kimzagass หาวด้า
เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11618
|
ตอบ: 07/10/2023 3:10 pm ชื่อกระทู้: |
|
|
.
.
ผลผลิตเพิ่ม ต้นทุนลด อนาคตดี :
หลักการและเหตผล :
- ผลผลิตเพิ่ม........
- ต้นทุนลด...........
- อนาคตดี...........
* ทำเกษตรแบบไหนดี :
https://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6888
*ชาวนา ผลผลิตเพิ่ม-ต้นทุนลด-อนาคตดี :
https://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6966
* เกษตรคิดใหม่ ที่น้อย-ได้มาก :
https://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6645
* ลดต้นทุนทำนา :
https://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6197
*
*
*
หัวใจเกษตรไท ห้อง 4 โอกาส .... เกษตรแจ๊คพ็อต
110. มะลิหน้าหนาว .............................................. 483
111. กุหลาบ วาเลนไทน์ ........................................ 485
112. มะนาวหน้าแล้ง ............................................. 490
113. กล้วยหอมแจ๊คพ็อต ....................................... 495
114. แก้วมังกรตรุษจีน ........................................... 497
115. ส้มฯ .............................. .......................... 498
116. กระท้อน .................................................... 501
117. ผักชีหน้าฝน ................................................ 504
118. บัวเข้าพรรษา ............................................... 506
119. ชะอมหน้าแล้ง .............................................. 506
120. ทุเรียนนอกฤดู .............................................. 508
121. มะม่วงนอกฤดู ............................................. 511
122. เงาะนอกฤดู ................................................ 513
123. ลำไยนอกฤดู ............................................... 515
124. ขนุนนอกฤดู ................................................ 521
125. แตงโมหน้าฝน ............................................. 521
126. เกษตรบนคันนา ............................................ 525
127. เกษตร ทำน้อย-ได้มาก .................................... 527
128. ส่วนลึกของใจ .............................................. 535
มะลิหน้าหนาว :
เตรียมดิน เตรียมแปลง :
- ไถดิน ขี้ไถขนาดใหญ่ ตากแดดจัด 15 แดด ถ้าฝนตกให้ไถใหม่เริ่มนับ 1 ตากแดดใหม่
- ตากแดดดินครบกำหนด ใส่อินทรีย์วัตถุ "ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น. ขี้วัวขี้ไก่แกลบเก่า" ผสมเข้ากันแล้วหว่านทั่วแปลง แล้วไถพรวน ปรับสันแปลงให้เป็นหลังเต่า คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหนาๆ
- คลุมหน้าแปลงแล้วรดด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 แล้วทิ้งไว้ 10-20 วัน จึงลงมือปลูก
(หว่านเมล็ด ปลูกกล้า)
....ไม่ต้องปุ๋ยเคมี รองพื้น-แต่งหน้า-กระแทก-กระทุ้ง เพราะในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงมีแล้ว อนาคตยังมีทางใบ ทั้งปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนธรรมชาติ ให้อีก ที่สำคัญ ดินดี ได้แล้วกว่าครึ่ง ดินไม่ดี เสียแล้วกว่าครึ่ง .... เอาเงินค่าปุ๋ยเคมีมาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ จ่ายน้อยกว่า แต่ประโยชน์ต่อพืชมากกว่า....
หมายเหตุ :
- ระยะเวลาจากให้น้ำหมักฯ 10-20 วัน เป็นการบ่มดิน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์เข้าทำการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและปรับสภาพดิน
- น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงมีส่วนผสม "ปลาทะเล. กากน้ำตาล. เลือด. ขี้ค้าง คาว. ไขกระดูก. นม. น้ำมะพร้าว." หมักนานข้าม 1-2-3 ปี จากส่วน ผสมทุกอย่างเป็น "อินทรีย์" แท้ๆ .... เมื่อเติม 30-0-0, แม็กเนเซียม, สังกะสี, ธาตุรอง/ธาตุเสริม ลงไปเป็น เคมี นี่คือ อินทรีย์เคมี ผสมผสาน
- อย่ากังวลว่า ไม่ใส่ปุ๋ยเคมี รองพื้น-แต่งหน้า-กระทุ้ง-กระแทก แล้วต้นผักจะไม่โต สาเหตุที่ผักไม่โตไม่ใช่เพราะปุ๋ยน้อย แต่เป็นเพราะ ดิน .... ตราบใดที่ดินไม่ดี ดินไม่สมบูรณ์ ดินไม่มีอินทรีย์วัตถุ ดินไม่มีจุลินทรีย์ ดินเป็นกรด ต่อให้ใส่ปุ๋ยไร่ละกระสอบ สองสามกระสอบ ใส่ไร่ละตันต้นผักก็ไม่โต ตรงกันข้าม จะเล็กลงๆ ๆๆ เพราะ ปุ๋ยเป็นพิษ-ดินไม่กินปุ๋ย
สายพันธุ์ :
มะลิลา, มะลิลาซ้อน, มะลิถอด, มะลิซ้อน, มะลิพิกุล หรือมะลิฉัตร, มะลิทะเล, มะลิพวง, มะลิเลื้อย, มะลิเขี้ยวงู (มะลิก้านยาว), มะลิฝรั่ง , มะลิเถื่อน ฯลฯ
พันธุ์ที่ส่งเสริมและนิยมปลูกมี 3 พันธุ์คือ พันธุ์แม่กลอง, พันธุ์ราษฎร์บูรณะ, พันธุ์ชุมพร
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ มะลินิยมทำกันมากที่สุด คือ ปักชำ เป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว นิยมทำเป็นเชิงการค้า
บำรุงต้นสร้างความสมบูรณ์สะสม :
ทางใบ : ให้ไบโออิ (แม็กเนเซียม + สังกะสี + ธาตุรอง/ธาตุเสริม) + สารสมุนไพร 2 รอบ สลับด้วย แคลเซียม โบรอน + สารสมุนไพร 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7-10 วัน
ทางราก : ให้ยิบซั่ม ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ หญ้าแห้งคลุมโคนต้น ปีละ 2 ครั้ง .... ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (อินทรีย์ : กุ้งหอยปูปลาทะเล เลือด ไขกระดูก นม น้ำมะพร้าว ขี้ค้างคาว หมักข้ามปี .... เคมี : แม็กเนเซียม สังกะสี ธาตุรอง/ธาตุเสริม ฮิวมิกแอซิด ธาตุหลัก) 1 ล. +เพิ่มปุ๋ยเคมี (ธาตุหลัก)
ตามระยะ 2 กก./ไร่/เดือน
ปฏิบัติการแจ็คพ็อต :
- มะลิแจ๊คพ็อต หมายถึง มะลิออกดอกช่วงหน้าหนาว, วันครู, วันแม่
- มะลิดอกสีม่วง เกิดจากขาด ธาตุรอง/ธาตุเสริม โดยเฉพาะ แคลเซียม โบรอน
- มะลิร้อยมาลัย บำรุงถึงแคลเซียม โบรอน ก้านดอกแข็ง แทงเข็มไม่ฉีกขาด
- มะลิดอกใหญ่ จำนวนกลีบเท่าเดิม แต่ขนาดดอกใหญ่ขึ้น
- มะลิร้อยมาลัยคู่กับ จำปี พุด กุหลาบหนู รัก
ตัดแต่งกิ่ง :
- ต้นใหญ่ตัดออกยาวเหลือกิ่งติดต้นสั้น ต้นเล็กตัดออกสั้น (ตัดที่รอยแก่ต่ออ่อน) เหลือกิ่งติด ต้นยาว
- จากวันตัดแต่งกิ่งแล้วเปิดตาดอก อีก 6 อาทิตย์ มะลิจะมีดอกให้เก็บ
- ติดทิ้งกิ่งแก่หมดอายุแล้ว
ทางใบ :
- ใช้ ไทเป + ไธโอยูเรีย + สารสมุนไพร 2 รอบ สลับ แคลเซียม โบรอน + สารสมุนไพร 1 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ในรอบ 1 เดือน หาโอกาสให้น้ำตาลทางด่วน (กลูโคส) เดี่ยวๆ หรือถือโอกาสให้ร่วมกับแคลเซียม โบรอนก็ได้ 1 รอบ
- ฉีดพ่นสารสมุนไพรบ่อยๆ เพื่อกำจัด และป้องกันล่วงหน้า
ทางราก :
- ใส่ยิบซั่ม, ปุ๋ยอินทรีย์, กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ, พรวนดิน พูนดินโคนต้น หญ้าแห้งคลุมโคนต้น, ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 (1 ล.) +8-24-24 (2 กก.) /ไร่ รดทั่วแปลง ทุกตารางนิ้ว
- ให้น้ำสม่ำเสมอ พอหน้าดินชื้น
บำรุงมะลิ ออกดอกแล้ว :
ทางใบ :
- ให้สูตรสหประชาชาติ (ไบโออิ ไทเป ยูเรก้า) + สารสมุนไพร 2 รอบ สลับ แคลเซียม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 7 วัน
- ทางราก :
- ใส่ยิบซั่ม, ปุ๋ยอินทรีย์, กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่แกลบดิบ, ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 8-24-24 (1-2 ล.) +เพิ่ม 8-24-24 (1-2 กก.) /ไร่ /เดือน รดทั่วแปลง ทุกตารางนิ้ว, พรวนดินพูนดิน มีหญ้าแห้งคลุมโคนต้น
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้นสม่ำเสมอ
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7267&view=previous
* เกษตรคิดใหม่ ที่น้อย-ได้มาก
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6645
เนื้อที่ 1 ไร่...
* หน่อไม้รวก. ให้ผลผลิต 300 ครั้ง /ปี
* มะพร้าว. ให้ผลผลิต 16-18 ครั้ง /ปี
* ปาล์มน้ำมัน. ให้ผลผลิต 20-24 ครั้ง /ปี
* สละ. ระกำ. ชมพู่. ฝรั่ง. มะกอกน้ำ. ขนุน. มะละกอ. ให้ผลผลิตหลายๆ ๆๆ ครั้ง /ปี
- สละแซมกับมะพร้าว.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7126&sid=5a8cf906ce96dbbf109dda8faa002831
- ฝรั่ง เกดรด เอ จัมโบ้ โกอินเตอร์ ขึ้นห้าง.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7162&sid=90740101e9c27efcc733af808d3209ac
* ไม้ผลทะวาย. ให้ผลผลิต 2-3 ครั้ง /ปี
- มะนาว.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7178&sid=6f5d31e939df4481e89e59a0ee6f8630
- ส้มเขียวหวาน ออกตลอดปี-แจ๊คพ็อต.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6741
- ทุเรียนหมอนทองระยะชิด :
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=5933
* ผักกินยอด ยืนต้น. ให้ผลผลิต 12 ครั้ง/ปี
- หวานป่า หวานบ้าน ชะอม กระถิน
* แตงโม. แคนตาลูป. ลงมือปลูกทุกวันที่ 1 ของเดือน ครบทุกเดือนในรอบปี จะมีผลผลิตให้เก็บได้เดือนละครั้ง
- ไอเดียร์สไตล์ลุงเรื่องแตงโม.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7192&sid=01daebbaacc07577ae868c83e2fe323d
* เกษตรแจ๊คพ็อต เช่น กล้วยหอมเทศกาล. ผักชีหน้าฝน. แก้วมังกรตรุษจีน.
- กล้วยหอมราคาแพงสุด.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7111&sid=18f4177264135a4703cab2f762ad1242
- ผักชีแจ๊คพ็อต.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7112&sid=b22e9e4bb321fb0e4a5899fed9181a01
- ต้นหอมแจ๊คพ็อต.
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6991
- แก้วมังกรนอกฤดู.
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6760
* ผลผลิตเพิ่ม เช่น สำปะหลังได้ 30+ ตัน/ไร่. อ้อยได้ 50+ ตัน/ไร่. ข้าวได้ 2+ ตัน/ไร่
- สำปะหลังแบบก้าวหน้า.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7188&sid=73710bdac44ed73515e357f26021eb79
- นาข้าว ยุคใหม่.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7198&sid=e2fbacd3447abc0d31f96706fb9a18fb
74.บราซิลเก่งเรื่องทำอ้อย (วังขนาย อ้อย 100 ตัน/ไร่) :
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6829&sid=989848a10635c227462fa6dba33f1d73
* ฯลฯ
- ไอเดีย ผลผลิตเพิ่ม ต้นทุนลด อนาคตดี.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7093&sid=d4b23070dbe7072d4dbf4a3a4d0f45e0
*********************************************************
จาก W ไป H
- W. = WHO. WHAT. WHEN. WHERE. WHY.
- H. = HOW.
- 18. เกษตร 5W. 1H.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6829&sid=989848a10635c227462fa6dba33f1d73
- พืชใช้น้ำวันละ 1 ล. แต่คนให้ 20 ล.
http://kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=6107
วิธีฉีดพ่นฮอร์โมนและปุ๋ยน้ำทางใบให้ถูกวิธี :
การฉีดพ่นฮอร์โมน ปุ๋ยน้ำ หรือสารเสริมการเจริญเติบโตต่างๆ ทางใบ ทำให้พืชดูดซึมสารเหล่านั้นไปใช้ได้เร็ว แต่ถ้าจะให้ได้ผลที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด ต้องฉีดพ่นให้ถูกวิธี เพื่อให้พืชได้ประโยชน์สูงสุดที่ฉีดพ่นนั้น คือ
1. เลือกเวลาให้ถูก :
การใช้ปุ๋ยน้ำ ฮอร์โมน หรือสารเสริมการเจริญเติบโตต่างๆ ทางใบ แนะนำให้ฉีดพ่นตอนเช้าระหว่าง 06.00-09.00 น. จะมีประสิทธิภาพดีที่สุด หรืออย่างช้าอย่าให้เกิน 10.00 น. เพราะช่วงเช้าอากาศยังไม่ร้อนมากพืชจะเปิดปากใบกว้างที่สุด ทำให้การดูดซึมทำได้เร็ว และพืชนำไปใช้ต่อในกิจกรรมสังเคราะห์แสงได้ทันที
หากฉีดพ่นตอนเที่ยงหรือบ่ายช่วงที่อากาศร้อนมาก พืชจะปิดปากใบเพื่อลดการระเหยของน้ำ ส่งผลให้ดูดซึมสารที่ฉีดพ่นได้ช้าหรือน้อยลง และสารที่ฉีดพ่นจะถูกแดดเผาและระเหยไปก่อนที่พืชจะดูดซึมไปใช้ได้หมด
ส่วนการฉีดพ่นตอนเย็นก็ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากพืชไม่ดูดซึมสารที่เราฉีดพ่น นอกจากนี้ยังกลับคายน้ำออกมาดันสารที่เราฉีดพ่นทิ้งไปเสียอีกด้วย และกลางคืนอากาศเย็น ความชื้นสัมพัทธ์สูง สารที่ฉีดพ่นจะเปียกใบอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน มีความเสี่ยงสูงทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย
มีข้อยกเว้นสำหรับสารชีวภัณฑ์หรือจุลินทรีย์ ควรฉีดพ่นตอนเย็นถึงค่ำ เพราะจุลินทรีย์จะได้มีเวลาฟื้นตัวหรือขยายตัวตลอดทั้งคืน ขณะที่การฉีดพ่นตอนเช้าหรือเที่ยง จุลินทรีย์ส่วนมากจะถูกแดดเผาตายไปเป็นส่วนใหญ่
2. ดูสภาพอากาศที่เหมาะสม :
ควรฉีดพ่นตอนฟ้าเปิด อากาศไม่ครึ้ม ควรดูพยากรณ์อากาศด้วยว่าฝนจะไม่ตก เพราะช่วงที่ฟ้าปิด ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เป็นช่วงที่ความชื้นในอากาศสูง พืชไม่ค่อยคายน้ำ ปากใบไม่เปิด ส่งผลให้กิจกรรมการดูดซึมทั้งทางรากและใบลดน้อยลงไปมาก และถ้าตามมาด้วยฝนตกด้วยจะยิ่งเสียหายเพราะสารที่ฉีดพ่นจะถูกน้ำฝนชะล้างไปเสียหมด
ถ้าจำเป็นจริงๆ ให้ผสมสารเร่งการดูดซึมลงไปด้วยก็พอช่วยได้บ้าง
3. ฉีดพ่นให้ถูกวิธี :
เน้นฉีดพ่นเข้าใต้ใบ เนื่องจากปากใบพืช 70% อยู่ใต้ใบ อีก 30% อยู่บนใบ การฉีดพ่นปุ๋ย ฮอร์โมน หรือสารบำรุงพืชทางใบจึงควรฉีดเข้าไปที่ใต้ใบ
ด้วยหลักการง่ายๆ นี้ การฉีดพ่นฮอร์โมน ปุ๋ยน้ำ หรือสารเสริมการเจริญเติบโตต่างๆ ทางใบ ก็จะมีประสิทธิภาพ พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด
5. ลักษณะดินดี ปลูกอะไรก็ได้ผล :
ดินดี คือ ดินที่เพาะปลูกแล้วพืชงาม โตเร็ว ปลูกพืชหัวก็หัวใหญ่ ปลูกไม้ดอกก็ออกดอกดก ปลูกไม้ผลก็ผลดกน้ำหนักดี ดินแบบนี้มีลักษณะสำคัญ 5 อย่าง ลองมาดูกันว่าลักษณะ 5 อย่างของดินดีนั้นมีอะไรบ้าง
ข้อดีของการผสมปุ๋ยเคมีใช้เอง :
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มียอดการใช้ปุ๋ยเคมีรวมปีละประมาณ 6 ล้านตัน แต่การใช้ปุ๋ยนี้ไม่คุ้มค่ากับราคาปุ๋ยเคมีที่ค่อนข้างแพง ทางแก้คือต้องผสมปุ๋ยเคมีใช้เอง
ปลูกพืชต้องรดน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ :
การปลูกพืชให้ได้ผลดีเรามักพูดกันติดปากว่า ดินดี น้ำดี แต่คำว่าน้ำดีนั้นแค่ไหนถึงเรียกว่าน้ำดี ถ้าเราขุดบ่อมีแหล่งน้ำดีแล้วจะต้องดูดขึ้นไปรดน้ำให้พืชมากแค่ไหนพืชถึงจะพอ
ปุ๋ยเคมี ใช้ผิดชีวิตเปลี่ยน :
ปุ๋ยเคมี เป็นปุ๋ยที่มีราคาแพงแต่ใช้แล้วพืชให้ผลผลิตสูง เกิดความคุ้มค่าและได้กำไรดี แต่น่าเสียดายที่หากใช้ปุ๋ยเคมีผิดวิธีเงินที่จ่ายไปนั้นอาจจะไม่ได้ประโยชน์เลย สุดท้ายมีแต่ขาดทุน
วิธีใส่ปุ๋ยเคมีให้ได้ผลดีด้วยคาถา 4 ถูก :
ปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยละลายเร็ว สูญหายไว และราคาแพง การใส่ปุ๋ยเคมีจึงต้องใช้ให้ถูกวิธีเพื่อให้ประหยัดที่สุด และได้ผลดีสุด
https://npkthailand.com
6 เคล็ดลับการให้ปุ๋ยทางใบเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพืชมากที่สุด :
เนื่องจากการให้ปุ๋ยทางใบในแต่ละครั้งนั้นมีต้นทุนเรื่องแรงงาน เวลา และต้นทุนเรื่องปุ๋ยดังนั้นการให้ปุ๋ยแต่ละครั้งควรคำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของพืช และวิธีการ ให้อย่างไรพืชสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด นั่นหมายถึงการลดต้นทุนการทำเกษตรอีกทางหนึ่ง เรามาดูเคล็ดลับ
1. ต้องให้น้ำพืชก่อนเสมอ หรือพืชต้องอยู่ในภาวะที่ไม่ขาดน้ำ
2. การให้ปุ๋ยทางใบในช่วงเช้าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากอุณหภูมิ ความเข้มของแสงที่ไม่สูงเกินไปความชื้นสัมพัทธ์และความชื้นในดินพอเหมาะ (ใบพืชมีความเต่ง) ใบพืชมีความเต่งเพราะอัตราการดูดน้ำของรากสมดุลกับอัตราการคายน้ำ เมื่อใบพืชเต่งไขและเคลือบผิวจะมีลักษณะฟู ยอมให้ตัวสารละลายผ่านได้ง่าย ในขณะเดียวกันถ้าพืชขาดน้ำจะทำให้ใบพืชสูญเสียความเต่ง ไขและเคลือบผิวของใบแฟบลงและแน่น ทำให้สารละลายผ่านยาก ดังนั้นการให้สารอาหารพืชทางใบในขณะที่ใบพืชเต่ง อัตราการดูดสารอาหารเข้าไปใช้จึงสูง
3. ใบพืชที่มีอายุน้อยสามารถดูดสารละลายธาตุอาหารได้ดีกว่าใบพืชที่แก่กว่า เพราะใบอ่อนมีการสะสมสารเคลือบผิวและสารคิวตินยังไม่หนา มากจึงทำให้สารละลายธาตุอาหารเคลื่อนที่ผ่านได้เร็วกว่าใบแก่
4. ปริมาณธาตุอาหารหลักในพืช มีผลต่อความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารเสริมทั้งทางใบและทางราก เช่น การมีไนโตรเจนในปริมาณเพียงพอ จะส่งเสริมการดูด Mg ทั้งทางใบและทางราก
5. ศึกษาการใช้ปุ๋ยอย่างละเอียด เนื่องจากความเป็นกรดและด่างอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อพืช การให้ปุ๋ยทางใบที่มีความเข้มข้นที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้
6. เพิ่มประสิทธิภาพด้วยสารจับใบ เพราะสารจับใบช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำ ช่วยเพิ่มการแพร่กระจายของสารละลายกับผิวใบทำให้เพิ่มพื้นที่สัมผัส ผิวใบจึงเปียกอย่างทั่วถึง
จะเห็นได้ว่าเคล็ดลับเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยเราลดต้นทุนการทำการเกษตรได้ครับ อย่าลืมนำไปใช้กันนะครับ
https://www.cowboyplantfoods.com/6-secret-foliar-feeding/
ข้อดีและข้อเสีย ของการใช้ปุ๋ยทางใบ (ปุ๋ยน้ำและปุ๋ยเกล็ด) :
ปุ๋ยทางใบ :
ปุ๋ยทางใบ หมายถึง ปุ๋ยที่เป็นสารละลายแล้วฉีดพ่นทางใบเพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช
เนื่องจากรากพืชสัมผัสอยู่กับอนุภาคดินและสารละลายของดินโดยตรง รากจึงดูดธาตุอาหารได้ตลอดเวลาส่วนใบพืชอยู่ในอากาศ จะมีโอกาสดูดธาตุอาหารได้เฉพาะจากสารละลายที่มาสัมผัสใบเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ใบจึงได้รับธาตุอาหารตามธรรมชาติจากน้ำฝนและน้ำค้าง การฉีดพ่นปุ่ยทางใบให้แก่พืชเป็นการช่วยให้พืชได้รับธาตุอาหารได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
ชนิดของปุ๋ยทางใบ :
ปัจจุบันใช้ปุ๋ยทางใบมี 2 ชนิด
1) ปุ๋ยเกล็ด คือปุ๋ยเคมีชนิดแข็งที่มีสภาพเป็นรูปผลึกของสารประกอบ ผลิตจากการนำแม่ปุ๋ยชนิดต่าง ๆ มาผสมกับให้ได้สูตรที่ต้องการเป็นปุ๋ยที่ละลายน้ำง่าย
2) ปุ๋ยน้ำหรือปุ๋ยเหลว คือปุ๋ยที่ได้จากการละลายแม่ปุ๋ยในน้ำให้ได้สัดส่วนเป็นปุ๋ยสูตรต่าง ๆ โดยที่แม่ปุ๋ยจะถูกละลายได้ทั้งหมด วิธีใช้ปุ๋ยเพียงแต่นำมาเจือจางด้วยน้ำในอัตราที่พอเหมาะแล้วนำไปฉีดพ่นพืชได้ทันที
ข้อดีของการใช้ปุ๋ยทางใบ :
1. ช่วยให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากการย้ายปลูกและตั้งตัวได้แล้ว
2. ใช้กับอาการขาดธาตุอาหารในระยะแรก ๆ ได้ดี
3. ใช้ผสมกับการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคแมลง และควบคุมวัชพืชได้เป็นการประหยัดแรงงาน
4. ใช้กับพืชที่ปลูกในดินที่มีปัญหา เช่น ดินเค็ม ดินเปรี้ยวจัด ดินทรายจัด ดินเหนียวจัด หรือดินที่มีปัจจัยแวดล้อมขวางการดูดใช้ธาตุอาหารทางระบบราก
5. ใช้ในการเสริมธาตุหลัก คือ ไนโตรเจนในรูปปุ๋ยยูเรียและการใช้ธาตุรอง และธาตุอาหารเสริมแก่พืช
6. พืชสามารถดูดธาตุอาหารโดยทางใบได้มากกว่า และเร็วกว่าการดูดทางราก ต้นไม้จึงใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารได้เร็ว
7. ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็ว หลักจากชะงักเนื่องจากกระทบแล้งหรือถูกโรคแมลงทำลาย
8. ปุ๋ยน้ำ มีความสม่ำเสมอของเนื้อปุ๋ยแน่นอนกว่าปุ๋ยชนิดแข็งและปุ๋ยเกล็ด มีปริมาณเนื้อปุ๋ยรวม (N+P2O5+K2O) สูงกว่าปุ๋ยเม็ดทำให้ทุ่นค่าใช้จ่ายในการขนส่งมากกว่า
9. ปุ๋ยน้ำผลิตง่ายและเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสูตรได้ง่าย จึงผลิตได้มากสูตรกว่าปุ๋ยชนิดแข็ง
10. ง่ายต่อการขนส่งและการใช้
ข้อเสียของการใช้ปุ๋ยทางใบ :
1. โดยทั่วไปการใช้ปุ๋ยทางใบเพียงอย่างเดียวไม่สามารถจะให้ธาตุอาหารแก่พืชได้อย่างเพียงพอในปริมาณที่เท่าเทียมกับปุ๋ยทางดิน เพราะถ้าให้ในระดับความเข้มข้นสูงเกินไปอาจทำให้พืชใบไหม้
2. การให้ปุ๋ยทางใบเพียงอย่างเดียวจะทำได้เฉพาะกับพืชที่ให้ผลตอบแทนสูงมากเท่านั้น เพราะจะต้องให้ปุ๋ยบ่อยครั้งตามกำหนดเวลาอย่างสม่ำเสมอ
3. ปุ๋ยน้ำชนิดสารละลายไม่สามารถผลิตให้มีเกรดสูง ๆ ได้ โดยทั่วไปมักมีปริมาณของธาตุอาหารรวมของ (N+P2O5+K2O) ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
4. ปุ๋ยเกล็ดมักมีคุณสมบัติดูดความชื้นจากอากาศได้ง่ายกว่าปุ๋ยเม็ด แม้จะมีการใส่สารป้องกันความชื้นแล้วก็ตามทำให้เสื่อคุณภาพเร็ว
5. ราคาต่อหน่วยของธาตุอาหารในปุ๋ยเม็ดและปุ๋ยเกล็ดเพราะโดยทั่วไปปุ๋ยน้ำจะมีเกรดต่ำกว่าปุ๋ยชนิดแข็ง
6. ราคาต่อหน่วยของธาตุอาหารในปุ๋ยเกล็ดสูงกว่าราคาต่อหน่วยของธาตุอาหารในปุ๋ยเม็ดมาก เพราะแม่ปุ๋ยที่ใช่ในการผลิตปุ๋ยผสมชนิดเกล็ดมีราคาแพงกว่าแม่ปุ๋ยที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยเม็ด
7. ปุ๋ยน้ำละลายาตุอาหารเสริมและธาตุอาหารรองได้น้อย ยกเว้นปุ๋ยน้ำที่ใช้แม่ปุ๋ยในรูปของสารประกอบพวกโพลิฟอสเฟตและสารคีเลต
8. ปุ๋ยน้ำโดยทั่วไปจะควบคุมคุณภาพได้ยากกว่าปุ๋ยเม็ดและปุ๋ยเกล็ด
คุณสมบัติหรือลักษณะของปุ๋ยทางใบที่ดี :
ปุ๋ยทางใบที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้ :
1. ปุ๋ยพืชที่มีสูตรสูง อย่างน้อยควรมีผสมรวมของ N+P2O3+K2O ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับปุ๋ยน้ำและ 60 เปอร์เซ็นต์สำหรับปุ๋ยเกล็ด
2. ควรประกอบด้วยธาตุอาหารเสริมบางธาตุ หรือหลายๆ ธาตุนอกเหนือจากธาตุอาหารหลัก N-P-K
3. ควรเป็นปุ๋ยที่มีความเป็นกรดมากพอ ที่เมื่อนำไปละลายน้ำในระดับความเข้มข้น 0.25 0.30 เปอร์เซ็นต์ของตัวปุ๋ย (ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้อยู่ในประเทศไทย) จะได้ส่วนผสมของสารละลายปุ๋ยที่มีค่า pH ระหว่าง 4.5 6.0 ทั้งนี้เนื่องจากค่า pH ในช่วงดังกล่าวใบพืชจะสามารถดูดธาตุอาหารได้ดีและเร็วกว่าค่า pH ของปุ๋ยที่ต่ำหรือสูงกว่านี้
4. ปุ๋ยน้ำควรเป็นปุ๋ยประเภทสารละลายที่ไม่มีความดัน
5. ปุ๋ยเกล็ดความเป็นปุ๋ยที่สามารถละลายน้ำได้เร็วและละลายได้น้ำทั้งหมด
6. ปุ๋ยน้ำควรเป็นปุ๋ยที่ผลิตจากแม่ปุ๋ยฟอสฟอรัสในรูปของสารประกอบหรือสารละลายโพลิฟอสเฟต
7. ปุ๋ยเกล็ดควรอยู่ในรูปผลึกขนาดเล็ก ที่มีความบริสุทธิ์สูงได้ชื้นง่ายและไม่ควรมีค่าความชื้นมากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
ข้อมูล : สำนักนิเทศและถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน
ที่มา : สำนักนิเทศและถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน
http://sql.ldd.go.th/KMBlog/Content.aspx?BlogID=101
...................................................................................................
ชาวสวนทุเรียนควรรู้ อีก 5 ปีจะเกิดอะไร ทั้งโอกาสและความเสี่ยง
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2651868
ทุเรียนไทย 2 แสนล้านบาท จะพังเพราะปุ๋ยและยา ? ?
https://www.palangkaset.com
.
พาณิชย์จับมือเกษตร ผลักดันผลไม้ไทยสู่ตลาดโลก
https://www.nationtv.tv/news/pr/378920772
ปลื้ม 'ทุเรียน มังคุด ลำไย' สุดฮอต ชาวจีนแห่ซื้อ
https://www.thaipost.net/economy-news/395856/
* เกษตรยุคนี้ต่อยุคหน้าถึงยุคต่อๆ ๆๆไป :
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=7234&sid=fcb37659b69cfae4d7f1aab736fc4d03
****************************************************
.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 30/09/2024 11:19 am, แก้ไขทั้งหมด 34 ครั้ง |
|