเกี่ยว
3.ไส้เดือนฝอย
จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผลผลิตอย่างมาก โดยเฉพาะในสับปะรดรุ่นที่ 2 หรือ 3 มักจะมีอาการรากปม ซึ่งเกิดจากไส้เดือนฝอยรากผมเป็นส่วนใหญ่ เมื่อไส้เดือนฝอยนี้เข้าทำอันตรายแก่สับปะรดแล้ว เชื้อราโรคเน่าจะเข้าไปทำลายซ้ำเติมได้
การป้องกันกำจัด
1. ขุดต้นและรากของสับปะรดที่แสดงอาการขึ้นมาเผาทำลาย
2. หลีกเลี่ยงการปลูกสับปะรดซ้ำที่เดิม, ปลูกพืชอื่นหมุนเวียน
3. ปลูกพืชที่มีความต้านทานต่อไส้เดือนฝอย เช่น ดาวเรือง ถั่วลายโครตาเลีย เป็นต้น
4. ใช้สารเคมีอบฆ่าไส้เดือนฝอยในดิน เช่น นีมากอน ดี-ดี-มิกซ์เจอร์ เป็นต้น
4. เพลี้ยแปง
เป็นแมลงตัวเล็กยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ลำตัวเป็นปล้องค่อนข้างสั้น มีขี้ผึ้งคล้ายผงแป้งสีขาวห่อหุ้มตัว และมีเส้นใยยื่นออกจากตัว ตัวเมียไม่มีปีก ตัวผู้มีปีก มักพบเป็นกลุ่มที่ซอกกาบใบ โดนต้นและลำต้น เมื่อบี้ตัวแมลงจะมีเมือกสีแดงคล้ายเลือดออกมา การทำลายโดยจะดูดกินน้ำเลี้ยงที่บริเวณโคนต้นและราก ถ้ามีการทำลายมาก ๆ ต้นและใบจะค่อย ๆ เหี่ยวแห้งอาจถึงตายได้ ทำให้ผลผลิต ลดลง ตัวพาหะของเพลี้ยแป้งคือ มดดำ ซึ่งจะคาบเพลี้ยแป้งมาปล่อยไว้ที่ต้นสับปะรด และอาศัยกินของเหลวที่เพลี้ยแป้งขับถ่ายออกมา
การป้องกันกำจัด
ควรทำควบคู่ไปกับการกำจัดมดดำที่เป็นพาหะของเพลี้ยแป้ง โดยใช้มาลาไธออนฉีดพ่นหรือจุ่มหน่อก่อนปลูก เพื่อกำจัดเพลี้ยแป้ง และใช้เซฟวินฉีดเป็นแนวกันมดรอบแปลงปลูก ถ้าพบเพลี้ยแป้งในภายหลังปลูกแล้วให้ใช้มาลาไธออนฉีดพ่นในอัตรา 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อกำจัดเพลี้ยแป้ง |
อาการผิดปกติของสับปะรด
1.สับปะรดบ้าใบและจุก
เกิดจากการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็วผิดปกติของต้น หรือช่อดอกในระยะการเจริญเติบโตมักเกิดเฉพาะส่วนบนของลำต้นก้านผล ผล และจุก ซึ่งทำให้เกิดเป็นสับปะรด 2 จุก อาจเกิดเป็นสับปะรดที่มีทั้งจุกและผลย่อยมากมายหลายร้อยจุก และมีน้ำหนักหลายเท่าของผลปกติก็ได้ ในสับปะรดพันธุ์ขาวมักพบอาการบ้าจุกเสมอ
อาการบ้าจุกในสับปะรดพันธุ์ขาว
สับปะรดที่ปลูกในดินเปิดใหม่ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์สูงจะพบโรคนี้เกิดขึ้นเสมอ และอัตราการเกิดจะสูงกว่าสับปะรดซึ่งปลูกในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ในบางกรณีการได้รับน้ำและปุ๋ยอย่างกะทันหันภายหลังจากที่สับปะรดผ่านช่วงแล้งมานาน และเป็นช่วงที่พร้อมจะออกดอกก็เป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการเช่นนี้ได้
2.โรคผลไหม้
เกิดเนื่องจากความร้อนจากแสงแดด สับปะรดที่มีก้านผลอ่อนไม่แข็งแรงพอจะรับนำหนักผลได้ตามปกติ มักทำให้ผลสับปะรดเอนเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้รับแสงแดดจัดตลอดวัน จะทำให้เซลล์ผิวเปลือกผลตาย ผลจะสุกเพียงด้านเดียว เปลือกและเนื้อในจะมีสีซีดมีรอยแตกในระหว่างผลย่อย ต่อมาจะกลายเป็นรูพรุนและฟ่าม การขาดธาตุทองแดงและสังกะสี ก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ความทนทานของเปลือกผลต่อแสงแดดลดลง ทำให้ผิวเปลือกไหม้เกรียมเป็นแห่ง ๆ ได้
วิธีป้องกัน
ใช้หญ้าแห้งหรือฟางข้าวคลุมผลสับปะรดในระยะผลจวนแก่หรือรวบใบสับปะรดขึ้นมาห่อผลแล้วผูกปลายใบไว้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายนของทุกปี
การรวบใบสับปะรดเพื่อห่อผล
อาการผิดปกติของผลสับปะรด
|